พูดเหมือนได้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เขามาให้ดูอยู่ เขาว่าเขามาที่นี่แล้วไปพูด เขามาที่นี่ คำว่ามาที่นี่หมายถึงว่า เขาไม่ได้มาพูดให้เราเห็นด้วย แต่เวลาพูดไปเหมือนที่เราพูดถึงสังคมเนี่ย เวลาเราพูดไปสังคมปั่นป่วนไหม ไอ้คนนั้นมาพูดเห็นไหม มีเด็กเล็กๆ มันโพสต์เข้าไปเนี่ย หลวงพ่อสงบเนี่ย เลิกว่าหลวงพ่อ.......สักทีสิ โอ้หนูเจ็บ โอ้มันพูดแล้วน่าเห็นใจ มันไร้เดียงสานะ แล้วอย่างเขาว่าเราจะไปแก้คนโน้นคนนี้ ไม่ใช่หรอก แก้ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้ายังเอาไม่ได้หมดเลย ถ้าพระพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ พระพุทธเจ้าบังคับให้ความคิดของคนให้เหมือนกันหมดได้นะ พระพุทธเจ้าทำหมดแล้วแหละ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้ ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครทำได้หรอก นานาจิตตัง
เพียงแต่เราเห็นว่าถ้าเราไม่พูดอะไรเลย มันก็จะไหลกันไปอย่างนี้หมด แล้วไหลไปหมด แล้วเวลาผิดพลาดไปแล้วมันจะเสียใจกันทีหลังไง เสียใจทีหลัง เราห่วงที่จะเสียใจ เสียใจแน่นอน เสียใจแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น ความจริงคือความจริง ของไม่จริงคือของไม่จริง แต่ของไม่จริง เราตามไปแล้วถึงเวลาที่สุดแล้ว เราไปรู้ไม่จริงต่อเมื่อพวกเรานี่มีเยอะมากนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปนี่ทุ่มไปทั้งตัวเลย แล้วพอมารู้เข้าอีกที เนี่ย มันก็แบบ กรรมฐานเราเรียก กรรมฐานม้วนเสื่อ พอกรรมฐานม้วนเสื่อ คือมันหมดกำลังใจ มันหมดทุกอย่างแล้วนะ มันเลยทอดหุ่ยเลย ทอดอะไรตายอยาก ถึงจะรู้ตอนนั้นมันก็เสียดายใช่ไหม
แต่ถ้าเราพูดอย่างนี้แล้ว มันจะกระทบกระเทือน แต่สำหรับเรานะ เราว่าเราไม่ได้กระทบกระเทือน มันเหมือนกับเราคุยกันด้วยเหตุผล ถูกหรือผิด เราคุยกันด้วยเหตุผล เราไม่ได้ว่าตัวบุคคล ไม่เคยว่าใครเลย อย่างเช่นกรณีที่เขาพูดเนี่ย เขาไปพูดอยู่ บอกว่าพระสงบนี่พูดให้เหมือนก็ไม่ได้ ห้ามพูดเหมือนกัน เขาพูดอย่างนี้นะบอกพูดเหมือนกันก็ไม่ได้ แต่ความจริงที่เขามานี่ เขาพูด เขาพูดธรรมะไง พูดถึงหลวงปู่ดูลย์ เราบอกหลวงปู่ดูลย์ท่านอธิบายอย่างนี้ เห็นไหม ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เพราะมีรูปแล้วพอมีนาม นามคือความว่าง ความว่างมีรูปมีนาม มันก็เคลื่อนไป แล้วพอมันเคลื่อนไป
เขาพูดถึงสภาวธรรมไง สภาวธรรมขอเปลี่ยนเป็นสภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมสภาพอารมณ์ของเขานี่นะ เวลาเขาใช้ เขาตามความคิดไปเนี่ย แล้วพอตามความคิดไป ความคิดมันไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เขาบอกว่าอันนี้เป็นสภาวธรรม มันเป็นปัจจุบัน มันเป็นสภาวธรรม แล้วถ้าความคิดของเรามันมีอารมณ์ความรู้สึก กิเลส สมาธิของความโลภ ความโกรธ ความหลงอันนี้เป็นสภาวะโลก เราถามกลับนะ..เฮ้ย! มันมีอย่างนี้ด้วยหรือ เฮ้ย! มันมีจริงๆ หรือ เราบอกมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย
ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าสติเราตามความคิดไป ความคิดหยุดเลย ถ้าทันความคิดหยุด แต่ถ้ามันยังคิดอยู่ มันยังคิดไปอยู่เนี่ย เขาบอกว่าเป็นสภาวธรรม เป็นไปไม่ได้เพราะความคิดมันมีความรู้สึก ถ้าเราไม่มีความรู้สึกความคิดเกิดขึ้นไม่ได้ เวลาเราคิดเราต้องมีความรับรู้ความคิด แม้แต่คิดโกรธคิดเกลียด คิดธรรมดามันก็ต้องมีความคิด เพราะในความคิดมันมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในความคิดเรานี่ ถ้ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่รวมกันเป็นอารมณ์ มันหมุนไปไม่ได้ ความคิดไม่มี ไม่มี แต่เขาบอกว่าเขามีความคิดอยู่นะ เป็นสภาวธรรม แล้วคิดเป็นธรรม เราถามว่า มันเป็นไปได้หรือวะ นี่ไงเราบอกว่าคำพูดเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่เข้าใจไง มันไม่เข้าใจตามข้อเท็จจริง
เราบอกว่าคนรู้จริงพูดก็ถูก คนรู้ไม่จริงพูดก็ผิด แต่เขาไปพูดข้างนอกนะ พูดเหมือนก็ไม่ได้ท่านไม่ยอม เราอธิบายทุกอย่างเลยนะ อธิบายด้วยเหตุด้วยผลหมดนะ เพราะเราถือว่าคนมาคุยธรรมะนี่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล แล้วเวลาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เวลาอยู่ต่อหน้าเรานะ ครับผม ครับผม ยอมรับหมด พอออกไปข้างนอกนะ โอ้ย.. ไปดูท่านแอ็คชั่นก็พอ เขาว่านะ ใครอย่าไปคุยด้วยนะ เวลาวีนขึ้นมาเดี๋ยวผู้หญิงเนี่ยร้องไห้เลยแหละ เนี่ยเวลาเขาไปพูดไปพูดอย่างนั้น
