เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ต.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ความดีของใครล่ะ ถ้าความดีของเรา ดูโลกสิ พวกเราคิดเลย พระปฏิบัติต้องมีฤทธิ์มีเดช ถ้าพระมีคุณธรรมต้องเหาะเหินเดินฟ้าได้ ต้องแสดงสิ่งนั้นได้ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องฌานโลกีย์นะ สิ่งนั้นเอาความเร่าร้อนมาใส่เรานะ เพราะอะไร ดูสิ เวลาทำจิตสงบได้ กว่าเราจะแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ แล้วจะแสดงอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้

เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่แสดงได้มันต้องใช้พลังงาน แล้วพลังงานคือพลังงานของใจนี่ ถ้าทำสมาธิมันทำง่ายไหม? ทำสมาธิใครทำได้ง่าย ๆ บ้าง เวลาทำให้สมาธิคงที่นี่ยากมาก เพราะอะไร? เพราะสรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง ดูพลังงานสิ เราเติมน้ำมันเต็มถังเลย เวลาเราไปกลับมาเราเติมกี่รอบ เห็นไหม เติมน้ำมันเราเติมได้ เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นวัตถุนะ

แต่ถ้าเราพยายามจะเติมสติของเรา พยายามเติมใจของเราให้มันมั่นคง มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้ยาก เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่ว่าเราแสดงออกไปอย่างนั้นมันมีอารมณ์ความรู้สึกไง เวลาแสดงต่าง ๆ มันมีโลกธรรม สิ่งที่ยอมรับและไม่ยอมรับใช่ไหม สิ่งนี้ไม่ใช่ไม่มีนะ ครูบาอาจารย์เราทำได้ อยู่ในป่านี่ทำได้ ทดสอบได้

เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันทำให้อยากทดสอบ ถ้าทดสอบแล้วนี่ทดสอบเพื่อให้รู้แล้วเอาเก็บไว้เป็นประสบการณ์ แต่ไม่ใช่เอาสิ่งนี้มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวของใจ คุณธรรมถึงเป็นอย่างนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่น้ำจืดใสบริสุทธิ์ให้ผลกับร่างกายสิ่งที่ดี เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน นี่เรียบง่าย ความเป็นเรียบง่าย ความสงบเรียบร้อยต่าง ๆ นี่คือคุณธรรม แต่โลกไม่มองตรงนั้นไง โลกมองแต่แสง สี เสียง มองสิ่งที่สนุกครึกครื้น ที่ไหนมีมหรสพสมโภชเราจะไปที่นั่น ต้องมีการเฉลิมฉลองกัน เฉลิมฉลองนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมกับพระภิกษุไง ในสโมสรสันนิบาตนั้นทุกดวงใจว้าเหว่ แล้วมนุษย์เรานี่มีแต่ความทุกข์ในหัวใจ ทำไมประมาทชีวิตกันขนาดนั้น แล้วเราทำบุญกันเพื่ออะไรล่ะ?

เราก็ทำบุญเพื่ออำนาจวาสนาไง เพื่อบารมีไง สิ่งต่าง ๆ เพื่อต้นทุนของเรา นี่เรื่องของทาน เรื่องของอามิส ถ้าเป็นอามิสนี่เพราะอะไร? เพราะเราเริ่มต้น เริ่มต้นเราต้องแสวงหาของเราก่อน ถ้าเราไม่ขยับเลยเราจะไม่ได้อะไรเลยนะ เขาบอกว่าคุณธรรมนี่มันได้มาจากไหน ก็ได้มาจากเราประพฤติปฏิบัติ เราแสวงหาของเรานะ การเคลื่อนไหวอยู่นี่เป็นการส่งออกทั้งหมดเลย ต้องหยุดนิ่ง การหยุดนิ่งมันเป็นสิ่งที่ละเอียดไง

ดูสิ ดูความฟุ้งซ่านของเรา เวลาความคิดของเรา เราจะสงบเราทำได้อย่างไร เราต้องมีสตินะ มีสติสัมปชัญญะ ไปทำความสงบนิ่งเข้ามา พอสงบนิ่งเข้ามาก็ไปติดความสงบอันนั้น พอติดความสงบอันนั้นนึกว่าอันนี้เป็นคุณธรรม ...ไม่ใช่หรอก อันนี้มันเป็นการปรับพื้นถิ่น ปรับพื้นที่ ดูสิ โลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก โลกียปัญญา ปัญญาทางโลก ปัญญาที่มันพลิกไป มันพลิกไปจากตรงไหน? พลิกไปจากจิตที่มันเป็นพื้นฐานนี่ไง จิตที่มันเป็นบริสุทธิ์ จิตที่เราไม่เป็นพื้นฐาน จิตที่เราไม่บริสุทธิ์ของเรา

