เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ภาวนา เห็นไหม ดูสิเราเกิดมา เราก็เกิดมามีทุกข์อยู่แล้ว คนเราเกิดมามีทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์นี่เป็นอริยสัจ ทุกข์นี่เป็นความจริง เพราะทุกข์ถึงมีการเกิด แล้วถ้ามีการเกิด เกิดมามันต้องมีสถานะ มีสภาวะรับผิดชอบ ความรับผิดชอบ

แล้วคนรับผิดชอบเขาดูสิ คนดี คนเลว เห็นไหม คนดี คนเลวนะ คนเลวเขาเป็นปัญหาสังคม ผู้ที่มีปัญญาในสังคมพยายามจะทำให้สังคมนี้ราบรื่น ทำให้สังคมนี้มีความสุข ถ้าการเลี้ยงดูของเรา ถ้าเด็กมันฝังใจไปมันจะเป็นปัญหาสังคม อันนี้ว่าสังคมนะ นี่สิ่งแวดล้อมนะ แต่จริงๆ แล้วมันก็คือกรรมไง กรรมคือว่าเขาสร้างมาอย่างไร กรรมสภาวะแบบใด

ในครอบครัวเราเอง ลูกเราเกิดมาแต่ละคน ๓ - ๔ คนนี่ สถานะครอบครับเราก็ต่างกัน จิตใจเราก็ต่างกันนะ ส่วนใหญ่แล้วเลยลูกคนแรกนี่จะทะนุถนอมกันมาก ลูกคนต่อๆ ไปนี่มันความทะนุถนอมก็จะน้อยไป เห็นไหม นี่อำนาจของการเกิด

อำนาจของบุญกุศลในการเกิด เกิดเป็นลูกโต ลูกคนโตนี่พ่อแม่จะทะนุถนอม ถ้าจิตใจดี เห็นไหม แล้วลูกคนโตนี่ ในประเพณีของเรา ลูกคนโตเป็นพี่ใหญ่ก็ต้องดูแลน้องๆ เห็นไหม ภาระของเขาก็มีมาก น้องเกิดมานี่ ในสังคม เห็นไหม เกิดมาแล้วการเอาใจของพ่อแม่ก็น้อยลงไป แล้วสิ่งต่างๆ น้อยลงไป แล้วเวลาเกิดมาแล้วก็เป็นน้อง มันก็เลยเรียกร้องอยู่อย่างนั้น มันไม่โต เห็นไหม นี่การเกิด จังหวะและการเกิด

การเกิดนี่บุญหรือกุศลพาเกิด สิ่งที่พาเกิดมานะจากการกระทำอยู่นี้ นี่โลกพาเกิด เห็นไหม เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เราพาเกิดแล้วกรรมบุญกุศลเกิดนี่ ใครเป็นคนบอกล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไว้ เห็นไหม สิ่งต่างๆ ชี้ไว้ ดูสิ จุตูปปาตญาณ จิตนี้ตายแล้วไปเกิดที่ไหนๆ จิตนี้เกิดเพราะอะไร

เวลาพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีปัญหา ปัญหาคือว่ามันเป็นการติดข้องของใจ ถ้าใจมันติดข้อง ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหตุนี้เพราะอะไร อธิบายปัญหาเพื่อปลดความสงสัยของใจดวงนั้น แต่ถ้าคนถามเพื่อจะให้เป็นกระแสสังคม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พยากรณ์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์สิ่งนั้นไม่พูด ถ้าไม่พูดแล้วพูดทำไม?

