เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ พ.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูศาสนาขนาดนี้ เรายังเป็นขนาดนี้เลย ศาสนา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ตัวศาสนาคือตัวธรรม คือสัจธรรมไง แต่ตอนนี้มันติดไปเรื่องโลกๆ หมดแล้ว ติดไปเรื่องวัตถุ เรื่องภายนอก เรื่องความเป็นไปของโลก แล้วเราก็เป็นไปของโลกเป็นอย่างหนึ่ง นี่หลักลอย ถ้าคนไม่มีหลักนะ มันจะลอยไปตามกระแสโลก เห็นไหม โลกเป็นใหญ่

เวลาหลวงตาท่านเทศน์ ซึ้งใจมากนะ “พวกคฤหัสถ์เขาได้ ๕ ได้ ๑๐ มา เขาหาเงินหาทองมา เขาจะถวายพระนี่ เขาหาแต่ของดิบของดีมาถวายพระนะ เขาหาแต่ของดิบของดีของเขามาถวายพระเพื่อเขาต้องการปรารถนาบุญของเขา เราเป็นพระแท้ๆ เลย เราไปแข่งขันกับเขา ไปก่อสร้าง ไปทำอะไรแข่งขันกับเขา การดำรงชีวิตก็ดำรงชีวิตแบบโลก”

ถ้าดำรงชีวิตแบบพระ อารามเป็นที่อยู่ของผู้มีศีลไง ผู้มีศีลอยู่ในอาราม อารามเป็นที่อยู่ เห็นไหม ไม่ไปคลุกคลีกับเขา คือจะไม่ใช้ชีวิตแบบโลก ถ้าใช้ชีวิตแบบโลก โลกเขาใช้ชีวิตกัน เวลาพระขึ้นมา พวกเรานี่เป็นทางโลกกัน เวลาเป็นทางโลกกัน เวลาอยู่ในโลกนะ มันคุ้นเคย มันสนิทสนม มันมีโอกาส มันก็เบื่อหน่าย

แต่เวลาพระมาบวชแล้ว บวชได้นานๆ ไปมันแห้งแล้ง เห็นเขาทำกันก็อยากทำกับเขา มันความคิด ๒ ฝ่าย ไอ้พระก็อยาก เอ๊ะ.. ถ้ามีหลักใจนะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่มีหลักของใจนะ ท่านจะเห็นชีวิตอย่างนั้นนะ

ชีวิตนี่จิตหนึ่ง มันน่าสลดสังเวชมาก จิตเวลามันเกิดขึ้นมา ดูสัตว์ ดูต่างๆ มันเกิดเหมือนกัน แต่เกิดในสถานะต่างกัน เห็นไหม เพราะอะไร เพราะพลังงานนะ พลังงานมันจะแสดงตัว มันมีพลังงานของมันอยู่ตลอดเวลา จิตมันมีพลังงานไปตลอดเวลา ไม่มีเว้นวรรคนะ เวลาเกิดเวลาตายไปในภพชาติต่างๆ มันจะเกิดตายตลอดไป แม้แต่ยังไม่ได้เกิดเสวยภพ มันก็เป็นสัมภเวสี

สัมภเวสีนี่เป็นจิตวิญญาณที่ยังหาที่เกิดอีกชั้นหนึ่ง แต่ขณะที่สัมภเวสีมันก็เกิดเป็นสัมภเวสี ถ้าให้ละเอียดเข้าไปมันเกิดเป็นสัมภเวสีแล้ว เพราะมันดับจากชาติมนุษย์ไปมันยังไม่ถึงที่สุด มันเป็นสัมภเวสีไปก่อน แต่ถึงที่สุดมันเสวยภพนะ ภพต่างๆ เห็นไหม เสวยภพไป นี่จิตไม่มีเว้นวรรค จิตนะเวลาเกิดเวลาตาย

