เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ มี.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระต้องทำความสุขใจไง เวลาสุขใจ เวลาสุขเรามีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ เวลาหวั่นไหวไปหวั่นไหวไปกับเขา สังคมเป็นแบบนี้ ถ้าคนที่มีสติปัญญา มันก็ได้มีคติเตือนใจ ถ้าไม่มีคติเตือนใจ เห็นไหม คนไม่เข้าใจก็ไปกับเขา นี่คนที่เห็นกับรัฐบาลมีเยอะมากเลย พวกที่เขาได้ผลประโยชน์จากรัฐบาล คนที่เห็นความสำคัญของการดำรงความมั่นคงของชาติ เห็นแล้วมันก็สลดใจ

นี่ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมาที่เรา บาปและบุญ ถ้าทำบุญกุศลนี่เหมือนกับเราได้ผลจากบุญกุศลของเรา มันก็ของชั่วคราว แต่ถ้าความทุกข์ล่ะ ความลำบากลำบนของเราในหัวใจมันก็กรรม เห็นไหม กรรม แต่วิปัสสนาญาณล่ะ เวลาเกิดอริยสัจ เห็นไหม “ม็อบ” กว่าจะจุดม็อบติดนะ เหมือนกับเราหัดทำสมาธินี่ เราหัดทำเกือบเป็นเกือบตายเลย ความสงบของใจทำแสนยาก เวลาเราไปยื่นข้อเรียกร้องกับเขาแต่ละข้อๆ เขารับข้อเรียกร้องของเราไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราย้อนกลับมาเห็นความเป็นไปของม็อบ เห็นความเป็นไปของสังคมของโลก ดูสิมันน่าเหนื่อยหน่าย มันลงทุนลงแรงกันขนาดนี้ มันยังทำกันได้ยากขนาดนี้ แต่ถ้าใครทำได้มันก็เป็นการช่วยสังคม ช่วยสังคมให้ประเทศชาติมั่นคงต่อไป มั่นคงต่อไปนะ

นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเราถ้าเราวิปัสสนาเป็น กว่าเราจะจุดม็อบได้ กว่าเราจะให้ปัญญาเขา เพื่อให้สังคมเขายอมรับได้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก เพื่อจะรวมพลังงาน ที่เราว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ๆ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำสัมมาสมาธิ เห็นไหม เวลาจิตใจมันต่อต้าน เวลาจิตใจต่อต้าน เวลาเราล้มนะล้มรัฐบาล เราเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ บริหารประเทศใหม่

ไอ้ในหัวใจของเราก็เหมือนกัน เราล้มกิเลส ล้มในหัวใจของเรา มันยากกว่านั้นอีก เวลาภาวนาไปนี่ เรื่องภาวนาของจิตนะ เวลาวิปัสสนาไป ครูบาอาจารย์ที่ผ่านมาแต่ละองค์ๆ มันแสนยากอย่างนี้ แต่เวลาเอามาพูดข้างนอก มันเป็นนามธรรมของแต่ละบุคคล แล้วเราเชื่อได้ไหม ว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นเคยประสบการณ์อย่างนี้มา เวลาครูบาอาจารย์ประสบการณ์อย่างนี้มา มันจะมีจุดยืนของมันนะ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ไม่มีจุดยืนอย่างนี้มา ก็ศึกษาไง เห็นไหม เราศึกษาประวัติศาสตร์สิ ศึกษา ๑๔ ตุลาคม ๑๖ ตุลาคม พฤษภาทมิฬ เราศึกษามาแต่เราไม่มีส่วนรวมกับเขา เราก็ศึกษาไปแล้วเราก็ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้หรอก แต่ถ้าเรามีส่วนรวมกับเขา มันจะฝังใจเราๆ เห็นไหม

วิปัสสนาก็เหมือนกัน ถ้าคนไม่ผ่านการประพฤติปฏิบัติมา เวลาบอกว่า “ฟากตายๆ” นี่คำว่าฟากตาย ฟากตายขนาดไหน ฟากตายเราก็คิดเอาเอง ว่างานจากภายนอกเรามีแรงแล้วทำงานของเราได้ เราใช้ปัญญาใช้สมอง เราคิดของเราได้ เราบริหารงานของเราได้ นี้ก็คือปัญญา เห็นไหม