ดูสิ ศีล มันมีศีลเพื่ออะไร? สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ถ้ามีศีล เห็นไหม ศีลเพื่อความสุขของเรา ศีลเพื่อโภคทรัพย์ของเรา โภคทรัพย์มาจากไหนล่ะ โภคทรัพย์เราไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไง ถ้าเราไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ไปตามกิเลสมันเหลือใช้อยู่แล้ว โลกนี้คุณภาพของชีวิตต้องมีการพักผ่อน ต้องมีการอะไร การพักผ่อน พักผ่อนที่ไหน? การพักผ่อนเราก็จะไปใช้จ่ายเงินทอง

แต่การพักผ่อนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่นั่งสมาธิอยู่เฉย ๆ มีความสงบไง ความสุขเกิดจากใจ “ความสุขเท่ากับความสงบนี้ไม่มี” แล้วเราไปแสวงหากันสิ่งที่ว่าการพักผ่อนของโลกนี่มันเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปอีก ถ้าคิดการสิ่งใดขึ้นมาก็เป็นการฟุ่มเฟือยกับชีวิต ฟุ่มเฟือยกับพลังงาน ฟุ่มเฟือยกับความเป็นไปของเรา

สีเลนะ สุคติง ยันติ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานี่ สีเลนะ โภคะสัมปะทา โภคทรัพย์มันจะเกิดมหาศาลเลย เกิดจากเราไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนี่ ถ้าเราแสวงหามาขนาดไหน ไม่ใช้ฟุ่มเฟือยเพราะอะไร? เพราะปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ชีวิตเรานี่แค่ปัจจัย ๔ เราอาศัยได้แล้ว แต่ทีนี้เราไปเอาสิ่งที่เกินความจำเป็นกับชีวิตใช่ไหม เราก็เป็นขี้ข้ามัน แล้วเราก็แสวงหามาเพื่อมันนะ เพื่อมันเพื่อจะอาศัยเรา

เราอาศัยเขาเพื่อมีความสุขขึ้นมาว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข ๆ เห็นไหม ที่เรามีการพักผ่อน ๆ น่ะ ความสุขเท่ากับความสงบไม่มี ถ้าจิตมันมีความสงบของมัน จิตมันมีคุณธรรมของมันนะ มันจะมีความสุขของมัน โภคทรัพย์ประเสริฐขึ้นมา นี่เป็นเรื่องของโลก ๆ เลย

แต่เป็นเรื่องของคุณธรรมล่ะ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันเกิดปัญญานี่ โลกุตตรปัญญา ปัญญามันใคร่ครวญเสร็จแล้วน่ะ มันอิ่มพอไง ถ้าอิ่มพอนะ ดูสิ เรานี่นะ เราอิ่ม เรามีความสุขของเรา สิ่งที่ไม่ใช่สมบัติของเรา มันจะเป็นของเราไหม เราอยู่ในบ้านของเราโดยที่ว่ามีเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างพร้อมทั้งหมดเลย แล้วเราเก็บไว้เรียบร้อยหมดแล้วนี่ คนอื่นจะเอามาเพิ่มให้เรา มันเป็นภาระให้เราเก็บไหม ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่มีคุณค่านะ แต่เราไม่มีที่จะเก็บ

เพราะอะไร? เพราะในบ้านเรานี่ในลิ้นชัก ในทุกอย่างในที่เก็บสมบัติของเรานี่เต็มไปหมดเลย ทุกอย่างพอหมดแล้ว สิ่งอื่นที่เป็นสมบัติข้างนอกมันเอามาทำไมล่ะ เห็นไหม ถ้าคุณธรรมในหัวใจน่ะมันพออย่างนี้ไง ถ้ามันพออย่างนี้นี่ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ถ้ามันเป็นโภคทรัพย์ข้างนอก เราเป็นปุถุชน เราก็แสวงหาสิ่งนั้น เพราะเราเก็บไว้ใช้สอย