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่เห็นเรื่องอย่างนี้ ไม่เห็นเรื่องการเกิดและการตาย มันจะแก้ความสงสัยของเรื่องกิเลสได้อย่างไร มันจะแก้ความสงสัย สงสัยคือกิเลส สงสัยคือความลังเลสงสัย มันเป็นเรื่องของกิเลส ความลังเลสงสัยมันทำให้บ่อเกิดความคิดที่คิดผิดคิดถูกไป มันคิดไปเรื่อยประสาของมัน แล้วคิดไปโดยที่ไม่มีความจริงรองรับ มันก็มากดถ่วงหัวใจ

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเห็นอาการแบบนั้น เห็นเรื่องของชีวิต เห็นเรื่องการเกิดเป็นเรื่องความทุกข์อย่างยิ่ง แล้วเวลาเกิดขึ้นมาแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร? เราจะดัดแปลงตรงนี้อย่างไร? เรื่องสัมมาอาชีวะนะ ดูสิ ดูว่าสัมมาอาชีวะ เห็นไหม เวลาพระบวชขึ้นมานี่ บริขาร ๘

“ปัตตัง.. บาตรของเธอหรือ?”

“จีวรของเธอหรือ?”

“ธมกรกของเธอหรือ?”

เพราะอะไร เพราะมันการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าเราไม่มีชีวิต เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างหุ่นขี้ผึ้ง ดูอย่างรูปเคารพต่างๆ มันไม่มีชีวิต เขาปั้นไว้ มันกี่ร้อยกี่พันปีก็อยู่อย่างนั้นนะ แต่มนุษย์เรามันมีชีวิตไง เรามีชีวิตในร่างกายของเรา เรามีโอกาสแค่ ๑๐๐ ปีหรือ ๑๐๐ กว่าปี เห็นไหม หรือกี่ปีก็แล้วแต่ที่เราประพฤติปฏิบัติ ขณะที่มีลมหายใจเข้าออกอยู่นี้ นี่เวลาประพฤติปฏิบัติ เราไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งนะ จะมานั่งอยู่เฉยๆ จะให้เป็นรูปเคารพให้เขาเคารพบูชาอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก การเคารพบูชาต้องเคารพตัวเราเองก่อน

ถ้าใจมันเป็นธรรมนะ ความคิดมันเป็นอัตโนมัติ สติเป็นอัตโนมัติ ความคิดมันจะทันความคิดทั้งหมด แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ มันซ่องสุมเลย ดูสิเวลาเขาซ่องสุมกำลังกันเพื่อจะไปล้มล้างกัน เห็นไหม เขาซ่องสุมกำลังกันก่อน

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันซ่องสุมอยู่ในหัวใจของเราไง มันหมักหมมในหัวใจของเรา มันสร้างอำนาจในหัวใจของเรา แล้วมันก็ทำลายโอกาสของเรานะ ถ้าทำลายโอกาสของเรา ดูสิประกอบสัมมาอาชีวะเรื่องจากโลกภายนอก แล้วการประพฤติปฏิบัติก็ไปทำแบบโลกๆ โลกๆ คือทำเป็นพิธีกรรมเฉยๆ

แต่สัจจะความจริง เห็นไหม ถ้าเป็นสัจจะความจริงไม่ทำแบบโลกๆ ถ้ามันมีกำลังเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น มันมีอะไรก็ฝืนกิเลสไปเรื่อยๆ จะไปทำลายกำลังของกิเลสที่มันซ่องสุมอยู่ตรงนั้นให้มันจางลงๆ ถ้าจางลงมันมีโอกาสขึ้นมา ถ้าจางลง จิตมันก็สงบขึ้นมา นี่มันจะเข้าไปเผชิญชีวิตเพราะอะไร เพราะแค่จิตสงบขึ้นมันเห็นเลยนะ จิตสงบเห็นไหม

ดูสิกาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ อาฬารดาบสก็ระลึกอดีตชาติได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะบุพเพนิวาสานุสติญาณก็ระลึกอดีตชาติได้ ยังไม่บรรลุธรรมก็ยังระลึกอดีตชาติได้ แต่การระลึกอดีตชาติมันย้อนข้อมูลไง แต่เวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว เห็นไหม การระลึกอดีตชาติมันเป็นส่วนหนึ่ง เวลาเราทำลายข้อมูล เช่น เราทำความสะอาด อย่างเสื้อผ้าเราทำความสะอาด เราต้องขยี้ต้องซัก

นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปทำลายข้อมูลของใจ เราจะไปทำลายข้อมูล กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมที่ฟอกมาในหัวใจ เราจะไปทำลายตรงนั้น มันจะเข้าไปที่ข้อมูลเดิม มันจะไปเห็นข้อมูลเดิมทั้งนั้น เหมือนเราซักเสื้อผ้าหรือเราทำความสะอาดวัตถุต่างๆ เลย นี่คือเราทำความสะอาดของใจไง แล้วไอ้ข้อมูลอย่างนี้ ถ้าเป็นกรรมดี มันก็เป็นข้อมูลอันหนึ่งที่เราจะไปเกิดดี ดูสิเราซักเสื้อผ้าของเราแล้วนะ เรายังใช้น้ำหอมอย่างนั้น เราใช้สีอย่างนั้น ให้ผ้านุ่มผ้าอะไร นี่ก็เหมือนกัน กรรมดีก็ทำอย่างนั้น

ถ้ากรรมชั่วล่ะ กรรมชั่วมันมีของเหม็น เห็นไหม ผ้าสกปรก ผ้านี่มันกลิ่นสกปรก กลิ่นอะไรต่างๆ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นกรรมดีกรรมชั่ว เราถึงจุตูปปาตญาณ ก็เกิดดีเกิดชั่วไง เกิดดี บุพเพนิวาสานุสติญาณก็เกิดไปอย่างหนึ่ง จุตูปปาตญาณก็เกิดไปอีกอย่างหนึ่ง การเกิดต่างๆ เกิดดีเกิดชั่ว การเกิด เห็นไหม

นี่จิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น เราเข้าไปซักฟอก เข้าไปเห็น เวลาเราจะซักฟอกต่างๆ เราทำงานต่างๆ เราก็เห็นว่าการซักฟอก เราทำกับเรา เวลาเราจะซักฟอกจิตของเรา เห็นไหม นี่คือการกระทำ นี่คือภาคปฏิบัติ นี่ถ้าเป็นดำรงชีวิตอย่างนี้ เราไม่ดำรงชีวิตแบบโลกๆ ไง ดำรงชีวิตแบบพิธีกรรม มันหลักลอยนะ เพราะอะไร เพราะจิตนี้มันไม่เข้าไปจิ่ม

เหมือนกับอาหารเลย เราเห็นอาหารทั่วไป เห็นไหม ดูสิเราเห็นแต่อาหารในตู้ อาหารที่เขาขายตามร้านค้า เราไม่เคยกินรสร้านอาหารนั้น ผ่านไปผ่านมาก็เห็นเฉยๆ อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเราเคยกิน อาหารนั้น เราเคยทำเองเราเคยกินเอง เราเคยทำทุกอย่างเอง เราจะไม่สงสัยสิ่งใดเลย เราจะเข้าใจไปหมดว่าอาหารนั้นคืออาหารอะไร อาหารนั้นให้ประโยชน์หรือไม่ให้ประโยชน์กับร่างกาย ให้ทุกข์หรือให้ประโยชน์กับร่างกาย

การให้ทุกข์ให้โทษนี้คือดำรงชีวิต แล้วตัวจิตล่ะ ตัวที่ร่างกาย ตัวที่รับรู้นี่คงทนหรือไม่คงทน ไอ้นี่อีกส่วนหนึ่ง ถ้าจิตที่มันยังเป็นอนิจจังอยู่ เห็นไหม มันยังเวียนตายเวียนเกิด มันก็อาศัยสิ่งนั้นหล่อเลี้ยงชีวิตมันไป

