เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาบอกการปฏิบัติไปของเขาจะเป็นสากล เป็นสากลเพราะว่าเวลาปฏิบัติไป พวกทางยุโรปเขาปฏิบัติแล้วเขาจะเห็นดวงแก้วเหมือนกันหมด เราบอกว่า “เป็นไปไม่ได้เลย” ความว่าเป็นสากลนั่นนะ สากลคือจิตสงบเป็นสากล แต่นิมิตไม่เป็นสากลหรอก เพราะคำว่า “นิมิต” ใครเห็นก็ได้ ใครไม่เห็นก็ได้ใช่ไหม

อย่างการประพฤติปฏิบัติไป อย่างเช่นอาหาร ดูสิ อาหารแต่ละภาคก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แล้วอาหารในโลกนี้ไม่เหมือนกัน อาหารนี่จะว่าถ้าเป็นสากลนะ แบบว่าอาหารขยะต้องเป็นสากลตลอดไป ที่อื่นต่อต้าน เห็นไหม ถ้าอาหารขยะทั่วไป มันจะไปอยู่บนดอยอินทนนท์ได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก อาหารของเขาพื้นถิ่นของเขา อาหารของใครของมัน

กลับมาจริตนิสัย จิตของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน สิ่งที่สร้างมาไม่เหมือนกัน จะให้เป็นผลสำเร็จรูปอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ คำว่า “สากล” สากลแบบว่าต้องเป็นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ เป็นสากลเพราะอะไร

เพราะพระสารีบุตรก็ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม “เหมือนเรา เหมือนเรา” แล้วเวลาพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ก็ตรัสรู้อันเดียวกัน สากลคือจิตที่สิ้นกิเลสต่างหากล่ะ ความเป็นสากลคือความเสมอภาคของจิตที่สิ้นจากกิเลส แต่ไม่ได้สากลโดยว่าจิตสงบอย่างนั้น เพราะจิตสงบเป็นสากลนะ จิตสงบเป็นสากล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอกว่าฌานเป็นอจินไตยหรอก ฌานนี่เป็นอจินไตย คือไม่มีขอบเขต ความสงบของจิตไม่มีขอบเขตนะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นอจินไตย เพราะมันจริตนิสัยของคน

ดูสิ แม้แต่ว่าเจโตวิมุตติก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ในหยาบก็มีหยาบ กลาง ละเอียด ในกลางก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียดอีก เห็นไหม มันกว้างขวางมาก สิ่งที่กว้างขวางมากเพราะจริตนิสัย ความเป็นจริตนิสัยต่างๆ กันมันจะบอกเป็นสูตรสำเร็จไม่ได้

มันเหมือนกับพระกรรมฐานเรา เห็นไหม ต้องบอกไปตามแต่จริตของเขา เขาประพฤติปฏิบัติมา เขาติดข้องอย่างไร อย่างเช่นเด็ก ดูสิ ดูเด็กสมัยโบราณ เราเลี้ยงเด็กด้วยกล้วยกับข้าวบด เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราเลี้ยงด้วยอะไร

นี่ความเปลี่ยนแปลงไปของโลก โลกมันเปลี่ยนแปลงไป ความสะดวกสบายมันเป็นของโลก เห็นไหม เราไปตื่นเต้นกันว่านี่เป็นความเจริญ เป็นความที่ว่าเราสะดวกสบายขึ้นมา แต่เราไม่ได้คิดเลยว่า ดูสิ โรคอ้วนเป็นโรคที่ว่าเป็นภาระของสังคมในปัจจุบันนี้ นี่เพราะอะไร เพราะเราคิดกันว่าสิ่งที่เป็นความสุขคือการปรนเปรอร่างกายไง การปรนเปรอของสังคมโลกไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านเรื่องนี้หมดแล้ว เห็นไหม ถึงว่า “ความสุขเท่ากับความสงบของใจไม่มี” ความสุขในโลกนี้หาไปเถิดหาไป หาไปขนาดไหนก็ไม่มี ความสงบของใจนี่เป็นความสุขอย่างยิ่ง แล้วความสงบของใจ เอาเชื้อไปเติมมัน เห็นไหม เหมือนคนไข้เอาของแสลงไปให้มันกิน มันจะหายได้ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของแสลงกิเลสไง กิเลสมันของแสลง เว้นไว้แต่ผู้มีบารมีธรรม เห็นไหม ผู้มีบารมีธรรมมันมาเอง สิ่งที่มาเองไม่ได้ขวนขวาย มันมาเอง เพราะคติของชาวพุทธเราเป็นอย่างนี้ไง คติชาวพุทธว่าผู้มีบารมี เห็นไหม พระจักรพรรดิมีขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว นี่ก็เหมือนกัน ไปสร้างกันข้างนอก ไปสร้างภาพกันไง สิ่งที่สร้างภาพอย่างนั้นมันเป็นการสร้างภาพจากภายนอก มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรื่องของโลก