นี่ปัญญาของโลก ปัญญาของส่วนบุคคล มันไม่สามารถรวมพลังบริสุทธิ์ขึ้นมา จนกว่าเราจะยื่นข้อเรียกร้องต่อเขา จนกว่าเขาจะรับข้อเรียกร้องนั้นไว้ รับข้อเรียกร้องนั้นไว้แล้วก็เพียงแต่ว่าเขาจะตัดสินอย่างไร นั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำความสงบของใจ แล้วเรายื่นข้อเรียกร้องได้ เราไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเราโดยสัจจะความจริงจากภายใน โดยสัจจะความจริงจากภายในมันสะเทือนหัวใจไง ถ้าสะเทือนหัวใจนั้นล่ะมันสะเทือนพญามาร เจ้าวัฏจักร เจ้าวัฏจักรคืออยู่กลางหัวใจของเรา อยู่กลางหัวใจของเราแต่ไม่มีใครเคยเห็นมันเลย มันก็ต้องว่ามันเป็นคนดี มันทำประโยชน์เพื่อเรา ทำประโยชน์เพื่อเรานะ

เราหลงในชีวิตวันหนึ่งๆ เห็นไหม พอเราสิ้นชีวิตไป เราตายไป มันหลอกเรา หลอกเราเพราะอะไร? เพราะจิตนี้มันไม่เคยตาย มันก็ต้องเสวยภพกรรมของมันไป แล้วถ้าเราเป็นคนดี เรามีสติปัญญา เราทำบุญกุศลของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา มันก็ทำให้เราเกิดดี เกิดดีไป เวลาวิปัสสนาเข้าไปข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ดีมันทำให้ผลประโยชน์ส่วนของใจ ผลประโยชน์ส่วนของผู้ที่ได้ผลประโยชน์นั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลได้ผลประโยชน์นั้น อันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าวุฒิภาวะของจิตนะ คือว่าจิตหยาบๆ ก็ทำบุญกุศลของเราไป หาที่หลบที่ซ่อนของเราไป เราไปบนถนนหนทาง ถ้าเรามีศาลาพักร้อน เรามีที่พักอาศัย เราจะมีที่ร่มเย็นของเราได้พักอาศัย บุญกุศลเป็นแบบนี้ บุญกุศลเป็นให้เราพักอาศัย เวลาเราเกิดมาแล้วนี่ เวลาเราอยู่ของเราปกติ บางทีเราขัดอกขัดใจของเรานี่ มันดิ้น มันแบบว่ามันขัดใจนะ มันไม่ต้องการสิ่งใดๆ แต่มันไม่รู้จะทำอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีที่พัก ไม่มีที่ร่มที่เย็นให้จิตมันพัก มันเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นแบบนี้ เห็นไหม มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะเกิดตายเกิดตายไปอย่างนี้ แล้วบทเวลามันอุเบกขามันวางเฉยของมัน มันก็อึดอัดของมัน มันอึดอัด มันขัดข้องใจนะ แล้วจิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คืออะไร แล้วจะทำอย่างไร เห็นไหม ถ้าปัญญาไม่มีมันเป็นแบบนี้ แต่ถ้ามีบุญกุศลขึ้นมานี่มันที่พักใจ พอที่พักใจมันก็ไปเข้าสัมมา สัมมาคืออะไร ความเห็นถูกต้อง

ถ้าพูดถึงทางโลกนะ เราเป็นผู้เสียเปรียบนะ เราเป็นผู้สละเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าเป็นทางธรรมนะ เราเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะเราเป็นผู้ให้ พอเป็นผู้ให้มันก็เป็นการฝึกจิตฝึกใจ ถ้าฝึกจิตฝึกใจ เห็นไหม ความตระหนี่ ความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจของเรา ความที่แบบว่ามันขัดข้องใจที่มันไม่รู้จะไปไหนนี่ มันขัดข้องใจ