คำพูดนะเรายกตัวอย่าง คำว่า รถ รถนะเวลาเราอยู่ในกรุงเทพใช่ไหม เราโบกแท็กซี่ เราก็ได้นั่งรถ รถเป็นรถสาธารณะ ถ้ารถส่วนบุคคลเป็นรถส่วนบุคคล แต่คำว่า รถ ของเราเนี่ย รถ เราได้รถมาหรือเปล่า ธรรม ความรู้ ความจริง เราจะถอยรถสักคันหนึ่ง เราจะมีรถเองสักคันหนึ่ง สมมุติเรามีความสามารถมาก เราจะสร้างรถเองก็ได้แต่เราก็ต้องมีต้นทุน เราต้องมีเงินแลกเปลี่ยนอะไหล่มาประกอบขึ้นมาเป็นรถ ถ้าเราจะซื้อรถสักคันหนึ่ง ถ้าเรามีเงินเราถึงจะซื้อรถนั้นได้ เราไม่มีเงินแต่เราอยากซื้อสักคันหนึ่ง เพราะเรามีปัญญา เราก็ไปดาวน์ เราก็ไปผ่อนส่ง เห็นไหมการได้รถมานี่มันหลากหลายมาก แต่การได้หลากหลายมาอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องขึ้นต้นด้วยเงิน ไม่มีเงิน จะทำวิธีการใด เราดาวน์ก็เงิน ดาวน์มากดาวน์น้อย ถ้าเงินสดนี่ของเราเลย เห็นไหม นี่คำว่าเงินนี่คือสมาธิ ถ้ามึงไม่มีสมาธิ มึงไม่มีหลักของใจเลยเนี่ย มึงจะเอารถนั้นมาได้อย่างไร รถสาธารณะไง เห็นรถมาก็โบกไง ไปไหนๆ ก็โบกไง นี่ไงรถเหมือนกัน
เราจะบอกว่า คำพูดที่มันเหมือนกันและไม่เหมือนกันไง คือ เหมือนคำว่า รถ แต่ใครเป็นเจ้าของรถ ถ้าคนนั้นเขามีเงิน เขาซื้อรถของเขามาได้ เขาเป็นเจ้าของรถ เราไม่มีตังค์นะ แต่เรามีอยู่ ๕๐๐ บาทหรือมีอยู่ร้อยกว่าบาท พอกับค่าแท็กซี่ กูก็มีรถ กูโบกเอา เขาลงทุนคันหนึ่งกี่แสนกี่ล้าน กูร้อยกว่าบาทกูก็ได้นั่งรถ แต่กูนั่งเดี๋ยวเดียวนะ เดี๋ยวเขาก็ถีบลงแล้ว ถึงปลายทางเขาก็ถีบลง แต่ถ้ารถของเรา เราไปได้หมด มันต่างกันทั้งนั้นน่ะ มันต่างกันที่มาคำว่า รถ นี่เหมือนกัน บอกพูดเหมือนไม่ได้ คำว่า รถ นะเรามีตังค์นะ ย้อนกลับมา เรามีเงินหลายร้อยล้านหลายพันล้านเลย แล้วเราจะซื้อรถ ไปถึงบริษัท บริษัทบอกว่าเขาจองรถหมดแล้ว ไม่มี เห็นไหม มีสมาธิมากมายขนาดไหนใช้ปัญญาไม่เป็น รถมาไม่ได้ ไม่มีสมาธิเลย ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ปัญญาไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เราอธิบายเรื่องอย่างนี้ตลอดเวลา อธิบายให้เขาฟังตลอดเวลา แต่ความเข้าใจของเขา เขามีไง ว่างๆๆๆ มันมีนี่นะ หลวงตาพูดคำนี้ซึ้งใจเรามาก แต่คนคิดไม่ถึง ท่านบอก ทำดี ทำชั่ว อะไรก็แล้วแต่นะ ยังมีลมหายใจฟอดๆ อยู่เนี่ย สถานะมนุษย์มันรับไว้ ลมหายใจขาดเมื่อไร หลวงตาพูดบ่อย ลมหายใจขาดเมื่อไรนะ มันไปตามกรรมมึงเลย มันไปตามกรรมมึงนะ ลมหายใจขาดผลัวะ จิตออกปั๊บ แต่เวลาปัจจุบันนี่ นอนก็ฝัน ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้จิตออกจากร่างเหมือนกัน แต่สายบุญสายกรรมมันยังอยู่ เข้าร่างถูก
เวลาเขาภาวนาไง เวลาจิตออกแล้วกลัวไม่เข้า ไม่ต้องกลัว มันเข้ามาแน่นอน ถ้ามึงยังไม่ตาย แต่ถ้ามึงตายแล้วนะ อย่างไรก็เข้าไม่ได้ จิตออกไปแล้วมันต้องไปตามสภาวกรรม ลมหายใจขาดเมื่อไรเท่านั้นนะ เนี่ยผลบุญผลกรรมมันจะตอบสนองมึงทันทีเลย มึงจะรู้จริงเลยว่าเป็นอย่างไร เป็นตามที่มึงสร้างมาอย่างไรเท่านั้น นี้ลมหายใจยังไม่ขาดใช่ไหม มันก็ว่างกัน พูดกันนี่ สภาวธรรม สภาวธรรม มันก็พูดตามที่มึงพูดกันไปนั่นแหละ มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริงเนี่ย เราถึงบอกว่า เขาบอกคำนี้
เราจะเน้น วันนี้เราเน้นคำว่า เขาบอก พูดเหมือนไม่ได้ ไง เราบอกเขาบอกว่า เราพูดเหมือนไม่ได้ เราบอกพูดได้ ใครก็พูดได้ แต่คนฟังออกมีกี่คน เวลาเอ็งพูดเหมือนกันหมด ธรรมนี่เหมือนกันหมดเลย เห็นไหม ที่มาหาเนี่ยเมื่อก่อนอนาคาทั้งนั้นนะ มาหาเราบอกให้เริ่มต้นใหม่หมดเลย แล้วให้ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปเนี่ย เขาทำเองนะ เขามาหาเราเอง พอพุทโธมันลงนะ ของนี้มันจริง จริงๆ เขาปฏิบัติอยู่ ในหมู่เขาได้อนาคาหมดเลย แล้วลูกเขานี่สงสารมาก ลูกเขาก็พยายามพาแม่มาหาเรา แล้วมาถึงเราเนี่ย เราบอกว่าจะอนาคาก็แล้วแต่ เพราะเราเข้าใจเรื่องอย่างนี้ดี
ถ้าคน คนมันติดเนี่ย มันถนอมของมันเนี่ย อย่างเช่นว่า เจดีย์ในหัวใจอย่าไปทุบทำลายของเขา เขาเคารพศรัทธาของเขา เราไปกระทบกระเทือนเขา เขาต้องเจ็บเป็นธรรมดา ไอ้ใครที่มันรับรู้อยู่ บอกว่า อนาคาก็อนาคาของมึง ช่างมึง ไม่เป็นไร อนาคาก็อนาคา ให้เอ็งกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยๆ ไปอยู่ที่โพธารามนั่นน่ะ แล้วจิตมันลง พอจิตมันลง เขามาพูดกับเราเองเนี่ย คำนั้นนะกับคำที่ คนที่เวลามาปฏิบัติที่นี่มานั่งร้องไห้อยู่นี่ เหมือนกันหมดเลย โอ้โฮ.. หลวงพ่อ พุทโธ หลวงพ่อดีกว่าอนาคาอีก เวลามันลงนี่ คือ ความรู้สึกมันว่าง มันเป็นข้อเท็จจริง จิตมันเป็นสมาธิ มันมีความรู้สึก มันมีรสของสมาธิ มันมีรสของความว่าง
อู้ฮู..ทำไมพุทโธของหลวงพ่อดีกว่าอนาคาล่ะ เพราะอนาคาของเขา เขาปฏิเสธให้อารมณ์เขาว่างอยู่ตลอดเวลา แล้วพอมาเป็นข้อเท็จจริงที่จิตมันลงนะ โอ้โฮ..พุทโธนี่ดีกว่าอนาคา คำว่า พุทโธนี้ดีกว่าอนาคา คือ เขารู้แล้วว่าอนาคากับพุทโธอันไหนจริงอันไหนปลอมไง ถ้าเขายังไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมเขาจะไม่พูดคำนี้ออกมา แต่พอเขารู้ว่าพุทโธ คือ สมาธิเนี่ย มันเป็นของจริง แล้ว อนาคาของเขามันไม่ใช่ของจริง เขาพูดเองว่าพุทโธของหลวงพ่อดีกว่าอนาคาอีก เสร็จแล้วนะ พออยู่กับเราพักหนึ่ง ๑๒ สิงหา เขากลับไปบ้านตาด ไปทำบุญที่บ้านตาดอีก ก็ไปเจอกลุ่มเขาอีกนั่นแหละ
