เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ธ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะนะ จะหาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต ทุกคนต้องหาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต ดูสิ ดูพวกในเมืองหลวง เวลาเขาออกไปหาอากาศ เห็นไหม อยู่ในเมืองหลวงอากาศนี่เป็นพิษหมดเลย เขาต้องไปเที่ยวกัน แสวงหาอากาศที่บริสุทธิ์ นี่หาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตนะ เราก็จะหาแต่สิ่งดีๆ ให้กับชีวิต

นี้สิ่งดีให้กับชีวิต ถ้าเป็นโลกธุรกิจนะ โลกธุรกิจเขาต้องวิ่งเข้าไปหาการตลาด เขาต้องไปหาการตลาดเพื่อธุรกิจของเขา แต่ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิต เราก็หาให้มันเป็นประโยชน์กับชีวิต แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ เราก็พยายามดิ้นรนของเรา ความดิ้นรนอย่างนั้นดิ้นรนเพื่ออะไร? ดิ้นรนเพราะมันไม่ได้สมดังความปรารถนา

แต่ถ้าเป็นบุญกุศลนะ คนที่สร้างบุญกุศลมา โอกาสมันมานะ ถ้าโอกาสมันมา โอกาสของเรามา เราทำอะไรจะประสบความสำเร็จ การทำประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จ มันอยู่ที่กรรมด้วย อยู่ที่โอกาสอำนาจวาสนา เห็นไหม คำว่า “อำนาจวาสนา” แข่งกันไม่ได้ คนเรานี่แข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้เลย ไปด้วยกันนี่แหละ คนหนึ่งประสบความสำเร็จ อีกคนหนึ่งจะไม่ได้อะไรมา ไม่ได้อะไรมาได้อะไรมาไม่เหมือนกันนะ

ในพระไตรปิฎกนะ มีโจร ๒ คน เขาไปฟังเทศน์ด้วยกัน คนหนึ่งฟังเทศน์นะ ฟังเทศน์มันซึ้งกับธรรมะมาก อีกคนหนึ่งเป็นโจรใช่ไหม เขาคอยจะหาผลประโยชน์ ไปลักได้เงินมาพอค่าอาหารมื้อหนึ่ง กลับไปบ้านนะ กลับไปบ้านไปถึงภรรยา ไอ้คนที่ได้ทรัพย์มาก็ไปซื้อของให้ภรรยา ไอ้คนที่ไม่ได้ทรัพย์มาเลย ภรรยาต่อว่านะ “ไปฟังเทศน์ได้อะไรมา?” อีกคนหนึ่งเขาฟังเทศน์มานะ เขาไปลักทรัพย์มา เขาเป็นโจรด้วยกัน แต่อีกคนหนึ่งที่เขาไม่ได้อะไรมาเพราะเขาซึ้งในหัวใจ เขาเป็นพระโสดาบันนะ โจรนะ ทำไมเป็นพระโสดาบัน

นี่หาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต เห็นไหม แต่ภรรยาไม่เข้าใจ ภรรยาต่อว่ามากเลย เพราะว่าโจร ๒ คน คนหนึ่งไปฟังเทศน์แล้วได้สมบัติมา ไปลักทรัพย์เขามา อีกคนหนึ่งไปได้รับอริยทรัพย์ภายในมา แต่กลับมาถึงบ้านนะไม่มีอาหารกิน จนภรรยาต่อว่า อันนี้มันเป็นเรื่องของว่าระหว่างภรรยากับสามี เห็นไหม สามีได้มานี่ เพราะได้อริยทรัพย์มา แต่ภรรยาไม่ได้มา

เราจะบอกว่าในครอบครัวของเรา ความเห็นก็ต่างๆ กัน ความเห็นความเป็นไปของในครอบครัว ทัศนะคติต่างกัน เห็นไหม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทิฐิเสมอกัน มีศีลเสมอกัน ความอยู่จะมีความสุขมาก