เหมือนกับน้ำเน่า น้ำที่เสีย มันอัดอั้นตันของมัน มันไปไหนก็ไม่ได้ แต่ถ้าเราทำให้น้ำมันไหลเวียน สิ่งที่ไหลเวียนออกไป นี่ก็เหมือนกัน ความอัดอั้นตันใจมันไหลเวียนออกไป สิ่งที่ไหลเวียนออกไปคือการสละทาน ฝึกหัดสละทานไปเถิด จะรู้หรือไม่รู้ สัจจะความจริงมันเป็นอย่างนั้น จะยอมรับหรือไม่ยอมรับแล้วแต่ หน้าหนาวคือหนาว ร้อนคือร้อน มันเป็นสภาวะแบบนั้น อากาศมันเป็นแบบนั้น พอเราไปสัมผัสมันต้องเป็นแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน บุญกุศลเราทำคุณงามความดี อากาศเย็น มันเป็นความดีของเรา อากาศร้อน เห็นไหม เวลาเราทำสิ่งใดๆ เวลาเราโกรธขึ้นมา เราไม่พอใจขึ้นมานี่ มันจะขัดข้องใจของเราขึ้นมา นี่อากาศร้อน สิ่งนี้อากาศร้อนอากาศเย็น มันเป็นที่พักอาศัยของใจ นี่บุญกุศลภาวะมันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นวุฒิภาวะของใจ แต่ถ้าเราวิปัสสนา เวลาฆ่ากิเลสมันก็ต้องเป็นอย่างนี้

เหมือนม็อบนี่กว่าจะรวมพลขึ้นมาได้ กว่าจะกำหนดพุทโธๆ กว่าจะมีความเชื่อ กว่าเราจะมีศรัทธาความเชื่อ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะนั่งชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง นี่เหมือนกันเลย เหมือนกันอย่างนี้ แล้วจะเห็นสภาวะแบบนี้จากภายนอก เห็นไหม โลกนอกโลกใน โลกนอกเป็นสภาวะแบบนี้ โลกในคือตัวของเรา เราจะอยู่ในป่าในเขา จะอยู่ในที่รโหฐานของเรา เราก็ภาวนาของเราได้ เวลาจิตใจมันฟุ้งซ่านออกไป เวลามันเดินขบวนเข้ามามันฟุ้งซ่านไปอย่างนั้น มันทุกข์ยากของมันสภาวะแบบนั้น

แต่ถ้ามันชนะหนหนึ่ง มันมีความร่มเย็นหนหนึ่ง มันก็มีความสุขของมันหนหนึ่ง จิตสงบหนหนึ่ง จิตต่อต้านหนหนึ่ง ทำสภาวะแบบนี้ มันก็พยายามรักษาใจของเราไป รักษาใจของเราไป เห็นไหม นี่เป็นผู้ประเสริฐ พระเป็นผู้ประเสริฐคือประเสริฐตรงนี้ไง พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม พอเห็นพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเบิกบานมีความสุขของมันคือสัมมาสมาธิ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา นี่มันต้องมีปัญญาของมัน วิปัสสนาของมันขึ้นมา ผู้รู้ ผู้ตื่น ตื่นจากอะไร? ตื่นจากอะไร? ตื่นจากโลกียธรรมมาเป็นโลกุตตรธรรม

ถ้าตื่นจากโลกียธรรม เห็นไหม ทางโลกเขาประกอบสัมมาอาชีวะ คนนี้มีชื่อเสียง คนนี้มีกิตติศัพท์ กิตติคุณ เกิดมาตายหมด จะเศรษฐี จะกษัตริย์ จะคนจนทุกข์จนเข็ญใจ ต้องตายเหมือนกันหมด เวลาถึงที่สุดแล้วพญามัจจุราช ไม่มีใครพ้นจากพญามัจจุราชไปเลย มันต้องตายทั้งนั้นเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเปรียบมาจากข้างนอก มั่งมีศรีสุขขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วตายเหมือนกันหมดเลย แต่เวลาตายไปแล้วสิ มั่งมีศรีสุขกับคนทุกข์คนยาก คนทุกข์คนยากแต่ทำคุณงามความดีของเรา ยิ่งทำความสงบของใจขึ้นมา นี่เกิดเป็นพรหมเลยนะ คนที่มั่งมีศรีสุข ได้แต่ฉ้อโกงได้แต่ทำลายเขานี่ ตายไปไปเกิดในนรกใครจะไปเห็นล่ะ สิ่งที่ใครไปเห็น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอกโลกในนะ เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ เห็นไหม จุตูปปาตญาณ สัตว์ที่เกิดไหนน่ะ ทำไมมันจะเห็นไม่ได้ มันเห็นได้ของมัน แต่อุตตริมนุสสธรรม ธรรมที่มันเหนือมนุษย์ มันเหนือสิ่งต่างๆ สิ่งนี้เวลาจะพูดกันวงในกรรมฐาน เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดกันเรื่องกรรมฐานนี่ เพราะอะไร? เพราะวงในเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เหมือนทหารเลย เราจะฝึกทหารนะ เราจะบอกเทคนิคของเขา เราเป็นครูฝึกทหาร เราจะฝึกทหาร เราต้องให้ทหารรู้ว่ากลไกข้าศึกจะเป็นอย่างนี้ ข้าศึกมันจะวางกลอุบายอย่างนี้

ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่ขยันหมั่นเพียรเห็นไหม เวลาฝึกทหารก็ไม่อยากจะฝึก ขี้เกียจ เวลาออกรบขึ้นมาก็ไม่มียุทธวิธี ทำอะไรก็ไม่เป็น แล้วสิ่งที่จูงใจ ก็นี่สิ่งจูงใจไง สวรรค์เป็นอย่างนั้น นรกเป็นอย่างนั้น ให้มีความจูงใจ นี่จูงใจให้มีความพยายามประพฤติปฏิบัติเข้าไป แล้วถ้ามันไปเห็นเอง แล้วยิ่งเราออกรบ ออกข้าศึกเอง เราเคยออกข้าศึก เราเคยรบ เคยทำสงครามมา มันจะรู้ไปหมดล่ะ นี่วิธีการเห็นไหม เวลารบยุทธวิธีมันเป็นอย่างไร สันติวิธีเป็นอย่างไร แล้วจะแพ้จะชนะกันอย่างไร วัดใจกันอย่างไร เวลาความตื่นตระหนกในขณะที่เกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างไร เราจะคุมสถานการณ์อย่างไร เวลาวิปัสสนาไปมันจะเป็นอย่างนั้น นี่ในวงกรรมฐานจะมีสภาวะแบบนี้

แต่โลกเชื่อไม่เชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง โลกภายนอกเขาจะเห็นของเขา พระเวลาพูด พูดถึงเรื่องกรรม นี่เขียนเสือให้วัวกลัว เขาว่ากันอย่างนั้นนะ นรกสวรรค์เขียนเสือให้วัวกลัว ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีหรอก ความสุขความทุกข์ในใจเราต้องไม่มีด้วย เพราะอะไร? มันต้องเสมอภาคเหมือนกันหมด เห็นไหม

สิ่งนี้ถ้าเราเก็บซ่อนของเราเอาไว้ ความลับไม่มีในโลก ทำสิ่งใดไว้ก็เก็บไว้ในใจ มันเก็บเอาไว้ได้มาก เรารู้คนเดียวให้ได้มาก แล้ววิตกกังวลไหม เราจะฝืนขนาดไหนนะ ยังไม่ถึงจุดวิกฤตินะ เวลาจิตมันจะออกจากร่างกายไปนี่ ถ้าคนทำกรรมไว้หนักๆ นะ มันจะเห็นกรรมนิมิต เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เห็นเป็นกรรมที่จะมาทวงสิ่งต่างๆ แล้วมันจะดิ้นรนนะ แต่ถ้ากรรมไม่มากขนาดนั้นมันก็จะอีกอย่างหนึ่ง

แล้วถ้ามีบุญกุศลมหาศาลล่ะ เวลาจะตายขึ้นมานี่รถสวรรค์นะ รถม้าสวรรค์จะมารับเป็นชั้นๆ ไปเลย การกระทำอย่างนี้ ถึงจุดวิกฤตินั้น ถึงสภาวะแบบนั้น มันจะเป็นไปเอง สิ่งนี้เป็นไปเองเพราะอะไร? เพราะสภาวะกรรม เห็นไหม เราเชื่อกรรมๆ เพราะการกระทำ ถ้าสิ่งนี้การกระทำมันจะขับไสให้เรานี้ต้องเวียนตายเวียนเกิดไป แล้วในปัจจุบันเราเชื่อสภาวะแบบนี้ เราจะทำสิ่งที่เวลาความผิดพลาดนะ

