เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่ว่าทำดีไง เราเชื่อมั่นกันว่าทำดีต้องได้ดี แล้วทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วเวลาคนทำไปแล้ว อ่อนใจนะ ท้อใจเลย ทำดีทำไมเป็นสภาวะแบบนี้ คนเขาไม่ทำดีอย่างเราทำไมเขามีความสุข?

อันนั้นเราอย่าเข้าใจผิดนะ ทำดีต้องได้ดีแน่นอน แต่ทำความดีมันมีตัวแปร เห็นไหม เขาทำความชั่ว เขาทำของเขานะ เขาคดโกงของเขา เขาจะได้ดีได้อย่างไร มันอยู่ด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา ชีวิตของเขาไม่มีความสุขเลย ของเราทำความดีขนาดนะ แต่กิเลสมันทำให้น้อยใจไง ดูสิทำดีขนาดนี้ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้? เราทำดีขนาดนี้ทำไมมันไม่มีความสุขเลย?

มันมีความสุขได้อย่างไรเพราะเราไปคาดหมายเอา ความสุขคือความหยุดของใจ ความสุขคือความอิ่มใจ ความสุขคือว่ามันรู้จักพอไง แล้วคนรู้จักพอ น้ำเต็มแก้วนะ น้ำมันเติมไม่ได้ แต่นี้น้ำมันพร่องแก้วแล้วก็แสวงหาจะให้มันเต็มแก้ว แล้วมันหน้าแล้งฝนมันก็ไม่ตก มันไม่มีน้ำแล้วมันจะเต็มแก้วได้อย่างไร เราก็แสวงหามัน

แต่น้ำในครึ่งแก้วนั้นค่อนแก้วนั้นมันพอใช้ไหม? น้ำในครึ่งแก้วนั้นค่อนแก้วนั้น พอดำรงชีวิตได้แล้ว แค่นี้ชีวิตเรามันก็ดีกว่าคนอื่นแล้ว เห็นไหม ชีวิตคนอื่นเขาทุกข์ยากมากกว่าเราอีก ชีวิตของเรามีสภาวะแบบนี้ เพราะอะไร เพราะมันบุญกุศล เวรกรรมใครสร้างมา ของใครของเขา เขาสร้างมาขนาดไหน เราพยายามจะให้เขาเป็นคนดีขึ้นมา ทำไมเขาขัดแย้งล่ะ เขาขัดขืนของเขาล่ะ? เขาบอกชีวิตของเขามีความสุขของเขา แต่เราไปดูชีวิตเขา ทำไมทำขึ้นมาอีกนิดเดียวมันก็จะมีความสุข แล้วทำไมไม่ทำ? ทำไมไม่ทำ?

แต่เขาคิดว่าเขาพอของเขา เขาพอด้วยตัณหาความทะยานอยาก เขาพอด้วยความวิภวตัณหา คือการปฏิเสธไง เขาไม่ได้พอตามความเป็นจริงสิ ถ้าเขาพอตามความเป็นจริง เห็นไหม ดูพระอรหันต์สมัยพุทธกาลสิ พระสีวลีมีลาภมหาศาลเลย แต่พระอรหันต์บางองค์ท่านก็อยู่ประสาของท่าน อันนี้เป็นเรื่องภายนอกนะ

เรื่องภายนอกคือว่าสิ่งที่ว่าอาหาร ดูสิ อาหารเรานี่ชอบไม่เหมือนกันใช่ไหม อาหารถ้าเราไม่ชอบนะ คนอื่นเขาชอบ เขาว่าของเขาดี รสชาติดีมาก เราไปกินของเขาแล้วเราไม่เห็นเอร็ดอร่อยกับเขาเลย แต่อาหารของเราเราเอร็ดอร่อยของเรา เขาบอกเขาไม่ชอบเลย เห็นไหม ความชอบของเราก็ความสุขของเรา อาหารที่เราชอบ เราได้กินอาหารอย่างนั้นเราก็มีความสุขของเรา การใช้ชีวิตของเราสภาวะก็มีความสุขของเรา อันนี้มันใช้ชีวิตจากภายนอก

แต่ถ้าหัวใจมันพอแล้วนะ สิ่งนี้คือเครื่องอาศัย สอุปาทิเสสนิพพาน ผู้สิ้นกิเลสแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม การดำรงชีวิตนี่ ดำรงชีวิตเพื่อให้มันสิ้นสุดสิ่งที่เหลือมา ชีวิตนี้ยังเหลืออยู่ เหมือนเราทำงานประสบความสำเร็จแล้วเกษียณอายุราชการ เกษียณแล้ว เห็นไหม พอเกษียณแล้ว ชีวิตที่เหลือจากเกษียณเราไม่ต้องทำงาน แต่เรามีบำเหน็จบำนาญ

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันเกษียณออกไปจากใจ มันไม่มีแล้วแต่ชีวิตยังมีอยู่ไง สอุปาทิเสส นิพพาน การดำรงชีวิตมันถึงไม่เป็นปัญหา แต่เราไปเป็นปัญหาการดำรงชีวิต เราเป็นปัญหาทั้งหมดเลยเพราะอะไร เพราะเราไม่ได้เกษียณ เราทำงาน เราระหกระเหิน เราต้องทำหน้าที่การงาน เราต้องรับผิดชอบชีวิต เราต้องมีหน้าที่การงาน ยุ่งไปหมดเลยเพราะอะไร?

เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจ ถ้ากิเลสในหัวใจสภาวะแบบนั้น ถ้าเราพยายามฝึกฝนของเรา เราพยายามจะยับยั้งของเรา พยายามจะเพิ่มขึ้นมา เหมือนรถ รถถ้ามันพร้อมเสมอ รถเรานี่พร้อม ทุกอย่างพร้อม รถดีมาก มันจะไปไหนมันก็ไปพร้อม เห็นไหม รถก็ยางรั่ว แบตฯ ก็ไม่มี รถอะไร.. ไปไม่ได้เลย แล้วก็จะไป เห็นไหม

อันนี้เราก็มาแต่งเติมของเรา เรามาทำบุญกุศลของเรา เรามาภาวนาของเรา นี่ปะยาง ปะยางเติมลม ให้ยางมันขึ้นมา แล้วมันจะเคลื่อนไปได้ เห็นไหม ตั้งสติ ไม่ประมาท ใช้ชีวิตให้รอบคอบ แล้วมันจะทุกข์ยากขนาดไหนให้มันทุกข์ยากไป เพราะอะไร เพราะเราสร้างชีวิตมาอย่างนี้ เราสร้างเวรกรรมมาอย่างนี้ เราสร้างของเรามาเอง

ถ้าเราทำความดี ทำความดีนะ มันมีความสุขตรงไหนรู้ไหม มีความสุขตรงที่ว่าชีวิตเราไม่หวาดระแวง ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง เราจะไปอยู่ไหนเราองอาจกล้าหาญนะ เราจะไม่ทำความผิดพลาดสิ่งใดเลย เราจะองอาจกล้าหาญ จะจนก็องอาจกล้าหาญแบบคนจน จะรวยก็รวยองอาจกล้าหาญแบบคนรวย เพราะอะไร เพราะเราทำด้วยความถูกต้อง เราทำด้วยความดีงาม ความดีงามของเรา เห็นไหม ทำดีได้ดีตรงนี้ แล้วผลมันจะให้ตอบสนองไปไง ตอบสนองไปถ้าพ้นไปข้างหน้า

นี่ ๑ บวก ๑ เป็น ๒ แต่ถ้าเราบุญกุศลนะ ๑ บวก ๑ เป็นล้าน เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันคำนวณไม่ได้ ความสุขของใจเรามันคำนวณไม่ได้ สิ่งนี้คำนวณไม่ได้ แล้วความสุขว่าความสุขใจๆ ศาสนาสอนลงที่ใจ แล้วใจมันทุกข์ร้อนอย่างนี้ทำอย่างไร?

ใจมันทุกข์ร้อนเพราะเหมือนกับร่างกายนี่ เราร้อนมาก ร่างกายเราไม่ได้พักผ่อน เราไม่ได้เข้าที่ร่ม เราไม่ได้พักใจของเรา ถ้ามันร้อนขึ้นมา เราอาบน้ำ เราเข้าที่ร่มมันก็ร่มเย็นของเรา จิตก็เหมือนกัน ที่มันร้อนอยู่นี่เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้อะไรเลย มันดีดดิ้น มันต้องการของมัน มันเรียกร้อง มันขวนขวาย มันจะหาของมัน

แต่ถ้าเราเข้าใจ เรามีธรรมเข้าไป มีความร่มเย็นเข้าไปชำระไปให้มันร่มเย็นขึ้นมา ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้ ทำความเข้าใจกับกิเลส ให้กิเลสอย่าดิ้นรนมากเกินไปนัก คนเราเกิดมามีลมหายใจเหมือนกัน มี ๒ มือ ๒ เท้าเหมือนกัน มีความคิดเหมือนกัน คนเราเกิดมาสภาวะแบบกัน ถ้ามันเสมอภาค มีความเสมอภาค เสมอภาคด้วยมนุษย์สมบัติ ถ้าเรามีมนุษย์สมบัติของเราแล้ว แล้วอริยสมบัติของเราอยู่ที่ไหน ความเป็นไปของชีวิตนี้เป็นอย่างไร มันเข้าใจสภาวะแบบนี้ ทำดีต้องได้ดี

ฉะนั้น มันจะทำดีมันต้องแสนทุกข์แสนยาก ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเป็นพระโพธิสัตว์นะ ดูสิ สละลูก สละเมีย เพราะเขามาขอ มันเป็นความเป็นไป เห็นไหม แล้วเวลาเขาขอลูกขอเมียไป เขาไม่ขอเรา ถ้าเขาขอลูกขอเมียไป เมียเรารักแสนรัก แต่เขามาขอไปมันเจ็บปวดหัวใจ

แต่ถ้าเป็นหัวใจเรา เห็นไหม กว่าจะได้มา กว่าจะสร้างสมบุญญาธิการมา นี่เราแค่สละทานนะ แล้วทำความดีเราไม่เห็นได้อะไรเลย เราให้คนอื่นเขาไป แล้วที่ได้ไปนะ ดูสิอย่างโกดังสินค้า ใครใช้มันหมด เห็นไหม ของเหลือใช้นี่มันมหาศาลเลย แต่หัวใจมีสุขไหมล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน เราสละไป ถ้าเขาขาดแคลน เขาทุกข์จนเข็ญใจ เขาได้อย่างนี้ดำรงชีวิตของเราไป อย่างนี้มันก็เป็นการดำรงชีวิตเขาไป ชีวิตมีเท่านี้แหละ ชีวิตมันก็มีแต่แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้นล่ะ แต่ความพอใจไม่พอใจ เห็นไหม ไม่มีวันเต็มหรอก แสวงหาขนาดไหน เที่ยวรอบโลกรอบจักรวาล มันก็ไม่อิ่มหรอก มันก็อยากไปของมันอย่างนั้นนะ มันหยุดไม่ได้

แต่ถ้าเรารู้จักมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา มันหยุดของมันได้ ถ้าหยุดของมันได้ ความสุขมันอยู่นี่ หัวใจของเรา ความสุขคือการพักผ่อนของใจ ความสุขคืออยู่ที่ร่างกายของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ความสุขไม่ได้การเติมปัจจัยเครื่องอาศัย การเติมสิ่งใดเข้าไปหามันเลย สิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัย อย่างที่ว่าพระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพาน แค่ดำรงชีวิตเท่านั้นเอง นี่หามาอย่างนั้น เพียงแต่กิเลสมันดิ้นของมัน มันก็ทุกข์ของมัน ทำดีต้องได้ดี ทำดีของเราประสาเรา แต่ทำดีแล้วมันดีมากดีน้อย

ผู้นำ ผู้นำเวลาแบกรับภาระสังคมก็ไปอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม ผู้ส่งเสริม ผู้อะไรมันก็สร้างสมบุญญาธิการต่างๆ กันไป นี่มันถึงว่าเราเกิดมาร่วม เวลาเกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เกิดได้แสนยาก เพราะสยัมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยตนเอง สาวก สาวกะ เรานี่มีศาสนาพร้อมอยู่แล้ว มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว เรายังทำตัวเราเองแทบไม่ได้เลย เราทำตัวเองนะ ถ้าเราทำตัวเราเองขึ้นมาได้ เห็นไหม มันหยุดได้ มันมีสติได้ การดำรงชีวิตเราได้ มันไม่ทุกข์ยากจนเกินไป

ทุกข์ยากนะ ทุกข์โดยธาตุโดยขันธ์นี่ทุกข์อันหนึ่ง ทุกข์โดยกิเลสนี่มันไม่มีสิ้นสุดนะ ทุกข์โดยธาตุโดยขันธ์คือหมายถึงว่าหน้าที่การงานไง หน้าที่การงาน การแสวงหา อาชีพ ชีวิตมันก็เป็นหน้าที่การงาน งานนะ งานมันก็ต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้นล่ะ แต่ทุกข์ของกิเลสมันไม่ใช่หน้าที่การงาน มันเป็นธรรมชาติของมัน มันไฟสุมขอน มันเผาอยู่ที่ใจ

ทุกข์มันมีหลายชนิดนะ ทุกข์จากหน้าที่การงาน ไอ้นี่ทุกข์ประจำโลก ทุกข์ของกิเลสนี่มันทุกข์ไปตามวัฏฏะ ทุกข์ของกิเลสนะ เป็นเทวดาก็ทุกข์ อินทร์ก็ทุกข์ พรหมก็ทุกข์ เป็นเทวดา อินทร์ พรหมทุกข์ทั้งนั้นล่ะเพราะอะไร เพราะเวลามันจะพลัดพราก เวลามันต้องจากกันมันทุกข์ทั้งนั้นล่ะ ทุกข์อันนี้มันประจำวัฏฏะ ทุกข์ประจำหัวใจ ทุกข์อย่างนี้ ถ้าศาสนามันสอนตรงนี้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม เป็นศาสดา เป็นผู้สอนเทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ นี่สอนได้หมดเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราว่าเขามีความสุขของเขานะ มันมีแต่ความทุกข์ เพราะมันทุกข์ประจำวัฏฏะ ถ้าศาสนาของเรา เราเข้าใจตรงนี้เพราะอะไร เพราะมันมีหัวใจ หัวใจนี่มันดีดดิ้น เวลามันทุกข์มันเข้าภาษาใจ ภาษาจิต ภาษาวิญญาณ มันเข้ากันได้หมด มันรู้ไปได้หมด มันเป็นภาษาสากล ทุกข์ร่วมจักรวาล

พอเวลามันชำระในหัวใจขึ้นมา มันมีร่างกายบีบคั้นมันถึงมีโอกาสกับเขา มันมีร่างกายและมีจิตใจ เพราะร่างกายก็ต้อง ดูสิ เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาแก่เฒ่าขึ้นมามันบีบคั้นใจไหม ใจอยากไปใจจะขาดเลย ใจมันไม่มีอายุนะ มันเหมือนวัยรุ่นเลย มันอยากจะเดิน อยากจะวิ่งไปกับเขา แต่มันไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะร่างกายมันครอบงำไว้

ถ้ามันครอบงำไว้ ร่างกายมันบีบคั้นขึ้นมา เราก็พิจารณาตรงนี้ไง พิจารณาร่างกาย พิจารณาจิตใจ เพราะจิตใจมันบังคับ เราเห็นโทษของมัน ถ้าเราเห็นโทษของมันเราก็วิปัสสนาตรงนี้ มันก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันฝึกใจขึ้นมา ใจมันก็สะอาดขึ้นมา ใจมันก็พัฒนาขึ้นมา ใจมันก็รู้จักความจริงขึ้นมา

รู้จักความจริงขึ้นมาใครไปหลอกมันล่ะ? กิเลสมันหลอกไง กิเลสมันต้องการ อยากวิ่งไปกับเขา อยากเป็นไปกับเขา นี่กิเลสมันหลอกทั้งนั้นนะ แล้วถ้าเรารู้ทันเข้ามา แล้วยอมรับสภาพความเป็นจริง เห็นไหม มันเข้าใจแล้วมันก็ปล่อยๆๆ ปล่อยมันก็ปล่อย เราก็เป็นอิสระไง เราก็ไม่ดิ้นรน ใจมันก็ไม่แกว่ง ใจมันก็ไม่ดิ้นรน มันก็ไม่บีบคั้นใจเราจนเกินไป นี่มันก็พัฒนาขึ้นมา แล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา ปล่อยวางเข้ามาบ่อยครั้งเข้ามันจะมีกำลังของเขาขึ้นมา กำลังจะเกิดขึ้นมา

จากที่เมื่อก่อนกว่าจะคิดทันนี่เป็นชั่วโมงๆ เป็นครึ่งวันค่อนวัน เห็นไหม เหลือ ๕ นาที เหลือ ๑๐ นาที จนเป็นปัจจุบัน เวลาความคิดที่มันดิ้นรนขึ้นมา พอมันจะคิดขึ้นมาเรารู้ทันมัน มันจะหยุดทันทีๆ ถึงที่สุดมันถึงปล่อยได้ ขาดได้ ออกไปจากใจ ความคิดจะเกิดอีกไม่ได้เลย จะเกิดก็เกิดในความคิดที่ดี เกิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา

นี่ปัญญาอย่างนี้ปัญญาเกิดจากหัวใจ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากการศึกษาเล่าเรียน ปัญญาเกิดจากภายนอก ปัญญาอย่างนั้นใช้ไม่ทัน เจ็บไข้ได้ป่วยต้องไปโรงพยาบาลนะ ไปหาหมอนะ หมอจะรักษาเรา เราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วรักษาใจเราเอง เจ็บไข้ได้ป่วยเราเข้าใจของเราเอง เห็นไหม มันปล่อยได้เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ไง กิเลสมันแก้กันเดี๋ยวนี้

หิว.. กินเมื่อไหร่ก็อิ่มเมื่อนั้น หิว.. วิ่งไปหาอาหารอยู่ กว่ามันจะได้กิน เมื่อไหร่มันจะได้กิน เห็นไหม ปัญญามันต่างกันอย่างนั้น หยาบละเอียดต่างกันตรงนี้ แล้วมันอยู่ที่เรา เพียงแต่เราไม่ฝึกกัน เราไม่เห็นคุณค่าของใจ เราไม่เข้าใจมันแล้วเราก็ไม่ได้ฝึกมันเลย เราปล่อยมันตามอำนาจวาสนา ปล่อยมันไปตามกิเลสให้มันมีอำนาจมากกว่าเรา

อาหารของใจเป็นอย่างนี้ไง เราถึงไปทำบุญกุศลกัน เราถึงพยายามปะรถซ่อมรถเรา ปะซ่อมหัวใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอายกับใจ ใจมันละอายตัวมันเอง ความลับไม่มีในโลก ความสะอาดความสกปรกของใจต่างกัน ความสะอาดความสกปรกของร่างกายชำระล้างมันก็สะอาด แต่ความสะอาดของใจเอาอะไรไปชำระล้างมัน ถ้าไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากไหน ในตำราก็เป็นตำรานะ ในการปฏิบัติของเราก็เป็นปฏิบัติของเรานะ ดูสิ อาหารในร้านอาหารเข้าไป เราไปหยิบของเขากินได้ไหม? แต่ถ้าเป็นอาหารของใจมันเกิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องซื้อต้องหานะ สมาธิเกิดมาจากไหน? สติเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากใจทั้งนั้นแหละ แล้วมันอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่สติเราล่ะ อยู่ที่ความสุขความทุกข์ของเรานี่ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เห็นไหม บุญกุศลละเอียดเป็นอย่างนี้ไง

บุญกุศลอันหยาบๆ เรามีวัตถุเป็นสิ่งของไปเสียสละไปทำทาน มันก็ได้บุญขึ้นมา แต่ถ้าตั้งสติขึ้นมา มันเป็นบุญของเรา อยู่ในห้องในหับ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ นั่งปัจจุบันนี้ก็ทำได้ ตั้งสติเดี๋ยวนี้ก็ทำได้ อิ่มทุกข์อยู่เดี๋ยวนี้ ใจเดี๋ยวนี้ ประโยชน์เดี๋ยวนี้

นี่เราไปตื่นกันข้างนอก ตื่นไปข้างนอกหมดเลย ตื่นไปกับโลกหมดเลย โลกเป็นเรื่องของโลกนะ แล้วพระก็วิ่งตามเขาไป นักปฏิบัติวิ่งตามเขาไป ชาวพุทธวิ่งตามเขาไป แล้วมันจะถึงที่ไหนล่ะ?

ถ้าย้อนกลับมา เราไปถึงที่เรา ในความจริงของเราคือใจของเรา หยุดตรงนี้ได้ประเสริฐที่สุด หยุดตรงนี้ได้มีความสุขที่สุด แล้วหยุดได้ในหัวใจของเรา อยู่กับเราแท้ๆ เลย ของของเราแท้ๆ เลย แต่เราทำไม่ได้ ทำไม่เป็น น่าคิดไหม?

สมบัติในกระเป๋าเรา เรายังใช้จ่ายมันได้ แต่หัวใจนี่สมบัติอันละเอียด แต่มันทำไม่ได้ เพราะเราไม่สนใจ ถ้าเราสนใจเราตั้งใจของเรา ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอน ถ้าทำไม่ได้ ศาสนาเราไม่ได้อยู่ถึงปัจจุบันนี้ อยู่ปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะมีคนพิสูจน์ มีคนตรวจสอบ มีคนทำได้ เอวัง