เขาก็ไปพูดอย่างนี้บอกว่า พุทโธนี่ดีกว่าอนาคาอีก ที่นี้สังคมกระแสมันแรง พวกเขาเยอะแยะเลย เฮ้ย.. เอ็งได้อนาคาแล้วนะ เอ็งกลับไปพุทโธทำไมอีกล่ะ เอ็งก็อนาคาข้าก็อนาคาเห็นไหม หมู่เราก็อนาคาหมดเลยเนี่ย ว่างๆๆๆ อย่างเนี่ย ไอ้พุทโธเลยไปเชื่ออนาคาอีกเลย ทั้งๆ ที่เขารู้แล้วนะ เขายังทนกระแสไม่ไหว เขายังกลับไปเป็นอนาคาอย่างเก่าเห็นไหม ไปอนาคาอย่างเก่า คือ ว่างๆๆๆ อย่างเก่า ลูกเขามาบอกเรา หลวงพ่อ แม่เขาไปอนาคาอย่างเดิมอีกแล้ว เออ.. กรรมของสัตว์ ทั้งๆ ที่เขารู้ของเขาเนี่ย ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้จากความรู้สึกของเรา แต่ทนกระแสไม่ไหว กระแสคำว่าอนาคา ก็ยังไปอนาคากับเขา อนาคานึกเอาน่ะ เนี่ยในวงปฏิบัติเรา มันวงแคบ เรื่องอย่างนี้มันรับรู้กันได้ รับรู้กันได้เพราะอะไร เพราะถือว่าการปฏิบัติ..เหมือนลูกเราเนี่ย เราเลี้ยงลูกมา อยากให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ลูกเรามันต้องมีความผิดพลาดบ้าง มันต้องมีเกเรเกตุงเป็นธรรมดา
จิตในการปฏิบัติมันจะมีการผิดพลาด มีการพลั้งเผลอ มีการทำแล้วแต่สุดวิสัย ทำแล้วบางทีแบบว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันจะมีอีกเยอะแยะไปหมดนะ แล้วครูบาอาจารย์เนี่ย โทษนะฟังทีเดียวรู้หมดเพราะเราเป็นพ่อเป็นแม่ เราทำมาก่อนใช่ไหม เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราทำมาก่อนเขา แล้วเขามาทำตามเราเนี่ย เราจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่เขาคิดว่าพ่อแม่ไม่รู้นะ ไอ้ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมา มันก็เป็นอย่างนั้นมันทั้งนั้นนะ แล้วพอผิดพลาด เราก็แก้ไขไปตามนั้น นี่ความเห็นจริงมันเป็นอย่างนี้ แล้วก็บอกว่า พูดเหมือนไม่ได้ คำว่าพูดเหมือน ดูสิคำว่า พุทโธ กับ อนาคา เขาพูดของเขาเอง สุดท้ายแล้วเขาก็กลับไปอย่างเดิมอีก กลับไปพูดเหมือนกันอย่างเก่า พูดเหมือนน่ะมันได้ แต่ข้อเท็จจริงในความเป็นจริงนั้น เป็นหรือเปล่า
ฉะนั้นพอมาหาเรา ทำไมเราไม่ยอมรับการปฏิบัติ โดยสิ่งที่เราไม่ยอมรับ สิ่งที่เวลาผิดพลาดไปเฉพาะบุคคล เรายอมรับนะ เราถือว่าจริตนิสัย ถือว่าอำนาจวาสนา ถือว่ามุมมอง แบบเนี่ยทุกคนมันเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เราไม่ยอมรับ กระแสที่เขาว่ากันเราไม่ยอมรับ เพราะอะไร ซื้อรถ ซื้อรถเนี่ยเอ็งเอาเงินเข้าไปถึง ไปวางแล้วเอารถออกมา เอ็งทำได้ไหม ไม่ได้ มันต้องมีเอกสารการซื้อขาย เอ็งต้องเอาเอกสารไปต่อทะเบียน เอ็งเอารถออกไป แล้วเอ็งจะขึ้นทะเบียนยังไง เอ็งมีเอกสารอะไรกำกับรถเอ็งไป แล้วเอ็งได้รถแล้ว เอ็งจะเอารถไปขึ้นทะเบียนได้ยังไง เอ็งไปขึ้นทะเบียนแล้ว หลักฐานล่ะ รถเอ็งมาจากไหน มึงปล้นเขามาหรือ มึงมีเงินแล้วมึงจะไปซื้อรถมึงต้องทำถูกต้องตามกฎหมาย แล้วเอาหลักฐานนั้นไปต่อทะเบียนไปขึ้นทะเบียน มีเงินแล้วจะไปซื้อรถ มีเงินแล้ววิธีการที่จะไปได้รถมานี้ทำอย่างไร
ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน เอ็งมีสมาธิแล้ว มีสมาธิแล้วยกวิปัสสนาไม่มี สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธินะ ไม่ต้องมาพูดกันเรื่องปัญญาเลย ปัญญาที่เขาพูดกันน่ะไร้สาระ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ปัญญามันไล่เข้ามาเนี่ย จะมีปัญญาขนาดไหน ผลของมันคือปล่อยวาง ผลของมันคือสมถะหมด แต่เขาไม่เข้าใจสมถะ มันเป็นมิจฉา คือคำว่า สมถะ เขานึกว่าเป็นสภาวธรรม สภาวธรรมมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่คำว่าพูดเหมือน พูดเหมือนไง ถ้าพูดเหมือน มันไม่มีการพูดเหมือน ถ้าไม่รู้จริงพูดไม่ได้เลย อย่าว่าแต่พูดเหมือน พูดให้เป็นจริงยังไม่ได้เลย
นี่พอคำพูดคำเดียวกันเห็นไหม พอเราบอกว่าเราพูดอธิบายให้เขาฟังเลยว่า ถ้าคนรู้จริงพูดน่ะมันถูก ถ้าคนไม่รู้จริงพูดคำเดียวกันมันผิด คำเดียวกันนี่แหละ คำเดียวกันเลยคนพูดจริงมันถูก ถูกเพราะอะไร เพราะเขามีที่มาที่ไปของเขา มันมีที่มาใช่ไหม มันมีเหตุมีผลของเขา แต่ไอ้คนที่พูดของเราเป็นความเห็นของเรา ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะแบ่งไว้ทำไม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา โลกุตรปัญญา โลกียปัญญา แล้วภาวนาเนี่ยภาวนาอย่างไร เขาบอก เขาก็ภาวนาอยู่แล้วไงภาวนาอยู่แล้วๆ ภาวนาอยู่แล้วมันเป็นกิริยา แต่ความรู้สึก ความคิดยังเป็นโลกอยู่
โลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือสัตตะ โลกคือผู้คล่อง โลกคือตัวจิต ตัวมันยังเป็นโลกอยู่ ความคิดถึงเป็นโลกียะหมด จะมีความคิดจะมี มันปฏิบัติด้วยกิริยา แต่หัวใจยังไม่เป็นไป พอหัวใจไม่เป็นไปมันเกิดจินตมยปัญญา มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ ว่างมาก โอ้ย แล้วเหมือนเรานอนฝันนะ เรานอนฝันบางทีถ้ามันเป็นจริงนะเราจะจำเนื้อความแทบไม่ได้เลยแต่ชัดเจน แต่ถ้าเราฝันเบลอๆ โห.. พูดได้แจ้วๆๆ เลย แต่ความจริงไม่มี นี่เหมือนกันเวลาพูด ที่เขาพูดสภาวธรรม สภาวธรรม เขาพูดได้ชัดเจนมากนะ ชัดเจนมากเพราะมันเหมือนนิยายเลย