เรื่องของกรรม ความผิดพลาดของกรรม เหตุสุดวิสัยนี่มี ถ้าเหตุสุดวิสัยมี เวลาเกิดสภาวะแบบนั้นเราก็จะสิ่งนี้เป็นกรรม เราอโหสิกรรมต่อกัน แล้วเราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เราจะทำคุณงามความดีตลอดไป เราจะทำคุณงามความดี เราจะไม่ยอมทำความผิดพลาดเลย แล้วมันผิดขึ้นมา พอผิดขึ้นมาก็เสียใจไง เราผิดแล้ว เราเสียใจ สิ่งที่เสียใจเพราะคนมีกรรม

ดูนิ้วเราสิ นิ้วมือเราไม่เท่ากัน จะให้นิ้วมือเราเท่ากันมันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่เหมือนกัน การกระทำวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน แต่อากาศแต่ละฤดูกาลมันก็ไม่เท่ากัน มันก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน กรรมของเราก็ไม่เหมือนกัน เวลาทำคุณงามความดีก็ทำความดีของเรา ถึงมันเป็นความผิดพลาด ความสภาวะกรรมเป็นอย่างนั้น เราก็อโหสิ แล้วเราพยายามฟื้นฟูสติของเราขึ้นมา แล้วพยายามก้าวเดินของเราตลอดไป

นี่มันจะเข้าไปถึงพุทธะไง วันพระ สิ่งที่วันพระนะ พระผู้ประเสริฐนะ เวลาเราอยู่ในบ้านเป็นโลก เวลาบ้าน เห็นไหม พระอรหันต์ในบ้านของเรา คือพ่อแม่เป็นแดนเกิดของเรา พ่อแม่เป็นแดนเกิดของเรานะ แล้วเราไปหาครูบาอาจารย์ เห็นไหม สมณะ นี่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เป็นมงคลชีวิตอย่างหนึ่ง เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิตอย่างหนึ่ง

สมณะก็มี ๔ ขั้นตอน เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต ถึงที่สุดแล้วนี่เห็นสมณะจากภายใน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าจิตขึ้นมานี่มันมีวุฒิภาวะ มันฟื้นฟูขึ้นมาอย่างนี้ มองจากข้างนอกสิ มองเห็นภาพอย่างนี้เปรียบเทียบได้เลย เวลาวิปัสสนานะ ทุกข์ยากกว่านี้ งานในหัวใจมันมากกว่านี้ เวลาธรรมะกับกิเลสต่อสู้กันในหัวใจ

เหมือนม็อบที่เคลื่อนไหวกันไประหว่างความผิดและความถูกที่การต่อสู้กันอย่างนี้ แล้วกิเลสมันเหนียวแน่นยิ่งกว่านี้อีก กิเลสในหัวใจเพราะกิเลสเป็นเรา พอเราทำอะไรมันกระเทือนเราไปหมดเลย เวลาเราจะยื่นข้อเรียกร้อง เหมือนกับเราเอาปัญญาของเรา กล่าวโทษหัวใจเรา นี่หัวใจเรายอมรับไหม ถ้าเรายอมรับขึ้นมานี่วิปัสสนาได้ตรงนั้นไง

จุดเริ่มต้นนี่ปากซอย ถ้าจับตรงนี้ได้มันพิจารณาเข้าไป มันจะชำระสะสางกันเห็นไหม ก็เหมือนรับข้อเรียกร้อง แล้วก็ใช้ไต่สวนกันๆ เราก็ต้องตามเรื่องของเรา พอเราตามเรื่องเข้าไป นี่เราตั้งสติเข้าไป วิปัสสนาเข้าไป โลกนอกโลกในจริงๆ รู้แจ้งโลกนอก รู้แจ้งโลกใน ถ้ารู้แจ้งโลกในแล้วโลกนอกก็เป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่สภาวะแบบนั้น มันเรื่องของโลก เป็นเรื่องของวัฏฏะ

