เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ มิ.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันนี้วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันราชการ วันทำการ เขาทำหน้าที่การงาน คนเกิดมามีตำแหน่งหน้าที่การงาน คนเราต้องมีหน้าที่การงาน เขาว่าคนทำงาน ทำงานที่มีความสุข กับทำงานที่มีความทุกข์ไง ถ้าทำงานที่มีความทุกข์เพราะมันไม่ได้ดั่งใจ ถ้าทำงานมีความสุขนะ ถ้าเราทำแล้วสมความปรารถนาจะมีความสุขมาก มีความสุขเพราะทำแล้วมันสมความปรารถนา สุขตรงไหน? สุขตรงที่มันสมอยากไง

อยากคืออะไร? อยากคือตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากเป็นแรงขับเคลื่อน ถ้าว่าตัณหาความทะยานอยาก ความอยากนี้เป็นกิเลสทั้งหมด แล้วมรรคล่ะ ความอยากที่เป็นคุณประโยชน์มี ความอยากที่เป็นคุณงามความดีมี เราต้องอาศัยความอยากที่เป็นคุณงามความดีเป็นสะพานเดิน เป็นช่องทางให้เดินไป ในเมื่อมันเป็นความอยาก แต่มันต้องมี ที่ว่าจะถือศีลก็ต้องมีปัญญา เพราะถือศีลโดยถูกต้อง และถือศีลโดยทิฏฐิไง

คนเราถือศีลนะ ถ้าคนถือศีลด้วยการเกร็ง ไม่เข้าใจเลยว่าการถือศีลมันจะมีบังคับตัวเอง ถ้าถือศีลด้วยความปกติ ถ้าเราไม่มีเจตนาทำความผิดพลาด ศีลนั้นมันเป็นปกติ เพราะศีลนี้ทำให้คนเป็นคนดี ไม่ใช่ ธรรมะไม่ทำลายใครหรอก คุณธรรมไม่ทำลายใครเลย กิเลสต่างหากมันทำลายคนนะ นี่วันคืนล่วงไป ๆ เดี๋ยวก็วันทำการ เดี๋ยวก็วันพักผ่อน แล้วก็วันพระวันเจ้า วันทำการ

ถ้าวันเวลามันเป็นคุณประโยชน์กับเรานะ คนเกิดมาอายุ ๕๐ ปี ๑๐๐ ปีต้องมีคุณภาพเท่ากันสิ ทำไมคนเกิดมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี นี่ความเจริญวัยก็ต่างกัน คุณภาพของร่างกายก็ต่างกัน คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ปกติ ถ้าว่าเรื่องของร่างกาย เรื่องของร่างกายเป็นความสำคัญ ถ้าเป็นความสำคัญนะ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน

แล้วถ้าคนเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน แต่คนหนึ่งมีกำลังหัวใจ กำลังใจดี คนไข้นั้นก็รักษาง่าย คนไข้นั้นก็เป็นคนที่ว่าไม่เป็นภาระกับคนอื่น แต่ถ้าหัวใจมันอ่อนแอนะ เป็นปกติมันก็อ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยมันก็อ่อนแอ ว่าเรื่องของใจสำคัญ ๆ สำคัญตรงไหน? สำคัญตรงที่ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นนามธรรม มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลย มันเป็นไปความคิดความอ่านควบคุมไม่ได้ เห็นไหม สงครามความคิด สงครามที่หลั่งเลือด สงครามที่เขามีการประหัตประหารกันมันตายหนเดียวนะ สงครามคือสงครามการเมือง การเมืองนี่มันฆ่ากัน มันประหัตประหารกันด้วยอะไร? ด้วยความคิด ด้วยเล่ห์เหลี่ยม สิ่งที่เป็นเล่ห์เหลี่ยมความคิดนี่มันประหัตประหารกัน มันฆ่าแล้วฆ่าเล่านะ คนตายแล้วตายอีก ตายซ้ำตายซากได้ แต่ถ้าเป็นสงครามหลั่งเลือดมันตายหนเดียวนะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ตายหนเดียวนั้นเพราะอะไร? เพราะชาติการเกิด ร่างกายนี่มันตาย เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายนะ แต่เวลาเราพิจารณาไปด้วยปัญญาของเรา ในร่างกายของมนุษย์นี่ ๗ ปีเซลล์เก่าจะตายหมดเลย มันจะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา เวลาคิดกันอย่างนั้นเราก็คิดกัน แต่ถ้าเรามองด้วยสายตา คนก็คือคนเดิมนั้นล่ะ ตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็ก จนเจริญวัยขึ้นมา จนเป็นผู้ใหญ่ จนแก่เฒ่าขึ้นมานี่ เกิดหนหนึ่งตายหนหนึ่ง