แต่ถ้าเป็นคุณธรรมในหัวใจ ถ้าจิตมันอิ่มพอแล้วสิ่งใด ๆ ทุกอย่างมันเป็นของเกินทั้งหมด มันเป็นของเป็นภาระทั้งหมด ไม่มีใครต้องการสิ่งนั้นให้เป็นภาระ ภาระการกระทำของเรา ภาระในชีวิตนี้ก็เป็นภาระมหาศาลแล้ว เห็นไหม เราเกิดมานี่อะไรพาเกิด? อวิชชาพาเกิดนะ อวิชชาคือความไม่รู้ของจิตมันพาเกิด เกิดมาแล้วเกิดมาในชีวิตนี้เราก็มั่งมีศรีสุขของเรา อันนี้มันเป็นเรื่องของดำรงชีวิตนะ

ถ้าเราสร้างอำนาจวาสนามา เรามีบารมีมา เราทำอะไรประสบความสำเร็จ อันนี้มันเป็นสมบัติของเรา เราสร้างสมบัติมาเราถึงได้เกิดมาในสถานะอย่างนี้ ทำประกอบสิ่งใดมีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม คนเราอยู่ในชนชั้นเดียวกัน ในความเสมอกัน เราประกอบสัมมาอาชีวะเหมือนกัน รับเงินรับทองเท่ากัน ทำไมบางคนเดือดร้อน ทำไมบางคนมีความสุขล่ะ เพราะอะไร? เพราะใจเขาไม่พอไง เพราะกิเลสเขากองใหญ่กว่าเราไง

แต่ถ้าเราสร้างบุญญาธิการมา เรามีบารมีมา ใจมันอิ่มพอของมัน ใจมันมีความสุขอยู่แล้ว ดูสิ ในปัจจุบันนี้ถ้าหัวใจเราร่มเย็น ได้อะไรมาสิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าใจเราร้อน ในใจเราร้อนมหาศาลเลย เราได้สมบัติขนาดไหนมามันไม่พอ มันถมไม่เต็ม นี่เขาเร่าร้อนตรงนี้ไง เร่าร้อนตรงนี้เพราะอะไร? เพราะเขาไม่ได้สร้างบุญญาธิการมา เขาไม่ได้ถมใจเขามาให้เสมอ

ถ้าถมใจให้มันเสมอมา นี่คืออำนาจวาสนาที่เราสร้างบุญกุศลกันอยู่นี่ ที่เราทำบุญ ๆ กันอยู่นี่ก็เพื่ออะไร? เพราะเป็นอามิสทาน อามิสเห็นไหม ถม...ถมทะเล ถมตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้าถมตัณหาความทะยานอยาก เราเข้าใจนี่เราได้สละออกไป เรามีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา

แล้วถ้ามันปรับใจขึ้นมา ถ้ามันจะเกิดคุณธรรมขึ้นในหัวใจ มันต้องใช้ปัญญาของเขา ต้องมีกิจจญาณ กิจจญาณคือการก้าวเดินออกไปจากใจ ใจมันจะมีพัฒนาการของมัน ถ้ามีพัฒนาการ คำว่า “พัฒนาการ” พัฒนาการจะเป็นเองเหรอ เหมือนต้นไม้เหรอ ต้นไม้พอปลูกแล้วมันจะโตของมัน เราลืมรดน้ำขึ้นไป มันก็ได้น้ำจากธรรมชาติ ได้น้ำจากดินมันก็โตขึ้นมาของมันได้

แต่พัฒนาการของจิตนะถ้าไม่มีปัญญาโลกุตตรปัญญามาใคร่ครวญมัน มันพัฒนาการของมัน มันเป็นอนิจจัง การพัฒนาการของธรรมชาติ การพัฒนาการของจิตนี่ อย่างความสงบของใจมันก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา สรรพสิ่งโลกนี้มันเป็นอนิจจังทั้งหมด ความเป็นอนิจจังมันก็เคลื่อนไหวไป มันจะเกิดเป็นหลักการไม่ได้ มันจะเกิดพัฒนาการเป็นสิ่งที่ว่าอกุปปธรรม คือสิ่งที่ไม่แปรไปในธรรมชาติไม่ได้

