เทศน์เช้า

เทศน์ก่อนเวียนเทียน (วันวิสาขบูชา)

๑๒ พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์ก่อนเวียนเทียน (วันวิสาขบูชา)
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรามันมีความคิดไง ตั้งใจนะ! ทำใจสบายๆ การฟังเทศน์! การฟังเทศน์เราเอาความรู้สึกเราไว้กับตัว เวลาเราอยู่โดยปกติ เวลาเราจะภาวนา เราต้องกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เพราะเป็นคำบริกรรม ถ้ามีคำบริกรรม ความรู้สึกมันมีที่เกาะ ถ้ามันมีที่เกาะมันก็เกาะพุทโธ พุทโธ หรือถ้าลมหายใจอย่างเดียวก็ดูลม ตั้งสติไว้กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นี่จิตมันมีที่เกาะไป ที่เกาะไว้นะ เพราะมันไม่มีที่เกาะมันก็ไปประสาตามความรู้สึกของเขา

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะฟังเทศน์นะ เราตั้งความรู้สึกไว้เฉยๆ ถ้าเราเอาความรู้สึกเราไปจับกับคำพูด คอยจะฟังว่าจะฟังทันหรือไม่ทัน มันส่งออกไง เหมือนกับเรามีเครื่องรับวิทยุ เราเปิดวิทยุของเรา ถ้าคลื่นมันดี มันจะเข้ามาในเครื่องเอง

เวลาฟังเทศน์ เราตั้งสติไว้เฉยๆ เสียงจะมากระทบหูเอง แล้วเวลากระทบหู ความรู้สึกไง ถ้าสิ่งใด คำพูดใด คำพูดคือธรรมะไง ธรรมะคือสิ่งที่ว่าออกมาจากใจของผู้ที่แสดงธรรม ถ้ามันสะเทือนใจเรา เห็นไหม คำสองคำนี่มันจะมีความรู้สึกขนพองสยองเกล้าเลย นี่คำสองคำนี่มันสะเทือนใจ เหมือนกินอาหารนะ เรากินอาหาร เห็นไหม ถ้าเราอิ่มคำไหนเราก็อิ่มท้องใช่ไหม?

นี่คำเดียวแต่มันสะเทือนหัวใจ มันแผ่ซ่านไปหมดเลย มันเหมือนกับเราอิ่มไง เราไม่ต้องไปกังวลนะ ว่าเราฟังเทศน์เราจะจำเนื้อหาให้หมดเลย เรากลัวว่าเราจะไม่รู้เนื้อหาสาระ เราจะไม่ได้ธรรม เราไปกังวลอย่างนี้มันทำให้เครื่องรับของเรานี่ไม่ปกติ สรรพสิ่งต่างๆ มันไม่ปกติ เครื่องรับมันก็ไม่ปกติ

ถึงกับเราตั้งสติไว้เฉยๆ เสียงของธรรมจะเข้ามากระทบโสตประสาทเราเอง แล้วสิ่งใดที่มันดูดดื่ม กินใจ อันนั้นสะเทือนหัวใจของเรา

สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้คืออาหารของใจไง อาหารของร่างกายคือคำข้าว เห็นไหม เวลาเราร้อนเรากระหาย เราก็กินน้ำ แต่หัวใจเวลามันทุกข์นี่นะ มันไม่มีอะไรเข้าไปยับยั้งมันได้เลย ยิ่งทุกข์ยิ่งคิดถึงความทุกข์ ความทุกข์ก็เหยียบซ้ำลงไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น ธรรมะเป็นอย่างนี้ไง ที่เรามีธรรมะอย่างนี้ขึ้นมาเพราะเรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วแม่ เห็นไหม ความปรารถนาของพุทธมารดาต้องปรารถนา ปรารถนาสร้างบุญกุศลจะได้เป็นพุทธมารดา เป็นมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท้อง คลอดแล้วก็เสียชีวิตไป เพราะจะมีได้องค์เดียว คือมีเจ้าชายสิทธัตถะได้องค์เดียว เห็นไหม เสียชีวิตไป นี่แม่เสียชีวิตไป อยู่กับพ่อ พ่อกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา

สิ่งที่เลี้ยงดูมาเพราะอะไร เพราะเราเกิด นี่ใครมีลูกมีเต้าก็อยากให้สืบสกุลสืบสิ่งต่างๆ แต่สืบสกุลมันได้ชั่วอายุคน แต่ถ้าได้บรรลุธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เกิดวันนี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วอยู่ในกับโลกมา เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา อยู่กับโลกเขาแต่เห็นไม่เหมือนเขา เห็นไม่เหมือนเขาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นดำรงชีวิต แล้วมันก็เกิดตายเกิดตาย เหมือนกับเห็ดนะ เห็ดเวลามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม พอชั่ววันหนึ่งมันก็หล่นไป ผักหญ้าชีวิตมันก็สั้นลง เห็นไหม แล้วเวลาเป็นต้นไม้ล่ะ มันก็มีอายุมากขึ้น

ชีวิตคนก็เหมือนกัน เกิดตายเกิดตายอยู่อย่างนี้ แต่เราก็ว่าสิ่งนี้เราพึ่งประสบ เราก็ตื่นเต้นกับชีวิตของเรา เราต้องการให้ชีวิตเรานี่มั่นคงๆ มั่นคงขนาดไหนมันก็ต้องเป็นกาลเป็นเวลาของเขา ต้องตายไป เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะมองเห็นมุมมองต่างกับโลกเขา ถึงออกแสวงหาไง ออกแสวงหาประพฤติปฏิบัติธรรมจนวันนี้บรรลุธรรมนะ

วันนี้! เกิดก็วันนี้ เกิดในธรรมก็วันนี้ เกิดในธรรมถึงมีธรรมะ ธรรมะคืออาหารของใจ เวลาหิวมีเวลากระหาย เวลาทุกข์นี่ทุกข์มาก แล้วสิ่งใดๆ จะเข้าไป เพราะมันไม่เข้าใจ เหมือนกับเรานี่เป็นไข้ เราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเราก็พยายามจะรักษาตัวเอง ก็เอาของแสลงให้กินตลอดเลย แล้วคิดว่ามันเป็นยาไง มันจะรักษาได้ไหมล่ะ? มันรักษาไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทุกข์กัน เราพยายามจะแก้ไขไง ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องพยายามเอาสิ่งที่ว่ามันพอใจ ต้องเติมไป ตัณหาความทะยานอยากนะ เวลาไฟลุก เราเอาเชื้อไฟพรมเข้าไปในกองไฟ ไฟมันจะดับได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่เราก็คิดกันว่าเราจะช่วยรักษากัน เอาแต่เชื้อไฟสุมเข้าไปในกองไฟ ในกองไฟมันก็มีแต่ความเร่าร้อน เพราะเราคิดไม่เป็น เราไม่รู้จักความเป็นจริงว่าอะไรคืออะไรไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม เห็นไหม ตัณหาความทะยานอยากมันเป็นสมุทัย มันเหยียบย่ำหัวใจสัตว์โลกทั้งหมดเลย แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแก้ไขตรงนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เผยแผ่มาให้กับพวกเรา พวกเราถึงจะมี จะมีแต่ฉลากยา พระไตรปิฎกนี่เป็นฉลากยา เรามีแต่ฉลากยากัน แล้วก็ศึกษากัน

ดูสิ ในความเป็นอยู่ของเราใครจะไม่อยากสะดวกไม่อยากสบาย เห็นไหม วัดทั่วไปเขาก็สะดวกเขาก็สบาย มีความสว่างไสวของเขา แต่อย่างนั้นมันทำให้นอนใจ เห็นไหม วัดที่ประพฤติปฏิบัติ เรื่องของโลกเขาไม่ใช่ปฏิเสธนะ ไม่ใช่คนขวางโลกหรอก คนขวางโลกคือคนไม่เข้าใจตามความเป็นจริง แต่คนที่เป็นผู้ที่เห็นโทษเห็นภัย สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับแสงสว่าง ประโยชน์กับความสะดวกสบาย แต่หัวใจมันเร่าร้อนนะ