แต่เวลาความคิดเรานี่ ความคิดของเรานะ ความเกิดดับ ๆ ในหัวใจ มันเกิดตาย ๆ ร้อยหนพันหน นี่ความคิดนะ แล้วมันก็สร้างจินตนาการเข้าไป สิ่งนี้มันเป็นความสำคัญ เรื่องว่าเรื่องใจสำคัญ เพราะอะไร? เพราะมันเกิดตายได้บ่อยครั้งมาก แล้วการเกิดตายนี่ ถ้าเกิดเกิดในคุณงามความดี เกิดสร้างคุณงามความดี คือความคิดดี ความใฝ่ดี การใฝ่ดีเป็นเครื่องดำเนิน เพราะคนเราเกิดมาสิ่งที่จะเป็นสมบัติของใจไปคือความดีและความชั่วเท่านั้น ความดี คุณธรรมความดีของเรามันจะสะสมไปกับใจของเรา

ถ้าใจของเรา เวลาคนเราตายไปแล้ว เราทำบุญกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ กับเราทำคุณงามความดีของเรา แล้วมันสะสมไปกับใจของเรา ซับซ้อนนะ ซับมาที่ใจของเรา แล้วใจเรา เราเอาของเราไปเอง ของที่เราหยิบยื่น ของที่เราหยิบเราเอาของเราไปเอง กับของที่เขาส่งตามหลังมา อะไรมันจะมีความแน่นอนกว่ากัน ความแน่นอนนะ ถ้าเราจริง คุณงามความดี สิ่งนี้ถ้าคุณงามความดี ทำดีต้องไปดีแน่นอน

ดูสิ ดูอย่างปุยนุ่น มันลอยขึ้นข้างบนเห็นไหม มันเบา พอลมพัดมามันจะปลิวของมันไป ก้อนหินลมพัดมันไม่ไปนะ แต่ถ้าพายุแรง ลมกระชากแรง อาจจะเคลื่อนได้บ้าง ความคิดที่เป็นบาปอกุศล มันเหมือนก้อนน้ำหนัก มันมีน้ำหนักมาก จิตมันจะไปสภาวะแบบนั้น นี่เวลามันสวมบทบาทนะ ถ้ามันไม่สวมบทบาทล่ะ? ถ้าไม่สวมบทบาทความคิดนี้ก็มี ความชั่วก็มี จิตทุกดวงเคยทำความดีและความชั่วมา

เวลาคนขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาตายแล้วเขาไปไหนล่ะ อย่างน้อยเทวดาเขาอวยพรกัน เวลาตายแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา พบพระพุทธศาสนานี่ทำถึงที่สุดได้เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่เทศนาธัมมจักฯ เทวดาส่งเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเลย ดีอกดีใจมากเลย ดีอกดีใจ เหมือนกับคนที่เป็นไข้ คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมียารักษาไง คนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่มียารักษาเห็นไหม ต้องตายสถานเดียว

นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสเกิดมาในหัวใจนี่ มันต้องจำยอมกันไปจนชาติหนึ่ง ๆ หมดไป แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่มันมียา มียาธรรมโอสถมันสามารถชำระได้ ดีอกดีใจกันมากเลย ดีอกดีใจมันก็ยาอยู่ในขวดนะ ในขวดคือในตู้พระไตรปิฎก เราจะต้องเปิดขวดยา อ่านฉลากยากัน เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ มรรคผลนิพพาน อ่านกันปากเปียกปากแฉะ อ่านแต่ขวดยากัน แต่ไม่เคยเปิดยานั้นเข้าปากเลย ไม่เคยเปิดขวดยาแล้วเอายานั้นเข้าไปในหัวใจเลย

ในการจะเปิดขวดยา เห็นไหม เวลาเราทางโลก เราสั่งได้ เราทำได้ คนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ ถ้าไม่ยอมหมอก็ยังรักษาได้ ผ่าตัดได้ แก้ไขได้ แต่เวลาธรรมโอสถ มรรคเกิดที่ไหน? มรรคเกิดที่ไหน? มรรคต้องเกิดจากความสงบของใจ เวลาคนไข้ไปนี่เวลาจะผ่าตัด เขาต้องทำความสะอาดแผลก่อนใช่ไหม ทำความสะอาดก่อน ต้องพื้นฟูร่างกายก่อน ให้แข็งแรงถึงผ่าตัดได้