มีทิฐิไม่เสมอกัน เห็นไหม ดูอย่างเด็กกับผู้ใหญ่ ดูสิดูลูกของเรา เราพยายามต้องถนอมรักษา แต่ด้วยวัยไง ด้วยวัยของเด็กมันจะเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น เวลาเราผู้ใหญ่สอนเด็กนะ เด็กจะพูดมากเลยว่าพ่อแม่นี่ โอ้โฮ.. ยุ่งมากเลยๆ พอต่อไปเขาเป็นพ่อคนแม่คน เขาก็จะสอนลูกเขาอย่างนี้นะ

มีนะ.. พวกโยมนี่มาหาเยอะมาก ว่าคำพูดที่ลูกพูดกับเรานี่ เราเคยพูดกับพ่อแม่เรามาทั้งนั้นเลย เวลาพ่อแม่ห้ามนะ “จะไป จะไป” แล้วเดี๋ยวนี้ไปเลี้ยงลูกนะ เวลาไปห้ามมันนะ “จะไป จะไป” เขามาพูดกับเราเอง เขามาสารภาพเลย “หลวงพ่อ! คำๆ นี้ผมเคยพูดกับพ่อผม ผมเคยไม่ยอมกับพ่อผม แล้วผมก็มาโดนของผมเอง”

นี่มันเป็นวัยนะ เรื่องของวัย เรื่องของกาลเวลา เห็นไหม มันบังนะ มันบังให้เราไม่เห็นสภาวะความเป็นจริง แล้วเราก็แค่นี้ เส้นผมบังภูเขานะ กิเลสมันบังใจในหัวใจของตัวเอง มันเป็นแค่ถ้าเราปลดนิดเดียวเอง แต่ปลดแสนยาก กิเลสนี้แสนยาก

ดูสิ คนเขาชนะคะคานกัน เขากลั่นแกล้งกัน เขาต้องทำให้เจ็บปวด แต่กิเลสมันชนะเรานี่นิดเดียว มันเหนือเรานิดเดียวเท่านั้น แล้วมันชนะเราได้ทุกที เราจะแพ้มันทุกทีเลย แล้วเราก็ต้องยอมจำนนกับมันทุกทีเลย นี่การต่อสู้กับกิเลสมันถึงแสนยากไง เพราะมันละเอียด มันอยู่ในใจของเรา ใครบ้างที่แบบว่าไม่เข้าข้างตัวเอง? ใครบ้างที่บอกว่าจะไม่รักตัวเอง?

เพราะรักตัวเองไง เพราะรักตัวเองก็รักกิเลสไปด้วยไง เพราะกิเลสในตัวเรานะ อย่างเช่นร่างกายเรา ในร่างกายเรามีทั้งของเสียมีทั้งของดีในร่างกายเรา แล้วเวลาขับถ่ายของเสีย เรารังเกียจมันไหม? แต่เวลาอยู่ในร่างกาย เราเห็นมันไหม? เราก็พามันเดินไปกับเรานี่นะ มันอยู่ในร่างกายเรานี่ ไอ้กิเลสก็เหมือนกัน มันก็อยู่ในหัวใจเรานี่ แล้วเวลาทำอะไรมันก็สะเทือนใจเรา เห็นไหม นี่มันละเอียดอย่างนี้ไง

เวลาถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจทางโลกนะ มันต้องเป็นได้ผลประโยชน์จากคนอื่นมา ได้มาเป็นของเรา ได้มาเป็นของเรากิเลสนี้มันพอใจมาก แต่เวลาเราจะชนะกิเลสนี่นะ กิเลสมันเป็นเราซะอย่างเดียว ทำอย่างไร? มันถึงต้องตั้งสติไง ต้องฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แล้วก็อวดรู้กันนะ อวดรู้มาก เวลาธรรมะในพระไตรปิฎกรู้ไปหมดเลย รู้ไปหมดเลยแต่มันก็แก้กิเลสเราไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว แก้ไม่ได้เลย เพราะมันไปรู้ไง เหมือนกับคนที่เจ้าเล่ห์ คนเจ้าเล่ห์ไปรู้อะไรมา จะแปรสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับตัวเราหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน นี่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนเลย แต่กิเลสในตัวเรามันแปรสภาพไง มันไปดัดแปลงไง ดัดแปลงว่าเป็นของเราๆ เราเข้าใจ เรารู้ว่าง ว่างนะ ว่างจน..