ดูสิ เวลาสงครามเขาออกรบกันเขาบอกเลย ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ทหารเสียชีวิตไปนั้นเป็นเรื่องของปกติเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาเคลื่อนไหวสังคมเป็นอย่างนั้น เราจะสูญเสียอย่างไร เราจะเป็นอย่างไร อยู่ที่กรรมไง สร้างกรรมดีกรรมชั่ว กรรมเหนือสิ่งต่างๆ นะ กฎหมายเป็นกฎหมาย ว่ากฎหมายต้องถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายเป็นกติกาเขียนขึ้นมาเฉยๆ กติกามันให้ผลกับใคร ถ้าเราไม่ทำผิด ไม่ทำสิ่งที่ละเมิดกติกานั้น กติกานั้นก็คือกติกานั้น เป็นเรื่องของสมมุติ

แต่กรรมเป็นเรื่องจริง จริงโดยสมมุติ เพราะกรรมให้เคลื่อนไหวตลอดไป ถ้ากรรมเป็นความจริงตลอดไป มันต้องให้ผลตลอดไป ถึงที่สุดแล้วข้ามพ้นดีและชั่วได้อย่างไร? ถึงที่สุดจะพ้นจากกรรมได้อย่างไร? พ้นจากกรรมด้วยวิปัสสนาญาณไง พ้นจากกรรมด้วยหัวใจเรานี่ไง พ้นจากกรรมด้วยวิปัสสนา พ้นจากกรรมด้วยกิริยาของใจ เวลาหมุนเข้าไปปัญญายังวิปัสสนาเข้ามา

พุทธะมันสะอาดขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตจะสะอาดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุดนะพ้นออกไปจากโลกนี้ แล้วจะไม่กลับมาเดินขบวนมาเดินม็อบกับเขาอีกเลย แต่การเดินขบวนนี้ การสะสมนี้ มันเป็นการสร้างสมไป เห็นไหม เทียบจากข้างนอกแล้วเทียบจากข้างใน ผู้ที่มีธรรมนะ เห็นไหม เดินไปในถนน สิ่งใดมันสะเทือนหัวใจไปทั้งหมดเลย มันเป็นธรรมไง ถ้าหัวใจเป็นธรรม เห็นอะไร? เห็นไหม ดูหนังดูละครจะย้อนดูตัว มันสะเทือนที่ใจ เพราะอะไร? ใจไปดูเขา ตาไปดูเขา เสียงไปเห็นเขา มันสะท้อนกลับมาที่ใจ สิ่งใดสะท้อนกลับมาที่ใจมันเตือนตัวเองตลอดไปไง ถ้าใจเป็นธรรมนะ

ถ้าใจเป็นโลกมันขัดแย้งไปหมด มันโกรธแค้น มันทำอะไรไป นั่นเป็นโลกไปหมดเลย แล้วก็ทำลายกันไปตลอด เราไปโดยธรรม เห็นไหม ดูเวลา...มันพูด “เอาธรรมนำหน้า เอาธรรมนำหน้า” เราทำเพื่อธรรมมันจะเจ็บปวด มันจะโดนกลั่นแกล้ง มันจะโดนอย่างไร อันนี้เป็นการสร้างกุศล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม นี่ ๑๐ ชาติสุดท้าย เป็นเตมีย์ใบ้ กษัตริย์นะไม่เชื่อ ให้ตัดหู ให้ตัดจมูก จะพิสูจน์ความเป็นใบ้ของตัว เห็นไหม เขาลงทุนกันขนาดนั้นนะ

พระโพธิสัตว์สละมาขนาดนั้น แล้วทำขนาดนี้ สิ่งที่ว่าเคลื่อนมาจากข้างนอก มันจะย้อนเข้ามาข้างในได้หมด ย้อนเข้ามาข้างในสร้างสมให้วุฒิภาวะสูงขึ้นไง สร้างสมพละ ๕ อินทรีย์พละคือกำลัง คือฐานที่มั่น แล้วมันจะมีฐานของมัน แล้วมันจะย้อนกลับเข้ามาเพื่อประโยชน์เรา เพื่อประโยชน์เรา