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจจะวิปัสสนา ๆ เอาอะไรไปวิปัสสนามัน เอาขี้ไปวิปัสสนาเหรอ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงนี่ไง ความหมักหมมของใจ มันเป็นขี้ทั้งหมดเลย แล้วเอาขี้ไปทำความสะอาดได้ไหม? มันถึงจะต้องเริ่มทำ มีความปกติของใจขึ้นก่อน เวลาเราทำกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าทำความสงบของใจ พวกที่กำหนดพุทโธนี่ไม่มีปัญญา พวกนี้ไม่มีปัญญานะ พวกนี้เป็นสมถะ ต้องใช้วิปัสสนาไปเลย มันเอาขี้เข้าไปชะล้างความสกปรกมันจะไปอย่างไร มันก็ยิ่งสกปรกเข้าไปใหญ่

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดมาก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหนึ่ง ในพระไตรปิฎกนี่อันหนึ่ง ฉลากยาอันหนึ่ง แต่ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงของเรานี่มันอันหนึ่ง เหมือนมือเราสกปรก มือเรามันมีแต่สารพิษเลย แล้วเราจับอาหารนั้นเข้าปาก สารพิษจะติดมือเราเข้าไปไหม? ...แน่นอน

ใจก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ แล้วเราใช้ปัญญา ๆ ที่ว่าปัญญา ๆ กันนี่ ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาด้วยขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันเป็นความสกปรก มันถึงต้องมีกำหนดพุทโธก่อน ต้องทำความสะอาดของใจก่อน ไม่อย่างนั้นจะมีศีลสมาธิทำไม สมาธิมีไว้ทำไม? สมาธิมีไว้ทำไม? ก็มีไว้เพื่อล้างมือให้สะอาดก่อน มือนี้เลอะสารพิษ ล้างมือให้สะอาดก่อน แล้วมือนี้ไปเปิบอาหารมันจะไม่เป็นพิษกับตัวเอง

ถ้ามือเต็มไปด้วยสารพิษ ไปเปิบอาหารขึ้นมาสารพิษก็เข้าไปในร่างกายด้วย ถ้าเข้าไปในร่างกายด้วย มันก็เข้าไปทำร้ายร่างกาย มันจะเป็นประโยชน์ไหม การประพฤติปฏิบัติที่ไม่ได้ผลก็ตรงนี้ไง “ชิงสุกก่อนห่าม” ไม่ทันไรเลยก็คิดว่าตัวเองน่ะวิปัสสนาไง เอาปัญญาของกิเลสมาใช้ก่อน ปัญญาของกิเลสนี่มือที่เป็นสารพิษน่ะใช้ก่อนไง ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรนี้มันความคิดนะ แต่เวลาสารพิษเข้าไปในร่างกาย เป็นไรหรือไม่เป็นไรมันจะบอกตรงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิปัสสนาไปมันเป็นผลหรือไม่เป็นผลมันจะบอกตรงนั้น ตรงว่าเวลาวิปัสสนาไป ความปัญญามันไป นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใช้ปัญญา เราก็ใช้ปัญญาแล้ว ปัญญาของเราจะฆ่ากิเลสได้ไหม? ปัญญาของเรา ปัญญาของกิเลสพาใช้ กับปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาใช้น่ะ มัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นธรรมจักร จักรอันนี้มันเคลื่อนไป มันเป็นไปธรรมชาติของมัน

ถ้าธรรมชาติของมัน เกิดขึ้นสภาวะของมัน เราจะเข้าใจคำบรรยาย มันจะเห็นสัจจะความจริง นี่สุตมยปัญญาส่วนหนึ่ง จินตมยปัญญาส่วนหนึ่ง ภาวนามยปัญญานี่อธิบายกันปากเปียกปากแฉะก็อธิบายไม่ถูก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ จำได้ก็เหมือนกับฉลากยานั่นล่ะ อ่านแต่ฉลากยา ไม่เคยเปิดขวดยาเข้าปาก

ยารักษาโรค ทั้ง ๆ ที่ธรรมโอสถมีมาตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว ห้าพันปีนี้ยานี้มันก็มีคุณภาพคงที่ของมัน แต่คนอยากเปิดขวดยาไม่ได้ คนจะไม่เข้าใจขวดยา คนจะไม่เข้าใจศาสนา คนจะไม่เข้าใจ ดูปัจจุบันนี้ ทำไมต้องทำให้ทุกคนมีความทุกข์? ทำไมต้องทำให้ตนลำบากเปล่า? นี่มัชฌิมาปฏิปทา นี่อัตตกิลมถานุโยค ถ้าจะเป็นความเพียรอัตตกิลมถานุโยคทั้งหมดเลย

