เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องข้างนอก ดูสิ อย่างคนเรานี่สังคม สังคมเกิดจากไหน เกิดจากหมู่บ้าน หมู่บ้านรวมกันขึ้นมาเป็นประเทศชาติ เป็นตำบล เป็นอำเภอ เห็นไหม เราก็เหมือนกัน จากภายนอกจากภายใน เราคิดกันเองนะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า “การแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญาๆ เราก็เข้าใจว่าเป็นปัญญาๆ กันหมด สิ่งใดก็เป็นปัญญา”

ปัญญานะ อย่างเช่นอาหาร ถ้ามันมีสารพิษ เรากินเข้าไปมันเป็นถึงกับเสียชีวิตได้นะ แล้วถ้าเราไม่รู้ นี่อวิชชาเป็นแบบนี้ไง เราตักอาหารเข้าปาก เราว่านี่เป็นอาหารนะ อาหารที่ว่าเรากินอยู่ทุกวัน แต่ถ้าเกิดมีใครวางยาพิษ เราไม่รู้ว่าเป็นยาพิษนะ อวิชชาคือมันไม่รู้สิ่งที่มันแฝงมาไง

นี่ก็เหมือนกัน ที่ว่าอวิชชาที่เราว่าเป็นอวิชชาๆ ต้องเป็นวิชชา วิชชาคือปัญญา คือความรู้ เราว่ามีปัญญากัน คนถ้ามีการศึกษามากขนาดไหน และคนที่ไม่มีการศึกษาแต่เขาใช้ประสบการณ์ของเขานี่นะมันดีได้และเลวได้ทั้งคู่แหละ มีการศึกษาก็ดีได้และเลวได้ ไม่มีการศึกษาก็ดีได้และเลวได้ ถึงบอกว่ามีปริยัติ มีปฏิบัติ มีปฏิเวธะ มันต้องมีการปฏิบัติ

การปฏิบัตินี่ ใช่ มันต้องมีใช้แผนที่เครื่องดำเนิน แต่ในการปฏิบัติคือการเหมือนกับอาหาร เห็นไหม มันจะสุกได้มันต้องใช้ความร้อนของมัน การปฏิบัติคือตบะธรรมไง มันต้องมีตบะธรรมอีกตัวหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเราใช้ปัญญาๆ ปัญญาของเรานี่มันเป็นปัญญาโดยอวิชชานะ อวิชชาเจือมาตลอด

ดูสิ เราอยู่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยนะ คนที่ว่าถือตัวถือตนว่ามีปัญญาๆ นี่ โง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ โง่เพราะอะไร โง่เพราะตัวเองไม่รู้ตัวเองหนึ่ง โง่เพราะว่าตัวเองโดนอวิชชา คือความที่มันบังที่ไม่รู้บางอย่างมันหลอกไง ความไม่รู้บางอย่าง อย่างเช่นที่ว่าสารพิษในอาหาร เรารู้ได้อย่างไรว่าอาหารนี้มีพิษ เรากินเข้าไปโดยเราไม่รู้ว่าอาหารเป็นพิษนะ เสร็จแล้วพอมันออกฤทธิ์ขึ้นมา เราก็ตาย

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเราให้มันใช้ เราใช้ของเรา เห็นไหม เราว่าเป็นปัญญาของเรา เราทำอะไรไปเราว่าเป็นประโยชน์ของเรา ประโยชน์ของเรานะ ประโยชน์ของเรา ประโยชน์ในปัจจุบันนี้ไง ประโยชน์ที่เราได้ผลประโยชน์ เราคิดสิ่งใดเราวางโครงการแล้ววางแผน แล้วพอบริหารจัดการได้สภาวะแบบนั้น เราได้ประโยชน์ในปัจจุบันนี้ แต่! แต่มันไปสร้างเวรสร้างกรรมให้ใครขนาดไหนเราไม่รู้ สิ่งที่เราไม่รู้ เห็นไหม ปัญญาอันนี้ต่างหาก ปัญญาที่ว่าเราต้องรู้เท่าทันตนเอง นี่มันได้มาโดยธรรม

ถ้าได้มาโดยธรรม ขณะที่เราได้มาโดยธรรม ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เผยแผ่ธรรมอยู่ ผู้ที่เขาไม่เห็นด้วยเขาจ้างคนมาด่า จ้างคนมาต่อว่า จ้างคนมาอะไร เพื่ออะไร ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้นนะ ทำเพื่อโลกนะ แต่แรงต้านจากโลกมันก็มีอยู่