สะเทือนใจนะ เราจะโต้แย้งกับโยมตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ทุกคนก็ปล่อยวางหมดแล้ว ต้องทำอะไรอีก? ก็ปล่อยวางหมดแล้ว...วางอย่างนี้วางแบบขอนไม้เหรอ? วางแบบขอนไม้ วางแบบก้อนหินเหรอ? มันวางอย่างนั้น นี่ก้อนหินมันไม่เคยไปเบียดเบียนใคร วัตถุมันเคยเบียดเบียนใคร? การวางของเรานี่มันเบียดเบียนตัวเราเอง เห็นไหม อย่างที่ว่ากิเลสมันเป็นเรา ก้อนหินนี่มันโดนย่อยสลาย มันเป็นประโยชน์เห็นไหม

แต่ในหัวใจเรา เวลาตายไปแล้วนี่มันไม่สลายนะ ใจนี่มันไม่สลายหรอก มันไปเกิดใหม่ มันไปทุกข์อีก แล้วทุกข์อีกแต่ละภพแต่ละชาตินะ แล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็วางแล้ว เราก็ว่าง ว่าง...ว่างโดยกิเลสมันอำพรางไง ว่างโดยกิเลสมันหลบหลีกไง ว่างโดยว่าเราว่างๆ ว่างที่ไหนมันยังเกิดอีก ว่างที่ไหนมันยังต้องไปอีกนะ

สารพิษนะ พิษในหัวใจอีกเต็มตัวมหาศาลเลย แต่อ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ว่างด้วยญาณทสฺสน ด้วยญาณหยั่งรู้นะ มันจะเป็นว่างอย่างไร?

ว่างอย่างเรานี่ว่างอย่างก้อนหินก้อนกรวด ว่างแบบวัตถุ ว่างของเขามันว่างเพราะมันเป็นวัตถุ มันไม่มีมีชีวิต ว่างของเรานี่นะ ว่างของเราเพราะเรากลบเกลื่อนไว้ มันไม่ว่างจริงหรอก ถ้าว่างจริงนะ เวลาทุกข์ มันอาลัยอาวรณ์ไหม?

นี่อาลัยอาวรณ์นะ ความเศร้าสร้อยหงอยเหงานี่นะ กิเลสนะที่ว่าเวลาเจ็บปวดแสบร้อนอย่างนั้นเจ็บปวดมาก แต่เวลาอาลัยอาวรณ์ เวลาพลัดพราก โอ้โฮ.. ใจจะขาดเลย นี่ตัวสุดท้ายตัวอาลัยอาวรณ์ แล้วจิตนะมันจะพลัดพราก มันจะเป็นไป คนเราต้องตายนะ เราก็รู้อยู่เราต้องตาย วันจะตายขึ้นมา ขนาดดิ้นจนตกเตียงเลยล่ะ เวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลาจะพลัดพราก เพราะนี่มันไม่พลัดพรากไง มันอ้างไง

นี่ก็เหมือนกับเด็ก ผู้ใหญ่ กาลเวลามันเกลื่อนไว้ไง ยังไม่เป็นไร ยังไม่เป็นไร ชีวิตยังอยู่อีก ๕๐๐ ชาติ ชีวิตนี้ยังไม่มีวันตาย เห็นไหม มันไม่คิดถึงวันตาย แต่ถ้าถึงปัจจุบันนะ ถ้าเป็นปัจจุบัน เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์

“อานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่หน?”

“พันหน แสนหน” พระอานนท์บอก

พระพุทธเจ้าบอก “น้อยไป!”

ลองหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกเดี๋ยวนี้สิ มันช็อกตายเดี๋ยวนี้นะ ลมหายใจนี่ หายใจเข้าแล้วมันช็อกเดี๋ยวนี้ มันตายไหม? ลมหายใจเข้าก็คิดถึงความตาย ลมหายใจออกก็คิดถึงความตาย เพราะความตายมันอยู่ทุกวินาทีนะ วิกฤตินะ คนเรานี่อุบัติเหตุช็อกทีเดียวตายเลย นี่มันไม่ว่าเราจะอยู่มากอยู่น้อยหรอก

แต่ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะนะ ดูพระอรหันต์สิ แม้แต่มีสติอยู่ เห็นไหม อิทธิบาท ๔ ชีวิตนี้ตายแล้ว จะอยู่อีกกัปหนึ่งยังอยู่ได้เลย นี่ขนาดตายแล้วทำไมไม่ตายล่ะ? คนที่กลัวตาย คนที่ตกใจ คนที่อาลัยอาวรณ์นี่จะต้องตาย คนที่ไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย เพราะอะไร? เพราะว่าขณะตายจิตมันออกจากร่าง แล้วจิตที่มันสะอาดแล้ว มันมีสติสัมปชัญญะ คนที่อาลัยอาวรณ์เพราะอะไร?

เพราะกิเลสมันบังเงา มันบังไว้ในหัวใจ จิตนี่มันไม่มีสติเลย มันไม่รู้ตัวมันเองเลย มันรู้แต่เรื่องของคนอื่น รู้แต่เรื่องอากาศร้อนอากาศหนาว เรื่องของวัตถุ เรื่องเพชรนิลจินดานี่มีประโยชน์ไปหมดเลย แต่มันไม่รู้จักจิตตัวมันเองเลย เพราะมันส่งออก มันไปยึดอยู่ภายนอก ตัวมันเองมันถึงไม่มีหลักเกณฑ์ในหัวใจ มันถึงไม่มีหลักประกันในใจมันเลย

แต่ถ้าใจที่เป็นธรรมนะ ที่มันว่างจริงโดยวิมุตติสุข เห็นไหม ความว่างจริงอย่างนี้ ความว่าง ดูสิ ความว่าง เห็นไหม แล้วมันจะเริ่มต้น เงินนะ ถ้าเราเก็บสตางค์เดียวจะมีคุณค่าไหม? เงินต้องเป็นล้านๆๆๆ ใช่ไหม? ล้านๆๆ มาจากไหน? มาจาก ๑ สตางค์ใช่ไหม?

สรรพสิ่งทุกอย่างต้องเกิดมาจากเริ่มต้น จากฐีติจิต จากตัวหัวใจ ใจเป็นประธาน ใจเป็นเจ้าของ ใจเป็นคนตัวคิด ถ้าพูดถึงว่าเวลามันว่าง มันคิดถึงอาลัยอาวรณ์มันต้องเริ่มจากใจตัวนี้ ถ้าใจนี้ขยับปั๊บ จิตมันจะทันตลอดไป นี่จิตตะ วิมังสา อิทธิบาท ๔ ถ้าผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ เพราะอะไร? เพราะจิตมันเคลื่อนขนาดไหนมันทันหมด

คนทันหมด เรานั่งอยู่นี่ เราไม่ขยับ มันจะมีอะไรเป็นโทษกับเรา? เราขยับต่างหากใช่ไหม? เราขยับไปรับรู้สิ่งต่างๆ เราขยับออกไป เห็นไหม นี่ถ้าจิตไม่ออกมันจะตายได้อย่างไร? นี่อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ เพราะจิตมันไม่ออก แต่ของเรานี่จิตเราไม่ได้ออกหรอก มันส่งไปอยู่ข้างนอกนู่นนะ มันห่วงไปหมดเลย มันออกไปตั้งแต่ยังไม่ตาย จิตส่งออกหมดเลย ฐานนี่มันก็เลยกลวง มันว่างไง เวลาตายนี้ก็หลุดออกไป มันควบคุมไม่ได้ไง