ดูอารมณ์ความรู้สึก นี่ธรรมารมณ์ ถ้าเราจับธรรมารมณ์ จับอารมณ์ความรู้สึกได้ เราพิจารณาไป นี่ธรรมารมณ์มันไม่ใช่จิตนะ มันเกิดจากจิต แล้วพิจารณาจิตเข้าไป พอจิตมันสะอาดขึ้นมา เห็นไหม จิตที่มันอิ่มเต็ม มันไม่ซ่องสุมกำลังของกิเลสขึ้นมาได้ ไม่ซ่องสุมสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ มันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นสภาวะแบบนั้น มันจะเห็นคุณค่ามาก

มันเหมือนกับผู้บริหารนะ ถ้าผู้บริหารองค์กรต่างๆ เขาจะบริหารองค์กรของเขา เขาต้องมีบุคลากร ต้องมีสิ่งต่างๆ เพื่อบริหารให้องค์กรนั้นเข้มแข็งขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านเป็นผู้นำของเรา ท่านผ่านจากเรื่องการกระทำอย่างนี้ กิจจญาณในหัวใจขึ้นมา กิจจญาณนี้มันเรื่องสำคัญมาก องค์กรๆ นั้น บุคลากรถ้ามีประโยชน์ขึ้นมา บุคลากรนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจวิธีการทำงาน เข้าใจสิ่งต่างๆ ในองค์กรนั้น

นี่ก็เหมือนกัน องค์กรของกิเลส องค์กรของธรรมในหัวใจ ถ้าเราเข้าใจสิ่งสภาวะแบบนั้น มันถึงสงวนรักษานะ ธรรมและวินัยนี่สงวนรักษาเพราะอะไร เพราะมันเป็นเครื่องดำเนิน เราทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องมีอุปกรณ์ของเรา การกระทำเห็นไหม

นี่จิตเหมือนกัน ก็การกระทำของจิตมันมีอะไรขึ้นมาล่ะ มันต้องมีศีล มีสมาธิ มีสติ เห็นไหม ถ้าไม่มีศีลขึ้นมา สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา เหมือนองค์กรของเรา เรามีแต่คนพาล บุคลากรของเรานะมีแต่คนเกเร แล้วมันไม่ทำงานนะ แล้วองค์กรนั้นมันจะอยู่ได้อย่างไร?

นี่เพราะอะไร? เพราะมันไม่มีศีลไง มันไม่มีศีล มันทำแต่อำนาจความต้องการของมัน ถ้าอำนาจความต้องการของมัน มันก็ทำตามผลประโยชน์ แล้วผลประโยชน์ของใคร เพราะผลประโยชน์ขององค์กรก็ผลประโยชน์ของธรรม ถ้าผลประโยชน์ของส่วนตัวล่ะ? ผลประโยชน์ส่วนตัวก็ผลประโยชน์ของกิเลส

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าผลประโยชน์ของเรา เราว่าผลประโยชน์ของเรา มันผลประโยชน์ของกิเลส กิเลสมันก็สร้างสมไป แล้วเราไม่รู้ตัวไง ไม่รู้อะไรเลย ทำสภาวะแบบนั้นไป ทำไปเรื่อยๆ ทำไปเถอะเพราะอะไร เพราะมันหลักลอย เพราะมันไม่เข้าสัจจะความจริง ไม่รู้จักองค์กร

องค์กรคืออะไร คือธรรมไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรม เพราะธรรมอย่างนี้มีอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมนี้มีอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วธรรมก็ยังมีอยู่ เห็นไหม พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้

เราก็เหมือนกัน เรามีโอกาสเพราะเรามีใจ สิ่งที่ความสัมผัสความรู้สึกอันนี้ มันจะเข้าไปสัมผัสธรรม เวลาเราอ่าน เห็นไหม เราศึกษาธรรมด้วยสายตาของเรา คืออ่านพระไตรปิฎก มันศึกษาอายตนะ ศึกษาจากอายตนะก็เหมือนกับเรานี่ ศึกษาจากภายนอก เห็นไหม เราไม่มีการกระทำขึ้นมา มันไม่สัมผัสขึ้นมา เราไม่ได้เป็นสัจจะความจริง แล้วสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้าเราทำขึ้นมา ใจของเราสัมผัสขึ้นมา ใจเราเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเชื่อมั่นสภาวะแบบนั้น มันจะเห็นโอกาส เห็นการกระทำ

ถ้าเห็นโอกาส เห็นการกระทำจากภายใน ที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วท้อถอย คิดว่าจะสอนได้อย่างไร เพราะว่ามันเป็นความลึกลับอย่างนี้ สิ่งนั้นมันเป็นอันหนึ่ง เห็นไหม แล้วครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงธรรม เพราะจิตมันเข้าไปสัมผัส จิตมันแก้ไขของมันเอง

มันแก้ไขของมันนะ แก้ไขของมันเอง ต้องแก้ไขด้วยการกระทำของจิตนะ ไม่ใช่แก้ไขจากภายนอก มันเป็นการกระทำจากภายใน มรรคญาณมันละเอียดอย่างนั้น ถ้าเวลาจะละเอียดอย่างนั้น แล้วส่วนที่จะเข้าไปแสวงหานั้นมันเกิดจากอะไร เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญานี่ ศีลมันเกิดจากอะไร ศีลมันเกิดจากข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าไม่มีข้อวัตร ศีลมาจากไหน?

อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร เห็นไหม อาวุโส ภันเต นี่เคารพกัน ความเป็นไป ถ้าอาวุโสอยู่โดยที่ไม่มีคุณธรรมในหัวใจ อาวุโสนั้นมันก็.. เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย แต่ถ้าคุณธรรมของเขาไม่มีของเขา ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ถ้าอาวุโสด้วยแล้วมีคุณธรรมในหัวใจของเราด้วย เราเคารพทั้งธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เราเคารพคุณธรรมของพระองค์นั้นด้วย เคารพคุณธรรมของครูบาอาจารย์องค์นั้นด้วย แล้วครูบาอาจารย์องค์นั้นจะเห็นคุณค่าไง เห็นคุณค่าว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์และสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นควรและไม่ควร

ถ้าควรไม่ควรมันก็เกิดเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันก็เป็นศีลขึ้นมา ศีล สมาธิขึ้นมา ถ้าไม่มีสติ การรักษาศีลนั้นมันจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องมีสติขึ้นมา ฝึกสติขึ้นมา เห็นไหม สติขึ้นมา จิตมันก็มั่นคง จิตมันก็มีพละ พละมีกำลัง เห็นไหม จิตของเราไม่หวั่นไหวไปกับโลก

ถ้าจิตหวั่นไหวไปกับโลก เราไม่มีจุดยืนของเราเลย เราก็หวั่นไหวไปกับโลก โลกมีสภาวะใช้ชีวิตแบบโลกๆ เห็นไหม โลกเขามีอะไรก็อยากมีกับเขา โลกเขามีอะไรก็อยากสัมผัสกับเขา เราไม่เคยมีกับเขาเลย บวชมา ๕๐ ปี ๖๐ ปีนะ ไม่ได้สัมผัสอย่างนั้นเลย

สัมผัสมันมีโอกาสอะไร สัมผัสอย่างนั้นนะ ทุกคนก็สัมผัสหมด ทุกคนมันก็เป็นไปหมด ถ้ามันจะเป็นคุณงามความดี โลกเขาเป็นพระอรหันต์หมดเลย เราต้องออกไปหาเขาทำไม ทำไมเขาต้องสละของเขา แล้วเขามาบวชกับเรา เขาบวชปฏิบัติกับเราขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเรารู้เรื่องสัจจะความจริงจากภายใน

สัจจะความจริงจากภายใน สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องปัจจัย เรื่องภาวะของภพชาติ แต่เรื่องคุณธรรมมันทำให้เราไม่เกิดในภพชาติ มันสูงกว่า เห็นไหม ถ้าสิ่งนั้นเราไม่สละ เราเห็นมีคุณธรรมกับสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันยิ่งเห็นมันยิ่งสลดสังเวชนะ สิ่งใดเป็นประโยชน์กับโลก ไม่มีใครคัดค้านนะ อะไรที่เป็นประโยชน์เป็นคุณงามความดี ธรรมนี่ไม่เคยคัดค้านเลย แต่ธรรมคัดค้านสิ่งที่กิเลสมันกินก่อน อย่างเช่นอาหาร เรากินอาหารของเราขึ้นมาก็เพื่ออะไร เพื่อดำรงชีวิตใช่ไหม? เพื่อร่างกายเราใช่ไหม?

แต่ถ้ามันอยากกินเพราะด้วยความอยาก ความอยากนะกิเลสมันกินก่อน เรากินก่อนเลย เราต้องหากินอย่างพอใจปากของตัวเอง มันจะเป็นโทษเป็นภัยก็ไม่เข้าใจ มันเอาแต่พอใจความอยาก เห็นไหม นี่กิเลสมันกินก่อน แต่ถ้ากินอาหารเพื่อดำรงชีวิต มันเป็นธรรมนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่มันไม่เป็นโทษหรอก มันเป็นธรรม แต่เพราะกิเลสมันเข้าไปสวมรอยก่อน มันถึงเป็นโทษ

การดำรงชีวิตของโลกก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นธรรมนะ คนที่มีคุณธรรมของเขา เขามีเงินมีทองของเขามหาศาล ถ้าใจเขาเป็นธรรม พระโพธิสัตว์นี่ เพื่อเจือจาน เพื่อสละแก่โลก มันไม่เป็นโทษหรอก ถ้าใจมันเป็นธรรมนะ อะไรก็เป็นคุณประโยชน์ไปหมด

แต่ถ้าใจมันเป็นโทษ ใจมันเป็นกิเลส อะไรมันก็เป็นกิเลสไปหมด มันแย่งชิง มันทำลาย มันแย่งชิงทำลายเขา มันเอารัดเอาเปรียบเขา มันทำลายของเขาก่อน แล้วเพื่อเอาเปรียบของตัว แล้วมันได้มาจริงไหม? เพราะอะไร?

เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสมบัติกลาง สมบัติกลางเพื่ออะไร ให้คนดีสร้างสมคุณงามความดีขึ้นมา แต่คนไม่ดีขึ้นมา สิ่งนั้นนะสมบัติกลาง มันก็ไปเอารัดเอาเปรียบเขา มันก็เป็นโทษขึ้นมา มันก็เป็นกรรม เห็นไหม นี่กิเลสกินก่อน พอกิเลสกินก่อนมันก็ทำลายก่อนเพื่อจะเอาสมบัติอันนั้น เห็นไหม สมบัตินั้นเป็นของกลางๆ นะ สมบัตินี้เป็นประโยชน์กับโลกเขานั่นแหละ

แต่เพราะเราทำก่อน กิเลสมันกินก่อน มันทำลายก่อน กิเลสมาจากใจเราก่อน แต่ถ้ามันทำคุณธรรมก่อน ทำสมควรแก่ธรรม ทำตามหน้าที่การงานแล้วมันมาเป็นธรรม อันนี้ไม่ใช่กิเลส อันนี้เป็นธรรมทั้งหมดเลย

นี่แบ่งแยกระหว่างธรรมกับกิเลส สิ่งนี้มันออกอยู่กับโลกเขาอยู่ แล้วครูบาอาจารย์ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นโทษได้อย่างไร ไม่เป็นโทษเลย มันจะเป็นธรรมไปหมด มันจะบริหารเป็นคุณงามความดีไปหมดเลย แต่เพราะมันมีกิเลสสอดเข้าไป มันเลยมีปัญหาไปหมด นี่เพราะมันมีกิเลส ถึงต้องมาดับกิเลสก่อน ถ้าดับกิเลสก่อน ต้องมีจุดยืนของเราก่อน เราถึงย้อนกลับมาเพื่อเราก่อน กลับมาเพื่อรักษาเราก่อน นี่ถึงต้องเข้าป่าเข้าเขา ต้องถือธุดงควัตร

เวลาจะฉันอาหาร เห็นไหม พระจะฉัน นักรบต้องปฏิสังขาโยก่อน คือพยายามจะไม่ให้กิเลสมันกินก่อนไง ต้องให้ร่างกายได้สะสมอาหารตามแต่ดำรงชีวิตไว้ เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ เพื่อจะมาต่อสู้กับมัน ถ้ามันต้องการอย่างไร ดัดแปลงมันๆ กดมันไว้ ถ้าทนไม่ได้กดไว้ ขันติธรรมไปก่อน ถ้ามีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันทันขึ้นมานะ พอมันคิดขึ้นมา “อ่ะ..เอ็งคิดอีกแล้วหรือ? เอ็งคิดอีกแล้ว” มันจะคิดขึ้นมาไม่ได้เลย

พอคิดไม่ได้ เราก็แยกแยะไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดมันสะอาดบริสุทธิ์ มันเกิดไม่ได้เลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เดี๋ยวนี้เราเห็นตัวเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดอีกไม่ได้เลย” เกิดจากความคิด เกิดจากความต้องการ ดูสิ มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้นนะ ความคิดนะ มารมันอยู่หลังความคิดเรา แล้วความคิดนี่อยู่ใต้อำนาจมันหมดเลย แล้วพอธรรมๆ แล้ว ความคิดจะกระดุกกระดิก จะอะไร มันอัตโนมัติไปหมดเลย จะเข้าใจหมดเลย เห็นไหม ธรรมที่สะอาด

การดำรงชีวิตแบบนี้ การดำรงชีวิตแบบครูบาอาจารย์เรานี่ แล้วเราพยายามแสวงหาของเรา ถ้าเราเจอของเรานะ นี่ชีวิตตัวอย่าง แล้วจะเป็นความสุขของเรา เป็นความสุขนะ ความสุขเพราะอะไร ความสุขเพราะเราเป็นคนไข้แล้วเรามีคนรักษาเรา กับความทุกข์ของเรานะ เราเป็นไข้ แล้วไม่มีคนรักษาเรา

ขณะที่เจอเฉยๆ ยังไม่ได้ปฏิบัติ เราก็มีความสุขแล้ว เรามีโอกาสแล้ว แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นไป มีคนชี้นำ มีคนรักษาเรา เราเป็นไข้แล้วมีคนรักษาแล้วหายได้ เพียงแต่ว่าเราพยายามรักษาเราได้ขนาดไหน ถ้าเรารักษาของเราได้ นี่คืออำนาจวาสนา

ถึงเกิดมาแล้ว เห็นไหม ไก่ได้พลอย เกิดขึ้นมาแล้วพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่เป็นอาหารของใจ เรื่องของโลก เรื่องของการแสวงหานั้นอาหารของปาก อาหารของโลก เราเกิดมาเราพร้อมทั้ง ๒ อย่าง หรือเราปากกัดตีนถีบหรือเราจะสะดวกสบายนี้ มันอยู่ที่การกระทำของเรา การกระทำของเรานะ เราบริหารจัดการได้ เรารักษาของเราได้ เราจะเป็นไปได้

โลกนี่ที่เขามีปัญหากันเพราะความโลภอย่างเดียว ความโลภนะ ดูสิเขาตกทองกัน ถ้าคนเราไม่โลภนะ จะไม่เป็นเหยื่อของเขาเลย เพราะโลภอย่างเดียวนะ เราถึงเป็นเหยื่อของโลก เพราะกิเลสของเราเท่านั้นนะ มีสติให้ดี ตั้งใจให้ดี แล้วชีวิตเราจะไม่เจอกับอุปสรรค เอวัง