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำ เราเป็นครูเป็นอาจารย์ หน้าที่ของครูบาอาจารย์ อย่างครูบาอาจารย์เราที่ออกไปช่วยโลก เขาจะต่อต้านนั้นมันเรื่องของเขา อันนั้นเป็นเรื่องของเขานะ แต่ถ้าในเรื่องของเราล่ะ เรื่องของเรานี่ไม่ได้ เรื่องของเราคือภาวนามยปัญญา ถ้าเรื่องของเรานี่ต้องสะอาดบริสุทธิ์ อย่างสารเคมี ถ้าเราจะคิดทดลองวิทยาศาสตร์ ถ้าสารเคมีนั้นไม่บริสุทธิ์นะ สารเคมีไม่สะอาดนะ การทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นมันจะบิดเบี้ยวไป

นี่ก็เหมือนกัน ในการวิปัสสนาของเรา ในการใช้ปัญญาของเรา เราว่าเป็นปัญญาๆ อวิชชาที่มันต่อเนื่องไปตลอด เหมือนสวะนะ สวะอยู่ในน้ำ น้ำมันน้อย สวะเราก็อยู่ที่ต่ำ ถ้าน้ำมากขึ้น มันก็ดันสวะขึ้นมาด้วย

การปฏิบัติของเรามันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปนะ ไม่ใช่เราปฏิบัติแล้วมันจะไม่มีสิ่งเจือปนมา เพราะอะไร เพราะอวิชชาพาเกิด มันมีเจือปนมาในตัวของเรา ความคิดของเรา ความเห็นของเรา มันต้องเจือปนไปตลอดไป ถ้ามันเจือปนตลอดไปมันไม่มัชฌิมาปฏิปทาไง ถ้าไม่มัชฌิมาปฏิปทาภาวนามยปัญญามันเกิดไม่ได้ไง ภาวนามยปัญญามันเกิด เห็นไหม คำว่า “ภาวนามยปัญญาเกิด” นี่คืออะไร คือโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมกับโลกียธรรม

โลกียธรรมนี่ศึกษาได้ ว่าเราศึกษา เรามีความรู้ เราต่างๆ อย่างนี้เป็นปัญญา สังคมต้องมีการศึกษา ถูกต้อง! สังคมต้องมีการศึกษา การศึกษานี่ทำให้ประเทศชาติเจริญ ทุกอย่างต้องเจริญหมด เพราะถ้าเรารู้ทุกอย่างแล้วเราจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขา

ดูสิ ดูการตื่นคนสิ คนตื่นคนเพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าใจ มันถึงว่ามันยังตื่นเต้นไปกับเขา วุฒิภาวะของสังคมมีสูงมีต่ำมันสภาวะแบบนั้น นี่วุฒิภาวะทางสังคม ถ้ามีการศึกษา ทำยกวุฒิภาวะสังคมสูงขึ้น สูงขึ้นกิเลสมันสูงขึ้นตาม กิเลสมันสูงขึ้นตาม! กิเลสมันเอารัดเอาเปรียบตาม

คนยิ่งรู้มาก คนยิ่งคดโกงมาก ดูสัตว์นะ สัตว์มันรังแกกัน มันมีแต่เขี้ยวเล็บมันทำลายกัน แต่คนเวลารังแกกัน เห็นไหม มันคดมันโกงจนหมดเนื้อหมดตัวนะ ตามไปยึดถึงบ้านถึงช่อง ยึดได้หมดเลยเพราะอะไร เพราะเขาวางแผนของเขา เห็นไหม นี่คนเรามันทำลายกันได้มากขนาดนั้นนะ

คนถ้าเป็นคนดี ดีสุดๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว “มนุษย์ที่ได้ดัดแปลงตนเองแล้วนี่ประเสริฐที่สุด” แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาฟังธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังธรรมกับครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ถ้าได้ดัดแปลงตน แล้วดัดแปลงด้วยอะไร ด้วยธรรมวินัยไง

ถ้าเราเห็นสิ่งที่เป็นของเล็กน้อย สิ่งที่ไม่มีคุณค่า เราเองจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าสิ่งที่มีคุณค่า เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างหลวงปู่มั่นท่านว่า แม้แต่อักษร ตัวอักษรเฉยๆ ที่สื่อออกมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมครูบาอาจารย์เรากราบเคารพบูชาขนาดนั้น แล้วทำไมธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เคารพบูชา มันจะเป็นของเล็กน้อยไปได้อย่างไร ข้อวัตรปฏิปทาเครื่องดำเนินนี่ไม่ใช่ของเล็กน้อยหรอก การตั้งสตินะ มันเป็นการตั้งสติ เป็นการทดสอบไง