ประโยชน์นอก ประโยชน์ใน แล้วแต่คนจะทำนะ คนที่มีจริตนิสัย คนที่ไม่จับจรด คนที่เป็นคนดีน่ะ เห็นอะไรต่อหน้ามันจะช่วยเหลือสังคม คนที่จะเอาตัวรอด มันเปรียบเทียบกันตรงนี้ไง เปรียบเทียบว่าเวลาเราเกิดเป็นเทวดาด้วยกัน เราก็อยากเป็นหัวหน้า อยากเป็นพระอินทร์ อยากเป็นผู้ปกครองเขา ผู้ปกครองเขามันต้องเสียสละมากกว่าเขา มันต้องดูแลเขา แต่เวลาเราทำ เห็นไหม เราไม่ยอมเสียสละ คนอื่นจิตใจเขาเสียสละ วัดกันตรงนี้..วัดกันตรงนี้..ใจเขาสูงกว่าเราหรือใจเขาต่ำกว่าเรา ถ้าสูงกว่า ใจประเสริฐกว่า ถ้าใจต่ำกว่า ใจประเสริฐกว่า...

รูปร่างหน้าตาของคนเหมือนกัน แต่หัวใจของคนไม่เหมือนกัน แล้วปฏิบัติขึ้นมาแล้วหัวใจก็สูงต่ำกว่ากัน เราไปมองเขามาเป็นคติเฉยๆ อย่าไปเทียบใคร เทียบใจเรานี่ เวลามันต่ำมันต่ำกันอย่างไร? เวลามันสูงมันสูงอย่างไร? เทียบใจเรา แล้วพยายามพัฒนาใจเรา เราต้องพัฒนาใจเรา ถ้าพัฒนาแล้วเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งให้อีกใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนี้พัฒนาแล้วมันจะเข้าใจ ถ้าใจดวงนี้ไม่เคยพัฒนาเลย จะเอาอะไรไปสอนเขา

เอาใจเรานี้สอนเขา เอาใจเรานี่สอนเราก่อน เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนใจเราก่อน แล้วเราเอาใจเราพัฒนาจนเป็นพุทธะ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วเราจะสอนเขาได้ด้วยสัจจะ ด้วยความจริง ด้วยประสบการณ์ตรง เห็นไหม ออกมาจากใจ ไม่ใช่ออกมาจากการคาดหมาย ออกมาจากใจนี่มันลึกซึ้งมาก

ฟังนะ เวลาฟังมันสะเทือนใจมาก ขนลุกขนพองเลย เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์มามันสะเทือนหัวใจมาก มันจี้เข้าไปที่กิเลสไง จี้เข้าที่ใจดำ แต่พวกเราพูดกันไม่กล้า มันเป็นการเสียมารยาท ไม่กล้าจี้เข้าไปที่กิเลสของลูกศิษย์ลูกหา มันเป็นการเสียมารยาทไง แต่ถ้าเป็นธรรมแล้วสิ่งนี้คือประโยชน์นะ ขณะที่เหล็กมันร้อนนี่ เราต้องตีให้เป็นวัตถุสิ่งที่เราต้องการขึ้นมา เห็นไหม เวลาสาวกไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“พระองค์นี้ใครเป็นผู้ทรมานมา ใครทรมานมา”

การทรมาน คือการสั่งสอน การชี้นำกัน พยายามตีเหล็กให้ได้สมอย่างนั้น ถ้าสมประโยชน์ขึ้นมา แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับเหล็กเอง เพราะเหล็กเป็นวัตถุที่มีค่าขึ้นมา แล้วเหล็กเองนั้นก็ใช้ประโยชน์ได้ ครูบาอาจารย์ใจดวงหนึ่งถ้ามันพ้นจากกิเลสแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับโลกตลอดไปๆ ใจดวงหนึ่งนะ แล้วเราก็จะเป็นใจดวงนั้นไหม?

ถ้าเราคิดอย่างนั้นปั๊บ มันจะมีกำลังใจไง อย่านะ อย่าคิดให้ใจอ่อนแอ อย่าคิดแต่ทำลายตัวเอง ถ้าคิดทำลายตัวเอง เราก็อ่อนแอไปด้วย แต่ถ้าคิดเพื่อความเข้มแข็งนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นมนุษย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ สิทธิเสมอภาคเท่ากัน ทำไมทำไม่ได้ ทำไมจะองอาจกล้าหาญไม่ได้ จะทำให้ประสบความสำเร็จของใจเราไม่ได้ เห็นไหม มีสิทธิเท่ากัน สิทธิของเราไง อย่าไปทำลายสิทธิในหัวใจของเราเอง เพราะความอ่อนแอ เพราะกิเลสมันครอบหัว เอวัง