ไม่พูดนะ พูดเฉพาะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง พูดแต่คนที่มันเป็นโรคเป็นภัย เป็นโรคเป็นภัยหมายถึงจิตเวลามันภาวนาไปแล้วมันไปติด สิ่งที่ติดเหมือนเราเป็นโรค ถ้าเราไม่รักษามันก็ไม่หาย เห็นไหม ถ้าเรารักษาโรคนี้หาย แล้วร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมา เราจะได้ทำงานต่อไปข้างหน้า ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง เราทำงานอะไรก็ไม่ได้

จิตใจก็เหมือนกัน ถ้ามันติดแล้วคือมันเป็นโรคแล้ว ถ้าไม่ปลดอันนี้ ไม่แก้ความสงสัยอันนี้ มันจะภาวนาไปไม่ได้ การพยากรณ์คือพยากรณ์ปลดความลังเลสงสัยของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีความลังเลสงสัยสิ่งใด ก็ปลดความสงสัยอันนี้เป็นนิวรณธรรมเห็นไหม พอผ่านอันนี้ไปมันก็ภาวนาไปได้

นี่พูดๆ ด้วยเหตุนี้ไง พูดเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์นั้น แต่พูดออกไปเพ้อเจ้อ พูดออกไปทางโลกมันไม่มีประโยชน์ ท่านจะไม่พูดสภาวะแบบนั้น นี่สิ่งที่ธรรมเห็นเห็นอย่างนี้ไง เห็นการเกิด “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา” คือวัฏฏะเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่ธรรมดาเพราะเรามีกิเลส เวลาเกิดมา เห็นไหม เกิดมาแล้วก็ทุกข์ เวลาหน้าที่การงานก็ทุกข์ แบกไปทุกอย่างเลย ถ้าแบกไปทุกอย่าง ถ้าเรามีธรรมหล่อเลี้ยงหัวใจ

ถ้ามีธรรมมาหล่อเลี้ยงหัวใจนะ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราจะไปบังคับ สิ่งที่ไปบังคับนะ สิ่งนี้มันมีเหตุมีปัจจัยของมัน มันต้องมีการเกิด แต่ถ้ามีธรรมะไปเลี้ยงหัวใจ เห็นไหม หัวใจจะยอมรับสภาวะแบบนั้น ชีวิตนี้มันก็ไม่เดือดร้อนเกินไปไง หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน เราต้องแสวงหาของเราไป แต่ต้องมีธรรมะมาหล่อเลี้ยงหัวใจให้หัวใจเราไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก ให้หัวใจมันมีที่อยู่อาศัย

หัวใจนี่ อาหารของใจคือธรรมนี่สำคัญมาก สำคัญที่ว่าเราอยู่ในเหตุการณ์ที่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ไปกับเขาไง เหตุการณ์ที่ทุกข์ ฟังสิ! ทำไมจึงว่าเหตุการณ์ที่ทุกข์ เพราะในเหตุการณ์นั้นมีคนที่มีความทุกข์ มีคนที่ทุกข์มากทุกข์น้อย มีคนที่ได้ผลประโยชน์จากนั่น ก็มีความพอใจว่าไม่เป็นความสุขของเขา

นั่นเป็นความทุกข์ทั้งนั้นเพราะอะไร มันก่อกรรมทำเข็ญกัน ในสังคมมีแต่เรื่องการก่อกรรมทำเข็ญกัน แต่ถ้าผู้ที่มีบุญกุศล เห็นไหม สร้างบุญกุศลเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีนี่ เขาก็สละของเขา มันก็สร้างบุญกุศล เห็นไหม มันก็มีเหตุมีปัจจัยไปทั้งนั้นเลย

ในสถานะหนึ่ง ถ้าเราอยู่แล้วเรามีธรรมของเราในหัวใจ มันจะอยู่กับเขาโดยที่เราไม่เป็นทุกข์จนเกินไป ไม่เป็นทุกข์จนเกินไปนะ แต่ถ้าเราจะสร้างบุญกุศลของเรา เพื่อเป็นคุณงามความดีของเรา เพื่อสถานะของจิตที่มันพัฒนาขึ้นไป พัฒนาสิ