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เราพูดออกมาแทบไม่ได้เลย เป็นสมาธิเนี่ย สมาธิ อึ๊อ อึ๊อ..อึ๊อ..อึ๊อ.. เนี่ยสมาธิ แต่อธิบายสมาธิไม่ถูก แต่โดยสมาธิ แต่นี่มันจะเริ่มว่าง ว่างอย่างนั้น ว่างอย่างนี้แล้วนะ แต่ถ้าเป็นสมาธิจริงๆ เวลามันจะลง พูดไม่ถูกหรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เป็นของมันจริง แต่เราพุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปอย่างนี้ มันจะวุบ วุบ วั้บ วั้บ มันจะวูบวาบบ้างเนี่ย นั่นแหละมันเหมือนกับน็อตนี่นะมันตาย เราจะคลายมันออก คลายไม่ออกหรอก เราหยอดน้ำมันไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ ตีไปเรื่อยๆ ย้ำไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มมีอาการเห็นไหม เห็นแล้ว ฮู้ สนิมบ่มแล้ว น้ำมันหยอด สนิมออกเต็มไปหมดเลย เคาะไปเคาะมาชักบู้บี้ไปเรื่อยละ ขันไปขันมาเดี๋ยวมันออกนะ
พอมันออกมันคลายออกนะ นี่เหมือนกันจิตที่มันจะลง มันจะมีอาการของมัน แล้วมีอาการ เขาเรียกอาการของจิตไม่ใช่ตัวจิต อาการของมัน มันมีอาการของมัน แล้วเวลามันลงวูบขนาดนั้น มันจะเป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องตกใจเป็นธรรมชาติ จะวูบวาบตกใจเป็นธรรมชาติ เรื่องอย่างนี้ เราเป็นมาเยอะ ขนาดเรานั่งอยู่เฉยๆ มันจะเป็นเหมือนลำแสงจะพุ่งมาชนเราเลย ผงะเลยนะ แล้วตกใจไหม ใครจะไม่ตกใจ ตกใจทั้งนั้น แต่พอมันมีประสบการณ์มากขึ้น มากขึ้น แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์เลยนะ พอเจอสิ่งใดนะ มันจะยึดสิ่งนั้น แล้วมันจะให้ ใครมานะ โห หลวงพ่อ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างเก่าอีกเลยล่ะ แหม เอ๊ย.. อันเก่ามันไม่มีอีกแล้ว เราจะอาลัยอาวรณ์ตอนที่เราเป็นทารกอยู่ไหม เรามานั่งอยู่เนี่ย เราจะกลับไปเป็นทารกอีกได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ที่เราจะกลับไปเป็นเด็กอีก เราจะกลับเป็นเด็กอีกเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้
จิตเวลามันภาวนาไปแล้ว พัฒนาการของมันไปจะกลับมาเป็นเด็กอีกได้ไหม สิ่งที่มันผ่านไปแล้วมันผ่านไปแล้วไง สมัยเด็กเอ็งก็เป็นเด็กให้ดีสิ สมัยเป็นวัยรุ่นเป็นวัยรุ่นให้ถูกต้องสิ เป็นคนไปทำงานก็ทำงานไปให้ดีสิ ผู้เฒ่าผู้ชราก็เป็นผู้เฒ่าผู้ชราให้ดี มันเป็นกาลเป็นปัจจุบันตลอดไป มันไม่มีย้อนกลับ นี้พอจิตมันเป็นอะไรขึ้นมา มันวูบวาบขนาดไหน มันเป็นอาการเหมือนเด็กหัดเดินเด็กหัดนั่ง มันก็ล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา แต่พอมันยืนได้เดินได้แล้วมันก็วิ่งได้แล้ว จิตของเรามันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เวลาอะไรมันจะเกิดขึ้นมาบ้าง ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้อย่างเดียว หลวงตาสอนเน้นมากเลยอยู่กับผู้รู้ อยู่กับสติไม่มีเสีย อยู่กับผู้รู้อยู่กับสติเพราะอะไร เพราะมันจะวูบวาบขนาดไหน อาการที่ว่าสภาวธรรมๆนี่ สภาวธรรมมันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต เวลาปัญญาอบรมสมาธิ มันต้องมีอาการอย่างนั้น เพราะความจริงมันคิดเห็นไหม ดูสิเราเปรียบเทียบเห็นไหม เวลาความคิดเราสกปรกหมดเลย ความคิดเหมือนเครื่องจักรมันหมุนเป็นธรรมชาติของมันเลย
พอเราคิดพุทโธ พุทโธ เห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ความคิดเหมือนเครื่องจักร ความคิดเหมือนเครื่องจักร ความคิดมันเป็นกิเลส มันหมุนไปเต็มตัวของมันเลย เราผ่อนถ่ายผ่อนถ่ายพลังงานนี้ให้อยู่กับพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธนี้เป็นพุทธานุสติ พุทโธอันนี้ขาวสะอาดเพราะคำว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่มันไม่มีอะไรบวกเลย เห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่ ขาวสะอาด
ความคิดเราสกปรก แล้วเราย้อนเอาพลังงานทั้งหมดมาไว้ที่พุทโธเนี่ย พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะเป็นไม่เป็นช่างหัวมัน แต่มันอยู่ที่ความสะอาดบริสุทธิ์ ทีนี้เวลาเราพุทโธนี้เกิดมาจากใคร พุทโธนี้เกิดจากสติ เกิดจากระลึก วิตก วิจาร มันระลึกขึ้นมา ระลึกขึ้นมาคือสติ แล้วนึกพุทโธอีก วิตก วิจาร แล้วนึกพุทโธอีก เวลามันหดเข้ามา พุทโธ พุทโธ นี่มันจะเข้ามาที่จิต จิตมันก็สงบมันก็มีการวูบวาบ แล้วปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย เราใช้ความคิดของเราไป
ความคิดที่ว่าเขาเป็นสภาวธรรมๆ เขาตามของเขาไปเหมือนส่งออก เหมือนสาดน้ำทิ้งไม่มีประโยชน์ แต่ถ้ามีสติ สติความคิดมาจากไหน ความคิดทุกๆ คนมาจากฐีติจิต ความคิดทุกคนมาจากจิต แต่เราจะปฏิบัติธรรมไง เราเอาความคิดเอาความคิดเราไปดูความคิด แล้วความคิดมันเกิดดับอยู่ข้างนอกไง แล้วสภาวธรรมว่างๆๆๆ สภาวธรรมมันว่าง มันไม่มีเจ้าของไง แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันเกิดมาจากไหน ความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากจิตทั้งหมดนะ
ถ้าไม่มีจิตความคิดเกิดไม่ได้ นี้ความคิดมาจากจิต ความคิดอย่างนี้หลวงปู่ดุลย์บอกไง ความรู้สึกเป็นรูป ตัวจิตเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เพราะมีความคิด มีช่องว่างแล้วหมุนไปมันหมุนออกหมด แต่ถ้ามีสติ เราตามความคิดเข้ามา ตามความคิดไปนั่นแหละ ความคิดเกิดจากจิตมีสติใช่ไหม พอมันดับเหลืออะไร เหลือจิตไง พอเหลือจิต พอมันดับแล้วเหลือจิต พอเหลือจิตก็กลับมาที่รูป กลับมาที่รูป นามมันดับ กลับมาที่รูป กลับมาที่รูปๆๆๆ จนรูปมันตั้งมั่น แต่รูปนี่มันก็อยู่ไม่ได้เพราะมีอวิชชา มันไม่มีความคิดมันก็ออกไป พอความคิดมันคิดมันก็ว่าง เขาบอกว่านั่นเป็นสภาวธรรม กูถามเลยมันเป็นไปได้หรือ
เรารู้อยู่ เราถามเขาตอบไม่ได้หรอก คนภาวนาไม่เป็น ขนาดภาวนาเป็นยังตอบอย่างนี้ไม่ได้เลย ไอ้เรื่องหญ้าปากคอก มันเหมือนหมอ หมอนี่นะ ถ้าหมอมีความชำนาญการมาก อย่างเราเป็นหมอประจำบ้านนี่ เรายังขลุกๆ ขลักๆ อยู่นะ แต่ถ้าหมอชำนาญการ พอเห็นคนไข้เดินเข้ามารู้เลยว่าคนไข้เป็นอะไร คนไข้เดินเข้ามาเนี่ยอาการเป็นอย่างนี้ๆ รู้หมดล่ะ เนี่ย ผู้ชำนาญการ อย่างที่ว่าสภาวธรรม สภาวธรรม มันเป็นอาการของใจ มันเป็นสภาวะปรับพื้นที่ของใจ แล้วถ้าคนไม่ชำนาญดูไม่ออกหรอก พูดไม่ได้ เราเข้าใจเลยว่าคนจะพูดเรื่องอย่างนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญการมาก ชำนาญการหมายถึงมาแยกแยะ แบบว่าอะไรนะ แบบว่าของปลีกย่อย ของเล็กน้อยเนี่ย ของเล็กน้อยมันชำนาญ ถ้าเราไม่ชำนาญเราไม่ปลีกย่อยเราแยกไม่ได้เราจะไปที่ขั้วมันเลยนะ อันนี้เป็นเนื้อ อันนี้เป็นมัน อันนี้เป็นหนัง แต่ถ้าปลีกย่อยมันแยกได้ แล้วมันบอกว่า สภาวะความคิดนี้เป็นธรรม สภาวธรรม ไม่เชื่อมันเป็นไปไม่ได้
ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ.. พอสติตามถึงความคิด ความคิดหยุดหมด ความคิดหยุดหมด หยุด ๆ ๆ ๆ ๆ จนกระทั่งถึงตัวจิต แล้วจิตเสวยอารมณ์ นี่ นี่ จิตเนี่ยรูป ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม แล้วรูปกับนาม มันทำงานกันอย่างไร รูปกับนาม มันทำงานกันอย่างไร ถ้าจับตัวนี้ได้ พอมันเห็นรูปคือรู้จักเราเห็นความคิด พอจับความคิดได้นี่ไง หลวงปู่ดุลย์ถึงบอกไง จิตเห็นอาการของจิตแล้ววิปัสสนามัน แต่พวกนี้ไม่เคยพูดแล้วพูดไม่เป็น ถ้าคนมันเป็นนะ มันพูดสิ่งใดก็แล้วแต่ถ้าเรานี่เป็นนักวิชาการหรือเราเป็นผู้ชำนาญ เราจะพูดทิ้งหลักการเราได้ไหม นักวิชาการเขาไม่ทิ้งหลัก
แต่ไอ้พวกนี้พูดไม่มีหลัก อย่าว่าทิ้งหลักนะ กูหาหลักมันไม่เจอ ไอ้ที่กูไม่เชื่อเพราะมันไม่มีหลัก มันพูดเลื่อนลอย ไม่เคยเชื่อเลย ถ้าคนจริงคนมีหลักนะพูดนี่ไม่มีทิ้งหลักเลย หลักนี่ตายตัว จะอธิบายอะไรก็อธิบายเพื่อหลักอันนี้ แต่นี่มันไม่มีหลักมันทิ้งหลักไปเลย สภาวธรรม สภาวธรรมนี่นะ มึงจะพูด ..อะไรก็ได้ ไอ้สภาวธรรม เป็นธรรมหมด เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติไง สภาวธรรม หยิบอะไรขึ้นมาก็เป็นสภาวธรรม ไม่มีหรอก ถ้ามีหลักนะ ครูบาอาจารย์จะพูดบ่อยเลย แล้วมันเหลืออะไร อะไรเป็นหลัก สภาวธรรมนี่ใครเป็นคนไปรู้มัน ใครเป็นคนรู้สภาวธรรม ใครเป็นคนแยกแยะสภาวธรรม ใครเป็นคนเห็นสภาวธรรม ใครเป็นคนทำลายสภาวธรรม ใครเป็นคนรับรู้ผลที่เกิดขึ้นจากสภาวธรรม ยถาภูตัง นี่รู้ว่าสิ้นไปแล้ว เกิดญาณทัศนะ รู้ว่าสิ้น ใครเป็นคนรู้สภาวธรรม
เขาไม่พูดเขาไม่เคยพูดอย่างนี้เลย สภาวธรรมแล้วก็ไปกันหมดเลย มันถึงเป็นไปไม่ได้ไง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พูดเหมือนได้ เหมือนกันพูดคำเดียวกันเลย แต่ผลให้ต่างกัน เพราะเขาไม่รู้เขาไม่เข้าใจ แล้วเขามีอารมณ์ๆ เนี่ย เรื่องอย่างนี้มันกิริยานะ กิริยา เราเข้าใจมาก เราเข้าใจเรื่องอย่างนี้เพราะว่าเราได้รับไปรษณียบัตรที่โจมตีหลวงตานี่เยอะมากว่ากิริยานี้ออกมาจากกิเลส ธรรมะออกมาจากกิเลส ธรรมะออกจากอารมณ์ความรู้สึก แต่พวกนี้ไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นนะ
กิริยาส่วนกิริยา เวลาฝนตกนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะถ้าวันไหน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่านะ แล้วฝนตกกระหน่ำเต็มที่น่ะ โอ๋ มันร่มเย็นเป็นสุขไปหมด เวลายิ่งดังเสียงยิ่งดัง หลวงตาท่านบอกเลยนะวันไหนหลวงปู่มั่นเทศน์นี่นะ ท่านเทศน์ถึงสิ้นกิเลส เวลาเทศน์เนี่ย ทางวิชาการตั้งแต่ปรับพื้นที่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล แต่ท่านไม่เอ่ยชื่อเท่านั้น แต่วิธีการทำนี่ คนฟังเทศน์เป็นจะฟังออก เหมือนรถเวลาออกตัวติดเครื่องให้ได้นี่คือปรับพื้นที่ ติดเครื่อง ดูแลสภาพรถให้มันแข็งแรง น้ำท่าทุกอย่างพร้อม น้ำมันพร้อมใช่ไหม ออกตัว พอออกตัวโสดาปัตติมรรค พอระยะทางขึ้นระดับสุดสิ้นเกียร์ ๑ สภาวะโสดาปัตติผล สกิทาคามรรคสกิทาคาผล มันจะเหินฟ้าไปเรื่อย
เทศน์ทุกกัณฑ์จะเป็นอย่างนี้ แต่คนฟังออกหรือไม่ออกเท่านั้น ท่านพูดแต่ท่านไม่ได้บอกว่านี่เกียร์หนึ่ง เกียร์ ๒ เกียร์ ๓ ท่านไม่ได้บอก โสดา สกิทา อนาคา แต่ท่านพูดเป็นระดับของท่านขึ้นไปเลย แล้วฟังทีไรเทศน์ของหลวงปู่มั่นทุกกัณฑ์ก็จะสิ้นสุด แต่หลวงตาท่านบอกว่าฟังทุกวันทุกวันมันก็ไม่มันนะ วันไหนหลวงปู่มั่นจะเทศน์ต้องไขก๊อกให้ได้ จะต้องเข้าไปถามท่านถามผิดๆ ถูกๆ แกล้งถามให้มันผิดไง แกล้งถามให้มันผิดๆ ไป พอท่านบอกวันไหน ไม่ใช่! พอไม่ใช่ นี่ไงอย่างที่เราพูดเห็นไหม ถ้าไม่ใช่ตรงข้ามมันคืออะไร เวลาเราบอกเขาว่า ไอ้สิ่งนี้มันผิด คนที่ไม่รู้พูดมันก็ผิดหมด แล้วคนที่รู้พูดถูก มันถูกอย่างไร
เวลาอธิบาย เราอธิบายอย่างนี้นะ เพราะเราเข้าใจ เข้าใจว่า ที่ความเข้าใจผิดมันจะเป็นอย่างนี้ จะออกไปทางอย่างนี้เลย ถ้าความเข้าใจถูกมันจะตรงข้าม มันจะเป็นอย่างนี้ๆ แต่เวลาเขาพูดเขาไม่มีตรงนี้ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วเวลาออกมาเห็นไหม เวลาพูดเขาก็บอกว่าอารมณ์รุนแรง ยิ่งรุนแรงนะ ฝนนะเวลาเราต้องการน้ำ ถ้าฝนยิ่งตกแรงปริมาณของน้ำมันยิ่งมากขึ้น มันยิ่งให้ความชุ่มชื่นกับหัวใจมากขึ้น ทุกคนมันจะมีความชุ่มชื่นนะ แต่เรากลับรับไม่ได้นะ อยากได้ฝนนะแต่ห้ามฟ้าร้อง ห้ามเมฆลอยมา แต่อยากได้ฝน ต้องมีฝน ฝนต้องตกลงมาเลย แล้วตกมาอย่างนุ่มนวลนะ โอ้โฮ..น้ำเจิ่งนองเลย แต่ห้ามมีเมฆ มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้
แม้แต่พระสารีบุตร เห็นไหม โดดข้ามคลอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม ถ้ามันจะเป็นอย่างที่เราคาดหมายกันนี่ มันต้องสร้างบารมีมาอย่างน้อยต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพราะมีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ละกิริยาได้ นอกนั้นไม่มี มีองค์สมเด็จสัมมาพุทธเจ้าองค์เดียว กิริยามารยาทนี่นอนสีหไสยาสน์ กิริยาแบบพระพุทธเจ้ามีองค์เดียวทุกเที่ยวไป สาวก สาวกะไม่มี แม้แต่พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา เขาไปฟ้องพระพุทธเจ้าเลยว่าโดดเหมือนลิงเลย พระพุทธเจ้าบอกชาติที่แล้วเขาเป็นลิง อัครสาวกเบื้องขวานะรองจากองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาเลย ไม่มี ไม่มี แต่เขาอยู่กันด้วยเนื้อหาสาระ เขาเอาธรรมที่เวลาพระสารีบุตรเทศน์ เวลาพระสารีบุตรแสดงออกอันนั้นของจริง แต่กิริยามารยาทไม่มี ไม่มีหรอก มีองค์เดียวองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่นี่จินตนาการกันไป พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นแบบพระพุทธรูปไงห้ามหายใจเลย ถ้าหายใจไม่ใช่พระอรหันต์เพราะมันมีอาการ นี่ความเข้าใจของเขา แต่พวกเราพระป่ารู้ เพราะพวกเราพระป่าศึกษาธรรม แล้วพยายามศึกษาค้นคว้า พวกพระป่าเนี่ยเขาจะดูเนี่ย ถ้าถามปัญหาแล้วตอบไม่ได้ หรือจิตเราติดแล้วครูบาอาจารย์แก้ไม่ได้ เขาไม่เชื่อกันตรงนั้น เขาไม่เชื่อ ถ้าแก้นะ บางทีนะ ลูกศิษย์โง่อาจารย์ก็โง่ ลูกศิษย์ถามโง่ๆอาจารย์ก็ตอบโง่ๆ เขาคิดว่าอาจารย์เขาแก้ได้นะ แก้ได้ไม่ได้มันต้องดูที่วุฒิภาวะมันต้องดูเหตุผลด้วย ไม่ใช่ว่าเราก็โง่ เราก็ไม่รู้นะ ถามไปไหนมาสามวาสองศอก อาจารย์ก็ตอบนะแต่ตอบไปตามความรู้สึก สังคมอย่างนี้ก็มี
ทีนี้มันอยู่ที่เชาว์ปัญญาของเรา เราจะตรวจสอบครูบาอาจารย์ ไม่ต้องตรวจสอบ หมายถึงว่าเราไปนี่เราอยากรู้เหตุผล ความโง่ความฉลาดเรามีเท่าไรก็ถามเท่านั้น ถ้าท่านตอบมานะถ้ามันลงกันถูกกันมันก็ใช่ ถ้ามันไม่ถูกกันมันก็อีกเรื่องหนึ่งล่ะ มันก็เท่านั้นน่ะ มันอยู่ที่วาสนาของคน นี่เขาพูดถึงว่าพูดเหมือนไม่ได้ คำว่า พูดเหมือนไม่ได้ มันก็เหมือนกับปฏิเสธว่าคำพูดคำนี้ต้องจดลิขสิทธิ์เลย ไม่ใช่ เพราะมันไม่เคยปฏิบัตินะ หลวงตานี่เมื่อก่อนตอนที่ท่านกำลังแรงๆ ท่านจะพูดบ่อยมากเลย มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด คำพูดคำเดียวกันนี่แหละ
แต่ถ้าคำพูดซ้ำแล้วมันจะละเอียดเข้าไปนี่ มันลึกซึ้งกว่า มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคเหมือนกันเห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตมรรค ไม่เหมือนกันนะ ไม่เหมือนกัน ถ้าคนไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ไม่เหมือนกันอย่างไร ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ดูสิดู อาจารย์จวนเห็นไหม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วพอวนไปนะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ไปฟังเทศน์หลวงปู่จวนสิ ท่านจะวนอยู่อย่างนี้ ทุกข์ ทุกข์ดับ นิโรธดับ วิธีการดับทุกข์ วนอยู่อย่างนั้นน่ะเรามานั่งฟังนะ เราคิดในใจเลยนะไอ้พวกวัยรุ่นมันต้องว่าเอ๊หลวงปู่นี่หลงหรือเปล่าวะ พูดซ้ำๆ ซากๆ มันมรรค ๔ ผล ๔ มันคนละมรรค มันคนละเหตุคนละผลทั้งนั้นล่ะ
หลวงปู่จวนไปฟังสิ มีอยู่กัณฑ์หนึ่ง ทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นั่นขบวนการหนึ่งจบปั๊บ โสดาบัน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ขบวนการหนึ่งจบนั่น สกิทา ขบวนการหนึ่งจบพระอนาคา ขบวนการหนึ่งจบพระอรหันต์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ของโสดาบัน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ของสกิทาลึกซึ้งกว่า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ของอนาคานะ พระอนาคาว่างหมดนะ ทำไมมันทุกข์ล่ะ ทุกข์ของพระอนาคาเป็นอย่างไร แล้วพระอนาคาไปแล้วน่ะ พระอรหันต์ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ของอรหัตตมรรคมันเป็นอย่างไร จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส
หลวงตาท่านใช้คำว่า เหมือนกับทุกข์แบบไฟสุมขอน จิตใส ใสอยู่อย่างนั้นน่ะ ว่างหมดเลยนะ แต่มันมีไฟสุมขอน มันมีอะไรในใจอยู่ แต่มันว่างหมดนะ ว่างๆ อู๊ย สุขสบายมากเลย แต่ เอ๊ มันมีอะไรสุมอยู่ในใจ แล้วอะไรเนี่ย ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ แล้วโสดาบันล่ะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ คนละเรื่องเลยนะ คนละเรื่องเลย เวลาเราพูดไปเนี่ย เห็นไหมมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด หลวงตาท่านพูดบ่อยมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ถ้าเรารู้ด้วยเหตุผลหยาบๆ แล้วเรายึดด้วยเหตุผลว่าถูกต้อง ๆ เนี่ย มันจะเกาะอยู่ที่เหตุผลที่หยาบๆ อย่างนี้ แล้วมันจะไม่ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แล้วพอมันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ มันจะคนละชั้น
เนี่ยโดยหลัก ถ้าภาวนาเป็นฟังออกหมด แล้วจับหลักได้หมด แต่ถ้ามันไม่เป็นนะเห็นไหมที่เราค้านกับพวกอภิธรรม หลวงพ่อ แล้วมันผิดอย่างไร มันเป็นวิทยาศาสตร์นะ มันอธิบายได้หมดเลย กูบอกเออมันผิดตรงวิทยาศาสตร์เนี่ย วิทยาศาสตร์เนี่ยผิดเพราะวิทยาศาสตร์ไงมันเป็นกรอบไงแต่ธรรมะนะมันเหนือวิทยาศาสตร์ มันมีบนโต๊ะใต้โต๊ะ โอ้..กิเลสนี่มัน ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม มันก็เอาหลักมาตั้ง แล้วบอกว่ารู้แล้ว อ้าวรู้ ก็วิทยาศาสตร์ แล้วพิสูจน์ได้ด้วย นี่ไงอารมณ์ว่างๆ สภาวธรรมไง กูคิดได้หมด กูจะคิดให้เป็นยังไงก็ได้ใจกูเนี่ย ก็วิทยาศาสตร์ไง อธิบายได้ด้วยชัดเจนหมดเลย
เราว่ามันผิดตรงนี้ ผิดตรงวิทยาศาสตร์เนี่ย ถ้าเป็นธรรมนะ ถ้าเหมือนกันก็คือสัญญาคนหนึ่ง ถ้าเป็นธรรมนะปฏิบัติ ๑๐๐ คน ก็ ๑๐๐ แบบ ไม่มีการเหมือนกัน ถ้ามีการเหมือนกัน เวลาเรานั่งคุยธรรมะกัน เราเคยไปจำของใครมา พอจำมาปั๊บมันจะเป็นจินตมยปัญญาทันที มันจะสร้างภาพ พอมันสร้างภาพขึ้นมามันก็สร้างของมันไป เวลาคุยกัน ๒ คนพูดเหมือนกัน จะคนหนึ่งถูกคนหนึ่งผิด คนที่ถูกคือเจ้าของ คือผู้ที่รื้อค้นขึ้นมา คนที่ฟังมาแล้วเอาไปพูดนี่คนนี้ผิด แล้วเวลาพูดเหมือนกันเปี๊ยะเลย อารมณ์เหมือนกันเปี๊ยะเลย ทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย แต่ แต่มันไม่ถอนสังโยชน์ คนแรกเนี่ยมันถอนสังโยชน์ สังโยชน์ขาดจากการกระทำของเขา คนที่ ๒ สังโยชน์ไม่มีทางเลย เพราะสังโยชน์มันรู้ก่อน เพราะเราฟังเขามา
มารเอยเธอเกิดจากการดำริของเรา เพราะพอมารมันรู้แล้ว มันสร้างภาพไว้หมดเลย แต่มันเก็บสังโยชน์ไว้นะซ่อนไว้ไม่ให้มึงเห็น มึงถอนกูไม่ได้หรอก เพราะมึงกับกูรู้พร้อมกันไง ก็ฟังมาด้วยกันไง พอฟังมาด้วยกัน พอจะทำนะ กูก็หลบไว้ก่อนไง เนี่ยไม่มีทางเหมือนกัน เนี่ยผิดคนหนึ่งเด็ดขาดเลย เนี่ยพอเป็นวิทยาศาสตร์เห็นไหม วิทยาศาสตร์พูดเหมือนกันหมดเลย ๑๐๐ คนพูดเหมือนกัน ไม่มีคนถูกแม้แต่คนเดียวนะ ผิดหมดเลย ผิดเพราะอะไร
ถ้าอย่างครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระป่า ถ้าพูดมา ๑๐๐ คนต้องถูกคนหนึ่ง เพราะคนรู้คนแรกที่บอกมาคนนั้นถูก เพราะเขารู้จริงของเขา แต่นี่พูดถึง ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ผิด ๑๐๐ คนเลย ผิด ๑๐๐ คนเพราะอะไร เพราะคนแรกก็รู้โดยวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์คือข้อเท็จจริงคือโลกไง แต่ถ้าทำสมาธิเข้ามามันลึกกว่าวิทยาศาสตร์ไง มันลึกกว่าวิทยาศาสตร์ตรงไหน ลึกกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ สมาธิเกิดขึ้นมาแล้วเป็นอนิจจัง มันจะเกิดจะดับของมัน
เราบอกบ่อยนะ สมาธิเนี่ยทุกคนบอกเป็นสมาธิแล้วมันเสื่อม อยากรักษาสมาธิ บอกมึงถ้ารักษาสมาธิมึงเสื่อมทั้งชาติเลย แต่ถ้ามึงจะรักษาสมาธินะมึงรักษาที่เหตุ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตั้งสติไว้เนี่ย สมาธิถึงมึงถีบมันไปมันก็ไม่ไป เราตั้งไฟไว้รักษาไฟไว้ตั้งน้ำไว้น้ำเดือดตลอดชีวิตตลอดไปนะถ้าเรายังรักษาไฟ มึงอยากให้น้ำเดือดมึงไม่ดูไฟเลยเดี๋ยวไฟดับนะ น้ำมึงยังไงก็ไม่เดือด สมาธิเนี่ย พุทโธ พุทโธ เราอยู่กับพุทโธ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในเมื่อเหตุเราสมควร เหตุเราเต็มที่ ผลมันไม่เกิดได้อย่างไร แต่ถ้าเหตุเป็นมิจฉา ผลก็เป็นมิจฉา เหตุเป็นสัมมา ผลก็เป็นสัมมา แล้วอยู่ที่เหตุเนี่ยเริ่มต้นเป็นมิจฉาหรือสัมมา เพราะเรายังไม่เป็นพอทำๆ จนชำนาญ อ๋อ..อย่างนี้ผิด อย่างนี้ทุกข์น่าดูเลย อ๋อ อย่างนี้ถูก อ๋อ อย่างนี้ดีขึ้นหน่อย วันหลังทำอย่างนี้ดีกว่า ทำไป นี่เราฝึกเหตุไว้ก่อนไง
เราฝึกพุทโธบ้างใช้ปัญญาอบรมสมาธิบ้าง เห็นไหม แล้วพอจิตมันมีอาการบ้าง มันชักสงบบ้าง ใช้ปัญญาบ้าง หัดฝึกปัญญา ไม่ใช่ตะบี้ตะบันจะทำแต่สมถะจนจิตสงบนิ่งแล้วค่อยมาพิจารณา ไม่ใช่หรอก จิตมันสงบแล้วเราต้องหัดฝึกปัญญา ถ้าเห็นไหมเรามีเงิน ๑๐๐ ล้านเราจะซื้อรถคันละล้านเดียวเท่านั้น เข้าไปในโชว์รูมไหนก็ไม่มีใครเขาขายให้เลย เพราะเขาจองกันหมดแล้วเราไม่ได้หรอก มีเงิน ๑๐๐ ล้านก็ซื้อรถไม่ได้ สมาธิจะดีเด่ขนาดไหนนะ มึงก็ออกปัญญาไม่เป็นถ้ามึงไม่ฝึกไว้ เรามีเงิน ๑๐๐ ล้านใช่ไหม เราจะซื้อรถ ก็ไปถามก่อน รถนี้ขายไหม มีคนจองหรือยังเห็นไหม มันไปจองรถไว้ก่อนเห็นไหม พอมีเงินก็ไปซื้อเลยใช่ไหม
สมาธิก็เหมือนกัน หัดฝึกปัญญาไว้บ้างหรือยัง มึงได้ติดต่อจะหาซื้อเขาบ้างหรือยัง มึงได้ไปจองรถไว้บ้างไหม มึงได้รู้ไหมว่ารถเขามีโอกาสจะขายให้มึง นี่ไงมันออกใช้ปัญญาได้ แต่ปัญญาอย่างนี้ปัญญาฝึกฝน ปัญญาเกิดเองไม่ได้ถ้าไม่ฝึกหัด ถ้าปัญญาเกิดเองฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์หมดไปแล้ว ฤๅษีชีไพรมันเหาะเหินเดินฟ้าได้ เทวทัตนี่เหาะเหินเดินฟ้าได้หมดเลย ทำไมเทวทัตยังคิดฆ่าพระพุทธเจ้า สมาธิทำให้เกิดปัญญาเองไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิความคิดเป็นโลกหมด
ตัวสมาธิตัวกดโลกทัศน์ ตัวกดความเห็น ตัวกดตัวตนของตัวเองไว้ แล้วพอปัญญามันเกิดขึ้นมาต้องฝึกอีก ที่ปฏิบัติมันยากมันยากอย่างนี้ พระพุทธเจ้ายังท้อใจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาโอ้ ! จะสอนได้ยังไง ทั้งๆ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้ายังท้อใจเลย ไอ้นี่ โอ้โฮ เรียงแถวเลยนะเข้าเหมือนม้าแข่ง ปล่อยออกจากซองแล้วเป็นพระอรหันต์หมด มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนม้าแข่งเลยนะ พอเปิดจากซอง โอ้โฮ มันเข้าป้ายหมดเลย กิเลสนะมึง มันพาเวียนตายเวียนเกิดมาขนาดไหน คนไม่เคยเห็นกิเลส คนไม่ต่อสู้กิเลส การเห็นกิเลสนี้ก็แสนยาก
หลวงตาท่านสอนบ่อย การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานอันหนึ่ง การขุดคุ้ย พอจิตสงบแล้วไง พอจิตสงบ น้ำใสเห็นตัวปลา เขาบอกนะจิตสงบแล้วเดี๋ยวกิเลสจะมาให้จับให้ฆ่า อีก ๑๐๐ ชาติ อีก ๑๐๐ ชาติ พอน้ำมันใสแล้ว ปลามันอยู่ในน้ำที่ใส ปลามันก็เรืองแสง น้ำใสเห็นตัวปลาเป็นการยืนยันว่าถ้าจิตสงบขนาดไหนมันมีกิเลสอยู่ ถ้ามีกิเลสอยู่แล้ว เราต้องคุ้ยหามัน ถ้าคุ้ยหามันนะ เดินไปชนปลา น้ำมันใส เนี่ยไปอาบน้ำเห็นไหม ที่ปลาชุมๆ มันจะวิ่งเข้ามาตอดเราเลย ปั๊บๆๆ แต่เราไม่เห็นตัวมันนะ นี่ก็เหมือนกันเดินชนปลายังไม่รู้ปลาอยู่ไหน เดินชนกิเลส นอนอยู่กับกิเลส คร่อมกิเลสอยู่ กิเลสขี่หัวอยู่ ไม่เห็นกิเลส นั่นพอจิตมันสงบแล้วเราต้องออกหา การขุดคุ้ยหากิเลส
การออกหาคือจิตออกดู กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม มันจะแสดงตัวผ่าน กาย เวทนา จิต ธรรม มันแสดงตัวผ่าน คำว่า แสดงตัวผ่าน เพราะ กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่กิเลสนะมึง ถ้ากายเป็นกิเลสนะ คนตายไปแล้วมันจบสิ้นกันไปแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่กิเลสนะ แต่กิเลสมันแสดงผ่าน มันอาศัยนี่เป็นการแสดงออก พอจิตสงบแล้วนี่เราถึงไปจับมัน ไปดูมัน ไปฝึกหัดมัน พอมันเห็น เพราะกิเลสมันมีใช่ไหม มันก็ยึดมั่นถือมั่นในกายเราเป็นธรรมดา พอเราจับเรื่องกายมันก็กระเทือนถึงกิเลสด้วย แต่ต้องจิตสงบนะ
ถ้าจิตไม่สงบนะมันจับกายเนี่ย มันจะไปหาหมอจะไปผ่าตัดให้มันเต่งตึงไง มันไม่ใช่จะฆ่ากิเลส มันจะไปเสริมกิเลสนะ ถ้าไม่มีสมาธิ ถ้ามีสมาธิแล้วมันถึงจะเห็น มันต้องฝึกทั้งนั้น ทุกคนพูดคำนี้ไง เมื่อไรจะจิตสงบล่ะ เมื่อไรจะเป็นสมาธิล่ะ และเมื่อไรจะได้ภาวนา แล้วฉันจะได้มีโอกาสได้ภาวนาไหม แล้วปัญญามันมีอยู่แล้วเนี่ย บอกเลย ใครบอกภาวนาไหม เอ็งนั่งสิ ไม่ปวดหรือ เวทนาไม่เห็นหรือ มันเห็นทั้งนั้นเพียงแต่ เรามีกำลังแค่ไหน จิตใจเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน นี่พูดถึงคำว่า พูดเหมือนไง
เขาว่าเราบอกว่าพูดเหมือนไม่ได้ ได้ เราก็พูดเหมือน เราเทศน์มาบ่นน่าดูเลย เทศน์ซ้ำๆๆๆ ทุกวันเลย ไม่เหมือนได้ยังไง พูดซ้ำอยู่ทุกวันเนี่ย พูดเหมือนได้ แต่เหตุผลน่ะ เหตุผล เหตุผลมันไม่เหมือนกัน พูดเหมือนกันคนหนึ่งเป็นเด็กคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งรู้คนหนึ่งไม่รู้ เนี่ยค่ามันไม่เหมือนกัน แต่พูดเหมือนได้ เราพูดถึงผลที่มันเกิดมาจากการกระทำนั้นมันไม่เหมือนกัน คือ เขาจะตะแบงน่ะ เขาจะพูดว่าให้เรานี่ผิดหมด นี่พูดถึงพูดเหมือน นี่วันนี้พูดแค่นี้นะ เดี๋ยวดูพรุ่งนี้สิ พรุ่งนี้เช้าถ้าคำถามมา พรุ่งนี้คำถามจะมากูรอคำถาม เอวัง