ถ้าหัวใจมันเร่าร้อน มันอยู่กับธรรม ธรรมชาตินะ ธรรมชาติ เห็นไหม ค่ำมืดก็ตามแต่ธรรมชาติของมัน เพราะอะไร เพราะว่าหัวใจมันดีดดิ้น มันไม่พอใจของมัน นั้นคือกิเลสไง เวลาสัตว์เขาอยู่ในป่าของเขา ชีวิตของเขา เห็นไหม เผ่าพันธุ์ของเขาเขาไม่สิ้นไปเลย ทำไมมนุษย์กลัวตายนัก? ทำไมมนุษย์กลัวลำบากลำบนนัก? กลัวลำบากลำบนก็ปรนเปรอมัน เห็นไหม ของแสลง เอาของแสลงเอาสิ่งที่เข้าไปเหยียบย่ำหัวใจของตัว ยังไม่เข้าใจนะ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาอยู่ ๖ ปีนะ พยายามค้นคว้าขนาดไหนมันไม่ถึงที่สุดใช่ไหม? เวลามันถึงโคนต้นโพธิ์ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เห็นไหม เป็นปัจจุบัน แล้วก็ค้นคว้าเข้ามาจากภายใน สิ่งที่เป็นภายในนะ อยู่โคนต้นโพธิ์เป็นธรรมชาติ อัพโภกาสิกังคะ เราถือธุดงควัตรกัน เห็นไหม อยู่ในที่โล่งในที่แจ้ง เราอยู่ในที่อับที่ชื้นมันภาวนาได้ยาก เราอยู่ในป่าในเขา สิ่งใดที่มันเป็นเหตุที่ว่าคนไม่อยากไป ที่สงัดไง ที่ควรแก่การงาน

นักกีฬาเขาจะเล่นกัน เขาต้องมีสนามฝึกซ้อมของเขา เราจะทำหน้าที่การงานของเรา เราต้องมีสถานที่ทำงานของเรา พระปฏิบัติ พระที่จะพ้นจากกิเลสก็ต้องหาสถานที่ชัยภูมิควรแก่การงาน ที่สงัด ที่วิเวก ไปเที่ยวป่าช้า ใครจะไม่เอากันนะ เขาไม่ชอบหรอก ที่ไหนที่มันน่ากลัวน่าวิเวก แต่พระต้องการอย่างนั้น

เพราะยิ่งเข้าไปความคิดมันยิ่งดีดดิ้น คนเรานี่เวลาเข้าไปที่ไกล มันจะมีความดีดดิ้นของมัน นี่เราไปดูใจของเราไง ไปดูตัณหาของเราไง ตัณหาความทะยานอยากที่มันบอกมันรักตัวมันเองนัก มันต้องการความดำรงชีวิตของมัน เวลาเข้าไปทำไมมันกลัวล่ะ? ทำไมมันมีการแสดงตัวล่ะ? นี่เพื่อจะชำระสิ่งนั้น

ถึงว่าเราไม่ต้องการความสะดวกสบายสำหรับร่างกาย เราต้องการความสะดวกสบายสำหรับการประพฤติปฏิบัติ เราถึงแสวงหาสัปปายะ สิ่งที่เป็นเรื่องโลกก็เรื่องโลกเขา ไปขวางโลกไม่ขวางหรอก โลกต้องเจริญอย่างนี้ โลกต้องเป็นไปอย่างนี้ ทรัพยากรต้องใช้กันอย่างนี้ มันเป็นไป

แต่ขณะที่เกิดสิ่งนี้วิบัติขึ้นมา คนมีศีลมีธรรมนี่ มีชีวิตอยู่ได้กับเขา กินข้าวก็มื้อเดียว อดอาหาร ๗ วันก็ยังเป็นเรื่องปกติ เห็นไหม เรากินกัน ๓ มื้อ ๑๐ มื้อ เราก็ยังหิวเลย ถ้ามีเหตุภัยพิบัติ ใครจะดำรงชีวิตได้มากกว่ากัน? สิ่งนี้มันฝึกมาไง แม้แต่ร่างกายก็ได้ฝึกมาอย่างนี้แล้ว เห็นไหม แล้วถ้าได้ฝึกจิตใจขึ้นมาอีก “อาหารของใจ ธรรมะเป็นอาหารของใจ”

เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชาคือวันกำเนิดของศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ศาสนาพุทธถึงเกิดขึ้นมามีพระพุทธเจ้า คือมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมขึ้นมา แล้วเผยแผ่ธรรมไปไง มีผู้เห็นดีด้วย อยากประพฤติปฏิบัติ เห็นภัยเห็นโทษ พยายามประพฤติปฏิบัติด้วย จนพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นตาม เห็นตามนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงเกิดขึ้นมาจากในโลก แล้วในโลกนี้ ดูสิ ศาสนาเสื่อมไป ถ้าเราเป็นปกตินะ เราห่มผ้าเราไปในสังคม เราจะอายเขาไหม?

การดำรงชีวิตอย่างนี้ทุกคนมันจะปฏิเสธไปเรื่อยๆ ไง แล้วศาสนธรรมมันอยู่ในหัวใจของผู้ที่ทรงธรรมนะ มันละเอียดกว่านั้นอีก ละเอียดกว่าการดำรงชีวิตอย่างนี้ แต่เราก็มองกันในปัจจุบันแล้วนะ จะอยู่กันได้อย่างไร ศาสนาจะเสื่อมเสื่อมอย่างไร คิดกันไปแต่เรื่องของประเพณีวัฒนธรรม แต่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกเลย ไม่ได้คิดถึงเนื้อหาสาระของธรรม

เนื้อหาสาระของธรรมคือความรู้สึกที่ทุกข์และสุขนี้ แล้วความที่ทุกข์สุขมันเกิดเพราะอะไร แล้วจะทำกันอย่างไร แล้วจะบริหารอย่างไร จะควบคุมอย่างไร จัดกระบวนการของมันจนถึงที่สิ้นสุดของความรู้สึกไม่มีเลย เป็นแต่สักแต่ว่าทำธรรมชาติของเขาอยู่อย่างนั้น สิ่งนี้เป็นธรรมะนะ ธรรมอันนี้

เราถึงเคารพไง เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนาจะเสื่อมจะเจริญที่ไหนมันเรื่องของอนิจจัง เห็นไหม เรื่องของโลกมันเป็นอย่างนี้ เพราะกระแสของโลกเป็นไปอย่างนั้น นี่ในวัฏฏะก็จะเป็นอย่างนี้

ถ้าเราเกิดมาในปัจจุบันนี้ เราตักตวง เรามาเวียนเทียนกัน เรามาระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อให้หัวใจเรามีจุดยืนไง คนจะดีนะ คนที่มีจุดยืน คนที่รู้จักตัวเอง เขาจะรักษาตัวเขาได้ คนที่ไม่รู้จักตัวเอง พึ่งแต่คนอื่น เห็นไหม อยากจะหวังพึ่งคนอื่น แล้วก็ไม่มีใครให้พึ่งได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักตัวเราเอง เรารักษาตัวเราเอง ความรู้สึกอันนี้มันรู้สึกอยู่ ถ้าลมหายใจขาดไป มันต้องตายไป จิตนี้ก็ออกจากร่างนี้ไป จิตนี้ไม่เคยตาย ความรู้สึกนี้ตายไม่ได้ มนุษย์นี่ คนนี่ตายได้ สัตว์ตายได้ แต่จิตนี้ไม่เคยตายๆ พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้จากการประพฤติปฏิบัติ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งใดจะเป็นเครื่องรองรับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