เวลาเห็นคนมีปัญญา เราอยากมีเชาวน์ปัญญา เราอยากจะมีสิ่งที่เกิดเชาวน์ปัญญาอย่างนี้ ให้เราตัดสินเหตุการณ์ได้เฉพาะหน้าๆ แต่เราไม่ได้สร้างของเรามา เหตุการณ์ๆ หนึ่ง คนคิดได้เร็วมาก ดูสิ ดูเวลาเขาแข่งขันกัน การคำนวณ เห็นไหม เด็กบางคนคำนวณได้เร็วมาก เด็กบางคนคำนวณไม่ทัน สิ่งนี้มันเป็นเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาส่วนหนึ่งนะ แล้วเป็นการฝึกฝนส่วนหนึ่งนะ ฝึกฝนถ้าเรามีเชาวน์ปัญญามาก มีพรสวรรค์มาก คนเรามีพรสวรรค์ เห็นไหม แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงพรสวรรค์มา มันก็ไม่มีโอกาสได้แสดงออกเหมือนกัน พรสวรรค์ถ้าไม่ได้ฝึกฝนออกมา มันก็ไม่เกิดขึ้นมา

สิ่งที่จะฝึกฝนมันต้องมีสถานะของใจนี้ด้วย แล้วสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนหนึ่ง สิ่งแวดล้อมที่เราเกิดมาที่ว่ากระแสสังคมที่สังคมนี่ เด็กนี่ คนนี้จะสร้างภาระสังคม นี่คิดกันได้โดยโลกๆ ไง แต่เขาไม่เห็นเรื่องกรรม แต่กรรมนี่มันเปลี่ยนแปลงได้ คำว่า “เปลี่ยนแปลง” เห็นไหม กรรมดีกรรมชั่ว การกระทำมันเปลี่ยนแปลงได้

ถ้ากรรมนี้ตายตัว เราเกิดมาโดยกรรม เกิดมาโดยสิ่งที่ว่าสภาวะเชื้อไขมันผลักมา มันสิ้นสุดไม่ได้หรอก มันเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ มันเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไม่ได้ มันสิ้นกิเลสไม่ได้ไง แต่ถ้ามันสิ้นได้เพราะอะไร เพราะมันชำระได้

สิ่งที่มันชำระได้ กรรมนี่มันชำระได้ ชำระด้วยอะไร? ชำระด้วยกรรมดี กรรมดีคือทำความดี เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย ถ้าน้ำดีขึ้นมามากขึ้นมาก็ไล่น้ำเสียขึ้น เห็นไหม เราถึงทำบุญกุศลของเราขึ้นมา ทำบุญกุศลร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถึงสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดปัญญาหนหนึ่ง

เราถึงมาภาวนากันนี่ไง เราภาวนานี่เราเอาแก่นของธรรม เราจะเอาแก่นของธรรมนะ เพราะว่าที่ร้อยหนพันหนคำนวณเข้าแล้วจะเป็นเท่าไหร่ แล้วถ้าเราทำจิตสงบสักหนหนึ่ง หรือเราเดินจงกรมสักหนหนึ่ง เรานั่งสมาธิภาวนาสักหนหนึ่ง นี่บุญกุศลมหาศาลเลย

สิ่งที่บุญกุศลมหาศาลเพราะอะไร เพราะมันเป็นจริตนิสัย ดูสิ ดูเวลาพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมา เห็นไหม เพราะเขาได้สร้างบุญกุศลมา ถ้าตรงกับจริตมันจะเข้าถึงจิตเลย นี่ก็เหมือนกัน เราสร้างสมนี่ เราภาวนาขึ้นมาอย่างนี้ มันจะเข้าถึงจิตเลย

เวลาเราส่งของกัน เห็นไหม เราส่งไปรษณีย์กัน เราส่งไปนี่ มันต้นทางปลายทาง มันอาจจะผิดพลาดได้ แต่ไปรษณีย์เขาพยายามจะทำให้มันถูกต้องให้มากที่สุด นี่ก็เหมือนกัน อุทิศส่วนกุศลกัน ทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลกัน

แต่เราประพฤติปฏิบัตินี่ เราเป็นคนเจ้าของเราจะส่งไปรษณีย์ทำไม เราก็อยู่ในมือของเรา เห็นไหม เรามีอยู่กับตัวของเราเองเลย นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญกุศลมันก็เหมือนอยู่กับเรา แต่อุทิศส่วนกุศลไปก็เหมือนส่งไปรษณีย์กัน นี่ฝากกันไปฝากกันมา ของฝากเป็นส่วนหนึ่ง ของที่ไปกับเราส่วนหนึ่ง เห็นไหม

ส่วนหนึ่งของที่ไปกับเรา แต่ของที่ไปกับเราแล้วมันก็เป็นอนิจจังอีก เพราะอะไร เพราะเกิดตายเกิดตาย เห็นไหม เราเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมขึ้นไป เกิดเป็นสุขขึ้นมา เราสุขตลอดชีวิตไหม? เวลาเรามีความสุข เวลาเราพบสิ่งที่ถูกต้องใจ โอ้โฮ..มีความสุขมาก ความสุขจะอยู่กับเราตลอดไปได้ไหม? มันเป็นอนิจจังนะ สิ่งที่อยู่กับเราก็ยังเป็นอนิจจังอีก เห็นไหม เราถึงต้องประพฤติปฏิบัติกัน

ที่ว่าเราถวายนี่ ทำเพื่อเราๆ นี่สิ่งนี้มันเข้ามาถึงใจเรา หนึ่งวุฒิภาวะของใจมันมี มันมีสถานะ มันมีที่รองรับ เหมือนกับมีผู้ที่จิตพิจารณา เห็นไหม มีจิต มีผู้พิจารณา ไม่ใช่ทำเลื่อนลอยกัน เห็นไหม สักแต่ว่าทำกันๆ ที่ว่าวิปัสสนาๆ นี่ เลื่อนลอยมาก

เลื่อนลอยก็ดูสิ เราไปดูมหรสพต่างๆ มันก็ผ่านไปๆ มันมีอะไรขึ้นมา เห็นไหม แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของมหรสพนั้นล่ะ เราเป็นคนที่จัดงานนั้น เราให้คนเขามาดูงานนั้น เราเป็นคนมีกำไรขาดทุนในงานนั้น เราไปทำธุรกิจในงานนั้น เราจะได้ผลประโยชน์จากงานนั้นใช่ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นเจ้าของการประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีจิตก่อน จิตต้องสงบขึ้นมาก่อน เห็นไหม ถ้าจิตสงบขึ้นมา จิตมันเข้าไปชำระกิเลสของมัน เห็นไหม สิ่งนี้มันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้าจิตมันมีสถานะ มันมีเจ้าของ คำว่า “เจ้าของ” มันสัมมาสมาธิไง

แต่นี่ทำกันโดยที่ไม่มีเจ้าของ ไม่ทำสิ่งใดเลย ทำกันสักแต่ว่า เหมือนกับเราไปเที่ยวในงานของเขา เราไปดูแลของเขา เราไปเป็นผู้เสียผลประโยชน์เพราะเราเสียเวลา เสียพลังงาน เสียเงินเสียทอง เสียไปทุกอย่างเลย แต่ก็ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาก็ต้องเป็นสัมมาด้วย

ถ้าเป็นมิจฉา ดูสิ ดูเวลาลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม มิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม ลัทธิต่างๆ มันออกไปนะ ถ้าความเห็นเราผิด ดูว่าการเกิดเราสิ เกิดในสัมมาทิฏฐิ เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ที่พาไปหาบุญกุศล เพราะเกิดในตระกูลอันสมควร นี่บุญพาเกิดๆ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมีสถานะที่เป็นคุณงามความดี จะย้อนกลับมาดี มันเข้ากันไม่ได้ น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ไง นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยความเห็นเรา มันจะเข้ากับสิ่งนี้ไม่ได้ ความผิดพลาด อะไรที่มันผิด มันเป็นอกุศลนี่มันรับไม่ได้ มันจะแยกออก น้ำจะแยกออกจากน้ำมัน มันจะเข้าไปอยู่กับน้ำมันเป็นไปไม่ได้

ถ้าเราสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ เราสร้างคุณงามความดีมากับใจอย่างนี้ มันก็จะเป็นจริตนิสัยอย่างนี้ มันจะเข้ากับเขาไม่ได้ เข้ากับความชั่วไม่ได้ อย่าไปคิดว่าเราเข้ากับเขาไม่ได้ เราจะไม่มีเพื่อนไม่มีฝูงนะ เราไม่เข้ากับความชั่ว เราจะอยู่ เห็นไหม อยู่เราก็แยกตัวของเราออกมา แยกความคิดของเรานะ อยู่กับสังคมขนาดไหนเราก็แยกความคิดของเราออกมาได้ เราจะไม่เข้าไปคลุกคลีกับเขา

นี่คลุกคลีกับสิ่งที่สกปรก มันทำให้เราต่ำไปตลอดเวลา คลุกคลีกับครูบาอาจารย์นะ คบบัณฑิต เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมนะ “การคบเพื่อนที่ดีที่สุดคือการคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

แต่เราไม่ทัน เราเกิดไม่ทัน คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาไปนิพพานทั้งหมดเลย พระพุทธเจ้าจะชี้ทางที่ถูก ถ้ายังไม่ได้ ท่านก็พยายามจะให้เราสร้างสมบุญญาธิการมา จะชี้ไปทางที่ดี นี่มิตรที่ดี คบมิตรที่ดี ดีประเสริฐที่สุดคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แต่บอกพระอานนท์ไว้นะ “ธรรมและวินัยนี้จะเป็นศาสดาของเธอ” ถ้าเราคบธรรมวินัย เห็นไหม คบกับกติกา คบกับข้อวัตรปฏิบัติ เราคบสิ่งนี้ไว้ แล้วเราไปอยู่กับสิ่งนี้ เราก็จะเป็นคนดีขึ้นมาได้ ถ้าเราสะสมขึ้นมา สิ่งที่สะสมขึ้นมา เพื่อเราๆ เพื่อเรานะ

เวลาทุกข์ยากนี่ การประกอบสัมมาอาชีวะ เวลาทุกข์นี่ทุกข์มาก เวลาการประพฤติปฏิบัติ เราก็ว่าทุกข์อันหนึ่ง ใช่.. มันเป็นหน้าที่การงาน ข้อวัตรปฏิบัติเป็นการดัดแปลงตน มันเป็นหน้าที่การงาน ดูสิเขาเล่นกีฬาเพาะกายกัน เขายกเหล็กหนักๆ ขึ้นมา เขายกทำไมของเขา เขายกขึ้นมาเพื่อให้เขามีกล้ามเนื้อใช่ไหม เพราะเขาเป็นนักเพาะกายของเขา เวลาเขายกขึ้นมา ดูสิเหงื่อไคลไหลย้อยขนาดไหน เขาก็มีความสุขของเขา เพราะว่าเขามีเจตนาของเขาอย่างนั้น เขามีเป้าหมายของเขา เขาเป็นนักเพาะกาย

เราเป็นนักเพาะจิต เราจะให้จิตเราตั้งมั่น เราต้องทำข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อให้จิตมันเข้มแข็งขึ้นมา ในการประพฤติปฏิบัติเราเดินจงกรมขึ้นมา เรานั่งสมาธิขึ้นมา เราจะเพาะหัวใจของเราขึ้นมาให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา ถ้าหัวใจเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา มันจะเหนื่อยไหมล่ะ มันก็ต้องเหนื่อย ขึ้นชื่อว่างานมันก็ต้องลงทุนเหมือนกัน นี้เราพอใจทำ เราตั้งใจทำของเรา เพื่อเราๆ

การทำบุญกุศล มันก็เป็นสิ่งที่ว่านั่นนะ มันเป็นอนิจจัง มันเป็นแรงขับเคลื่อน แต่ถ้ามันเป็นธรรม มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นสิ่งที่คงที่ ไม่มีการบุบสลาย ไม่มีการย่อยสลาย มันเป็นอกุปปธรรม อฐานะที่จะเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