ความคิดความเจริญของใจมันอยู่ในกฎของธรรมชาติ คือมันหมุนเป็นอนิจจังไป เวียนไปในวัฏฏะ นี่โลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสมันเวียนไป เราถึงต้องทำให้มันอิ่มเต็มของมัน ให้มันมีจุดยืนของมัน แล้วจุดยืนของเขาแล้วนี่เราถึงย้อนกลับมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำให้ออกวิปัสสนา วิปัสสนามันจะเกิดโลกุตตรปัญญาไปใคร่ครวญในหัวใจ

สิ่งต่าง ๆ นี่ถ้าถึงที่สุดในการวิปัสสนาไประหว่างก้าวเดินนี่จะเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตา ความเป็นไป สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา ดูสิ แสงแดดเป็นอนัตตาไหม? แสงแดดมันน่ะเรามีแผงโซลาร์เซลล์ไปเก็บแสงแดดไว้ใช้ สิ่งที่เป็นอนัตตาคือธรรมชาติมันแปรปรวนตลอดอย่างนี้ เราไปเอาธรรมชาตินั้นมาใช้ประโยชน์อีกชั้นหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ความแปรปรวนของจิตมันมีโดยธรรมชาติ แต่เราไม่มีปัญญาเข้าไปใคร่ครวญมัน ปัญญาของเรามันไม่มี พอมันไม่มีเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เราไม่มีแผงโซลาร์เซลล์ เราไม่สามารถเก็บแสงไว้ใช้ประโยชน์ แสงมันมีอยู่แล้ว ธรรมชาติมีอยู่แล้ว ชีวิตของเราก็มีอยู่แล้ว นี่สัจธรรมมันมีอยู่แล้ว อนัตตาความเป็นไปมันมีอยู่แล้ว ธรรมชาติมีอยู่แล้ว แต่เราใช้ไม่เป็นไง ถึงบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติโน่น เราก็กลิ้งไปกับธรรมชาติ เราก็หมุนไปกับธรรมชาติไง

แต่ถ้าปัญญาเรามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ใครไปรู้ธรรมชาติ ใครใคร่ครวญเห็นความเป็นไปของกฎการเปลี่ยนแปลง เห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นไปแล้วมันสลดสังเวช โอ...ชีวิตเป็นอย่างนี้นะ แม้แต่ความคิดเราก็เชื่อไม่ได้ แม้แต่สิ่งต่าง ๆ เชื่ออะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นอดีตอนาคตไง ปัจจุบันนี้คิดอยู่ พอมันเคลื่อนไปก็เป็นอดีตอนาคตแล้ว อดีตอนาคตมันเจ็บปวด

ถ้ามันเห็นความเป็นปัจจุบัน แล้วมันใคร่ครวญในปัจจุบัน นี่โลกุตตรธรรมมันเกิดอย่างนี้ ถ้าโลกุตตรธรรมเกิดอย่างนี้ มันเหนือธรรมชาติไง นี่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ใช่...ธรรมะเป็นธรรมชาติของเด็ก ๆ ธรรมะเด็ก ๆ น่ะ ถ้ารู้กฎธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ พวกเรานี่มีปัญญา สิ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติเราจะไม่ตื่นเต้นเลย เพราะเราเข้าใจกฎของมันหมดเลย เพราะเราเข้าใจหมด

นี่ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น สภาวะเป็นไป มันก็ไม่เดือดร้อน คนโบราณเขากราบภูเขา เขากราบไฟกัน ฝนตกฟ้าร้องนี่คนโบราณไม่เข้าใจ สมัยโบราณ ฟ้าแลบต่าง ๆ ไม่เข้าใจ พอเราเข้าใจกฎธรรมชาติเราเข้าใจหมด นี่ไง ธรรมะเด็ก ๆ แล้วเข้าใจแล้วได้อะไร? เข้าใจแล้วแก้ทุกข์ได้ไหม? เข้าใจแล้วปลดชีวิตออกมาจากได้ไหม? เราปลดชีวิตของเราออกมาจากวัฏฏะไม่ได้ เราปลดชีวิตของเราออกมาจากกฎของกิเลสที่มันหมุนไปไม่ได้

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดกว่านั้นอีกนะ สุดยอดเพราะอะไร? เพราะมันเกิดจากใจเรา ทุกข์เกิดที่ไหน? ตัณหาความทะยานอยากเกิดที่ไหน? เกิดที่จิตทั้งหมดเลย เกิดจากหัวใจของเราทั้งหมดเลย เกิดจากภวาสวะฐานของจิตนี่ จิตความรู้สึกอันนี้มันมีความรู้สึกอันนี้อยู่ กิเลสมันเกิดที่นี่ มันเกิดที่นี่แล้วเราก็ไปรู้ธรรมชาติข้างนอก ธรรมชาติมันก็แปรปรวน เราเห็นธรรมชาติมันแปรเปลี่ยนไปเราก็ไม่ทุกข์ ก็ไม่ทุกข์สิเพราะมันมีปัญญา ปัญญาโลกียปัญญา

โลกุตตรปัญญาอยู่ไหน? โลกุตตรปัญญาที่เราใคร่ครวญของเราขึ้นมานี่มันเกิดขึ้นมาจากไหน ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตมันไม่เป็นธรรม วิชาการ เห็นไหม พระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่! เป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับทฤษฎี เหมือนวิชาการนี่เราก็รู้หมด แต่เราไม่เคยทดสอบเลย เราไม่เคยทดลองวิทยาศาสตร์เลย เราไม่เคยประสบการณ์ทดสอบว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะทำอย่างนั้นได้ไหม ถ้าเราทำของเราขึ้นมาได้ในหัวใจของเรา นี่เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่เราทำขึ้นมาได้ เราจะมีความสุขของเรามาก เราทำของเราได้มาก แล้วขั้นตอนวิธีการที่มันมีอุปสรรคต่าง ๆ เราจะรู้ไปหมดเลย

จิตก็เหมือนกัน เป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะพระไตรปิฎกน่ะ แต่ถ้าย้อนกลับมาใจเราเวลาเกิดขึ้นมานี่จะชื่อเหมือนไม่เหมือนไม่สำคัญ สำคัญว่าเรารู้จริงหรือเปล่า แล้วรู้จริงแล้วมันได้ชำระล้าง ได้ปลดถ่วงความกดดันของใจบ้างหรือเปล่า ถ้าในหัวใจมันได้ปลดถ่วงความกดดันของมัน มันจะปล่อยวางขึ้นมา จะมีความสุข “สุขอื่นใดเท่ากับความสงบไม่มี”

ความสงบจากสัมมาสมาธิคือสมถะอันหนึ่ง ความสงบของใจที่มันไม่มีอะไรแหย่ในหัวใจเลย ในหัวใจที่ไม่มีอะไรยุแหย่ ไม่มีอะไรคอยกระตุ้นให้มันแสดงตัวออกมา ความสงบที่กดไว้ สมถะนี่มันกดไว้เฉย ๆ คือว่าพลังของสมถะมันกดให้จิตมันสงบลง มันหินทับหญ้าไว้ แต่ปัญญาในสมาธิเป็นฐาน ถ้าปัญญาไม่มีสมาธิโดยฐาน ปัญญาที่เกิดจากข้อมูลนี่มันมีตัวตน มันมีตัณหาความทะยานอยากของเราเป็นตัวเสริม มันสะอาดบริสุทธิ์ไม่ได้ สิ่งที่เครื่องมือที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ที่ติดเชื้อเข้าไปผ่าตัดมันจะทำให้เชื้อนี่ขยายกว้างเข้าไปอีก

แต่ถ้าเครื่องมือนั่นสะอาดด้วยสัมมาสมาธิ การผ่าตัดนั้น การใคร่ครวญนั้น การเข้าไปชำระสิ่งที่ยุแหย่ในหัวใจนั้นมันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากอย่างนี้ ปัญญาที่เกิดมาจากใจนี่ สีเลนะ สุคติง ยันติ ถ้าเรามีศีลจะมีความสุขมาก สีเลนะ โภคะสัมปะทา โภคทรัพย์! โภคทรัพย์ของโลก โภคทรัพย์จากแก้ว แหวน เงิน ทอง โภคทรัพย์ของคุณธรรมเกิดจากปัญญาโลกุตตรปัญญานี่ มันเป็นปัญญาของเรา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นกุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันเป็นกุศล

กุศลเกิดจากใจ กุศลเกิดจากหัวใจ กุศลเกิดจากปัญญาภายใน ปัญญาภายในได้เข้าไปชำระล้างไง ได้เข้าไปขุด ได้เข้าไปทำลาย ทำลายตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา มันเห็นโดยความมหัศจรรย์ ธรรมจักรมันหมุน เวลาปัญญามันหมุน จักรมันหมุนเข้าไปในหัวใจ มันจะเห็นความเป็นไปของจิต มีการเปลี่ยนแปลงของมัน มันชำระล้างของมัน เราถึงทำสร้างบุญกุศลไง

บุญกุศลเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? บุญกุศลเกิดเพราะว่าความศรัทธา เราศรัทธาในศาสนา ในศาสนามีแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ที่ชำระล้างในหัวใจของเรา เราถึงมีส่วนร่วม ท่านยังมีชีวิตอยู่นะ เราได้มีส่วนร่วมเพราะเราได้ถวายกฐิน กฐินนี้เข้าไปถ้ามีกิจกรรม ได้ตัด ได้เนา ได้เย็บ ได้ย้อม ย้อมแล้วได้อธิษฐานขึ้นมา นี่เราเข้าไปถึงเนื้อหาสาระของธรรมและวินัย

ธรรมและวินัย นี่ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติธรรมวินัย ครูบาอาจารย์ที่เป็นแก้วสารพัดนึกของเรานี่ แล้วกิจกรรมอันนี้เข้าไปมันยกเว้นเลย ยกเว้นถึงว่าอานิสงส์ของกฐินน่ะ มันมีบุญกุศลขึ้นมา เห็นไหม เราสร้างสมนี่โภคทรัพย์ ๆ ใครจะรู้ไม่รู้เรื่องของเขา ความเป็นไป คนที่ฉลาดเขาจะหาสิ่งที่ดี ๆ

ดูสิ เวลาคนที่เขาไปพักผ่อนกัน ถ้าเราเป็นคนที่เลือกชัยภูมิเลือกสถานที่ดี มันเป็นที่สงบสงัด เราไปพักผ่อนจริง ๆ ถ้าคนเขาไปพักผ่อนกัน เขาไปที่ที่มหรสพต่าง ๆ เห็นไหม เสียงดังขึ้นมาจนแก้วหูแทบแตก เขาบอกมีความสุขของเขา มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคล จะไปพักผ่อนที่ไหน พักผ่อนของใคร

แล้วเราพักผ่อนของเรานี่ เราทำคุณธรรมที่ไหน เราจะทำบุญกุศลที่ไหน แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา เขาไปพักผ่อนกันข้างนอก เราก็พักผ่อนของเราในกุฏิ ในวิหาร ในโคนไม้ ในที่สงบสงัด แล้วเราก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา เราชำระในหัวใจของเรา อันนี้เป็นคุณธรรมของเรา นี่โภคทรัพย์ สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา โภคทรัพย์ภายนอก โภคทรัพย์ภายใน จะแสวงหาอย่างใด

ดูสิ ภิกษุออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพโดยชอบ โภคทรัพย์นี้ก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โภคทรัพย์ในหัวใจ หัวใจมีความร่มเย็นเป็นสุขไหม ถ้าหัวใจมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ อยู่โคนไม้ก็สุข อยู่ที่ไหนก็สุข ถ้าหัวใจไม่สุข อยู่ที่ไหนก็ไม่สุข อยู่บนดาดฟ้า อยู่บนดาวอังคารก็ไม่สุข เพราะอะไร? เพราะหัวใจมันเร่าร้อน ดาวอังคารเราต้องมียานอวกาศไปนะ

แต่ถ้าในหัวใจมันสงบขึ้นมาจักรวาลนี่ก็สู้ใจนี้ไม่ได้หรอก ใจนี้กว้างขวางมาก เพราะวัฏฏะ ใจนี้เคยเป็นเคยตายหมด แล้วพอเข้าไปถึงดับที่วัฏฏะนี้แล้วนะ จักรวาลนี้แคบเกินไป เพราะอะไร? เพราะรูปภพ อรูปภพ วัฏฏะมันกว้างกว่านั้นมหาศาลเลย แล้วจิตนี้มันเคยสัมผัสมาหมด อย่างเช่น เราเคยไปยุโรป เราเคยไปที่ไหน เราคิดเดี๋ยวนี้ เราก็คิดเดี๋ยวนี้หมดเลย

แต่ใจมันเคยไปมาแล้วในวัฏฏะ มันไปมากกว่านั้นอีก มันไปในมิติ มันย้อนกลับอดีตอนาคตมันไปได้หมด แล้วพอมันว่างหมด มันชำระล้างได้หมด มันเข้าใจได้หมด ดูสิ ใจดวงนี้มันจะมีคุณค่าขนาดไหน นี่โภคะสัมปะทา เอวัง