ดูสิ ดูอย่างนักเล่นกีฬา เทนนิส เขาเล่นเทนนิสกันนี่ คนที่จะเล่นได้ครั้งแรกเลย เขาต้องทำอะไร เขาตีเทนนิสเข้ากำแพงนะ เพื่อให้ย้อนกลับมา เพราะการฝึกครั้งแรกเขาต้องฝึกกันอย่างนั้นทั้งนั้นล่ะ ฝึกเพื่อจะให้ตีลูกเป็น เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นของเล็กน้อยไหม? การฝึกฝนมันเริ่มต้นมาจากตรงนั้นไง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราเป็นของเล็กน้อย เป็นการฝึกสติไง ถ้าเราขาดสติ เราไม่มีสติสตังเลย แต่ปัญญาของเราปัญญาโดยอวิชชามันบอกว่านี่เรารู้มาก เรารู้ไปหมดเลย เราครอบคลุมไปหมดเลย แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเราก็ไม่ได้สร้างอะไรเลย แม้แต่ลูกเทนนิสที่ตีเข้าไปกำแพง มันสะท้อนกระดอนกลับมาเรายังไม่เห็นลูกเลย เรายังไม่รู้จักอะไรเลย แต่เราว่าเรารู้ เห็นไหม นี่อวิชชาเป็นอย่างนั้น

อวิชชามันครอบงำเรา ไม่ใช่อวิชชาเป็นสิ่งที่ไม่รู้นะ เรานึกอวิชชาเหมือนก้อนหินไง มันไม่รู้อะไรเลย มันนอนเป็นก้อนหิน มันไม่มีความรู้สึก มันเป็นสิ่งที่ไม่รับรู้นี่คืออวิชชา ถ้าวิชชาล่ะ วิชชาคือความคิดของเรานี่ไง นี่โง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เห็นไหม ไอ้ที่ความคิดของเรานะอวิชชาทั้งหมด เพราะอะไร เพราะมันเกิดจากตัวตนของเรา มันเกิดจากความคิดของเรา มันเป็นโลกียะ มันเป็นอวิชชาล้วนๆ ที่ว่าเป็นปัญญาๆ ที่คิดกันอยู่นี่เป็นอวิชชาล้วนๆ

ดูสิ ดูการศึกษาเล่าเรียน เห็นไหม ถ้ามันเป็นปัญญา เป็นวิชชานี่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ พระเราจะไม่มีความเสียหายเลยเพราะอะไร เพราะเราเรียนกัน เห็นไหม ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค ๑๐๐ ประโยค แต่การประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างไรล่ะ ปัญญาท่วมหัวแต่อวิชชาทั้งหมดไง แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แหละ ศึกษาพระไตรปิฎกนี้แหละ นี่มันเป็นธรรม แต่กิเลสมันแอบอ้าง

นี่โง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ เอาสิ่งนี้นะ หมาห่มหนังเสือไง เอาหนังเสือมาห่ม เวลามันเห่าออกมาก็เป็นเสียงหมานั่นแหละ แต่ถ้ามันเป็นเสือ เห็นไหม มันออกมานะ บันลือสีหนาทออกมามันเป็นเสือ มันออกมาจากปากของเสือ เห็นไหม เสียงคำรามจะเป็นเสือไง นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันออกมาเป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นโลกุตตรธรรม มันจะไปชำระกิเลสได้ไง มันจะไปควบคุมอวิชชาตัวนั้นได้ไง

มันถึงว่าปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ว่าปัญญานะ เราว่าปัญญาเป็นความเข้าใจผิดนะ เป็นความเข้าใจผิดไปหมดเลย พระป่า พระที่ประพฤติปฏิบัติ นั่งหลับหูหลับตานี่มันจะไปรู้อะไร ต้องมีการศึกษา ใช่.. ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ การศึกษาแน่นอน แล้วเราก็ศึกษามาพอแรงแล้ว ขนาดอุปัชฌาย์ เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าใครตีแตก อันนี้สุดยอดของมนุษย์ เพราะอะไร มนุษย์มันติดกัน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจเท่านั้นแหละ