เรื่องของโลกกับเรื่องของธรรม คำว่า “เรื่องของโลก” โลกคือการเสกสรรปั้นยอกัน เรื่องของโลกคือโลกธรรม ๘ เห็นไหม นี่เรื่องของโลก คำว่า “โลก” คือโลกธรรม คำว่า “ธรรมเหนือโลก” ถ้าธรรมเหนือโลกมันอิ่มพอที่ใจ ใจมันได้อิ่มพออยู่แล้ว นี่ความเป็นสากล ถ้าเป็นสากล ความสงบนี่เป็นสากล สิ่งที่เป็นสากล จิตเป็นสากล เพราะทุกคนมีความรู้สึก เห็นไหม จิตเป็นสากล

แต่สากลอย่างนี้มันสากลแบบหินทับหญ้า ถ้าหินทับหญ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะเป็นปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เขาบอกว่าเป็นอายตนะนิพพาน…ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่เป็นนิพพานได้หรือ มันเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ ตาของคนนี่เป็นนิพพานได้อย่างไร ตาของคนไม่เป็นนิพพานหรอก อายตนะเป็นนิพพานไม่ได้!

แต่เป็นโวหารการสอนไง การสอนแบบ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พูดกับเด็กๆ ไง นิพพานคืออะไร ก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรมทั้งหมด ใจก็เป็นธรรม ร่างกายก็เป็นธรรม เห็นไหม แล้วนิพพานมันอยู่ที่ไหน?

นิพพานก็อยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นนิพพาน หูขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นนิพพาน เพราะจิตมันสิ้นกิเลส สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สิ้นกิเลสทั้งหมดเลย

เวลาท่านนิพพานไป คือขันธนิพพาน คือดับขันธ์ เวลาขันธ์ขาดออกไป นั่นสุดสมมุติเลย นี่เพียงแต่เป็นโวหารการสอน เวลาการสอนว่านิพพานคืออะไร เพราะตัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว แล้วจิตอยู่ที่ไหน เป็นคำสอนเด็กๆ ไง แล้วก็เอาสิ่งที่คำสอนเด็กๆ นี้มาเป็นเป้าหมายกันว่าอายตนะนิพพาน

เป็นไปไม่ได้! ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นนิพพานไม่ได้! เพราะมันเป็นสสาร มันเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ มันเป็นนิพพานได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!

แต่หัวใจต่างหากเป็นนิพพาน เพียงแต่ว่าเวลาสิ้นกิเลสแล้วยังมีชีวิตอยู่ อันนี้เป็นขันธมาร อย่างพวกเรานี่ขันธมาร ดูสิเจ็บปวด เจ็บร่างกาย ความเป็นไปนี่ เห็นไหม ขันธมาร ขันธ์คือความรู้สึก เวทนา เห็นไหม พอใจไม่พอใจ แต่เวลาดูหลวงตาสิ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ เห็นไหม นี่เข่าเจ็บ “เข่าเอ็งก็เจ็บของเอ็งไปสิ เราจะเทศน์ว่ะ” เห็นไหม มันไม่เข้าไปกระเทือนหัวใจไง สิ่งนี้มันไม่เข้าไปถึงหัวใจ

ขันธ์นี้เป็นภาระ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี่เป็นสิ่งที่เป็นภาระ เป็นเรื่องเรา เรื่องเราเหมือนกับเราใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าเราใส่เฉยๆ เราก็ถอดเปลี่ยนได้ไหม แต่ถ้ามันเสื้อผ้าเป็นของเรา เรายึดเสื้อผ้าของเรานี่ เราจะนั่งก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะยับ เราจะทำอะไรไม่ได้เลย นี่ขันธ์ที่เป็นมาร

ขันธ์ที่เป็นมารก็เหมือนอายตนะกับขันธ์นะ มันก็ใกล้เคียงกัน เพราะว่าขันธ์ ๕ นี่เป็นความรู้สึก เห็นไหม รูป ว่าร่างกายนี้แหละเป็น แล้วมันว่าเป็นนิพพาน นี่ความเป็นไป มันเป็นโวหารนะ คำสอนนี่ถ้าพูดถึง เขาบอกว่าสิ่งใดเวลาคำสอนนี่มันจะเคลื่อนไป

เคลื่อนไป ถ้าเป็นตรรกะมันจะเคลื่อนไปตลอดไป พอเราไปตรรกะของเราลึกเข้าไปนะ สิ่งที่เราพูดมา สิ่งนี้ทำไมมันหยาบเกินไป เห็นไหม แต่ถ้าเป็นความจริงนะ หลักอันเดียวกัน สิ่งที่เหมือนกันคือสิ้นกิเลสเหมือนกัน ขณะสิ้นกิเลสเหมือนกัน การแสดงออกมาคือการเปรียบเทียบความรู้สึก เปรียบเทียบอารมณ์อันนั้นไง

ความรู้สึก เห็นไหม ความรู้สึกที่มีกิเลสก็เป็นอันหนึ่ง ความรู้สึกที่ไม่มีกิเลสก็เป็นอันหนึ่ง ความรู้สึก เห็นไหม แต่ความรู้สึกที่กิเลสสงบตัวลงก็เป็นอันหนึ่ง สิ่งที่เป็นอันหนึ่ง ขณะที่เราเข้าไปประสบอย่างนั้น เราจะพลิกแพลงอย่างไร เราจะก้าวเดินของเราขึ้นไปอย่างไร เราจะก้าวเดินนะ เวลาก้าวเดิน เราก้าวเดินออกไป เช่น เราจะไปไหนแล้วแต่ เราต้องก้าวเดินออกไปเป็นระยะทางขึ้นมา แต่การก้าวเดินของธรรมทวนกระแส การก้าวเดินออกไปนั้นส่งออก แต่การก้าวเดินเข้ามาในหัวใจ แล้วมันก้าวเดินเข้ามาในหัวใจนี่ หัวใจอยู่กับเรานี่ก้าวเดินเข้ามาได้อย่างไร ถ้าจิตมันสงบเข้ามาได้อย่างไร

เวลาความคิดออกไปสิ เราคิดถึงบ้านเดี๋ยวนี้ เห็นไหม ส่งออกไปที่บ้านแล้ว แล้วถ้าเราสงบ สงบอยู่ที่ไหน เพราะจิตมันอยู่ที่เราใช่ไหม จิตนี้อยู่ในร่างกายของเรา ถ้าเรากำหนดพุทโธนี่ดึงกลับมา เห็นไหม จิตแค่กลับมาเป็นเรา สิ่งนี้จิตมันเป็นพื้นฐาน เป็นความสงบ เห็นไหม เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นนะ แล้วยกขึ้นวิปัสสนา

วิปัสสนาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่วิปัสสนาเกิดขึ้นมาได้ นี่เขาว่าเป็นปัญญา ปัญญา เพ่งเอาเฉยๆ เห็นไหม นี่ผ่านกายๆๆ เราก็ผ่าน ดูสิ เราผ่าออกมา ร่างกายนี่ดูสิ ดูเวลาแม่ชีแก้ว เห็นไหม เวลาเกิดนิมิตขึ้นมา เวลาเกิดเป็นร่างกาย ไฟเผาร่างกายนะ เน่าสลายไป ไฟเผานี่มอดไหม้หมดเลย เหลือหัวใจอยู่ก้อนหนึ่ง หัวใจนี่ไฟเผาไม่ได้ เต้นตุบๆๆ อยู่ เห็นไหม ไปถามหลวงปู่มั่น “นี่ไฟเผาหมดเลย ทุกอย่างสลายออกไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟหมด แต่เหลือหัวใจอยู่ก้อนหนึ่ง มันเผาไม่ได้”

นี่ก็เหมือนกัน เราพิจารณากาย วิปัสสนาเป็นอย่างไร พิจารณากายเป็นอย่างไร ผ่าเข้าไปผ่าอย่างไร ปัญญามันเกิดอย่างไร สิ่งที่มันเป็นไปได้ ดูสิ คนที่เป็นไปได้มันเป็นความเหมือนกัน เห็นไหม อริยสัจมันอันเดียวกัน สิ่งถ้าเข้าอริยสัจ นี่ปัญญามันเกิดสภาวะแบบนี้ แล้วอริยสัจนี้ใครจะมีมองเห็น เห็นไหม ปัญญาจะเกิดขึ้นมา

จึงบอกว่าไง นี่มันเป็นอำนาจวาสนานะ สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เป็นทางวิทยาศาสตร์ เป็นวิชาการทางโลก เราจะคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นความรู้ถูกต้อง แล้วเราจะไปยึดอย่างนั้น

สิ่งนั้นไม่เป็นความถูกต้องหรอก มันเป็นเหตุเป็นผล สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลแล้วเราใช้ตรรกะ เราใช้ความรู้สึกแล้ว ความรู้ในเหตุในผลนั้น เช่น เราทานอาหาร ความเอร็ดอร่อยกับที่อาหารเข้ามา กับความอิ่มของกระเพาะต่างกันไหม? เวลาเอร็ดอร่อยอยู่ที่ลิ้นนะ ลิ้นนี่มันไม่สามารถย่อยอาหาร มันไม่สามารถจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาได้ เพราะมันย่อยสลายอาหารไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ของกระเพาะต่างหาก แต่มันต้องผ่านลิ้นเข้าไปไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันเกิดไง เวลาปัญญามันเกิด ความคิดมันเกิด สิ่งที่มันเป็นเหตุเป็นผลนะ สิ่งที่เหตุผลรวมลงคือเราใช้ปัญญารวมลง สรุปลงแล้วความรู้สึกอันนี้เป็นธรรม ความรู้สึกที่เราเกิดขึ้นมาจากความคิด ความรู้สึกที่เราพิจารณาอันนี้มันเป็นธรรม แล้วเป็นธรรมๆ เป็นธรรมอะไร? โลกียธรรม เห็นไหม

ปัญญา โลกนี้จะใช้ด้วยปัญญา เราก็ใช้ปัญญากัน โจรมันก็ใช้ปัญญา คนโกงกันก็ใช้ปัญญา คนหลอกลวงกันก็ใช้ปัญญา ปัญญาอะไร? ปัญญาน่ะ

ปัญญาต้องเป็นสัมมาด้วย แล้วสัมมามันก็มีหยาบมีละเอียด เห็นไหม สัมมาหยาบๆ มันก็สัมมาอย่างเรานี่ สัมมาทำความดีนี่ก็เป็นสัมมา แล้วสัมมาเอาชีวิตรอดนี่ล่ะ? ถ้าเอาชีวิตรอด ทำไมเราต้องค้นคว้ากัน? ทำไมผู้ที่มีปัญญาถึงเอาตัวรอดไม่ได้ล่ะ?

เอาตัวรอดไม่ได้นะ นี่ทางโลกเขาว่ากัน ปัญญาท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนะ ปัญญาท่วมหัวนี่มันปัญญาส่งออก เห็นไหม การว่าทวนกระแสกลับมา นี่ทวนกระแสเดินกลับมาได้อย่างไร? ทวนกระแสเข้ามาที่จิต จิตเข้ามาได้อย่างไร? พอจิตมันสงบเข้ามา สิ่งนี้มันเป็นความลึกลับ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงทอดอาลัยไง “จะสอนได้อย่างไร?” ทั้งๆ ที่เตรียมพร้อม เหมือนเราเตรียมพร้อมหมดเลย แต่พอไปเจอเหตุการณ์เข้าจะทำได้อย่างไร แต่ก็ทำได้ ทำได้เพราะอะไร ทำได้เพราะว่าคนที่มีความร่วมมือมี คนที่ร่วมมือแล้วคนที่เป็นไปมี

คนที่ร่วมมือหมายถึงว่า ผู้ที่มีจริตนิสัย ผู้ที่สร้างอำนาจวาสนามา เวลาเขาฟังเขาเข้าใจไง แต่ผู้ที่ไม่มีอำนาจวาสนานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอะไรอยู่ เอ๊ะ..พูดเรื่องอะไร ส่ายหัว ไม่เข้าใจๆ เลย ไม่เข้าใจเพราะอะไร เพราะมันคิดถึงโลก เห็นไหม เหตุผลๆ ก็ว่าเหตุผล เหตุผลมันเข้ามาไม่ได้

เหมือนกับว่าเรานั่งเถียงกันอยู่ เราจะเข้าไปเมืองๆ หนึ่ง เห็นไหม ไปที่กำแพงมันก็นั่งเถียงอยู่นั่น มันไม่ได้เข้าไปในเมืองนั้นสักที เพราะไม่ผ่านประตูเมืองนั้นเข้าไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเหตุผลๆ ก็วิเคราะห์วิจัยกันในเหตุผลๆ อย่างนี้มันเป็นธรรมไม่ได้ ในเมื่อการวิเคราะห์ ถ้าปล่อยจากการวิเคราะห์อันนี้มันก็จะผิดพลาด เพราะการวิเคราะห์อันนี้มันเป็นปัญญา เรามีปัญญามาก เราวิเคราะห์วิจัยอยู่นี้เป็นปัญญามาก ห่วงแต่อย่างนี้มันปล่อยวางไม่ได้ มันก็เป็นผลขึ้นมาไม่ได้ มันก็เป็นธรรมขึ้นมาไม่ได้

แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นไป เหมือนอาหารผ่านลิ้นเข้าไปเลย มันจะตกไปในกระเพาะก็เรื่องของเขา ถ้ามันย่อยสิ่งใดๆ ที่มาเป็นคุณประโยชน์กับร่างกาย มันก็เอามาใช้ในร่างกายนี้ สิ่งที่เป็นกากมันก็ขับถ่ายทิ้งไป เห็นไหม ร่างกายของเรานี่เหมือนโลกเลย มันขับถ่าย มันหมุนเวียน มันเปลี่ยนไป

นี่เห็นไหม โลกนอกโลกใน โลกนอกคือสังคมโลกนี้ โลกในคือความรู้สึก แล้วนี่ร่างกายเราเขาเอาเป็นโลกหนึ่ง โลกหนึ่งนะ โลกนี้คือหมู่สัตว์ หมู่สัตว์นี่คนหนึ่งเกิดมาโลกหนึ่ง จิตหนึ่งมันก็จักรวาลหนึ่ง เพราะอะไร เพราะมันเกิดตายเกิดตายนะ ธรรมะเข้ามาย่อยสลายตรงนี้

คนเรานี่เกิดตายเกิดตายมาตลอด เรามานั่งกันอยู่นี่นะ วุฒิภาวะต่างๆ กัน ความรู้สึกต่างๆ กัน สิ่งนี้มันเพราะเป็นอดีต สิ่งที่เราทำมามันเป็นจริตเป็นนิสัย มันซับมา เหมือนกับสิ่งที่มันตกตะกอนอย่างฟอสซิลต่างๆ เห็นไหม เป็นน้ำมัน เป็นหิน เป็นต่างๆ อายุมากขึ้นมามันก็มีคุณค่ามากขึ้นมา