แต่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนะ เรื่องของความพอใจ สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์กับเราหมดเลย แต่มัชฌิมาปฏิปทานี่เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันต้องเป็นสัจจะความจริงของมัน เหมือนสารเคมี สารเคมีที่บริสุทธิ์ สารเคมีที่สะอาด เวลาเขาทดลองวิทยาศาสตร์ไปผลออกมาตามค่าของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาสัจจะความจริงเกิดขึ้นมาโดยอริยสัจ มันเกิดขึ้นมาของมันในหัวใจนี่ มันจะออกค่าของมัน ไม่ใช่ของเราเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอรหันต์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ใครทรมานมา ใครทรมานมา” ใครทรมานหมายถึงว่าเกิดจากใจดวงนั้น เกิดจากขวดยาขวดนั้น เกิดจากขวดยานั้น คือหัวใจนั้นมันเปิดขวดที่ขั้วหัวใจนั้น แล้วมันกรอกยาเข้าไปในขั้วหัวใจนั้นไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเกิดจากฐีติจิต เกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากฐานที่ตั้ง นี่วิปัสสนากันไปนะ ขนาดเราเอาอาหารใส่ปาก ถ้ามันเข้าปากมันจะเข้ากระเพาะ ถ้าเราเอาอาหารใส่ช่องจมูก เอาอาหารใส่ช่องหู มันจะเข้าไปในปากเราได้ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมัชฌิมาปฏิปทา ในเมื่อปัญญามันไม่เกิด มันก็เป็นอันว่าเป็นการคาดหมายไป เป็นการคาดหมายไปนี่มันเอาอาหารเข้าปากไม่ได้ ในเมื่อมันเกิดปัญญาไม่ได้ มันจะไปเกิดมรรคญาณได้อย่างไร? มันจะไปชำระกิเลสได้อย่างไร? หรือว่าใช้ปัญญา ๆ เราวิปัสสนามาแล้ว นี่เป็นวิปัสสนา เกิดดับ ๆ วิปัสสนาจนเข้าใจปลอดโปร่ง แต่กิเลสเต็มหัวใจ เพราะอะไร?

เพราะมันหินทับหญ้าไว้ไง ใช้จินตมยปัญญากดไว้ ถ้าเกิดไปกระทบสิ่งใดมันก็ฟูออกมาโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้ามันใช้ปัญญาเข้าไปนี่เปิดปากขวด ขั้วหัวใจนั้นเปิดออกมา แล้วละลายยาออกมา ปัญญาชอบ เพียรชอบ งานชอบ มันจะเข้าไปทำลายเชื้อโรคในขั้วหัวใจนั้น ถ้าทำลายขั้วหัวใจนั้น มันเห็นสภาวะสัจจะความจริงของมันทั้งหมด

ถ้ามันเห็นสภาวะสัจจะความจริงของมันทั้งหมด นี่ดั่งแขนขาด เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด พอขาดออกไป กิเลสขาดออกไปจากใจ มันจะมีอะไรในหัวใจนั้นล่ะ ในเมื่อเชื้อมันโดนทำลายไปแล้ว มันจะมีไปได้อย่างไร มันมีไม่ได้ใช่ไหม? ถ้ามีไม่ได้เวลากระทบสิ่งใดมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา มันก็เหมือนกับเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ นั้นล่ะ มันไม่มีความรู้สึกหรอก เจ้าของเครื่องมือสื่อสารนั้นเก็บประโยชน์จากเครื่องมือสื่อสารนั้นเท่านั้นเอง

นี่ก็เหมือนกัน พระอรหันต์ ขันธ์ก็คือขันธ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่มันไม่มีตัวสืบต่อ ไม่มีตัวทำให้เกิดดับ มันเกิดดับธรรมชาติของมัน มันเป็นเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น มันถึงเป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันเป็นขันธ์ มันเป็นสิ่งที่เกิดมีอยู่ มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง จิตอันนั้นพ้นจากสมมุติไป มันเป็นวิมุตติอีกอันหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่นี่ จิตอันเดิมนี่แหละ จิตที่ว่ามันทุกข์ ๆ อยู่นี่ จิตที่ว่าเป็นขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ที่เป็นขี้ละลายอยู่นี่ เอาขี้ไปละลายหัวใจนี่มันทำลายไม่ได้นี่ แล้วมันทำลายเข้าไป

มันจะเห็นสัจจะความจริงของมัน มันถึงเข้าใจว่าการกระทำอย่างนี้คนที่ในเมื่อมือมีสารพิษอยู่ ยังเปิบอาหารที่เป็น... อาหารที่บริสุทธิ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบริสุทธิ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวดยานี่บริสุทธิ์ เพราะอะไร? เพราะเวลาเขาจะเอายามาจำหน่าย เขาต้องทำความสะอาด เขาต้องตรวจสอบของเขาตลอดเวลา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ทุกคน ทุกลัทธิ ทุกสังคม ได้ตรวจสอบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันยังยั่งยืนมา จนการพิสูจน์มาสองพันกว่าปี สิ่งนี้บริสุทธิ์แน่นอน แต่มือที่เปื้อนด้วยสารพิษ พอเปิบขึ้นมามันเจือปนด้วยสารหนูต่าง ๆ ที่ในมือเรา แล้วเรากลืนกินเข้าไปนี่ มันจะไหม้ปากนะ มันจะไหม้ปาก ไหม้ลำคอ ไหม้ไปทุกอย่างเลย

แต่คนปฏิบัติมันไม่รู้ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม นี่มันว่าง มันพอใจ มันว่าง ว่างอะไร? ว่างเป็นอจินไตย ความว่างนี้เป็นอจินไตยนะ อจินไตย ๔ เห็นไหม พุทธวิสัย กรรม โลก กับฌาน ฌานคือความว่างไง มันเป็นความว่างอยู่แล้ว ดูสิ อวกาศมันก็ว่าง โลกนี้ก็ว่างธรรมชาติของเขา แต่มันมีประโยชน์อะไร?

ถึงบอกไงเรื่องของร่างกาย เรื่องของวัตถุ มันเป็นสภาวะของมัน ดิน น้ำ ลม ไฟ มันแปรสภาพ เวลาพายุมันเกิด ความสมบูรณ์ของมัน เกิดพายุขึ้นมามันทำลายทั้งหมดราบเป็นหน้ากลองไปเลย แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา มีแต่ทำความเสียหาย ทำลายบ้านเมืองทำความเสียหาย แต่มันจะไปให้ความชุ่มชื่นกับแผ่นดิน ไปให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มันเจริญงอกงามขึ้นมาใหม่ อันนั้นเป็นเรื่องของโลกเขา

แต่เรื่องของมรรคญาณมันมีผู้รู้เว้ย! มันมีตัวจิต มันมีความเข้าใจ มันมีเจ้าของมรรคญาณเจ้าของผลประโยชน์นั้น แล้วมันทำลายจิตดวงนั้น ดวงนั้นโดนทำลายด้วยมรรคญาณอันนี้ วิมุตติมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ใครเป็นเจ้าของ อยู่ที่ความเป็นไป หัวใจสำคัญอย่างนี้ไง ร่างกายนี่วันคืนล่วงไป ๆ ร้อยปีพันปีก็แล้วแต่ คนต้องเกิดต้องตาย มันก็เป็นสภาวะของมันอย่างนั้น

แต่หัวใจนี่ การสะสมการวิปัสสนานี่ เขาถึงอวยพรกันไง ให้เกิดมาในศาสนาพุทธ ให้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามันมีตั้งแต่การทำทาน การทำทานคือการพาหะ เราสร้างรถสร้างเรือของเรา เราจะไปไหนล่ะ จะไปทางน้ำเราก็ลงเรือ จะไปทางบกเราก็ไปรถ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมพาไปสวรรค์ ชั้นไหนล่ะ นี่เป็นพาหะพาไป ถึงพาไปแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นจรวด ยานอวกาศที่จะพาให้สูงกว่านั้นก็สร้างขึ้นมา แต่มันไปสร้างขึ้นมาแล้วเราคนที่ว่าเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเขา เพราะเขาต้องการใช้ปัจจัย ๔ นี่เขาก็ไม่เห็นประโยชน์ของเขาใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขาคิดไม่ถึง เขาไม่เห็นประโยชน์ของเขา เขาก็ไม่ได้ประโยชน์ของเขา แต่คนที่อยากจะพ้นจากทุกข์ มันมีประโยชน์ มันเข้าใจ มันจะรักษา จะแสวงหา การแสวงหานี้ มันถึงว่าเป็นการปฏิบัติ มันถึงเป็นการย้อนกลับมาชำระใจของเราเอง มันถึงว่าเป็นงานส่วนบุคคล อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่ความเป็นไปของใจ แล้วย้อนกลับมาทำใจของเรา สมบัติอันนี้มันจะมีวัตถุดิบคือหัวใจ แล้วก็มีมรรคญาณทำลายหัวใจอันนั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมากับใจของเราเอง มันถึงยืนยันว่าใจมีคุณค่าที่สุด เอวัง