คนกลัวตายต้องตายแล้วตายเล่า คนไม่เคยกลัวตายเลย เพราะสิ่งที่ตายมันหลอกกันโดยสมมุติ มันเป็นสมมุตินะ มันแปรสภาพเฉยๆ เหมือนกับเปลี่ยนวันนี้พรุ่งนี้เท่านั้น มันมีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งใดเลย แค่เพียงแต่พอจิตมันเคลื่อนออกไป มันก็ได้สถานะมาใหม่

ถ้าเราสร้างบุญกุศล เราเกิดได้เป็นเทวดาทันที โอปปาติกะก็เป็นโอปปาติกะทันที จะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ไปเกิดในต่างๆ เกิดหมดเพราะอะไร? เพราะมันมีตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวผู้รู้ ตัวผู้รู้นี้ไม่เคยย่อยสลายเพราะเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นสสารที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นสสารทางโลกมันเป็นสสาร เห็นไหม อย่างเชื้อโรค ตัวนี้มันไปตลอดเลย มันไปตลอด สิ่งนี้มันเคลื่อนไหวไปตลอด

แล้วถ้าทำลายตัวนี้หมดแล้วมันก็แปรสภาพเหมือนกัน เห็นไหม นี่วิมุตติ ภูมิธรรมถึงมีอยู่ไง ถึงว่าความเป็นไปอันนั้นไง ถ้าความเป็นไปอันนั้นมันมีอยู่ อันนั้นมันเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว เห็นไหม แล้วมันไม่มีค่ากับวัฏฏะอีกแล้ว แล้วมันจะไปตื่นเต้นกับอะไร?

นี่ถึงสิ่งที่ออกไป มันพร้อมไง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าเราทำบุญมากจะได้เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่ทำไมไม่รีบๆ ตายไปเอา? เขาว่ากันอย่างนั้นนะ เวลามันต่อต้าน เราทำความดีแล้วต้องได้ดีสิ ทำไมไม่รีบๆ ตายซะ จะได้ไปคุณงามความดี รีบๆ ตายทำลายตัวเองนะมันก็เป็นกรรม ความดีที่มีอยู่ก็เลยสูญหายหมดเลย เพราะอะไร? เพราะเราไปทำลายสิ่งที่มีคุณค่า

คุณค่าคือชีวิตนะ คุณค่านี่กาลเวลา ครูบาอาจารย์ของเราถนอมรักษาอย่างนี้มาก ดูสิ ดูเวลาหลวงตาท่านว่า “ท่านพยายามจะปกป้องไว้ให้พระได้มีเวลาปฏิบัติ” เพราะทุกวินาที ทุกเวลาเคลื่อนไป มีประโยชน์หมดเลย ถ้าเราปฏิบัติขึ้นไป ขนาดเวลามันเคลื่อนไปมันเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้นเลย เห็นไหม แต่เราประมาทไง ประมาททั้งชีวิต ประมาททั้งเวลานะ อีก ๕๐๐ ชาติยังไม่ตาย จะอยู่ค้ำฟ้ากันไปอย่างนี้นะ แล้วมันก็กลืนตัวเองไป

เหมือนผลไม้เลย ถ้าเราเอามาจะเป็นประโยชน์นะ เราทำอาหารเป็นอาหารเลย ปล่อยไว้เน่าหมดนะ ผลไม้นี่เน่าหมดเลย ชีวิตนี้ปล่อยให้เน่าหมดเลย กาลเวลานี่กินตัวมันเน่าหมดเลย ใจนี่ต้องตายหมด เห็นไหม ลองคิดย้อนกลับมาถึงว่ากาลเวลามันมีประโยชน์ไหม? ชีวิตนี้มีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ชีวิตเรามีประโยชน์มาก

นี่ธรรมะเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าธรรมะสภาวะแบบนั้น เราจะเข้าใจธรรมะอย่างนั้น เห็นไหม เราไปวัดเพื่ออะไร? ไปวัดก็เพื่อเตือนสติเรานี่ไง ไปวัดเหมือนกับไปกินยาไง กินยาไปเตือนสติ เพราะไม่อย่างนั้นกิเลสมันครอบงำ มันจะไปตามประสามัน แต่ถ้าเป็นธรรมะนี่เตือนชีวิตๆ ตลอดเวลา แล้วแสวงหาสิ่งที่ดีกับชีวิต

สิ่งที่เป็นโลกนี่นะ เราทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เขาเจือจานกันได้ เรื่องอาหารนี่ แต่จิตเวลามันทุกข์ยาก จิตแพทย์ที่เขาว่าชำระๆ กันนะ ชำระๆ แต่เจ็บไข้ได้ป่วยนะ เรื่องกดด้วยสารเคมีเท่านั้น แต่ถ้าโรคกิเลสนี่ ต้องธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรมโอสถเท่านั้นที่จะเข้าไป เห็นไหม มรรคญาณเข้าไปทำลายกิเลส สิ่งนั้นมันเกิดจากไหน? เกิดจากเรา

แล้วเรามีโอกาส เรามีวาสนาเหมือนกันทุกคนเลย เรามีโอกาส สิ่งที่ดีกับชีวิตอย่างนี้ทำไมไม่หา? ไปหาสิ่งดีๆ กับชีวิตคืออะไรบ้างล่ะ? ก็สิ่งดีๆ กับชีวิตคือโลกวิ่งไปอย่างนั้น แล้วว่าถ้าอย่างนั้นแล้วเวลากิเลสมันต่อต้านนะ ก็คนต้องหาอยู่หากิน คนไม่มีจะกินทำอย่างไร?

กินนะ เรื่องกินเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเหลือเฟือ แต่มันไปทำอย่างอื่น มันไปสุรุ่ยสุร่ายอย่างอื่นอีกมหาศาลเลย ถ้าเอาแค่ปัจจัย ๔ นี่เงินพอใช้ทั้งนั้นล่ะ แต่มันไปสุรุ่ยสุร่ายอย่างอื่น เห็นไหม กิน ดูสิ อาหารมื้อหนึ่ง ๕ บาท ๑๐ บาทก็อิ่ม บางคนกินเป็นล้านเป็นแสนก็เหมือนกันๆ ทั้งนั้นเลยแหละ ไปสุรุ่ยสุร่ายต่างหากล่ะ

เวลามันจะต่อต้านไง ว่าก็เราคนจน เราต้องหาอยู่หากินก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติทีหลัง นี่กิเลสมันจะออกรูปนี้ แล้วเวลาปฏิบัติก็เอาไว้ก่อนๆๆ เห็นไหม มันไม่ทำหรอก เวลาปัจจุบันนะ ของหนักไม่เคยเอาอะไรเลย อะไรขึ้นมาก็โยนทิ้งๆ หมด แม้แต่อะไรก็โยนทิ้งหมด ไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลยก็ไม่ได้อะไรเลย ก็ว่าปล่อยวางๆ นี่กิเลสเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ไง ถ้ามันว่างจริง มันรู้จริงนะ สิ่งนี้เป็นสัจธรรม จะอยู่ที่ไหนไม่กลัวสิ่งใด องอาจกล้าหาญ กล้าเข้านะ

เราบอกเลย เวลาถ้าเป็นสัจจะความจริง ทำไมไม่กล้าเข้าหาสังคม? ทำไมไม่เข้าหาครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้ใหญ่? ถ้าครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ เห็นไหม ผู้ใหญ่ก็ต้องรู้ ว่าถ้าเป็นของจริงก็ต้องตรวจสอบกันได้ใช่ไหม? นี่ของจริงๆ แต่หลบหลีกๆ ไม่กล้าเข้าสังคมเลย เห็นไหม กิเลสเป็นอย่างนั้น

ถ้าเป็นของจริง ความจริงก็คือความจริง สัจธรรมก็คือสัจธรรม จะวิธีการใดแต่ต้องเหมือนกันหมด เหมือนกันหมดเลย อันเดียวกันหมดเลย สิ่งนี้เป็นสัจธรรมความจริง เพราะคนเกิดคนตายเหมือนกัน ก็ต้องแก้เกิดแก้ตายเหมือนกัน เอวัง