จิตนี้ก็เหมือนกัน สร้างคุณค่ามาก คุณธรรมในหัวใจก็มีมาก สร้างมาน้อยคุณธรรมก็มีน้อย เห็นไหม แล้วก็มาเป็นเรานั่งอยู่นี่ แล้วถ้าเกิดในปัจจุบันนี้ เราใคร่ครวญ เราคิดขึ้นมา นี่ถึงว่า ๔ อสงไขย ๑๒ อสงไขย พระอรหันต์ต่างๆ มันไม่เหมือนกัน แล้วเรานี่เราเกิดมากี่ล้านๆๆๆ อสงไขย เรารู้ไหม? จิตไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเกิดมาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะมั่นคงขนาดไหน เราจะทำของเราขนาดไหน เราอย่าน้อยใจ เราอย่าคิดน้อยใจ เพียงแต่ว่าอยู่ในสังคมสัมมาทิฏฐิ มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐินะ สัมมาทิฏฐิหมายถึง ดูสิ ดูในปัจจุบันนี้ ชีวจิต เห็นไหม ต่างๆ นี่ ภูมิทัศน์ต่างๆ เพื่อความสงบร่มเย็น เห็นไหม มันเป็นเรื่องเรียบง่ายนะ

แต่แสง สี เสียงนะ เด็กๆ มันชอบไง แล้วสังคมก็เป็นอย่างนั้น เวลาปฏิบัติด้วยกัน แสง สี เสียงนี่ โอ้โฮ.. ทำเป็นคอนเสิร์ตกันเลยนะ โอ้โฮ.. มีความสุขมากนะ มันไม่เข้าถึงใจหรอก แต่ถ้าทำความสงบของใจ ทำความนิ่มนวลขึ้นมามันเป็นน้ำสะอาด มันเป็นเรื่องของธรรม แล้วเราเข้ากันไม่ถึงเพราะจิตใจเราหยาบ เราต้องการแต่แสง สี เสียงกัน เราถึงจะโดนหลอกไปตลอดนะ

ถ้าโดนหลอกออกไป เห็นไหม มันย้อนกลับมาที่ความรู้สึกเรา ถ้าจิตของเราทำแล้วมันมีความสงบ มีความร่มเย็น อันนี้เป็นธรรม เป็นธรรมคือว่า “ความสุขอย่างใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี” ถ้าจิตเราสงบได้ เราทำของเราได้ แล้วมีครูบาอาจารย์ชี้นำ นี่คืออำนาจวาสนา ครูบาอาจารย์ชี้นำนะ เพราะอะไร เพราะปัญญาอย่างพวกเรานี่หางอึ่งมาก

หลวงปู่มั่นท่านพูดเอง เล่าผ่านๆ กันมาว่า ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะบุญญาธิการท่านขนาดนี้ แล้วอยู่ท่ามกลางพระไตรปิฎก ก็ยังรื้อค้นมาขนาดว่า รื้อค้นจน...เหมือนพ่อแม่ พ่อแม่นี่นะทำมาหากินทุกข์ยาก จะห่วงลูกมาก จะห่วงลูก กลัวลูกจะผิดพลาด นี่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านค้นคว้ามาขนาดไหน ท่านก็กลัวลูกศิษย์ลูกหานี่จะผิดพลาด ท่านก็พยายามจะดูแลรักษา จะพยายามประคองกันไป เหมือนกันเลย

แล้วพวกเราสาวก สาวกะ มันมาท่ามกลางอย่างนี้ ถึงว่าที่ครูบาอาจารย์ชี้นำ ชี้นำตรงนี้ไง ตรงที่ว่าถ้าเราปฏิบัติไป จิตสงบแล้วขนาดไหนจะมีคนชี้นำเรา นี่สื่อความหมายเพื่อย้อนกลับมาใจ แล้วเอาใจให้รอด นี้จะเป็นความสุขของเรา เอวัง