หัวใจ ความรู้สึก เวลาทุกข์นี่มันทุกข์แสนสาหัส เวลามันสุขมันก็ติดสุขของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่สิ่งนี้มันทำให้จิตนี่ สิ่งที่รับรู้อย่างนี้มันก็เวียนไปในวัฏฏะ แต่ถ้ามันข้ามพ้นทั้งสุขข้ามพ้นทั้งทุกข์ ทุกข์ก็ต้องข้ามพ้น สุขก็ต้องข้ามพ้น สุขมันเหยื่อล่อ สิ่งที่เหยื่อล่อ ล่อให้มาติดให้มาพอใจอย่างนี้ แล้วมันปลดเปลื้องได้ทั้งหมดนะ แล้วอะไรมันเหลืออยู่?

สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้สึกอันนี้ สิ่งนี้มันมีอยู่ มันถึงตายไม่ได้ไง มันถึงพิสูจน์ได้ไง การพิสูจน์ได้อย่างนี้ นี่สัจธรรมมีอยู่ แล้วมีอยู่ในตัวเรา

เรานี่ไปตื่นเต้นกับทางวิทยาศาสตร์มาก ทางโลกนี่ไปตื่นเต้นกันมาก ว่าโลกเจริญ เทคโนโลยีเจริญมาก ไปกับเขานะ แต่ลืมตัวเองไง คอมพิวเตอร์ขนาดไหน ที่มันจะคิดได้ขนาดไหน มันจะสร้างสถานการณ์ได้ขนาดไหนแล้วแต่เขาจะวิจัยกัน นั้นมันเป็นคนไปคิดมัน คนไปทำมันขึ้นมา แต่มันไม่มีหัวใจนะ มันไม่มีความรู้สึกหรอก แต่หัวใจเรานี่มีความรู้สึก แล้วถ้าพิจารณาเข้าไปนะ สิ่งที่มันสะสมมามากกว่าคอมพิวเตอร์นะ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นเข้าไปในจิตนี่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลายเลย แต่ขณะที่เราภาวนากันไม่เป็น เราอยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็มีข้อมูลแม้แต่สัญญาความคิด มันก็มีขณะนี้

สิ่งที่สำคัญคือหัวใจไง คือความรู้สึกอันนี้ไง นี่ศาสนาเน้นตรงนี้ แต่! แต่ถ้าผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติหรือประพฤติปฏิบัติโดยสัญญา มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น สิ่งนี้มันถึงมีคุณกับเรา เราถึงเคารพ เราถึงซึ้งถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “วันเกิด วันตรัสรู้ วันปรินิพพาน”

เรามีพ่อมีแม่นะ พ่อแม่เรานี่เลี้ยงดูเรามา ทำให้เรามีอาชีพ ทำให้เราเกิดมา เรายังเคารพพ่อแม่เราเลย แล้วนี่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลี้ยงทั้งใจไง เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เห็นไหม เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งครูบาอาจารย์ เลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ

เพราะ! เพราะบวชเข้ามาในศาสนานี่เป็นศากยบุตร เห็นไหม ออกบิณฑบาต ชาวบ้านเขาอุตส่าห์ทำบุญของเขา ใส่บาตรมหาศาลเลย นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยก็เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ แล้วยิ่งประพฤติปฏิบัติเข้าไปเห็นจากภายในนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากหัวใจเรานี่เลย ทำไมจะไม่เคารพ? ทำไมจะไม่ซึ้งกว่าพ่อแม่ของเรา? เพราะพ่อแม่ของเราก็กราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกัน เราก็กราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกัน แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจของเรานี่ ศาสนานี่แปลกมาก มหัศจรรย์มาก แต่เรามองข้าม เราไปเชื่อสิ่งต่างๆ

ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ทุกคนต้องแสวงหาแล้วก็ทิ้งไว้ในโลกนี้ ต้องตายไป แต่ถ้าเราเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วเราแสวงหาอีกอันหนึ่งคือความรู้สึกอันนี้ได้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรามาก ประโยชน์กับเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนมีความเข้าใจรักตน ตนจะเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อตน เอวัง