เราถึงแสวงหากันตรงนี้เพื่อเป็นสิ่งหลักประกันกับชีวิตไง ว่าถ้าเราพาดกระแสแล้วนะ เราไม่ตกในอบายภูมิหนึ่ง แล้วเป้าหมายมันจะสิ้นกิเลส คือว่ามันจะต้องถึงเป้าหมายไง แต่ถ้าเราไม่ถึงเดี๋ยวนี้นะ มันเป็นอนิจจัง มันก็เวียนสูงเวียนต่ำอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าจิตมันดี มันตั้งใจดี มันก็เวียนไปสูง เวลาหมดจากบุญนั้น หมดแรงขับ มันก็เวียนไปต่ำ มันจะเป็นสภาวะแบบนี้ สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ แล้วมีกิเลสบวกเข้าไปด้วย มันก็เลยเจ็บแสบปวดร้อนในใจไง แต่ถ้ามีน้ำอมตธรรมเข้าไปร่มเย็นในหัวใจนะ มันก็อยู่ในสภาวะแบบนี้

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้ว เห็นไหม อยู่อีก ๔๕ ปี มันก็มีเหมือนเรานี่ มีร่างกาย มีจิตใจเหมือนกัน แต่จิตใจของพระอรหันต์ กับจิตใจของปุถุชนอย่างเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันเจ็บแสบปวดร้อนมันมีอยู่ แต่ถ้าเราทำใจของเราสิ้นแล้ว มันไม่ออกไปจากกระแส มันก็อยู่สภาวะแบบนั้น แต่ถ้ามีกิเลสเข้าไปบวก มันก็เหมือนกัน แต่มันเจ็บแสบปวดร้อนแล้วก็เผาหัวใจเรา

เราเกิดมามีโอกาส มีหน้าที่ อาหารของกายนะ ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เราก็แสวงหาของเรา เป็นหน้าที่การงานอันหนึ่ง แล้วถ้าเป็นอาหารของใจ อาหารของใจคือหลักของใจ คือใจที่มันมีมรรคญาณเกิดขึ้นมามันจะชำระกิเลส อันนี้ก็เป็นผลประโยชน์อันหนึ่ง มันอยู่ที่วาสนานะ วาสนานี่ เห็นไหม เราถือเนกขัมมะออกจากเรือนแล้วออกประพฤติปฏิบัติกัน แล้วยิ่งบวชด้วยนะ เป็นประพฤติปฏิบัติ เรามีโอกาสมากเลย

โลกเขานะ ทุกคนแสวงหา แต่โอกาสเขาไม่มี ดูสิ ดูที่ว่าเพื่อนมาหา เห็นไหม สึกไปแล้วก็ว่าจะกลับมาบวชอีกแน่นอน ตั้งเป้าไว้แล้วกะจะมาบวชอีกแน่นอน เพราะว่ารู้อยู่แต่มันมีความจำเป็น กรรมของคนไม่เหมือนกัน เขามีความจำเป็นของเขา เขาต้องมีหน้าที่ของเขา นี่สร้างบุญสร้างกรรมกันอย่างนี้

แล้วถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราจะรักษาใจของเรา แล้วมันจะทุกข์จะยากขนาดไหนก็ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ ทุกข์เพื่อจะมีความสุข มันต้องตั้งใจทำ แล้วไม่ชินชากับมัน ถ้าชินชานะ มันจะท้อถอยแล้วมันจะอ่อนแอ ถ้าเป็นของสดๆ ร้อนๆ เห็นไหม ของใหม่กับเรา ดูสิ ได้ของใหม่มานี่ ใหม่ๆ จะตื่นเต้นกับมันตลอดเวลา แต่ถ้าชินชาแล้วมันจะไม่เต็มใจ การกระทำมันจะอ่อนด้อยไป เราถึงจะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ชินชากับสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง