เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ มี.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องของเราคือเรื่องของความรู้สึก เรื่องใจไง เรื่องใจของเราเวลามันสุขมันทุกข์ อันนี้มันสุขมันทุกข์ เห็นไหม ดูสิ ใจอยู่ในร่างกายนี้ แล้วเรื่องของโลกคือเรื่องของประเทศชาติ เราอยู่ในประเทศชาติเราก็ต้องรับผิดชอบไปตามประเทศชาติ เพียงแต่ว่าเราจะมีจุดยืนอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไรในเรื่องอย่างนั้น ถ้าเรามีความสามารถเราก็ทำได้ ถ้าเราไม่มีความสามารถ เราก็ทำประสาเรา นี่คือมุมมอง มุมมองคือผลไง

ดูสิ เวลาเราทำกัน เห็นไหม เรื่องของโลกนี่ปัจจัยเครื่องอาศัย เราพยายามหาปัจจัยเครื่องอาศัยสำหรับดำรงชีวิตเรา แต่เราลืมไปไง ปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะเป็นประโยชน์ได้ต่อเมื่อเราใช้สอยมันนะ ถ้าเราไม่ได้ใช้สอยปัจจัย ๔ มันเป็นเรื่องของวัตถุ มันก็อยู่กับโลกนี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยใครเป็นคนอาศัยมัน ก็คือเรา แล้วเราคืออะไร? เราคือใจ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีเรา เราไปใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น นี้ปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็เพื่อดำรงชีวิตใช่ไหม

แต่เรื่องของผลของมัน ผลของสุขผลของทุกข์มันอยู่ที่ใจ ปัจจัยเครื่องอาศัย ดูสิดูคนทุกข์คนยากก็อยากจะใช้อาศัยให้มันพอไป แต่คนที่เขาอยู่กับโลกมานี่เขาใช้พอประทังชีวิตนะ พอประทังชีวิตไป เพราะอะไร? เพราะสิ่งนั้นถ้าเราใช้มากเกินไป มันจะเป็นโทษกับร่างกาย ถ้าเราใช้ให้พอประมาณ มันจะเป็นประโยชน์กับร่างกาย ถ้าเราใช้พอเพื่อเป็นเครื่องดำรงชีวิต

ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระสิ โลกนี้เขากินเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อลาภยศของเขา สมณะนี่เขากินเพื่อดำรงชีวิต เห็นไหม การกินของเราไม่ได้กินเป็นภาระรุงรัง ดูสิดูคนที่เขามีเกียรติและศักดิ์ศรี เขากินอาหารข้างถนนไม่ได้นะ เขาต้องไปกินในร้านอาหารของเขา เพราะอะไร? เพราะเขามีเกียรติ เขาลดเกียรติของเขาลงมาไม่ได้

แต่ของเรา เห็นไหม ของเราเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตอะไร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาออกไปบิณฑบาตขึ้นมานี่ ดำรงชีวิตไปอย่างนั้น ถ้าเราดำรงชีวิตของเราเพื่ออะไร? เพื่อให้หัวใจดวงนี้มันมีความสุขไง มันไม่เป็นภาระรุงรังนะ เวลาเราทุกข์เรายาก เราอยากจะสะสม เราต้องมีคลังต้องมีอะไรเพื่อจะสะสมอาหารนั้นไว้ แต่เรื่องการสะสมต้องไปดูแลมัน ต้องไปรักษามัน มันเป็นภาระมาก

แต่ถ้าเรามีเฉพาะปากเฉพาะท้อง ดูสิเวลาเราออกธุดงค์ไป บริขาร ๘ ออกธุดงค์ไป นี่ชีวิตนี้ฝากไว้กับสิ่งที่ธรรมะ จะมีหรือไม่มีอยู่ที่กรรม อยู่ที่การกระทำของเรา ดูพระสีวลีมีบุญกุศลมาก ไปที่ไหนมีแต่ลาภสักการะมหาศาลเลย พระบางองค์มันไป เห็นไหม มันทุกข์มันยาก อย่างนี้มันอยู่ที่การกระทำของเรา เราออกไป เห็นไหม เราออกไปบิณฑบาต ผิดกาลผิดเวลาเขาก็ไม่ได้ใส่บาตรให้เราอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปเขาฉุกคิด เขาจงใจมาใส่บาตรกับพระองค์นั้น นี่คือกรรมไง การกระทำสิ่งนั้นมา เราถึงฝากไว้กับการกระทำของเรา เราไม่ใช่ไปกักตุนสิ่งใดๆไว้

เวลาเราออกธุดงค์ ออกหาสัจธรรมในหัวใจของเราไง เวลาเราออกธุดงค์นะ ธุดงค์ไปเพื่ออะไร? เพื่อไปหาใจนะ ทั้งๆ ที่ใจอยู่ในร่างกายเรานี้ แต่เราหาไม่เจอ ต้องออกธุดงควัตร ต้องออกไป เหมือนกับอะไรนะ นี่เขาถามว่า “เขาก็เป็นคนดีแล้ว เขาก็ปล่อยวาง แล้วทำไมเขาต้องมาประพฤติปฏิบัติให้ยุ่งยากไปอีก”

นี่ความคิดของโลกเป็นอย่างนั้นไง เขาไม่ได้แสวงหา เขาไม่ได้ทำสิ่งใดๆ เลย แล้วเขาบอกเขาปล่อยวาง การปล่อยวางแบบนี้ปล่อยวางแบบกิเลสไง กิเลสมันพาให้ปล่อยวาง มันว่าสิ่งนั้นปล่อยวาง ทั้งๆ ที่กิเลสมันซ่อนอยู่ในหัวใจนั้นนะ มันเหมือนกับน้ำเสีย น้ำเสียเขาไม่ได้ทำการบำบัดน้ำเสีย มันจะเป็นน้ำสะอาดมาได้อย่างไร? มันปล่อยวางอยู่ มันก็นิ่งของมันอยู่อย่างนั้น แต่มันนิ่งโดยน้ำเสีย สิ่งนั้นมันไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าเราบำบัดน้ำเสียขึ้นมาให้เป็นน้ำสะอาดขึ้นมา น้ำสะอาดมันจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลย

นี่ก็เหมือนกัน ความว่าง ที่ว่าเขาบอก ว่างๆ ก็สบายอยู่แล้ว เขาไม่ต้องทำอะไร นี่กิเลสมันหลอก กิเลสมันต้องการ พญามารมันต้องการพื้นที่ ต้องการที่อาศัยของมัน เพราะกิเลสมันอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกนะ มันอยู่ในหัวใจของสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์มนุษย์ สัตว์เทวดา สัตว์อินทร์ สัตว์พรหม นี่กิเลสมันอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก ถ้ามันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มันก็ต้องเอาสิ่งนี้เป็นที่อาศัยของมันใช่ไหม

แล้วเวลาธรรมะนี้ว่างแล้วๆ ว่างแล้วเราก็เผลอใช่ไหม เราก็เชื่อกิเลสว่าสิ่งนี้เราว่างแล้ว เราพอใจแล้ว นี่มันยังพาเกิดพาตาย แต่ถ้าเรามีความสงบของเรา เราทำคำบริกรรมของเรา เห็นไหม

นี่เขาภาวนามา เขาบอกว่าเขาดูจิตไปเฉยๆ นี่นามรูป ดูจิตเขาเฉยๆ แล้วก็แช่อย่างนี้ไปหลายๆ ปีเลย หลายๆ ปี

เราบอก นี่ก็มันปล่อยวางอย่างนี้มันเป็นมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิก็ได้ มิจฉาสมาธิก็ได้ ถ้ามันปล่อยวางอยู่ มันแช่อยู่ มันไปไหนไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้มีการกำจัดการหมุนเวียนของออกซิเจนเข้าไปในน้ำนั้น

ถ้าคำว่าออกซิเจนในน้ำนั้นมันคืออะไร? มันคือคำบริกรรมไง พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ มันต้องมีการไหลเวียน ต้องมีการบำบัดมัน ถ้าบำบัดขึ้นมานี่จากความว่างๆ ที่ว่ากิเลสมันพาว่าง ถ้ามันเป็นธรรมพาว่างนะ เป็นสัมมาสมาธินะ มันจะมีสติสัมปชัญญะ สติมันจะมีพร้อมไป มันจะมีความสุขของมันตลอดไป มันจะมีความรู้สึกของมันตลอดไป ไม่ใช่ว่างๆ แช่ไว้นะ แช่ไว้ว่างๆ นะ แต่จริงๆ แล้วมันขัดเคืองใจนะ กิเลสอย่างละเอียดมันขัดข้องในหัวใจ หัวใจนี้มันขัดข้อง ว่างก็ว่างอยู่ มันก็อย่างนี้แล้วทำอย่างไร? เอ่ยมานี่ มันขัดมันข้อง มันขัดข้องในหัวใจตลอดไป นี่มันคืออะไร? นี้มันคือนิวรณ์ไง คือความลังเลสงสัย คือความไม่รู้สิ่งใดๆ เลย

อวิชชา อวิชชารู้แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง รู้ๆ อยู่ แต่รู้อะไรก็ไม่รู้ นี่สิ่งนี้มันแช่ไว้ ถึงบอกว่าต้องมีคำบริกรรม แต่เขาบอกว่าคำบริกรรมนี้มันไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ใช้ปัญญา เราใช้ปัญญาออกไป แล้วนี่เราพิจารณาของเราเป็นปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาแบบโลกๆ ปัญญาแบบโลกียปัญญา ปัญญาแบบสังคม ปัญญาแบบกิเลสพาใช้

ถ้ากิเลสพาใช้นะ ดูสิดูคนที่เขามีปัญญา ดูเขาโกงกินกันน่ะ เขาใช้อะไร เขาไม่ใช้ปัญญาหรือ เขาใช้วิธีการของเขา เห็นไหม ปัญญานี้มันมาทำลายตัวเองไง ทำลายตัวเองให้เป็นโทษ ทำลายตนเองให้เอาเปรียบเขา สังคมนี้มันเป็นบาปอกุศล มันไม่เป็นบุญกุศลหรอก ถ้าเป็นปัญญาล่ะ ดูปัญญาของเรา เห็นไหม

ดูสิ รัฐบุรุษของเราแต่ละบุคคลในโลกนี้ เขาทำไว้เพื่อโลก เขาแบกรับภาระของโลก เขาดูอนุชนรุ่นหลังว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรไป เขาเองเขาไม่ได้ประโยชน์ เขาใช้ปัญญาเหมือนกัน ปัญญาเพื่อสังคมโลก ปัญญาเพื่อสิ่งที่มนุษย์ชาติจะได้อาศัยสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นมา อันนี้เป็นประโยชน์ของเขา นี่คือปัญญาทางโลกนะ ปัญญาทางโลกคือว่ามันเป็นปัญญาหยาบๆ ไง มันย่อยสลายเข้ามาเป็นปัญญาละเอียดไม่ได้

ถ้ามันจะย่อยสลายเข้ามาเป็นปัญญาละเอียด เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างขันธ์ ๕ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญาคือความจำได้หมายรู้ สังขารคือความคิดความปรุงความแต่ง นี่มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณของมนุษย์ สัญชาตญาณของการสื่อสารกัน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของการสื่อสารกันในโลกมนุษย์ เป็นโลกียปัญญา แต่ถ้าอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญานัง มันก็เป็นสังขารอันหนึ่ง แต่สังขารนี้มันละเอียดเพราะอะไร? เพราะมันเป็นปัจจยาการ มันเป็นวงในไง เช่น เราจะสื่อสารสิ่งใด เราต้องสั่งการก่อนใช่ไหม สั่งการแล้วก็ออกไปตามสื่อสารมวลชนต่างๆ จะแพร่กระจายข่าวออกไป

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของใจ อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญานัง มันเป็นปัจจยาการของมัน ถ้าปัจจยาการของมันมันมีความอยากอะไร มันก็เคลื่อนไหวออกไป มันก็เสวยอารมณ์ เสวยออกมามันก็เป็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็สื่อออกมา แล้วเราก็อยู่กันแบบเปลือกๆ อย่างนี้ อย่างนี้ถ้าเราตั้งใจขึ้นมา มีสติขึ้นมา สิ่งนี้สงบเข้ามา.. สงบเข้ามา.. มันก็เป็นสัมมาสมาธิไง คือมันมีสิ่งที่เป็นความว่างที่มันจะน้อมไปวิปัสสนา มันมีกำลังของมัน แล้วปัญญาอย่างละเอียดมันจะเกิดอย่างนี้ นี่ปัญญาอย่างละเอียดที่ย่อยสลายเป็นปัญญาละเอียด ปัญญาแก้กิเลส

สิ่งนี้มันไม่มองกัน มันไม่เข้าใจกัน มันถึงเอาแต่ธรรมะหยาบๆ มา แล้วก็มาฟาดฟันกัน เวลาเกิดมานี่มีขวานกันคนละเล่มคือปาก เอาปากถากถางกัน เอาปากโต้แย้งกัน เอาปาก...แต่ถ้าเอาหัวใจล่ะ เอาความรู้สึกย้อนกลับมาในหัวใจ สิ่งนี้มันเป็นปัญญาจากภายใน มันแก้กิเลสอย่างนี้ไง นี่ที่ว่าละเอียด เห็นไหม

ดูสิเรามองออกไปข้างนอก ปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็อาศัยของร่างกาย แล้วนี่ความสุขของจิตล่ะ ความสุขนี่วิญญาณ วิญญาณาหาร ความรู้สึกเป็นอาหารของใจ ความรู้สึกนะ ความสุขความทุกข์เป็นเวทนา เป็นขันธ์ มันเป็นความรู้สึกอันหนึ่ง ไม่ใช่ตัวใจ มันเกิดมันดับอยู่ แล้วมันเป็นอาหารของใจ ถ้าอาหารนี้อาหารที่มันเป็นประโยชน์ อาหารที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อาหารที่เป็นความถูกต้อง

ปัญญาอย่างนี้มันจะย้อนกลับมา รักษาใจดวงนี้ขึ้นมาได้ แล้วคนนั้นจะเป็นคนที่นิ่ง คนที่รู้เท่าความคิดของตัวเอง สิ่งใดๆ ที่เขาจะมาหลอกลวงเรา มันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาจะมาหลอกลวงเราไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงเราก็รับรู้ไปกับเขา นี่เรื่องของโลก นี่ที่ว่าคนที่เข้าใจโลก เราจะช่วยโลกขนาดไหน เราจะเป็นปัญญาขนาดไหน

ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนั้น เราอยู่ในสังคมนี่ เกิดมานี่ผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายเป็นผลของวัฏฏะ คนสร้างเวรสร้างกรรมมาด้วยกันมันจะมาเกิดในยุคในคราวเดียวกัน ยุคคราวเดียวกันมันเป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของการเกิด อย่างเช่นสวนผลไม้ เราปลูกเป็นสวนๆ ไป สวนนี้ปลูกมะม่วง มันจะเกิดในรุ่นเดียวกัน เพราะคนปลูก เราไปปลูกมันเป็นสวนของเรา เราแยกเป็นโซนๆ โซนนี้เป็นผลชนิดนี้ๆ แล้วบำรุงรักษา

“กรรม” เป็นเจ้าของสวน กรรมคือตัวเรา กรรมคือตัวจิต จิตนี้มันปลูกขึ้นมาเห็นไหม แล้ววาระมันไปเกิด.. เกิดในวัฏฏะ เกิดในวาระ เราเกิดในสวนนั้นๆๆๆ สวนนั้นมันมีประโยชน์อย่างนี้ เกิดขึ้นมาแล้วในสวนนั้น ผลไม้ในโลกเขาขาดแคลน ผลไม้เรานี้มีน้อย จะมีราคามาก เราจะได้กำไรมาก

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาในยุคใดส่วนใด สังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมทุกข์ยากมาก ทุกข์ยากแดดร้อน อย่างนี้มันอยู่ที่การเกิด เห็นไหม การเกิด กรรมพาเกิด แล้วเกิดมานี่ผลของวัฏฏะ แล้วเราเกิดมาเจอสภาวะแบบนี้เราก็ต้องเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจสิ่งนั้น นี่ผลของวัฏฏะ แล้วเราเกิดมาสภาวะแบบนี้ แล้วประโยชน์ล่ะ ประโยชน์อย่างน้อยๆ เราจะทำสวนของเรา เราจะรักษาโคนต้น เราจะลดน้ำของเรา นี้คือเรื่องอีกอย่างหนึ่ง เราจะดูแลของเรา เราจะทำของเรา มันเป็นของเขานะ มันเป็นจังหวะ มันเป็นโอกาส โอกาสที่ว่าขณะที่เรารดน้ำต้นไม้ เรารักษาของเรา ผลยังไม่ออก เราจะเอาอะไรไปขายเขา เราจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ขนาดที่ว่าเรามีลูกมีหลาน ลูกหลานมาเยี่ยมมาเยียนเรานี่ ผลไม้ดกเต็มต้นเลย ลูกหลานมาเก็บกินผลไม้นั้น มีแต่ความสุขมหาศาลเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาในสังคมใด สังคมนั้นมีผลไหม สังคมนั้นมีประโยชน์กับเราไหม เราเกิดมาทุกข์ยากขนาดไหน เกิดมามีคุณงามความดีขนาดไหน นี่สังคมภายนอกนะ แล้วสังคมในหัวใจล่ะ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เห็นไหม ไม่คบคนพาล คบคนพาล เราว่าเราคบเพื่อน คบคนพาล สังคมเป็นคนพาล สังคมเป็นคนไม่ดี สังคมอย่างนั้น เราก็คบไป แต่นี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่พาลในหัวใจล่ะ เราไม่มีเวลา เราทำคุณงามความดีไม่ได้ ดูสิเราเกิดมาเราทุกข์มันยาก เขาเกิดมามีความสุขความเจริญ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น อันนี้มันเป็นผลการกระทำของเขา นี่ๆ พาล มันพาลแล้ว มันพาลให้ใจเราเดือดร้อน พาลใจเราไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ เราเกิดมาแล้วเรามันเป็นอย่างนี้ เราไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ เราโต้แย้ง มันจะสร้างกรรมไปข้างหน้านะ

ถ้าคบบัญฑิตล่ะ คบบัณฑิต เห็นไหม กรรมพาเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์แสนประเสริฐ เพราะอะไร? เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีกายกับใจ เราทำคุณงามความดีก็เป็นเรื่องของโลก ถ้าเราทำวิปัสสนาของเราขึ้นมาเป็นผลงานของเรา จะนั่งอยู่โคนไม้ เขาอยู่บนหอปราสาท เขาจะร่ำรวยขนาดไหน เขาไม่ได้ทำบุญกุศลของเขาเลย เขาก็เกิดมาเสียชาติเกิด

เราเกิดมาทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าเราเกิดมาแล้วเราหากินปัจจัยเครื่องอาศัยตามประสาเรา แล้วเราพยายามทำความสงบของเราขึ้นมา เราอยู่โคนต้นไม้ เราทำความสงบของเรา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์เลย เห็นไหม นี่คบบัณฑิต บัณฑิตจะทำให้เราไม่เดือดร้อน บัณฑิตจะทำให้เราไม่ไปโต้แย้งกับใคร สังคมก็ส่วนสังคมสิ เราก็คือเราสิ ในเมื่อหัวใจเรานี่ โลกของเรา

โลกทัศน์ภายใน เห็นไหม ภายในมันเกิดขึ้นมาแล้ว คบบัณฑิตแล้วบัณฑิตพาไปไหนล่ะ บัณฑิตพาไปหาผล ผลการเกิดขึ้นมาอยากให้มีความสงบร่มเย็นของใจ เราจะไม่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาของสังคมเลย เราจะเป็นคนดี คนดีเพราะอะไร? เพราะในเรื่องสังคม เราคบบัณฑิตในหัวใจเราดี หัวใจเราเป็นบัณฑิต หัวใจเรารู้จักความรู้สึกของเรา รู้จากหัวใจของเรา แล้วเราจะไปเบียดเบียนคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจของเราเป็นใจที่ดี หลักฐานของใจเป็นคนที่ดี บัณฑิตที่ดีในใจของเรา มันรู้เท่ารู้ทันไปหมดเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งให้อีกใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนี้เข้าใจสภาวะจากภายในหัวใจนี่ ทำไมมันจะสอนใครไม่ได้ มันสอนใครได้ทั้งนั้นแหละ จากใจดวงนี้

ถ้าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล ผลคือความสุขสงบร่มเย็นในหัวใจ ถ้าสงบร่มเย็นในหัวใจมาจากไหนล่ะ มาจากการกระทำทั้งหมดนะ ต้องมีกรรม ต้องมีมรรคญาณ ต้องมีมรรคนะ มรรคแบบหยาบๆ มรรคของคฤหัสถ์ เห็นไหม การเลี้ยงชีพชอบ งานชอบ แต่มรรคของใจ ความคิดนี่เลี้ยงใจชอบ ดีชอบ นี่มันจะละเอียดขึ้นมา ถ้ามีมรรคอย่างนี้เกิดขึ้นมา ต้องมีการกระทำ ต้องมีกรรม

ถึงบอกต้องมีการกระทำ ไม่ใช่ไปแช่อยู่นะ อยู่เฉยๆ นี้เป็นความว่าง...ว่างแบบนั้นว่างแบบกิเลสหลอก ว่างแบบกิเลสอ้าง กิเลสเป็นหมาบ้า แล้วมันกัดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมของมัน เห็นไหม แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องมีการเคลื่อนไหว ต้องมีการกระทำ

พระต้องออกธุดงค์ พระต้องออกรักษา ออกค้นคว้าหาใจของตัว ทั้งๆ ที่ใจอยู่กับร่างกายนี้แต่ไม่เคยเจอ หาไม่ได้ ต้องออกธุดงค์เพื่อให้มันทุกข์มันยาก เหมือนกับของ ของที่เราซ่อนไว้ นี่ดูสิอย่างของที่อยู่ในตู้เซฟ ต้องเปิดตู้เซฟต้องเอาของนั้นออกมา ออกมาแก้ไข ออกมาชำระ

นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึก กิเลสมันอยู่ในหัวใจ ต้องจับตัวใจให้ได้แล้วเปิดหัวใจออกมา อะไรมันสะสมอยู่ในหัวใจ หัวใจมันพาเราทุกข์มันยากอยู่นี้ มันคืออะไร? ชำระอย่างนี้ ธรรมแสนประเสริฐเลย มรรคญาณ สิ่งที่เป็นมรรคเป็นอริยสัจนี่สุดยอด สุดยอดแต่มันเป็นความละเอียด มันต้องมีคนรู้แจ้ง ถ้ารู้แจ้งมันจะพากันไปในสิ่งที่ดี พากันไปหาเรื่องของหัวใจของตัว แล้วจะเป็นประโยชน์อย่างละเอียด ประโยชน์จากในหัวใจ ถ้าหัวใจร่มเย็น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เสียอกเสียใจมาก “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ถ้าสิ่งนี้มันจะเป็นดวงตาของโลก มันจะเป็นสิ่งที่สังคมเป็นที่พึ่งอาศัย มันจะเป็นหลักของสังคมไง หลักของสังคมนี่ผู้นำ ผู้นำนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ผู้นำจะเกิดขึ้นมาจากจิตนี้มันสะสมบุญญาธิการาของมันมา ถ้าจิตไม่สะสมบุญญาธิการของมันมา สิ่งที่เทศนาว่าการมานี่ สิ่งที่ความฉุกคิดขึ้นมาจากปัญญาที่ย้อนจากภายใน มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

เรามีแต่คิดจะออกไปข้างนอก คิดแต่จะเอาสถิติ เอาเรื่องของโลก เอาโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนั้นเอามาเทียบเคียงกัน ใครจำได้มาก ใครรู้มาก สถิติอันนั้นเอามาคุยอวดกัน แต่สถิตินี้มาคุยอวดกัน มันก็มีสิ่งที่มันเป็นข้อมูลข่าวสาร

แต่เรื่องจากภายใน เรื่องจากประสบการณ์ตรงอย่างนี้ มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่จะสะสมมาต้องสร้างบุญญาธิการมา มันถึงมีบุญญาธิการอย่างนี้ พละ ๕ พละคือฐานของใจ คือสิ่งที่ย้อนกลับเข้ามา เหมือนของที่ละเอียดอ่อนมาก ดูสิดูอย่างเชื้อโรคเห็นไหม เขาต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เขาถึงจะเห็นได้ของเขา นี่เขาต้องใช้กล้องส่อง ตานี้มองไม่เห็นว่าเชื้อโรคเป็นอย่างไร แต่ถ้าเข้ากล้องจุลทรรศน์มันจะเห็นของมันเลย

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดอย่างหยาบๆ ว่าเป็นสัญญา เป็นกอง เป็นขันธ์ เรายังหาไม่ได้เลย เวลาเราเกิดขึ้นมาเป็นเงานะ ไม่ใช่เรา ความคิดนี้เกิดดับเป็นแขกจรมา เราก็จับมันไม่ได้ เราก็หามันไม่เจอ แล้วความคิดอย่างละเอียด ตัวพลังงานของจิต ตัวอวิชชาปัจจยา สังขารา มันเป็นปัจจยาการ มันไม่ใช่เป็นกอง เป็นขันธ์ ที่มันส่งต่อกัน มันถึงเสวยอารมณ์ไง

ดูสิ ดูแม้แต่ตัวจิตมันเสวยความคิด เสวยอารมณ์ มันยังเป็นชั้นเป็นตอนออกมา แล้วปัญญามันละเอียดเข้าไปอย่างนี้ มันอยู่ที่การฝึกฝนของเรา ถ้าฝึกฝนอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา มันถึงบอกว่าคนเหมือนกับทางโลกเลย ทางโลก เห็นไหม ดูชมรมต่างๆ ชมรมที่เขาเล่นกัน เล่นต่างๆ เขาก็รักสงวนของเขา เขาคุยกันรู้เรื่องนะ แต่ถ้าคนที่ไม่สนใจก็แบบว่าสิ่งนั้นไม่มีค่าเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราไม่สนใจความรู้สึกของเราเลย เราไม่ได้สนใจความคิดของเราเลย ไม่สนใจความสุขความทุกข์ในหัวใจของเราเลย เราไปมองแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย ว่านี่เราจะมีความสุขมากถ้าเราได้สิ่งนั้นๆ มาตอบสนองร่างกายของเรา เราไปมองแต่เรื่องหยาบๆ แต่เรื่องสิ่งที่ละเอียดในหัวใจเราจับไม่ได้ เพระอะไรล่ะ? เพราะบุญญาธิการไม่ได้สร้างอย่างนี้มา มันไม่ได้ฉุกคิดขึ้นมา แต่มันฝึกได้นะ ฝึกได้ด้วยการกระทำ ฝึกได้ด้วยความระลึกรู้ของเรา ระลึกรู้แล้วย้อนกลับเข้ามา