แต่พระไตรปิฎก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ย้อนกลับมา เริ่มตั้งแต่ทานก่อน เห็นไหม ให้ทานก่อน ให้หัดตีเทนนิสเข้ากำแพงก่อน ให้รู้จักสละทานก่อน แล้วให้มีศีล เห็นไหม มีทานก็ขึ้นไปในสวรรค์ เวลาสละทานกัน ทำบุญกุศลมันขึ้นไปสวรรค์ เห็นไหม

เรื่องของสวรรค์ เรื่องของเนกขัมมะ เรื่องของสิ่งต่างๆ นี่มันจะเรื่องต่างๆ สุดท้ายแล้วจิตควรแก่การงาน เพราะเห็นอะไร เห็นเวียนว่ายตายเกิดไง ทำบุญก็ไปบนสวรรค์ ตายแล้วก็กลับมาเกิดสภาวะแบบนั้น เห็นไหม แล้วก็เรื่องของศีล ศีลเป็นปกติของใจ แล้วก็เรื่องของปัญญา เห็นไหม ปัญญามันจะเกิด เกิดต่อเมื่อเราสลดใจว่าการกระทำอย่างนี้มันก็เป็นการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นการหมุนเวียนไป แล้วที่จะไม่หมุนเวียนล่ะ? สิ่งที่เป็นประโยชน์ในศาสนาล่ะ?

ในศาสนาของเรื่องอริยสัจ เรื่องของธรรม ธรรมนี้มันแก้กิเลสได้ แล้วเราทำไมไปลูบไปคลำกันล่ะ ไปลูบไปคลำว่าปัญญาอย่างนี้ปัญญาที่รู้เท่ารู้ทันเขา ปัญญานะ ปัญญาโดนอวิชชาหลอกทั้งหมดเลย ปัญญาโดนความคิดของตัวมาหลอกลวงตลอดไปเลย แล้วเวลามันมีสติ มันก็ควบคุมตัวเองได้ เวลามันขาดสติ มันก็ไปได้หมดเลย

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ว่าขาดสติเหรอ เวลาเทศนาว่าการนะ อันนั้นมันธรรมออกมา เห็นไหม ในเมื่อไฟมันเกิดขึ้น ในเมื่อการดับไฟ น้ำมันต้องมากกว่าไฟ มันถึงจะดับไฟได้ไง ในเมื่อไฟมันเกิดขึ้น แล้วไฟมันเผาไปทั้งหมดเลย เผาไปทั้งประเทศชาติ เผาไปทั้งหมดเลย แล้วจะเอาน้ำแค่ขันเดียวไปสาดไฟอันนั้น มันเป็นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาธรรมมันออก นี่คือกระแสของธรรมมันออกไป มันต้องยับยั้งได้ มันต้องเตือนสติได้ มันต้องทำสิ่งนั้นได้ สิ่งที่ธรรมมันออกไปแล้วมันไม่ใช่กิเลสหรอก มันเป็นธรรม เห็นไหม นี่สอุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กิเลสและไม่ใช่ธรรม จิตต่างหาก ความรู้สึกต่างหาก มันมีกิเลสมันมีธรรมอันนั้น

แต่ถ้าอวิชชามันครอบงำจิตตัวนั้น การแสดงออกอันนั้นมันเป็นน้ำเน่า มันเป็นการเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก เป็นการหลอกลวง เป็นการลวงโลก สิ่งที่ลวงโลกแสดงออกมา เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงออกไป แต่อวิชชาในหัวใจมันเป็นการลวงโลก

แต่ถ้าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เห็นไหม ขันธ์ ๕ เหมือนกัน การแสดงออกเหมือนกัน แต่หัวใจนั้นบริสุทธิ์ มันการแสดงออกของธรรมนี่ มันไม่ลวงโลกหรอก มันเป็นสัจจะความจริง มันเป็นอันที่เตือนสังคม

ดูสิ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม พระอานนท์บอกเลย “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ดวงตาของโลกดับแล้วนี่เพราะอะไร เพราะมันเป็นการเตือนโลกโดยไม่มีการเคลือบแฝงไง และดวงตาของโลกส่องให้โลกนี้สว่างไสว ส่องให้โลกนี้ความเข้าใจ เข้าใจในเรื่องของตัวเองนะ

เรื่องของโลกเราก็มองกันว่าเรื่องของโลก คือการสังคม สิ่งที่ภายนอก สังคมมันจะดีหรือไม่ดี มันวุฒิภาวะสังคมอยู่ที่การศึกษา อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นพระ ถ้าเป็นผู้ที่ชาวพุทธเรามีศีล ๕ ทั้งหมด สังคมมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมากเลย แม้แต่ของวางไว้ก็ไม่มีการหาย ของลืมไว้ที่ไหนก็ไม่มีการหาย

แต่นี่มีการฉกชิงวิ่งราวกันเพราะอะไรล่ะ เพราะมันเป็นศีลที่ปากไง มันไม่เป็นศีลที่ใจไง ถ้าเป็นศีลที่ใจนะ ความคิดจะเอาของเขามันสะเทือนใจแล้ว แม้แต่ยื่นมือ ความคิดจะเกิดขึ้นในใจมันก็รู้ทันแล้ว แล้วมันจะยื่นมือหยิบของเขาได้อย่างไร มือนี่หยิบของเขาไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะสิ่งในหัวใจมันยับยั้งไว้ แต่นี่มันบอกศีลที่ปากไง เวลาเราว่าถือศีลกัน แต่มือมันหยิบของเขามานะ มันเอาใส่กระเป๋ามา มันยังบอกไม่ใช่เป็นศีลๆ ยังบริสุทธิ์อยู่เลย

นี่มันถึงว่าสิ่งที่เป็นปัญญาๆ เราเข้าใจว่าเป็นปัญญานี่ ปัญญาของเรากิเลสพาใช้นะ นี่คืออวิชชา ความคิดเรานี่อวิชชาทั้งหมดเลย แล้วถ้ามันเป็นวิชชาล่ะ ถ้าจะเป็นวิชชานะ ต้องทำความสงบของใจก่อน ถ้าทำความสงบของใจก่อน ถ้ากิเลสมันไม่สงบตัวลงเป็นสมาธิไม่ได้ สิ่งที่เป็นความฟุ้งซ่าน สิ่งที่เราเป็นภาระ สิ่งที่เป็นความเครียด สิ่งที่เป็นภาระหนักในหัวใจนี้คืออวิชชา คือกิเลสทั้งหมด แล้วถ้ามันไม่สงบตัวลงมันจะเป็นสมาธิได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้! ถึงต้องทำความสงบก่อนไง ถึงต้องทำความสงบสมถะก่อน ให้มันเป็นสิ่งความสงบ

เหมือนกับเราปรับพื้นที่ เราจะสร้างบ้านเราต้องปรับพื้นที่ก่อน เช่น เรามีที่ทาง มันเป็นป่ารกชัฏ เราจะปลูกบ้านสร้างเรือนเราต้องปรับพื้นที่ก่อน การปรับพื้นที่นี่สัมมาสมาธิ แล้วถ้าเราสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา นั่นน่ะปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นมา เราต้องปรับพื้นที่ก่อน แต่เราไม่ได้ปรับพื้นที่เลย แล้วมันมีแต่ต้นไม้ป่ารกชัฏหมดเลย เราจะทำอะไรลงไป สิ่งนั้นมันขัดแย้งอยู่ตลอดไป แล้วสิ่งนี้มันมีอยู่ในหัวใจไง

สิ่งที่กิเลสกับเรา คนที่เกิดมาทั้งหมดต้องมีกิเลสทั้งหมด แล้วเกิดมาแล้ว ถ้าไม่ได้ดัดแปลงตนมันก็ยังมีกิเลสอย่างนี้ตลอดไป ทำบุญขนาดไหนมันก็คร่อมป่าอันนั้นไว้ คร่อมป่ามีอวิชชาอยู่ มันยังพาเกิดพาตายอยู่ตลอดไป เห็นไหม ทำบุญกุศลมหาศาล ทำดีขนาดไหน มันก็เกิดก็ตายไปเพราะไอ้ป่ารกชัฏนั้นยังไม่ได้ดัดแปลงมัน

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันชั่วคราว เห็นไหม ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ความสงบอย่างนี้ เวลาเกิดก็เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นพรหมเพราะอะไร เพราะจิตมันเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตเป็นหนึ่งเดียว จิตนี้หนึ่งเดียว มันเกิดเป็นพรหม

แต่ถ้ามันสร้างบ้านสร้างเรือนของมัน คือมรรคญาณเกิด นี่โลกุตตรปัญญามันเกิดตรงนี้ อริยสัจเกิดตรงนี้ วิปัสสนาเกิดตรงนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ปัญญาๆ” ปัญญาตรงนี้ ครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติ ปัญญาตรงนี้ไง ปัญญาที่หลับตา ปัญญาที่ไม่ได้ใคร่ครวญไปโดยใช้สมอง ปัญญาจะเกิดจากใจ ปัญญาจะเกิดจากธรรมชาติของมัน ปัญญาจะเกิดจากนี่ อันนี้มันจะเข้าไปชำระกิเลสไง เราถึงต้องดัดแปลงตนไง

ดูเขื่อนมันพังเพราะตามด เขื่อนมันพังเพราะรอยรั่วรอยร้าว เห็นไหม มนุษย์นี่ไม่เห็นสิ่งใดๆ เป็นความสำคัญเลย ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมและวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ จะไม่เห็นความสำคัญเลยเพราะอะไร เพราะกิเลสมันขี้เกียจ มันขี้คร้าน มันจะเอาเปรียบเขา มันจะหลบหลีก มันจะไม่ต้องการทำสิ่งใดๆ เลย นี้คือการพ่ายแพ้ตนเอง นี่คือการโง่กับตัวเอง แต่คิดว่าตัวเองฉลาด

แต่ถ้าเราทำทุกอย่างสิ่งที่มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เราจะฉลาดเพราะเราจะปิดตามด เราจะปิดรอยร้าว เราจะไม่ทำสิ่งใดเลย เราจะสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้เป็นประโยชน์ กักเก็บสัมมาสมาธิได้ตลอด กักเก็บความเป็นไปของใจได้ตลอด เราจะปรับพื้นที่ได้ตลอด สิ่งที่กักเก็บอย่างนี้มันเอาชนะตนเอง

ข้างนอกดูว่าเสียเปรียบ เราว่าเราเสียเปรียบสังคม เราเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส แต่ความจริงนะเป็นผู้ชนะสังคม เห็นไหม เราเป็นผู้ให้เขาตลอดไป ดูสิ ดูที่ว่าเวลาพระอินทร์นะ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“พระอินทร์มีไหม?”

“อย่าถามว่าพระอินทร์มีไหมเลย เหตุให้เกิดพระอินทร์ยังมีเลย” เห็นไหม ทำสาธารณะประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคม นี่ได้เกิดเป็นพระอินทร์เพราะอะไร เพราะเราให้ความสะดวกกับเขา เราให้สิ่งต่างๆ ขณะที่ปัจจุบันเขาได้ใช้ของเรา เวลาดับขันธ์ไปแล้วนะ เขาจะเป็นขี้ข้าเรา เขาจะเป็นสิ่งที่เราบังคับบัญชาเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราให้เขาเราว่าเสียเปรียบๆ มันจะได้โอกาสข้างหน้านะ แล้วถ้ามันย้อนกลับมา ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติมันจะเข้าไปชำระความเป็นไปของใจ เราปรับพื้นที่ ทำป่ารกชัฏ เห็นไหม ตัดป่า แล้วเราจะสร้างบ้านแปลงเมืองของเราขึ้นมาด้วยสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิขึ้นมานะ มันมีกิเลส มันมีอวิชชาเจือปนไป ถ้ามีอวิชชาเจือปนไปมันไม่มรรคสามัคคี มันไม่เป็นอริยสัจโดยธรรมจักร โดยอาสวักขยญาณ ญาณอันละเอียดบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาจากฐานของจิตที่หัวใจเราที่พยายามปรับแปลงตนกันอยู่นี้

ถ้าใครสามารถปรับแปลงตนได้ ดูสิ ดูที่เขาพยายามจะสร้างนิวเคลียร์กัน เห็นไหม เขาต้องสกัดสารยูเรเนี่ยมต่างๆ เขาสกัดกันเพื่อมาทำระเบิด แต่ภาวนามยปัญญานี่เป็นปัญญาของหัวใจ มันในหัวใจของเรานะ มรรคญาณ อริยสัจ นี่ทฤษฎีสัมพันธ์นะ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาร ปจฺจยา วิญฺญาณํ มันทำลายกันอย่างไร นิวเคลียร์มันระเบิดนี่ เวลาว่าเป็นทฤษฎีสัมพันธ์นะ เขาบอกอธิบายได้ แต่ขณะที่มันจุดตัวทำลายกัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้นะ

แต่ในการวิปัสสนาเราล่ะ เราจะเห็นว่าเราทำลายกิเลส มันจะเห็นว่ามันทำลายอย่างไร อาสวักขยญาณเกิดขึ้นจากหัวใจอย่างไร แล้วมันจะทำลายกิเลสได้อย่างไร ปัญญาอันนี้จะเกิดขึ้นมาจากเรา อยู่ในหัวใจของเรา อย่าไปหาข้างนอก หาในหัวใจนี้ เอวัง