เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราพูดถึงธรรมะ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่า พระป่านี่พูดถึงธรรมะเลย พูดถึงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่พูดถึงศีล เพราะศีลเข้าใจว่าเพราะทุกคนเวลารักษา เหมือนเราคนเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องพยายามรักษาตัวเองใช่ไหม? ต้องพยายามให้ตัวเองเข้มแข็ง
นี่ก็เหมือนกัน เรานักปฏิบัติ ศีลต้องให้บริสุทธิ์ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ เพราะอะไร? เพราะถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ดูสิ พระเราเวลาปฏิบัติต้องมีศีลบริสุทธิ์ แล้วทั่ว ๆ ไป เวลาเราธุดงค์ในป่าในเขากัน เราเข้าป่าเข้าเขามันเพราะอะไร? เพราะมันมีสัตว์ร้าย เพราะมันมีสิ่งอมนุษย์ มันทำลาย มันกลั่นแกล้งคนได้ เช่น หลวงปู่มั่นอยู่ที่ถ้ำ เวลาเดินจงกรมไป ที่ว่าเขาเป็นเทพ แต่ใจเขาใฝ่ต่ำ ภิกษุอะไรเดินอย่างกับม้าแข่ง แต่เพราะหลวงปู่มั่นรู้วาระจิต ก็เดินให้สงบเสงี่ยมหน่อย ภิกษุอะไรเดินเหมือนคนป่วย
สิ่งนี้ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ เขาจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เขาก็จ้องดูเราอยู่ตลอดเวลา เขาดูนะ เวลาความคิด โลกแห่งความคิด โลกของจิตวิญญาณ เขาจะรู้ความคิดของเรา สิ่งนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่พระทั่ว ๆ ไปเขาไม่หวังตรงนี้นะ เพราะมีโยมมาหานะ วันนั้นเราสั่งของมา สั่งมาม่ามาเต็มเลย โยมมาจากโพธาราม หลวงพ่อนี่เอามาจากไหน? หนูไม่เคยใส่บาตรอย่างนี้เลย หนูไม่ใส่บาตรมาม่าเด็ดขาดเลย เพราะพระเอาไปฉันตอนเย็นกัน
เขาพูดอย่างนี้เลยนะ เราฟังแล้วสะอึกเลย หนูจะไม่ยอมใส่มาม่าเด็ดขาด เพราะมาม่านี่รู้เลยว่าพระเขาเอาไปกินตอนเย็น เพราะตอนเย็นเขาอยู่ในกุฏิ เขาไม่รู้น่ะ นี่เขาพูดถึงพระวัดบ้าน เพราะเขาทำกันอย่างนั้น
เวลาธุดงค์กัน เขาธุดงค์บนถนน เขาไม่ได้ธุดงค์ในป่า สิ่งนี้เพราะอะไร?เพราะ! เพราะถ้าเราธุดงค์ในป่านะ ผิดศีลนี่ สิ่งนี้ทำให้พระผิดพลาดได้ หลวงปู่มั่นบอกไว้ ที่ถ้ำสาริกา มีพระตายไปแล้ว ๓ องค์ เป็นเพราะอะไร? เพราะผิดศีลนี่ไง บิณฑบาตมาแล้วเก็บไว้เพราะทางมันไกล เก็บไว้กินอีกมื้อหนึ่ง เห็นไหม สันนิธิ ภิกษุเก็บอาหารไว้กินแรมคืนเป็นความผิด ขนาดนั้นน่ะ เป็นไข้ เจ็บไข้ตายโดยทางวิทยาศาสตร์ แต่เวลาหลวงปู่มั่นดู บอกไว้ นี่เทพหักคอ เห็นไหม เทพหักคอเลย เพราะอะไร? เพราะเขาถนอมรักษาธรรมและวินัย
ศีล ถ้าศีลเป็นปกติ เราจะไม่เกิดนิวรณธรรม ศีลถ้าเราไม่ปกติ เราทำผิดมากับตัวเราเอง ความลับไม่มีในโลก เรานี่เป็นคนทำผิด เราเป็นคนเข้าใจ เห็นไหม ศีล ศีลเราเป็นปกติ สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา ถ้าศีลทำให้เราปกติ มีความสุขในใจ ถ้ามีความสุขในใจนะ มันเป็นปกติของใจ แล้วถ้าใจประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำให้มีความสุข ความสุขเพราะอะไร? เพราะจิตมันสงบเข้ามา
จิตสงบนะ คนไม่เคยปฏิบัติ คนไม่เคยรักษาใจตัวเองนะ จะคิดบอกว่าความสุขหาได้จากโลกภายนอก ความสุขหาได้จากรูป รส กลิ่น เสียง ความสุขหาได้จากภายนอก แต่ความสุขในศาสนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหามาหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์นะ นี่ทุกข์ร้อนนะ กษัตริย์ในสมัยพุทธกาลมาบวชก็เหมือนกัน ที่นี่สุขหนอ สุขหนอ พอทำความสงบของใจได้ เห็นไหม สิ้นกิเลสอยู่โคนไม้ก็ สุขหนอ สุขหนอ จนพระเขาสงสัยนะ นึกว่าคิดถึงตัวเองตอนเป็นกษัตริย์ไง ถึงไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมาถาม...ตอบว่า สุขจริง ๆ แต่ก่อนเป็นกษัตริย์นะ นอนที่ไหนก็สะดุ้ง ขนาดว่ามีมหาดเล็กรักษาขนาดไหนก็แล้วแต่ เพราะอะไร? เพราะเรื่องการชิงอำนาจมันมีอยู่ตลอดเวลา ต้องระแวง ต้องสงสัยอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุข นอนด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา แต่ในปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรเลย นอนอยู่โคนไม้นี่สุขมาก ๆ
แต่เราก็ไม่คิดกันอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะเราคิดด้วยสัญญา เราคิดด้วยสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งของกิเลส กิเลสมันเข้ากับกิเลส เพราะกิเลสมันแหลมคมมาก เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม.. เวลาคิดขึ้นไป มันเป็นกิเลสทั้งนั้น กิเลสพาออกไปข้างนอก แล้วก็วิ่งออกไปข้างนอก ว่ามีความสุข
ความสุข เห็นไหม ความร่มเย็นเป็นสุขก็จะต้องร่มเย็น ต้องมีความสุข ต้องเหมือนกับเรามีความสุข ความร่มเย็นของใจไม่ใช่ความร่มเย็นที่เราไปอยู่บนกองน้ำแข็งหรอก กองน้ำแข็งมีความเย็นนะ เย็นขนาดเย็นจนชา จนเราอยู่ไม่ได้เลยล่ะ แต่ถ้าความเย็นของใจ เย็นขนาดไหนจะมีความสุข แล้วสุขอันนี้มันจะประกาศในหัวใจ เราจะรู้เองว่าสิ่งนี้เป็นความสุข เพราะความสงบของใจ อ้อ.. จิตเป็นอย่างนี้หนอ ที่ว่าดูจิต ๆ มันต้องเอาจิตดูจิต ไม่ใช่เราไปดูจิต เอาสัญญาดูจิตไง เอาความเห็นของเราดูจิตไง ให้จิตมันหลอก เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิต แล้วเราเอาสัญญาเข้าไป
เหมือนกับเราส่องกล้องเข้าไป เราส่องเข้าไปหาเชื้อโรค ถ้าเชื้อโรคบางอย่างมันก็เห็นได้ บางอย่างก็เห็นไม่ได้ ต้องเอามาเพาะเชื้อต้องมาต่าง ๆ มันไม่เห็นหรอก มันไม่เข้าใจหรอก สิ่งที่ต่าง ๆ เวลาจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม พอจิตสงบเข้ามา ใครเป็นคนรู้ก่อน? เพราะจิตเราสงบเข้ามา เราต้องรู้ก่อน ศีลถึงต้องบริสุทธิ์ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล.. เราต้องรักษาของเรานะ ศีละ ศีละ ศีล เรารักษาของเรา
แล้วถ้ารักษาของเรานะ มันก็ไม่เกิดนิวรณธรรม ถ้ามันเกิดนิวรณธรรม มันมีเล่ห์นะ เล่ห์ของใจของตัวเอง จิตนี่มันเป็นกิเลส มันมีเล่ห์ปั๊บ มันก็ตีความธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าข้างตัวเอง สภาวะเป็นธรรมอย่างนั้น สภาวะเป็นธรรมอย่างนั้น... นี่กิเลสทั้งนั้นเลย! กิเลสอ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เพราะเราทุจริตกับตัวเราเอง เรามีเล่ห์เหลี่ยมกับตัวเราเอง เรามีเล่ห์กลกับเราเอง เราไม่สามารถทำให้มันถูกต้องได้
แล้วเราว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม.. เราก็ส่งออกไปข้างนอก เห็นไหม ศีลเราไม่บริสุทธิ์ ถ้าศีลเราไม่บริสุทธิ์นะ ศีลนั้นเป็นปกติ ถ้าศีลไม่ปกติ สิ่งที่เห็นก็ไม่เป็นปกติ สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นปกติ ไม่ปกติเพราะมันเคลื่อนจากฐาน เคลื่อนจากสัจจะความจริง เพราะอะไร? เพราะมันเป็นวัฏฏะ มันหมุนไปตลอดเวลา
แต่ถ้าจิตสงบเข้ามา จิตมันตั้งเข้ามา เหมือนกับคนวิ่งอยู่หรือคนเดินอยู่ เห็นภาพไม่ชัดเจน เห็นไหม ขนาดเรายืนนิ่งอยู่ยังไม่ชัดเจนเลย ถ้าเรานั่งลงแล้วเราพิจารณาของเรา มันจะชัดเจน เห็นไหม สิ่งใดที่เราเห็นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันมีฐานของมัน มันมีสมาธิของมัน มันจะย้อนกลับเข้ามา สิ่งต่าง ๆเป็นผลของวัฏฏะ ไม่ใช่ของเราหรอก มันเป็นผลของวัฏฏะทั้งหมดเลย จิตวิญญาณขนาดไหนก็เป็นผลของวัฏฏะ ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ? ทำไมถึงมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นล่ะ? เพราะอะไร? เขาประเสริฐขนาดไหน เห็นไหม คือว่าในทัศนะของมนุษย์ว่าเทวดา อินทร์ พรหมนี่ประเสริฐมาก
แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ ผลของวัฏฏะทั้งหมดเลย เพราะเป็นวาระ ไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่ต้องสิ้นสุดกระบวนการของชีวิต ต้องตายหมดล่ะ เกิดที่ไหนก็ต้องตาย แล้วมันก็ต้องตายต้องเกิดอยู่ตลอดไป เพราะมันเวียนไป นี่บุญพาเกิด ถึงที่สุดเราทำที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ แต่เราก็อาศัยบุญพาเกิด แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ สิ่งที่ว่าธรรมะละเอียด ละเอียดอย่างนี้ ละเอียดตรงที่ว่าแม้แต่เราสร้างนะ เราทำบุญ เราสละทานไป บุญเกิดแล้ว ยิ่งถ้าเราสละทานด้วยศรัทธาของเรา แล้วเนื้อนาบุญนะ เราไปเจอครูบาอาจารย์
ดูสิ ดูสมัยพุทธกาล พระกัสสปะออกจากสมาบัติ พระอินทร์ยังปลอมตัวมาใส่บาตรเลย พระอินทร์ยังต้องการบุญขนาดนั้นเลย เพราะอะไร? ขนาดเป็นพระอินทร์อยู่แล้วยังต้องการเพิ่มบุญกุศลของตัวเอง เพราะเขามีสติสัมปชัญญะ แต่คนในปัจจุบันนี้เขาไม่สนใจตรงนี้ไง เขาจะหาว่าเสียเปรียบ หาว่าเราเป็นคนต้องให้ ให้.. เราให้กับครูบาอาจารย์ ให้กับพระที่ดี
สิ่งนี้เวลาหลวงตาท่านเทศน์สอน เขาได้ ๕ ได้ ๑๐ มา เขามาใส่บาตรพระนะ พระนี่หัวโล้น ๆ น่ะ เที่ยวมีเครื่องยนต์กลไกไปแข่งกับโลกเขา พระที่มีคุณธรรมนี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง จะไม่ไปหาสิ่งใดเกินกว่าเหตุหรอก ถ้าสิ่งสภาวะแบบนั้น แต่เวลาที่โลกเขา ที่เขาบอกว่าเป็นผู้ได้ ๆ เพราะเขาโฆษณาชวนเชื่อกัน เขาพยายามทำประชาสัมพันธ์กัน อันนั้นเป็นเรื่องของเขา สิ่งนั้นเป็นเรื่องของเขา เพราะเหรียญมี ๒ ด้าน ถ้าเราไปมองตรงนั้นปั๊บ เราจะขาดประโยชน์ของตัวเราเอง
ดูสิ เวลาเราดูคนอื่นเจ็บไข้ได้ป่วยกับเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต่างกัน เวลาเราได้บุญกุศลก็เหมือนกัน เรามีความสุขก็ความสุขของเรา คนอื่นจะโดนหลอกลวง คนอื่นเขาจะทำบุญกุศลได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ มันเรื่องของเขา เราทำของเรา ถ้าเราทำของเราได้ประโยชน์ของเรา มันจะเป็นประโยชน์ของเรา นี่เรื่องของบุญ เรื่องของบุญมันก็เป็นอามิส ขนาดเป็นเรื่องอามิสนี่ กว่าจะทำยังโต้แย้งกับความคิดมหาศาลเลย
แต่เวลากว่าจะกำหนดให้ความที่เป็นอามิส จิตที่ฟุ้งซ่านสงบตัวเข้ามาแล้วย้อนไปวิปัสสนา ปัญญามันจะเกิดอีกขั้นตอนหนึ่ง ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ล่วงทุกข์ด้วยปัญญา ปัญญานี่โลกุตตรปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดจากที่ไหน? ต้องเกิดจากจิตสงบก่อน ถ้าจิตเราไม่สงบ แล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นโลกียปัญญา มันปัญญาของวัฏฏะ ปัญญาของกิเลสพาใช้ พอกิเลสพาใช้ เราก็เวียนอยู่นี่
อารามเป็นที่อยู่ของผู้มีศีลนะ ถ้าขณะเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์อยู่ในอารามนี้แล้ว แล้วเรายังหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ แล้วเรายังออกไปกับโลกเขา นี่เราเป็นอะไร? เราละเอียดพอไหม? เราละเอียดเราหยาบพอไหม? โลกเขาเป็นสิ่งที่หยาบ ๆ เขาหาที่พึ่งที่อาศัยกัน อุตส่าห์วิ่งเต้นไปหาที่ไหนที่ว่าที่เป็นสมบัติ ที่เป็นสิ่งที่สละทานแล้วได้บุญกุศลมาก แล้วเราเองเรากลับไปหาเรื่องทางโลก
เพราะอะไร? เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แต่เรานึกของเราไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เรากอดอยู่กับตัวเราเอง ดูสิ ดูเวลาเราใส่เครื่องประดับ ใส่เฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับ ถ้าอยู่ในข้อมือคนอื่น ในคอคนอื่น.. สวยงามมาก แต่อยู่ในคอของเรา เราไม่เห็นนะ เราไม่เห็น
นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เราไม่เห็นคุณธรรมอันนี้ไง ถ้าเราไม่เห็นคุณธรรมอันนี้ เราก็ไปหาจากข้างนอก นี่กิเลสมันพาออกไปอย่างนั้น แล้วว่าอย่างนี้เป็นปัญญา ปัญญาอะไร? ปัญญาพวกกิเลสลากออกไปไง กิเลสมันแหลมคมอย่างนี้ไง เพราะอะไร? เพราะหลักง่าย ๆ เลย ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเราเอง นี่สีเลนะ สุคติง ยันติ ถ้าศีลมันบริสุทธิ์แล้วมันไปทำอย่างอื่นไม่ได้ มันเป็นติรัจฉานวิชา มันทำให้เนิ่นช้าไง ติรัจฉานวิชานะ
แม้แต่เรื่องออกจากภายนอก ครูบาอาจารย์ถึงเข้มงวดตรงนี้มาก หลวงปู่มั่นจะเข้มงวดตรงนี้มากเลย เข้มงวดตรงนี้เพราะอะไร? เพราะจิตมันส่ายแส่ตลอด เวลาจะเทศนาว่าการ จับขโมยให้ที จับขโมยให้ที ความคิดนี่เป็นขโมย มันคิดออกนอกเรื่องไง มันไม่ได้คิดเรื่องเข้าอริยสัจ แม้แต่เวลาเสวยอารมณ์นี่มันขโมยแล้ว ขโมยคิด ขโมยทำ มันขโมยของมันออกไป
แต่ถ้าศีลบริสุทธิ์ มันเป็นปกติของมัน มันขโมยไม่ได้ ถ้ามันขโมยไม่ได้ เพราะมันผิดศีล อธิศีลไง ศีลจากภายใน ศีลจากภายนอก เวลาเราศีลหยาบ ๆ ของโลกเขา การกระทำ เห็นไหม ลักทรัพย์ ปาณาติปาตา ต้องมีการหยิบทรัพย์สมบัติของเขา ต้องมีการทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วงมันถึงศีลขาด ศีลด่างพร้อย คิดจะลักทรัพย์ คิดจะทำลายเขา นี่ศีลด่างพร้อย
ศีลด่างพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด ศีลมันก็มีหยาบมีกลางมีละเอียดเข้ามา เพราะอาบัติอยู่ที่การกระทำ เห็นไหม พูดมุสา พูดส่อเสียดนี่เป็นอาบัติ แล้วเวลามันไม่ได้ทำ จิตนี่ อาบัติของจิตมันไม่มี จิตไม่มีอาบัติหรอก เพราะความรู้สึกมันเป็นอาบัติได้อย่างไร ถ้าความรู้สึกเป็นอาบัตินะ อาบัติกันหมด เพราะอะไร? เพราะมันควบคุมจิตไม่ได้ จิตนี้ควบคุมไม่ได้นะ เพราะอะไร? เพราะมันมีกิเลส มันดิ้นอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะเอาอะไรไปควบคุมมัน?
แต่ถ้าเป็นอธิศีล มโนกรรม มันเป็นความฟุ้งซ่าน นี่ศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าศีลมันออกไปสภาวะแบบนั้น ศีลของโลกเขามันขาดมันด่างพร้อยไปอย่างนั้น แต่ถ้าอธิศีล นี่ที่ว่าพระอรหันต์ จิตที่ไม่เสวยอารมณ์ จิตหลุดพ้นออกไปเป็นวิมุตติสุข เป็นวิมุตติ ไม่เป็นสมมุติ แล้วการเกิดดับเป็นสมมุติ สิ่งที่สมมุติอาศัยสมมุติอยู่ เพราะธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นเครื่องอาศัย นี่ธาตุ ๔ คือร่างกาย แล้วจิตอาศัยอยู่ในร่างกายนี้
แต่ถ้าเป็นจิตปุถุชนมันเป็นขันธมาร มันเป็นมาร มันเป็นสิ่งที่มันเป็นอุปาทาน มันยึดมั่นเป็นอันเดียวกัน การเกิดดับกับจิตพร้อมอันเดียวกัน แต่พระอรหันต์! วิมุตติสุข จิตนี่มันพ้นออกไป แต่สิ่งที่เป็นภาระ เป็นขันธ์ ๕ สิ่งที่ขันธ์ ๕ เป็นสมมุติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการพระเจ้าสุทโธทนะ เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านึกถึงพ่อได้? ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
พระเจ้าพิมพิสาร ถ้าสำเร็จแล้วขอให้มาสอนด้วย นี่เป็นสัญญาไว้ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาโมกขธรรม ขณะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ย้อนกลับมาเทศนาว่าการให้พระเจ้าพิมพิสารฟัง พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันขึ้นมาเลย อันนี้เป็นอะไร? มันเป็นสัญญาใช่ไหม? เป็นข้อมูลเป็นสัญญาที่สัญญากันไว้ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบวชด้วย แล้วเวลาวิปัสสนาจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว กลับมาสอนพระเจ้าพิมพิสาร อย่างนี้มัน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์มี ขาดมี เพราะอะไร?
เพราะมันเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีเศษส่วน ยังมีสิ่งที่ภาระรับผิดชอบอยู่ พระอรหันต์ที่ตายแล้ว เห็นไหม อนุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่สิ้นไป นี่อธิศีล อธิจิต มันเป็นอยู่ภายใน ถ้าผู้ปฏิบัติขึ้นมา พอมีขั้นมีตอนขึ้นมา มันจะเห็นตรงนี้ไง เห็นตรงว่าสิ่งนี้ถ้ามันคิดฟุ้งซ่านออกไป มันเป็นมโนกรรม นี่อธิศีล มันผิดแล้ว มันพลาดแล้ว มันเสียแล้ว เพราะอะไร? มันออกนอกเรื่องนอกราวแล้ว
แต่ถ้ามันกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เพราะอะไร? เพราะศีลก็บริสุทธิ์สิ เพราะอะไร? เพราะมันไม่ออกไปแสวงหา มันไม่ออกไปในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีละ ศีละคือศีล มันไม่ออกไปนอกของศีล ถ้ามันออกนอกของศีล ศีลพาออกนอกเรื่องแล้ว มันก็เป็นติรัจฉานแล้ว มันไปในเรื่องของโลกแล้ว สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เพราะเราเกิดมาในโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ไม่เคยติโลกนะ เพราะคนนี่เกิดมาจากโลก
ทุกคนเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นโลกไหม? ทุกคนมีพ่อมีแม่ เกิดจากโลก แต่อาศัยโลกอยู่เพื่อจะพ้นจากโลก กับเกิดจากโลกแล้วแบกโลก อยู่กับโลกเขา ทุกข์เจียนตายนะ น้ำตาไหลพราก ชีวิตนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลย ถ้าชีวิตนี้ น้ำตาที่ไหลเกิดมาแล้วร้องไห้หรือเกิดมาเสียใจ เก็บน้ำตาไว้นะ แต่ละคน แต่ละจิต แต่ละดวง น้ำทะเลสู้ไม่ได้
แต่นี่มันก็เพราะน้ำมันก็ไปตามสสารของมัน แล้วเราก็เกิดตายเกิดตายเวียนมา ถ้าอยู่กับโลกจะเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ก็ต้องเกิดกับโลกเพราะอะไร? เพราะโลกมันมีกาย แล้วก็มีหัวใจ ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันเป็นทิพย์ เป็นทิพย์นี่มันหน้าเดียว แต่ถ้าเป็นมนุษย์มันมี ๒ ด้าน ด้านหนึ่งคือร่างกาย ด้านหนึ่งจิตใจ
อย่างโดยปกติสามัญชนเลย ร่างกายนี่ต้องการอาหารตลอดเวลา มันบีบบังคับตั้งแต่เกิดนะ โรคหิวนี่มันบีบบังคับเรามาตลอด หน้าที่การงานเพื่อบรรเทาความหิวกระหายในร่างกายนี่ มันก็เป็นส่วนหนึ่ง มันบีบคั้นอยู่เพราะอะไร? เพราะมันเหมือนคนป่วย ถ้ามีคนป่วย โรคภัยไข้เจ็บมันบีบคั้นอยู่ เราต้องรักษาให้เราหายป่วย เราถึงจะเป็นปกติที่มีความสุขได้ โรคหิวนี่มันจะบีบเราจนให้มันได้สติ ให้ได้สติว่าเราควรจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่เพลิดเพลินแบบเทวดา อินทร์ พรหมที่ไม่มีการบีบบังคับ สิ่งที่เป็นทิพย์มันเพลินอยู่ตลอดเวลา
การเกิดเป็นมนุษย์มันถึงมีสิ่งชัดเจนระหว่างกายกับใจให้เราแสวงหา ให้เราใคร่ครวญ มันมีเหตุมีผลจะให้เราพ้นจากทุกข์ มันบีบคั้นมาให้เราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมาเป็นธรรมของเรา ถ้าเป็นธรรมของเราแล้วแก้ใจของเรา เราก็จะเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ที่ใจ ใจของเราจะเป็นธรรมขึ้นมา
ถ้าใจของเราเป็นธรรมขึ้นมา นี่ศีลบริสุทธิ์มหาศาลเลย เพราะอะไร? เพราะมันไม่สามารถทำลายมโนกรรม ไม่สามารถทำความคิดอันนี้ให้เป็นอกุศลได้ แต่ถ้าความคิดเป็นอกุศลเป็นทำความผิดให้ใจ ศีลยังไม่บริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์จากภายนอกแล้วศีลจะบริสุทธิ์จากภายใน แล้วว่าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมเกิดจากใจ เกิดถ้าศีลเป็นสะพาน ศีลเป็นพาหะ ศีลจะทำให้ถึง สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา จะเกิดโภคะ จะเกิดความบริสุทธิ์ จะเกิดนิพพาน เกิดหัวใจขึ้นมา อาศัยสิ่งนี้เป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน ถึงต้องสงวนต้องรักษาไง
ผู้ที่ผ่านไปแล้ว พ่อแม่ เห็นไหม เราหาสมบัติไว้กินชาตินี้ไม่หมดหรอก แต่เราทำไมต้องหามาเพื่อลูกเพื่อหลานของเราล่ะ? เพราะอะไร? เพื่อลูกเพื่อหลานของเราจะได้มีใช้สอย นี่ครูบาอาจารย์ท่านพ้นจากกิเลสไปแล้ว ทำไมท่านต้องคอยเข้มงวดเรื่องอย่างนี้ล่ะ? เข้มงวดขึ้นมาเพื่อจะให้ผู้เป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนินไง นี่เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นการดำเนินขึ้นมาถึงหัวใจของใจดวงนั้น เอวัง