สิ่งที่เราอยู่กันนี่ปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยจริงๆ เราจะไม่มีปัญหากันเลย เรื่องสิ่งที่ของหยาบๆ เราจะจุนเจือกันเพราะอะไร? โทษนะ เราอดอาหารยังได้เลย เราไม่กินยังได้เลย แล้วเวลาสิ่งที่เขาต้องการให้เขาไปเพื่ออะไร เพื่อเราได้สิ่งที่สละออกไป เห็นไหม

ถ้าเราสละข้างนอก มันก็เท่ากับสละข้างใน เพราะอะไร? เพื่อสละทิฏฐิมานะ สละกิเลสออกไป นี่มันไม่มีใครรู้เลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทานๆ เป็นประโยชน์มหาศาลขนาดไหน แต่มันสละด้วยหัวใจหรือเปล่า หรือไปสละเป็นประเพณี สละเป็นหยาบๆ ไป ถ้ามันสละด้วยหัวใจมันก็สละตระหนี่ออกไป เห็นไหม สิ่งนี้สังคมก็จะร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราก็ร่มเย็นเป็นสุข แล้วโอกาสในการประพฤติปฏิบัติดีเพราะอะไร? เพราะจิตไม่กระทบกระเทือนกัน

ในเมื่อไม่กระทบกระเทือนกัน มันก็ไม่มีพลังงาน ไม่มีพลังงานการทำความสงบมันก็ง่าย แต่การไม่มีพลังมากระทบกระเทือนกัน พลังงานมันเกิดแล้ว..พลังงานมันเกิดแล้ว.. คือว่าจิตเสวยอารมณ์ อารมณ์เป็นโทสะ โมหะ ก็แล้วแต่พลังงานมันเกิด ต้องไประงับก่อน เหมือนไฟลุกแล้วเราต้องดับไฟให้ได้ เราต้องเอาน้ำมาสาดมัน ต้องหาอะไรมาสาดมัน กว่าไฟจะดับ กว่าจะทำความสะอาดได้ แล้วเราก็มานั่งภาวนา

ถ้าเห็นคุณค่าประโยชน์อย่างนี้ ความคิดอันละเอียดอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลยนะ ไม่มีการทำอะไรเลยนะ แต่ความคิดมันเป็นอย่างนี้ แล้วปัญญามันไล่เข้าไปอย่างนี้ สิ่งนี้มันเกิดจากความคิดจากภายใน พละ พละคือพลังงานของใจ ใจมีพละมีพลัง มันก็เป็นผู้นำ มันก็เห็นคุณเห็นโทษ แล้วมันก็เห็นคุณเห็นโทษจากหัวใจของเรา แล้วจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง สังคมมันก็ร่มเย็นเป็นสุข

เราสร้างสมบุญญาธิการของเราไป ใครจะเชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา ถ้าพูดไปอย่างนี้เขาบอกว่าเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ พูดไปไร้สาระ นี่เป็นความคิดเห็นไหม ว่าจิตใจหยาบๆ เป็นอย่างนั้น ถ้าจิตใจละเอียดยิ่งพูดมาอย่างนั้น เอ๊ะ! พูดมาได้อย่างไร? เอามาจากไหน? นี่มันเกิดมาจากใจ อยู่ที่มุมมอง อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนา เราเกิดมามีอำนาจวาสนาขนาดไหน เราก็ฝึกฝนของเราไป แล้วจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง