ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

นิพพานเห็นแก่ตัว

๒๖ ก.ค. ๒๕๕๒

 

นิพพานเห็นแก่ตัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : ไอ้พูดธรรมะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราสายวัดป่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านพูดคำนี้ก่อนเห็นไหมว่า “ธรรมะมันอยู่ฟากตาย” คำว่าอยู่ฟากตาย คนที่ต่อสู้มาขนาดนี้จะมาพูดอะไรลอกแลก พูดอะไรที่มันไม่จริงไม่จังนี่ท่านพูดไม่ได้หรอก มันต้องพูดจริงพูดจังมาก แล้วจะมาอย่างนี้ เอาอันนี้ เอาเรามาเป็นน้ำจิ้ม

ถาม : ๔. ทำไมพระอาจารย์......ถึงรู้ถึงสภาวะจิตของคนต่างๆ แล้วทักออกมาได้อย่างถูกต้อง?

หลวงพ่อ : โยมเชื่อเหรอ เราไม่เชื่อเลยนะ เพราะลูกศิษย์หลายคนเขาก็ไปมา เขาบอกนั่งต่อหน้านี่ คิดทั้งวันเขาก็ไม่รู้ แล้วเราก็บอกลูกศิษย์เรา ตอนเช้าที่เขาไปตามเว็บไซต์นี่ ว่าเขาเองก็คิดอย่างนี้ เอ็งกลับไปนะ เวลาเขาเทศน์ที่ศาลาลุงชิน เขาก็กลับไปนั่งต่อหน้าเลย แล้วก็คิดของเขา เขาบอกไม่มีวันรู้หรอก

แต่เวลาที่เขาบอกว่ารู้วาระจิตๆ เราบอกโดยธรรมชาติของมัน ดูสิไฟนี่ใครไปจับก็รู้ว่าไฟร้อนจริงไหม ไฟใครไปจับก็รู้ว่าร้อน เพราะธรรมดาพลังงานมันต้องมีความร้อน ธรรมชาติของจิตมันคิดทุกคน เราชี้ไปนี่มันคิดทุกคน มันชี้มันก็ถูกทั้งนั้น บอกว่าคิดแล้วๆ แต่เขาไม่บอกว่าคิดเรื่องอะไร นี่ ชี้ไปถูกหมดๆ ไอ้นี่คนไปเชื่อกันเฉยๆ มันไม่จริง มันไม่เป็นความจริง

ถ้าคนที่เป็นความจริงมันจะไม่พูดอย่างนี้เลย มันพูดอย่างนี้ไม่ได้ สิ่งที่พูดอย่างนี้ อย่างเช่น เริ่มต้นนะ เวลาเราพูดไป ตอนเช้าเราถาม นี่เป็นความคิดเขาเหรอ นี่จิตเดิมแท้ไม่มีกิเลส ธรรมชาติของจิตนี่ไม่มีกิเลส คำว่าธรรมชาติของจิตไม่มีกิเลส

เราจะบอกว่าเพราะความมุมมองผิด ว่า ธรรมะเป็นธรรมดา คำว่าธรรมดา ธรรมชาตินี่นะ คำว่าธรรมชาติไม่มีกิเลส เราคิดกันเองว่า จิตเรานี่นะ เหมือนกับน้ำเห็นไหม ในแม่น้ำที่มันใส น้ำนี่เวลามันกักอยู่ที่ไหน เวลามันนอนก้น น้ำนั้นจะเป็นประโยชน์มากเลย น้ำมันใส มันมีประโยชน์หมดเลย เราคิดกันไปอย่างนั้น แต่เราไม่คิดเลยว่า เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้โดยข้อเท็จจริง

อย่างพระโพธิสัตว์ เวลาเกิดตายเกิดตายมาขนาดไหน พระโพธิสัตว์ทำคุณงามความดีมาตลอดนะ มีกิเลสไหม ก็มีกิเลสทั้งนั้น ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีกิเลส ทำไมพระโพธิสัตว์อยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นความดี ติดในดีไง มันเป็นกิเลสอันหนึ่ง เป็นกิเลสทั้งนั้น

ฉะนั้นถึงบอกว่า ธรรมชาติของจิตไม่มีกิเลส แต่เพราะเกิดอวิชชามาถึงทำให้หลง เพราะเราเข้าใจกันอย่างนี้ เราเข้าใจกันว่าธรรมชาติ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ไอ้กรณีอย่างนี้ที่เมื่อก่อนเขาเถียงกันว่า จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ถ้าผ่องใสแล้วเอาอะไรมาเกิดอีก

เขาว่าจิตเดิมแท้นี้เป็นพระอรหันต์ อีกคนบอกไม่ใช่พระอรหันต์หรอก มันไม่ใช่ทั้งนั้นเลย แต่มันเป็นจิตมันหยาบละเอียด มันเป็นขั้นตอนอย่างที่ครูบาอาจารย์เราปฏิบัติ

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

และถ้าผู้ปฏิบัติแล้วมันแยกเป็น ๒ อีก จิตเดิมแท้ในขั้นของสมาธิ พอจิตมันละเอียด มันใสเข้าไป มันใสหมด สว่างหมดเลย เขาเรียก “รวมใหญ่” นี่หลวงตาพูดบ่อย ถ้าใครไม่เคยรวมใหญ่จะไม่รู้จักคำว่ารวมใหญ่ รวมใหญ่คือจิตลงสมาธิ พอจิตรวมลงสมาธิถึงฐาน มันสว่างหมด มันใสของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้ามันลงถึงฐีติจิตนะ

ทีนี้ เวลาจิตเดิมแท้ของพระอนาคามันไม่เป็นอย่างนั้น จิตเดิมแท้ของพระอนาคามันชำระกิเลสออกไปไง คือมันใสโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเป็นสมาธิมันจะใสด้วยคำบริกรรมไง ด้วยสติยับยั้งไว้ เหมือนหินทับหญ้า คำว่าทับหญ้า มันจะทับหญ้าของมันไว้ แต่ถ้าเป็นพระอนาคามันจะใสโดยธรรมชาติเลย ใสอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วติด

ดูสิ เราจะยกหลวงปู่คำดีตลอดเลย หลวงปู่คำดี ท่านติดท่านก็รู้ว่าติดนะ เวลาท่านสว่างหมดท่านใสหมดเลยนะ แล้วท่านไปไม่ได้ ถึงจุดธูปเทียนอาราธนาเลย “ขอให้มหามาแก้จิตให้ที” พอหลวงตาไปพูดอธิบายให้ฟัง “อ้อ เข้าใจแล้ว”

เข้าใจคือแค่รู้วิธีเท่านั้นเอง ยังทำอะไรไม่ได้ มันใสสะอาดแต่มันยังทำอะไรไม่ได้ แต่พอรู้เรายังทำอะไรไม่ได้ เราก็หมุนของเรานะ หมุนไปหมุนมาหมุนไม่ถูก หันรีหันขวางนะ ก่อนที่จะหันรีหันขวาง ทีแรกมันไม่ยอมรับหรอก มันก็ว่า ใสๆ นั้นคือนิพพานทั้งนั้นแหละ

นี่พูดถึงว่ากิเลส มันมีอย่างหยาบ มีอย่างละเอียด มีละเอียดหมด สิ่งที่มันเป็นแล้วบอกว่าธรรมะเป็นธรรมดาไม่เหนือธรรมชาติ ไม่เหนือธรรมชาตินี่ธรรมชาติมันแปรปรวน แล้วธรรมแท้ๆ มันตั้งอยู่บนอะไร ธรรมชาติเห็นไหม ไม่ต้องไปควบคุมมัน เพราะธรรมชาติมันจะแปรสภาพของมันไป แล้วถ้าธรรมะเราเป็นธรรมชาติเราก็หมุนไปกับมัน

แล้วธรรมะถ้าเป็นธรรม ธรรมที่เหนือธรรมชาติมันอยู่บนอะไรถึงเหนือธรรมชาติ มันต้องมีที่อยู่ของมัน เพราะธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับมันไม่ได้

ทีนี้เขาบอกว่ามันเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ การบรรลุธรรมไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำอะไรผิดธรรมดา การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาคือการไม่ต้องทำอะไรผิดธรรมดา มีแค่มีปัญญารู้เห็น

เราจะบอกว่า เริ่มต้นจากความคิด ความคิดที่บอกว่า จิต ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติจิตของมันไม่มีกิเลส พอจิตไม่มีกิเลส มันเข้าไปถึงจุดนั้น มันก็เป็นธรรมโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นจริงได้อย่างไร มันเป็นจริงไม่ได้เห็นไหม

การบรรลุธรรมของพระพุทธศาสนา คือไม่ต้องทำอะไรที่ผิดธรรมดา ถ้าไม่ต้องทำอะไรผิดธรรมดา เวลาพระพุทธเจ้าไปทดสอบกับเจ้าลัทธิต่างๆ รุนแรงขนาดไหนมันก็เป็น อัตตกิลมถานุโยค เพราะตอนนั้นยังไม่มีปัญญาเพราะธรรมะยังไม่เกิด แต่พอธรรมะมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันธรรมดา

ถ้าธรรมดา ทำไมพระโสณะต้องเดินจงกรมจนเลือดสาดเลย พระพุทธเจ้าตั้งพระโสณะเป็นเอตทัคคะในทางที่ทำความเพียรกล้า ถ้าพระโสณะทำความผิดนะ พระพุทธเจ้าจะตั้งเอตทัคคะว่า พระโสณะเป็นผู้ทำความเพียรกล้าทำไม ถ้ามันธรรมดา ธรรมดาทำไมเดินจนเลือดแดงฉานเลย มันไม่ธรรมดามันต้องต่อสู้ๆ

ขณะที่ทำนะ มันก็เหมือนกับเรา ดูสิ เราเอาอาหารมา เราว่าอาหารนี่มันต้องสุกเป็นธรรมดา มันสุกไหม จะแกงจะอะไร มันต้องมีความร้อนมันต้องสุกของมันนะ อาหารมาตั้งไว้ มันเป็นธรรมดา เราก็รู้ใช่ไหม เช้าขึ้นมาเรากินทุกวัน แล้วเราเอาวัตถุดิบมา เราเอาแกงมาตั้งไว้แล้วมันเป็นธรรมดา พอพูดอย่างนี้ปั๊บ มาหาเรา เราพูดตรงข้ามหมดๆ

การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องทำอะไรผิดธรรมดา คำว่าธรรมดาหรือไม่ธรรมดา มันมีกิเลสบวก กิเลสของเรามันบวก ถ้ากิเลสของเรามันบวกขึ้นมา แม้จะธรรมดาไม่ธรรมดามันเป็นไปหมด เพราะความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น พอเราพูดอะไรไปมันหาว่าเรานี่พูดแบบตะแบงพูดแบบไม่รับผิดชอบสิ่งใด

ประเด็น : จิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้น อันอารมณ์ไม่ทำให้จิตติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติมั่นคงไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นการเกิดและความดับของจิตนั้น

หลวงพ่อ : อ้าว พระอรหันต์ทำไมต้องมีการเกิดการดับอีกล่ะ พระอรหันต์ไม่มีการเกิดการดับอีกแล้ว นี่มันไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วเอาสิ่งนี้มาทำ มันเริ่มต้น มันผิดมาตั้งแต่ปริยัติกับปฏิบัตินี่มันมารวมกัน ปริยัติ ปฏิบัติ เวลาที่เขาจะปฏิบัตินี่เขาจะปฏิบัติโดยปริยัติ คือจะผิดพลาดจากตำราไปไม่ได้เลย

ตำรามันแค่สอน ให้เรามีช่องทางไป แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วนี่ช่องทางของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีทางเหมือนกัน มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล

ธรรมชาติของมันคือจริตนิสัย แล้วจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน แล้วธรรมชาติของใครถูก ธรรมชาติของใครผิดล่ะ นี่ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราต้องต่อสู้กับมัน เพื่อเอาชนะมันให้ได้ ถ้าต่อสู้กับมันนะ ทำไมพระพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม “การชนะคนอื่น ชนะสงคราม คูณด้วยล้านมีแต่เวรแต่กรรม การชนะที่ประเสริฐที่สุดคือการชนะตัวเราเอง”

ทีนี้การชนะตัวเราเอง ธรรมดาๆ มันไปสมยอมกัน เหมือนเรามีโอกาสได้ทำคุณงามความดี ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรามหาศาล เราจะได้คุณงามความดีของเราไปเลย นี้พอจะทำคุณงามความดี กลัวจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค ไปออมชอมกับมัน พอไปออมชอมกับมัน มันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมชาติ เพราะอะไร เพราะธรรมดาธรรมชาติเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์

โธ่ เวลาพระพุทธเจ้านะ พระโมคคัลลานะเวลาธุดงค์ไป เผยแผ่ธรรม แล้วไปพักอยู่บ้านๆหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงนี่ เขาคิดว่าเป็นบุญไง เขาจะถวายกาม พระโมคคัลลานะไม่เห็นด้วย ก็หลุดไปบอกว่าสิ่งนั้นเป็นของไม่ดี พอไม่ดีมันก็เป็นกรรมของเขา กรรมนี้มันหนักใช่ไหม ก็อยากจะช่วยเขา ด้วยฤทธิ์มากก็หลุดพลั้งปากไป พลั้งปากไปเขาก็ทุกข์ยากมาก ก็ไปปรึกษาพระพุทธเจ้าบอกว่าจะช่วยผู้หญิงคนนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้หรอก กรรมมันหนัก หนักขนาดไหน หนักเท่าแผ่นดิน แผ่นดินขนาดไหน ขอดู ก็เหาะขึ้นไป พระพุทธเจ้าสั่งไว้ ถ้าเห็นโลกนี้เท่าใบมะขามอย่าไปอีกนะ ถ้าโลกนี้เล็กเท่าใบมะขาม เพราะมันจะจับสายกลับมาไม่ได้ หลุดออกไปเลย แล้วสุดท้ายพระพุทธเจ้าอีกองค์ก็ส่งกลับมา

พอกลับมาแล้ว มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “โทษของกามนี่ทำไมมันรุนแรงขนาดนี้ ทำไมทำให้คนทุกข์ยากได้ขนาดนี้”

นี่พระพุทธเจ้าพูดนะว่า “โมคคัลลานะเธอพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราตถาคตก็เกิดจากกามนะ การเกิดของเราเกิดจากพ่อแม่ทั้งนั้น เราตถาคตก็เกิดจากกามนะ แต่เราเอากามมาทำคุณงามความดี”

เหมือนหลวงตาพูดเราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แล้วจะไม่เกิดอีก คือเราก็เกิดจากธรรมชาตินี่แหละ เกิดมาจากกาม

ถ้าไม่มีกามเขาบอก โทษนะ การมีเพศสัมพันธ์มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเป็นความหลง แต่พูดถึงเวลาธรรมะนี่ ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่เวลามีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่ธรรมชาติเพราะเป็นการหลง เขาพูดผิดนะ

ดูอย่างพระสุทินน์นี่เป็นลูกคนเดียวแล้วออกบวช พ่อแม่ก็ไม่อยากให้บวช แต่พระสุทินน์อยากบวชมาก พอบวชไปแล้วนี่พ่อแม่ของพระสุทินน์ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็อยากมีผู้สืบสกุลไง ก็ขอพระสุทินน์นี่ให้มีเพศสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ภรรยาที่พ่อแม่เลี้ยงไว้ พระสุทินน์นี่พ่อแม่มาตื้อขนาดไหนสุดท้ายก็ตกลง ถ้าถึงเวลาประจำเดือนมาถึงจังหวะแล้วนี่ให้พาอดีตภรรยามาแล้วมีเพศสัมพันธ์กัน เพราะตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่บัญญัติธรรมวินัย

เพราะด้วยแรงปรารถนา พ่อแม่พระสุทินน์ต้องการผู้สืบสกุล พระสุทินน์ก็อยากจะรักษาสถานะของพระนี้ไว้ ถ้ามีผู้สืบสกุลพ่อแม่ก็ไม่ต้องมาอ้อนวอนลูกอีกใช่ไหม ก็มีเพศสัมพันธ์ไป พอทำไปแล้วก็มานั่งเสียใจทีหลังไง ว่าเราไม่ควรทำ ถึงพระพุทธเจ้ายังไม่บัญญัติห้ามก็ไม่ควรทำ ก็ทำให้เศร้าหมอง ซูบซีดไปหมดเลย คนทำผิดมันก็ตรอมใจ เพื่อนก็ถามว่าทำไมซูบซีดขนาดนี้ล่ะ ก็บอกว่า ได้ทำอย่างนั้นๆ ไป โอ๋ พระก็วิจารณ์ใหญ่เลยก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าไง

พระพุทธเจ้าก็เรียกพระสุทินน์มา “สุทินน์เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ”

“จริงๆ เพราะแม่มาตื้อ แม่มาขอให้มีผู้สืบสกุล”

“แล้วเธอทำจริงๆ หรือ”

“จริงๆ”

แล้วก็ติด มีท้องด้วย แล้วได้ลูกออกมาได้ชื่อว่า “พืช” พืชสืบสกุล สุดท้ายไอ้พืชนี่ก็มาบวชเป็นพระอรหันต์หมดเลย ไอ้พืชนี้ก็มาบวชด้วยนะ แล้วพระสุทินน์พระพุทธเจ้าบัญญัติปาราชิกแต่พระสุทินน์ไม่ปาราชิกเพราะยังไม่มีกฎหมาย พระสุทินน์เป็นปฐมเหตุให้พระพุทธเจ้าบัญญัติปาราชิก ๔

การมีเพศสัมพันธ์ ปรับอาบัติปาราชิก ถ้าพระทำอย่างนั้นเป็นปาราชิก แต่ตอนนั้นยังไม่ได้บัญญัติ พระสุทินน์นี่ไม่มีอาบัติ เวลาพระพุทธเจ้าพูดนะ “โมคคัลลานะ เราเกิดมาจากกามนะ เธอจะบอกว่ากามเป็นโทษๆ เราเกิดมาจากกามนะ แต่เราเอากามมาทำคุณงามความดี เอามาสร้างคุณงามความดี”

การเกิดการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่มันเป็นวัฏฏะมันเป็นทุกข์ มันเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ สิ่งที่เราต่อต้านไม่ได้ สิ่งที่เราจะยับยั้งไม่ได้เพราะจิตเรามีกิเลสอยู่ เราต้องหมุนไปอย่างนี้ เรามีสายบุญสายกรรม เราต้องเกิดต้องตายไปตามธรรมชาติของมัน

ทีนี้เขามาบอกว่า ไม่ใช่ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่ธรรมชาติมันเป็นเพราะจิตหลง แล้วคนที่เขามีจิตหลง ดูสิ โอ๋ ถ้าจิตหลงนะ โทษนะ เดี๋ยวนี้คนมีตังค์ ไปทำกิฟท์ เขาทำที ๗ ครั้ง ๘ ครั้ง มันยังไม่ติดเลย เพราะเขาต้องการคนสืบสกุล เขาหลงเหรอ เขาหลงอะไร เขามีคนสืบต่อของเขา

โทษนะ เหมือนสุรานี่ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ศีลห้าเราห้ามดื่มสุรา แล้วสุรานี่มันเป็นอะไร โรงงานเขาผลิตมาเยอะแยะมากมายมหาศาล มีแต่เราไปดื่มสุรา เพราะเราไปติดกับมัน คนเรานี่ถ้ามากเกินไปมันก็เสียหายทั้งนั้นแหละ ถ้าเราติด สุราเรากินชนะมันไม่ได้หรอก ไม่มีใครดื่มสุราแล้วชนะสุรานะ เพราะโรงงานสุรามันผลิตมาได้ทั้งชาติเลย มึงดื่มอย่างไรก็แพ้มัน มึงแพ้มันอยู่แล้ว มึงเอาชนะมันไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของกาม ถ้าคนไปมั่วสุม ไปมั่วกับมันจนเกินไป มันก็ให้โทษกับคนคนนั้น คือมันต้องตอบสนองกิเลสตัณหาทะยานอยาก แต่โดยธรรมชาติเรื่องสืบสกุลของเขามันก็เป็นเรื่องของเขา มันมีในธรรมคนแยกไม่ออก

นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แล้วพอโตขึ้นมามีครอบครัว นางวิสาขามีลูก ๒๑ คน พระโสดาบันโว้ย นี่พระโสดาบันหลงหรือเปล่า ที่เขาพูดกันไง การมีเพศสัมพันธ์เพราะจิตมันหลง มันถึงไปมีเพศสัมพันธ์ ถ้าจิตไม่หลง มันถึงไม่มีเพศสัมพันธ์ เราไม่ได้ส่งเสริมให้มีการมีเพศสัมพันธ์นะ เราพูดธรรมะ เราพูดข้อเท็จจริง เราไม่ได้ส่งเสริมให้คน ว่าทำอย่างนี้แล้วดี ทำอย่างนี้แล้วถูกต้อง เราไม่ได้ส่งเสริม

แต่มันเป็นข้อเท็จจริงในความเป็นจริงว่า สิ่งที่เป็นธรรมๆ ยังไงถึงจะเป็นธรรม ยังไงถึงไม่เป็นธรรม ทีนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ เราไปปฏิเสธมันว่า สิ่งนี้ผิดหมดเลย แล้วมึงเกิดมาทำไม เกิดมาจากไหน แล้วมึงเกิดมาได้ยังไง แล้วการเกิดนี่จะบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้

พอเกิดมาแล้ว เราตั้งสติของเรา พอตั้งสติของเราแล้วมันก็ทุกข์ยากทั้งนั้นนะ อย่างเช่น พระหลายๆ องค์เลย จะออกมาบวชนี่แสนยาก เพราะเราเกิดมาแล้ว สายบุญสายกรรมเลย

โยมมีพ่อมีแม่ เรามีชาติตระกูลเหมือนกัน แล้วชาติตระกูลของเรา ต้องการให้เราอยู่ในครอบครัว ทุกคนที่ดี เขาต้องการให้ส่งเสริมไป แล้วจะออกบวชได้อย่างไร แล้วต้องทำยังไง พ่อแม่ทำยังไง แล้วพระพุทธเจ้านี้พ่อแม่ทำยังไง พระพุทธเจ้าเวลาออกบวชมันสะเทือนกันไปหมด

แต่นี้ธรรมดา มันเป็นธรรมชาติ มันจะโรยด้วยกลีบกุหลาบนะ การปฏิบัตินี่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แล้วเวลาแก้กิเลสนะ เหมือนจะโรยกลีบกุหลาบมาให้ทำได้ง่ายๆ เลย มันเป็นไปไม่ได้สักอย่าง ขนาดมีบุญญาธิการ มีบุญวาสนาขนาดนี้นะ ในการต่อสู้กับกิเลส มันยังต่อสู้ด้วยความตั้งใจด้วยความจริงจังขนาดนี้ มันถึงจะเป็นไปได้

ห่วงแต่คนจะไม่ปฏิบัติ ใช่ ถ้าเราจะเผยแผ่ธรรมนะ เราก็แสดงธรรมได้ เราก็เผยแผ่ธรรมได้ แต่เราต้องทำให้มันถูกต้องไปตามข้อเท็จจริงนั้น ไม่ใช่ว่าเขาทำกันอยู่แล้ว เราเชื่อมั่นมากเลยว่าไม่มีใครสอนเก่งหรือดีไปกว่าองค์หลวงปู่มั่น

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนพระ ท่านสอนปฏิบัติ ถึงคราวที่ท่านจะเสียชีวิตนะ

“หมู่คณะปฏิบัติมานะ การแก้จิตนี่มันแก้ยากมาก ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

คำพูดนี้กินใจเรามาก มันเป็นเหมือนกับพ่อแม่ที่ห่วงลูกมาก ห่วงสุดๆ เลย ห่วงอาลัยอาวรณ์ห่วงหาเลย

“ถ้าพวกเอ็งมีปัญหาขึ้นมา เอ็งมีอะไรในหัวใจ รีบทำมานะ เราภิกษุเฒ่าจะแก้ว่ะ ถ้าภิกษุเฒ่าตายแล้ว แก้จิตมันแก้ยากนะ มันหาคนรู้จริงที่จะมาแก้นี่มันหายากนะ”

ท่านพูดขนาดนี้นะ ท่านรำพึงรำพันขนาดนี้ แล้วนี่บอกว่าธรรมดาธรรมชาติไหลกันไปเลย เอากันไปเลย เราถึงสอยกลับไง เพศสัมพันธ์ก็เป็นธรรมชาติ เพศสัมพันธ์ก็ธรรมะเหมือนกัน สอยกลับเลยเพราะอะไร เพราะเตือนสติ คิดอยู่ตลอดเวลาว่า มันต้องเป็นไป มันเป็นมุมมองของเขา เป็นความเห็นของเขา

เพราะความเห็นของเขา เขาเห็นอย่างนี้แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ มันจะออกมาเป็นมุมมองของเขาอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ ถ้าอะไรที่เป็นธรรมชาติคือไตรลักษณ์นั่นเอง เป็นธรรมะ แต่เกิดปัญหาขึ้นมา ใจเราถึงไม่ยอมรับ

นี่ ถ้ามันไม่เหนือธรรมชาติ ถ้ามันเหนือธรรมชาติหรือมันเป็นสิ่งที่พิเศษ เขาว่ามันต้องมีบุคคลพิเศษ มันไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่านี่มันไม่มีกำมือในเรา เราแบตลอด แต่พวกเราเข้าไม่ถึง อันนี้ก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าพูดถึงธรรมะนี้ พระพุทธเจ้าวางไว้นี่ เป็นธรรมจริงๆ เราเข้ากันไม่ถึงเอง เพราะวุฒิภาวะของเรา

ดูในปัจจุบันนี้สิ ถ้าเราคิดถึงตั้งแต่ไม่ใช่สมัยอุตสาหกรรม เรื่องการติดต่อสื่อสารมันยังไม่สะดวกอย่างนี้ เขาใช้รถม้ากัน ใช้ม้าเร็วนะเวลาเขาสื่อสารกัน เราไปคิดอย่างนั้นปั๊บ เราอยู่ในสภาพอย่างนั้นเราคิดออกไหม เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแบบนั้น เราคิดอะไรไม่ออกหรอก

แต่ในปัจจุบันนี้ ทุกอย่างเร็วไปหมด เขาเข้าใจสิ่งนี้ได้ ถ้ามันมีอะไรพิเศษนี่ พระพุทธเจ้าต้องมีบุคคลพิเศษเข้ามา มันถึงจะบรรลุธรรมได้ เขาว่าของเขามานะ มันต้องเป็นธรรมดาอย่างนี้ เป็นธรรมชาติอย่างนี้ มันถึงจะเป็นของมัน มันเป็นมุมมองของเขา เขาเห็นของเขา มันน่าสังเวช เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดมาพบครูบาอาจารย์ แล้วก็มาเข้าอันนี้นะ จะตอบปัญหานี้ไปเรื่อยๆ เลย

ถาม : ๑. พี่ที่รู้จักเขาอยู่สายหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พี่คนนี้ไม่ค่อยลงใจพระในสายวัดป่ามาก ทั้งๆ ที่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ในความเห็นของพี่เขาคือ พระอรหันต์อย่างหลวงปู่มั่นหนีไปนิพพาน คือ หนีไปสบาย สู้สายของเขาไม่ได้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไร?

หลวงพ่อ : เวลาเราคิดกัน เราคิดอย่างนี้ คิดว่าเราอยากจะทำประโยชน์มากๆ แต่เราไม่คิดมุมกลับเลยว่า เราทำประโยชน์แล้วมันจะเป็นประโยชน์จริงหรือเปล่า?

ตัวอย่างนะ เวลาพระพุทธเจ้าท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์เห็นไหม กรณีอย่างนี้ เราเน้นย้ำ สังคมมีมุมมองอย่างนี้ เวลาเราเทศน์ เราจะเตือนตลอดเวลา เราจะบอกตลอดเวลา แล้วคำนี้ใช้ทุกวันเลย ใช้ว่า พระพุทธเจ้านี้ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เหมือนคนปรารถนามาเป็นอาจารย์ ปรารถนามาเป็นครู นี่เขาต้องฝึกสอน เขาต้องเตรียมพร้อมมาทุกอย่างเลย

แล้วพอถึงเวลาบรรลุธรรมขึ้นมา ทอดธุระเลยนะ เอ๊.. จะสอนได้ยังไงๆ เห็นไหม จนพรหมต้องมานิมนต์ เพราะอะไร นี่ก็เหมือนกัน ความเห็นของเขาเห็นไหมว่าหลวงปู่มั่นหนีไปสบาย เพราะเขาไม่รู้จักหลวงปู่มั่น เขาไม่รู้จักหลวงปู่ขาว

เพราะในวงปฏิบัติเรานี่ พูดถึงหลวงปู่ขาวว่า เวลารถทัวร์ไปแวะที่วัดถ้ำกลองเพล สมัยที่หลวงปู่ขาวยังมีชีวิตอยู่นะ หลวงปู่ขาวจะขึ้นเขาไปเลย เย็นๆ รถทัวร์กลับไปแล้วท่านถึงจะลงมา พระก็แปลกใจ ถามหลวงปู่ขาวว่า ทำไมท่านไม่เมตตาสงสารญาติโยมเลยหรือ หลวงปู่ขาวบอกว่า “เทศน์สอนนี่ ๒ แสนคน มันจะรู้จริงๆ หรือได้ธรรมะสัก ๒ คนไหม”

หลวงปู่มั่นหลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ถ้าพระมานี่นะ หลวงปู่มั่นจะรับ แต่ถ้าญาติโยมมานะส่วนใหญ่แล้วจะให้หลวงตารับ เพราะในความคิดของเรานะ ญาติโยม โทษนะ เราไม่ได้ว่านะ เราเปรียบเทียบ เห็นตอนเช้าๆ ไหม

พวกไอ้แพร(ด.ญ. ๓ ขวบ) พวกเด็กๆ เห็นไหม เราจะคุยกับไอ้แพรให้ไอ้แพรเข้าใจเรื่องของเรานี่ โยมคิดว่ามันจะเข้าใจไหม พวกไอ้แพรนี่เรามีไว้คุยเล่นใช่ไหม เด็กๆ ตอนเช้าๆ นี่ เรามีเอาไว้คุยเล่น โอ้ ยิ้มแย้มแจ่มใส เอ็งว่าไอ้แพรนี่มันจะเข้าใจไหมว่า แพรแกงอย่างนั้น หุงข้าวอย่างนั้น ไอ้แพรทำได้ไหม

พระที่เขาปฏิบัติมานี่เขารู้ว่ามุมานะ เขาทำมารุนแรงขนาดไหน แล้วมุมมองที่มันจะเปลี่ยนได้ มันจะพลิกได้ มันจะพลิกความเห็น มันจะพลิกเรื่องการชำระกิเลส มันเป็นเรื่อง ถ้าพูดประสาเรานะ เราไม่ได้พูดให้ไม่มีกำลังใจนะ มันเหมือนแทบสุดวิสัยเลย แต่มันก็ทำได้ด้วยความมุมานะ

หลวงตาท่านพูดเห็นไหม ท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านจะเอาผ้าอาบโพกหัวเลย เดินกลางแดด เดินนะ น้ำท่าไม่กินเพราะจิตมันหมุน เวลาออกจากทางจงกรมนะ โดดเข้าใส่กาน้ำ ดื่มไม่ทันสำลักเลย เขาต่อสู้กันมาอย่างนั้น

ฉะนั้นเวลาสายตาของพระที่ผู้ปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนี่ จะมองหัวใจของพวกเราเหมือนไอ้แพร เหมือนเด็กๆ แล้วจะพูดให้เด็กๆ เข้าใจนี่ เราถึงใช้คำว่าวุฒิภาวะ เราใช้คำนี้บ่อยมาก ว่าวุฒิภาวะของจิต ที่จะมีมุมมองเข้าใจเรื่องศาสนา เหมือนที่ผู้ใหญ่เขามองนี่ต่างกัน

มุมมองนี่สำคัญมากนะ ทำไมพ่อแม่กับลูก เถียงกันทุกวัน พ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน เถียงกันทุกวันเลย พ่อแม่ก็คิดดีลูกก็คิดดี แต่ทำไมพ่อแม่กับลูกเถียงกันทุกวันๆ โดยวัยพ่อแม่นี่ผ่านโลกมา มีประสบการณ์มา ความรับรู้ของจิต มันรับรู้มาว่า มันเป็นอย่างนี้

สังเกตได้นะ ทำไมโบราณของเรา ถึงบอกว่าดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่ เวลาไปขอสาวให้ดูแม่ เพราะลูกนี่มันจะเหมือนแม่ เวลาแก่แล้วเหมือนแม่เลย เผ่าพันธุ์เดียวกัน ถ้าเราไปดูสาวนะ อยากมีแฟนอย่างไร ให้ดูแม่ ลูกสาวโตแล้วนะ แม่ดีๆ นี่ ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ พ่อแม่เถียงกันเพราะเป็นประสบการณ์ของจิตไง แล้วพ่อแม่จะสอนลูก ลูกก็บอกว่า แหม คำก็อาบน้ำร้อนมาก่อน สองคำก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ไอ้ลูกก็ แหม ปวดหัวฉิบหายเลย

คำนี้นะพอเราโตขึ้นมาถึงตอนนั้นแล้ว เราก็จะพูดอย่างนี้ ทีนี้จะย้อนกลับมาในการปฏิบัติ ในความเห็นว่า หลวงปู่มั่นหนีไปนิพพาน สู้สายของเขาไม่ได้ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ยังรื้อสัตว์ขนสัตว์

หนีไปนิพพาน โอ้โฮ เขาคิดไม่ออกนะ เราปฏิบัติมา เรามีมุมมองอย่างนี้เหมือนกัน เวลาหลวงปู่มั่นระลึกอดีตชาติ ทุกอย่างหลวงปู่มั่นรู้หมด แต่ท่านไม่พูดออกมา ขนาดมรรคผลนี่ เวลาท่านเทศน์ ท่านยังกักไว้เลย ท่านปิดไว้ ท่านบอกว่ามันจะจำ

เรานี่ไปรู้อะไรแล้วมันจำได้ เวลาปฏิบัติไป มันจะวิปัสสนึก ยากมากสัญญานี่ ครูบาอาจารย์ท่านจะปิดไว้ทั้งๆ ที่รู้นะ รู้วาระจิตนี่รู้หมด หลวงปู่มั่นท่านรู้จริง ไอ้ที่บอกว่ารู้ๆ เมื่อกี้ เราไม่เชื่อ หลวงปู่มั่นท่านรู้จริง แต่พอพูดออกไปแล้วมันเป็นโทษ

เวลาท่านจะพูดอะไร ท่านจะพูดเป็นวัวกระทบคราด เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟัง หลวงปู่เจี๊ยะนี่โดนหนักมาก หลวงปู่เจี๊ยะบอกท่านพยายามปิดไม่ยอม ไม่เหมือนหลวงตา หลวงตาบอกท่านยอมเป็นเขียง คือจะพูดอะไรนี่ มหาผิดอย่างโน้น มหาผิดอย่างนี้

ไม่ได้พูดถึงมหานะ คือว่าพระที่มาใหม่ แล้วไม่เข้าใจข้อวัตร มหานี่ซดซ้ายซดขวาไปไหนวะ มันไม่ใช่หรอก มันมีพระตอนเช้านี่ เวลาฉันข้าว เอาอาหารไว้ในถ้วย ไอ้ซุปนี่ แล้วยกดื่ม พอรุ่งเช้า ท่านบอกเลย มหาไปไหนวะ มหาที่ซดซ้ายซดขวาไปไหน คือไม่ใช่หรอก จะว่าพระองค์นั้น

นี่คนที่รู้จริง เวลาพูดออกไปกระทบ คนที่รับ รับไม่ไหว รับไม่เป็น มันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ท่านใช้แคนนอน ใช้อ้อมเอา

ทีนี้คำว่ารู้วาระจิตนี่ เราจะพูดว่า เวลาท่านปฏิบัติไปนี่ ท่านเทศน์สอนเทวดา อินทร์ พรหมหมดเลย รู้วาระจิตไง ส่วนใหญ่ธรรมชาติของคน มันก็จะว่าคู่ของเราไปไหน คนเราธรรมชาติของคน มันเกิดมามันจะมีคู่มาทุกคน คนเราเกิดมาจะมีครอบครัวมาทั้งนั้น โดยธรรมชาติ เพราะจิตนี้มันยาวไกลมาก

เราก็ดูว่าคู่ของเราไปไหน หาไม่เจอ เพราะคู่นี่ ในประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาเล่าบ่อย คู่ของหลวงปู่มั่นสร้างปรารถนามาจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะกับนางพิมพาที่ได้สร้างกันมา

แล้วพอถึงที่สุดแล้วนี่ หลวงปู่มั่นท่านมาเกิดในชาตินี้ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าท่านไม่ลาพระโพธิสัตว์ ท่านจะสร้างคุณงามความดี แล้วก็จะเกิดต่อไป คู่ที่ไม่ยอมเสวยชาติรออยู่นั่น เวลาตายไปนี่จิตมันก็จะหมุนไป มันก็จะไปเจอกัน

หลวงปู่มั่นนี่เวลาปฏิบัติไปแล้ว ทำไมปฏิบัติไปแล้ว พิจารณากายไปแล้ว มันออกมาก็ปกติ มันก็ไม่เห็นมีอะไร พิจารณาแล้วพิจารณาอีก พิจารณาถึงจิตของตัวเองไง

“ถ้าเราสร้างเป็นพระโพธิสัตว์ไปนี่ เราก็ต้องเกิดต้องตาย นี่ธรรมชาติอีกแล้ว ต้องเกิดต้องตายอย่างนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้ ถ้าเกิดตายอีกมันทุกข์ยาก”

มาใช้ดุลยพินิจของตัวเอง พิจารณาจนถึงที่สุดหลวงปู่มั่นละพระโพธิสัตว์ กำหนดจิตให้สงบเข้ามา แล้วเอาตัวจิต เอาตัวสมาธินี่ลาข้างใน พอลาเสร็จแล้วออกมาพิจารณาปั๊บ มันไปได้แล้ว มันไปหมายถึงว่า เราเองทำงาน

สมมุติน้ำมันเครื่องมันเลอะสิ่งนี้ เราล้างด้วยน้ำ ล้างยังไงก็ไม่ออก ถ้ามันเลอะน้ำมันเครื่องขี้โล้ มันเลอะมากนี่ เราเช็ดด้วยน้ำมันก๊าด มันจะสะอาดมากเลย จิตของเราถ้ามันปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มันก็สะสมไว้ที่ใจล้างยังไงก็ไม่ออกหรอก

แต่ถ้าเข้าสมาธิปั๊บ ไปลานี่มันหลุดของมันได้ พอหลุดออกมาได้ ไปพิจารณาปั๊บ พิจารณาแล้วก็เหมือนกัน เมื่อก่อนพิจารณากายตลอดไป มันก็เหมือนน้ำมันเครื่อง พิจารณาแล้วก็อย่างนั้น เช็ดไปเช็ดมามันก็เลอะอยู่อย่างนั้น

ถ้าเป็นขี้โล้ เราเช็ดไปเช็ดมาเอาน้ำมันเช็ด มันก็อยู่อย่างนั้น แต่พอเอาน้ำมันก๊าดมาเช็ดนี่ โอ้ มันสะอาดแล้ว นี่ก็เหมือนกัน พอพิจารณากาย พิจารณาแล้วพิจารณาเล่ามันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ลาพระโพธิสัตว์แล้วพอมาพิจารณามันปล่อย มันว่าง นี่มันถูกทางเห็นไหม ไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด จนสิ้นกิเลส

พอสิ้นกิเลสแล้ว คู่ครองมาต่อว่าหลวงปู่มั่น ก็พากันสร้างมา เหมือนหลอกไง พากันสร้างคุณงามความดีมาตลอดเลย แล้วตัวเองก็มาเอาตัวรอดอยู่คนเดียว แล้วทิ้งไว้อย่างนี้เสียใจมาก แล้วจะทำยังไง

พอหลวงปู่มั่นท่านเทศน์นะ อ้าว ก็ทำคุณงามความดีมาด้วยกัน สิ่งที่ได้มา.. จิตที่มันไม่เสวยภพ (คำว่าไม่เสวยภพคือไม่อยู่ในสวรรค์ชั้นใด) จิตไม่เสวยภพ ทีแรกมานี่ จิตไม่เสวยภพ มาไม่เห็นตัว แต่มีการสื่อสารกับหลวงปู่มั่นว่า “พากันสร้างคุณงามความดีมา แล้วก็มาตัดช่องน้อยแต่พอตัวไป แล้วสิ่งที่สร้างคุณงามความดีมาจะทำอย่างไร” มาพิรี้พิไรมาอาลัยอาวรณ์กันอยู่

หลวงปู่มั่นเทศน์เลย “อ้าว ก็พาสร้างคุณงามความดีมา ก็ถูกต้องแล้ว แล้วการเกิดการตายมันก็ทุกข์ก็ยากนะ ฉะนั้นที่ลาโพธิสัตว์มา แล้วปฏิบัตินี้พ้นจากทุกข์ ปรารถนาพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปแล้วมันก็ไปสิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่ในปัจจุบันสาวก สาวกะ ศาสนาของพระสมณโคดม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรา แล้วเราปฏิบัติไปมันก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน คือเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็พระอรหันต์ พระสาวก สาวกะก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วสิ้นชาตินี้มันก็จบสิ้นกันไป ที่ทำมามันก็เป็นบุญแล้วนะ ให้พอใจกับบุญของตัว”

พอฟังแล้วมันก็สะเทือนใจไง ทีแรกมันน้อยใจว่าที่พากันสร้างมา แล้วก็มาตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปคนเดียว แล้วก็ทิ้งฉันไว้อย่างนี้ รออยู่กลางอย่างนี้ แล้วฉันจะไปยังไง พอหลวงปู่มั่นเทศน์สอนปั๊บก็เข้าใจ เห็นโทษความเห็นผิดของตัว ก็ขอขมาแล้วกลับไป

กลับไปก็เสวยภพเป็นเทวดาเลย หลวงปู่มั่นเทศน์สอนเทวดาตลอด เทวดานี้ก็มาอีก มาคราวนี้แจ๋วเลย มีภพ เห็นรูปเห็นร่างมากราบขอโทษ มากล่าวว่า เพราะหลวงปู่มั่นพาสร้างแต่คุณงามความดีมา (ก็ ๒ คนสามีภรรยาว่าอย่างนั้นเลย) ช่วยกันสร้างมา สุดท้ายแล้วนี่หลวงปู่มั่นสามีนะไปก่อน

สุดท้ายสิ่งที่สามีพาสร้างก็เกิดเป็นเทวดา มีบุญกุศลมีความสุขมีความพอใจ รื่นเริงในความสุขนี้มาก ความสุขนี้ได้มาจากใครก็ได้มาจากหลวงปู่มั่นนี้ที่พาทำ แล้วในที่สุดก็พยายามประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติได้ดีด้วย เพราะเทวดาก็ปฏิบัติได้

นี่พูดถึงว่าหลวงปู่มั่นหนีไปนิพพานไง แล้วของเขานี่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ คำว่าหนีไปนิพพานเข้าถึงนิพพานได้นี้สุดยอดนะ ของจริงนะ แล้วมันเข้าได้ยาก แล้วถ้าโอกาสมันดี พระโพธิสัตว์นี่เวลาปฏิบัติไป มันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ พระโพธิสัตว์ยังเวียนตายเวียนเกิดนะ

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าก็เคยตกนรก พอพูดอย่างนี้ปั๊บเราก็ โอ้โฮ รับไม่ได้ๆ พระพุทธเจ้าเคยตกนรก ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ จิตไม่มีต้นไม่มีปลายนี่ มันเคยตกนรกมาแล้วทั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์มันกลับได้ มันยังอันตรายอยู่

แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว เอาให้พ้นได้เห็นไหม นี่เขาไม่เข้าใจบอกว่าหลวงปู่มั่นหนีไปนิพพานเพื่อไปสบาย โอ๊ย ปฏิบัตินี่เกือบเป็นเกือบตายนะ แต่พอจิตมันพ้นแล้วนี่มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าจิตเข้าสู่นิพพานแล้วมันต้องสู่นิพพาน แต่มันทุกข์มันยากก็ตอนประพฤติปฏิบัตินี้

พอจิตที่มันถึงนิพพานแล้ว คือจิต อนุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มันสอนคนได้ชัดเจนมาก มันสอนคนได้ มันรื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ เอาคนขึ้นฝั่งได้ทั้งหมด ประโยชน์ตรงนี้มันมี แต่เขาบอกว่าถ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหมแบบพระพุทธเจ้านี้ จะได้ช่วยเหลือคนต่อไป

โธ่ พระที่ปรารถนาพระโพธิสัตว์กันนี่มีเยอะมาก พอเยอะมากก็มีฌานโลกีย์ อย่างเช่น อาจารย์ไท ภูนก นี่ พระโพธิสัตว์ เราอยู่กับท่านมา ท่านเล่าให้ฟังเองว่า หลวงปู่ตื้อนี่เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่ตื้อนี่ก็อยากเอาอาจารย์ไทนี่ให้พ้นกิเลสไป ทีนี้หลวงปู่ตื้อท่านก็พิจารณาของท่านไง พอพิจารณาก็มาดูจริตนิสัยของอาจารย์ไท

หลวงปู่ตื้อบอกว่า ท่านทอดธุระไง “เอ้อ บารมีกินเป็ดกินไก่” คือบารมีของท่านจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ มันช่วยเหลือประชาชน ประชาชนจะเข้าไปพึ่งพาอาศัยท่านมาก พอประชาชนไปพึ่งพาอาศัย ประชาชนก็ต้องทำบุญกับท่าน ท่านบอกบารมีกินเป็ดกินไก่

คือถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ มันรื้อสัตว์ขนสัตว์ มันช่วยเหลือ นี่ก็ช่วยเหลือทางโลก แล้วหลวงปู่มั่นหนีไปนิพพาน ไม่ได้ช่วยสัตว์โลกหรือ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำว่าหลวงปู่มั่นท่านไม่มีเวลาว่างเลย

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม เป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอนทั้งมนุษย์ สอนทั้งเทวดา สอนทั้งอินทร์ ทั้งพรหม ไอ้เราก็ว่า แหม ทำงานด้วยมือนี่ หนักมากเลย หลวงปู่มั่นท่านทำด้วยจิตนะ ท่านเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหม มหาศาลเลย แล้วเราเห็นไหม แล้วเราบอกว่าหนีไปนิพพานไม่ได้ทำอะไรเลย

ไม่มีนิพพานคือไม่มีข้อมูลในหัวใจที่เป็นจริง สอนใครไม่ได้ แต่เพราะมีหลักวิชาในหัวใจที่เต็มหัวใจอันนั้น ถึงสอนเทวดา อินทร์ พรหม สอนได้ทุกคนเลย ถ้าจิตไม่เป็นอย่างนั้นทำไมหลวงปู่ชอบเวลาไปอยู่ที่พม่า แล้วอังกฤษเข้ายึดพม่า ท่านหนีกลับมา ทำไมเทวดามาใส่บาตรหลวงปู่ชอบล่ะ

เวลาปกติเทวดามาสื่อสารกันตลอด มาถามปัญหากันตลอด นี่เรื่องอย่างนี้นะ มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน แล้วไอ้รู้โง่ๆ ไม่รู้แล้วอวดรู้นี่ เอามาขี้โม้นี่ มันไม่ใช่ความจริง แต่ความจริงมันเก็บไว้ในหัวใจ มึงพูดยังไงเขาก็ไม่รู้กับมึง เอ็งพูดออกมาอย่างไรไม่มีใครรู้ได้กับเรา ถ้าไม่มีใครรู้ได้ เราพูดออกไป มันจะเป็นประโยชน์อะไร

ฉะนั้นงานของท่าน ท่านก็ทำของท่านใช่ไหม เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาสื่อสารกับท่าน มาขอความช่วยเหลือท่าน ทีนี้เวลาท่านกลับมาจากพม่าเห็นไหม

“ปกติก็มาหากันทุกวัน ตอนนี้ ๓ วันยังไม่ได้กินข้าวเลย มันจะปล่อยกันให้ตายเหรอ” มันคิดอยู่ในใจ พอรุ่งเช้าขึ้นมาเทวดามาใส่บาตรเลย ด้วยความหิวและหน้ามืด ธรรมดาทุกคนเวลาหิวมันก็หน้ามืดทั้งนั้น เห็นคนมาใส่บาตรรีบจัดบาตรเลย นี่หลวงตาเล่าให้ฟัง

แบบอะไรที่มันกินใจแล้วมันจำแม่น เดี๋ยวจะเอารูปมาให้ดูนะสมัยที่หลวงตาไปหาหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบยังเดินได้ เราถ่ายไว้สมัยหลวงตายังหนุ่มๆ อยู่เลยล่ะ เราเก็บไว้นี่ เพราะเรามีอะไรในหัวใจเยอะเรื่องอย่างนี้

นี่พอกำลังหิวหน้ามืดก็รีบจัดบาตรเลย พอบิณฑบาตแล้วอาหารใส่บาตรมา เอ๊ะ ดูแปลกๆ บ้านอยู่ไหนล่ะ เทวดาก็ นู่น บ้านอยู่นั่น ก็ยังหน้ามืดอยู่ยังนึกไม่ถึง เพราะหิวมากขอกินก่อน ก็คอยมองนะบ้านอยู่ไหน เดินๆ พอลับต้นไม้ พั๊บ หายไปเลย ลับสายตาเราหายไปเลย

โอ้โฮ อาหาร ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินอาหารอร่อยขนาดนี้เลย ทั้งหอมทั้งหวานทั้งดีไปหมดเลย ท่านมั่นใจของท่านว่าเป็นเทวดา เพราะตามจริงๆ นี่รู้ แต่ประสาเรา ธรรมดาก็ทุกคนนะ ด้วยตาเนื้อก็อยากพิสูจน์เว้ย ว่ามายังไงไปยังไง แต่โดยจิตไม่สงสัยหรอก นี่พูดถึงว่างานของท่านมันมีมาก

นี่เราเข้าใจผิดกันว่าหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านหนีไปนิพพาน แล้วด้วยสามัญสำนึกของพวกเรา ที่เมื่อก่อนเห็นไหมที่บอกว่าจะมาอยู่กับหลวงตา ที่เป็นมหายานมาจากมาเลเซีย นั่นมหายานไง พระอรหันต์ก็มาเกิดใหม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไปเกิดในสุขาวดี นิพพานมีซ้อนนิพพานอีกนะ นิพพานแล้วยังมีภาคตะวันตกสุขาวดีอีก

เพราะมีมุมมองอย่างนี้ไง มีความคิดอย่างนี้ไง พอมีความคิดอย่างนี้ คือว่าเราจะทำประโยชน์ตลอดเวลาเราจะไม่เสียผลประโยชน์เลย ประโยชน์น่ะประโยชน์ของใคร อย่างที่ว่าเห็นไหม ประโยชน์ของเรา เราทำงานเป็นบุคลากรในบริษัท กับผู้ที่กำหนดนโยบายเขารับผิดชอบมากกว่าเรานะ

อย่างเช่นบริษัทในปัจจุบันนี้ นี่ทรัพยากรเงินทองมันร่อยหรอ สภาพคล่องไม่ดี ใครเป็นคนทุกข์ก่อนเลย เจ้าขององค์กรนั้น เครียดมากนะจะทำยังไงไม่กล้าบอกลูกน้องนะ ไม่กล้าบอกใครทั้งสิ้นเลย ตัวเองจะบริหารไปยังไง แต่ลูกน้องยังไม่รู้ตัวนะ จนหัวหน้าบอกเราถึงจะรับรู้นะ

นี่ก็เหมือนกัน ผู้บริหารผู้รับผิดชอบนะมันตึงเครียดขนาดไหน เราจะเข้าใจได้อย่างไร เราคิดกันเอง จนในปัจจุบันนี้ คนจีนนี่เขาไม่ชอบทำบุญ เขาชอบสร้างโรงพยาบาล ชอบสร้างโรงเรียนเพราะเขาเห็นผลประโยชน์

อันนั้นมองด้วยสายตาโลกนะ แต่ว่าในสายตาเรา ลงทุนเหมือนกันนะ การสร้างโรงเรียนๆ หนึ่ง กับการที่ว่าเราถวายตังค์หลวงตาให้หลวงตาสร้างโรงเรียน โรงพยาบาลโรงหนึ่งนะได้บุญมากกว่าเพราะอะไร ได้บุญมากกว่าเพราะเนื้อนาบุญไง เราทำบุญกับพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์นั้นก็เอาไปทำประโยชน์นั้นเหมือนกัน

แต่โดยโลกนี่มันไว้ใจไม่ได้ใช่ไหม พระโดยทั่วไปนี่ เราเอาเงินไปทำบุญกับพระเพื่อจะได้สร้างโรงเรียน มันกับไปสร้างตัวมันไม่สร้างโรงเรียน มันก็เลยไว้ใจไม่ได้ แต่ถ้าพูดโดยข้อเท็จจริงนะ หลวงตานี่ท่านสร้างโรงพยาบาลสร้างทุกๆ อย่างนี่ มันก็เหมือนกับเราสร้าง

แต่ถ้าเราสร้างเอง เราคิดว่าเราได้บุญมากแต่ถ้าเราสร้างผ่านครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านไปสร้างนี่ บุญมันต่างกันเยอะมากนะ ฉะนั้นเราคิดว่า นี่ไงทำบุญกับพระแล้วไม่ได้อะไร แต่ถ้าเราไปสร้างเอง มันได้ประโยชน์ เพราะเด็กมันได้ศึกษาได้เรียน โรงพยาบาลมันได้ใช้ เขาคิดกันตรงนั้นไง เขาคิดเป็นวิทยาศาสตร์ไง

วิทยาศาสตร์เราดูถูกมาก ทั้งปฏิบัติด้วยวิทยาศาสตร์ อย่ามาคุยนะ นี่ก็เหมือนกันเราว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เราเชื่อมั่นว่าครูบาอาจารย์ของเราองค์ไหนที่สุดยอดนี่ มันจะไม่มีทุจริตแม้แต่หัวใจ ลงไปเท่าไรนะ มันให้ผลตอบแทนเท่าทวีคูณแต่ตอนนี้โดยโลกเห็นไหม มีเยอะมาก

เมื่อก่อนมาหาเรานะ เขามาคุยอวดเราเลยล่ะ เศรษฐี เขาว่าเขาสร้างโรงเรียนมาหลายหลังแล้วสร้างโรงเรียนมาเยอะมากเลย เราก็ เออ สร้างก็สร้าง ก็ดีแล้วไง ดีแล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ แต่ด้วยมุมมองนี่เขาไว้ใจพระไม่ได้ เขาคิดว่าให้พระแล้วไม่เป็นประโยชน์ แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าพระอย่างครูบาอาจารย์ของเรานี่ จะช่วยโลกขนาดไหน แบกรับโลกขนาดไหน

ถึงบอกว่า เขามองว่า หนีไปนิพพานไง มุมมองมันคนละมุมมองนะ ดูสิขนาดในทางของพระพุทธเจ้านะ ไปถามพระพุทธเจ้าว่า ทำบุญควรทำที่ไหน พระพุทธเจ้าบอก ควรทำบุญที่เธอพอใจ ถ้าเราพอใจเราศรัทธาที่ไหน เพราะจิตใจเริ่มต้นนะมันไม่อยากทำหรอกโดยธรรมชาติของคนหัดทำบุญใหม่ๆ นะมันคิดแล้วคิดอีกนะ

ทีนี้พอมันอยากทำนี่เธอควรทำที่เธอพอใจ ถ้ามันอยากทำเอ็งต้องรีบทำเลย เดี๋ยวเอ็งอด นี่พระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้น อ้าว แล้วถ้าจะเอาผลมากผลน้อยล่ะ เออ อย่างนี้ต้องคุยกันใหม่ ถ้าผลมากผลน้อย ก็เริ่มต้นเลย ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคา อนาคานี่สุดท้ายแล้วคือพระอรหันต์

พระอรหันต์กับพระอัครสาวกบุญก็ไม่เท่ากัน พระอรหันต์ก็มาพระอัครสาวกก็มาพระปัจเจกก็มาถึงพระพุทธเจ้า แล้วถ้าไม่มีใครเลยล่ะ ถ้าไม่มีใครก็ทำสังฆทานเพื่อเป็นสาธารณะ นี่บุญมันเกิดอย่างนั้น อันนี้มุมมองมันคนละมุมมอง มุมมองของเขา แหม เราเข้าใจสังคมมองอย่างนี้หมดนะ แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวลาใครมาหาเรานี่ ทุกคนเขาจะพาเพื่อนมา

พอพาเพื่อนมาโอ๊ย หลวงพ่อผมเป็นคนดีอยู่แล้วไม่ต้องปฏิบัติหรอก ผมเป็นคนดี ทุกคนว่างหมดเลย ผมเป็นคนดีมากเลย เราบอกเลยนะสิ่งที่เอ็งหามานี่สมบัติสาธารณะทั้งหมดนะ เงินทองของเราจะมีมากมีน้อยก็แล้วแต่นี่ สมบัติสาธารณะเราจะไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะตื่นหรือเปล่า คืนนี้เราช็อกตายไปนี่เงินทองที่หามามากมายขนาดไหน มันจะเป็นของใคร ของสาธารณะ

แต่บุญกรรมเราจะช็อกไม่ช็อกมันอยู่กับเราตลอดนะ เราช็อกขนาดไหนกรรมดีกรรมชั่วมันจะไปกับใจของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าอริยภูมิเกิดขึ้นมากลางใจของเรา นี่สมบัติของเรา สมบัติส่วนตัวนี่มึงทำไมไม่หา แล้วบอกนี่ผมดีมากเลย ผมมีอาชีพ ผมทำดีหมดเลย ผมเป็นคนดีหมดเลย ทำไมผมต้องมาประพฤติปฏิบัติอีก

เห็นไหมนี่ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมะเป็นธรรมดาไง ก็คนดีแล้วดีก็คือดีไง แต่ดีของใคร ดีของปุถุชน ดีของโสดาบัน ดีของสกิทาคา ดีของอนาคา ดีของพระอรหันต์ดียังซ้อนดีๆ ไปเรื่อยๆ นะ นี้ไอ้ดีไอ้ความจริงอันนี้มันจะเป็นสมบัติส่วนตน พวกเรานี่ เงินซื้อหาไม่ได้นะ ถ้าเงินซื้อหาได้นะเศรษฐีนี่มันซื้อนิพพานหมดเลย เงินทองมันมาเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เว้นเสียแต่คนนั้นเป็นคนดี เงินทองนั้นเอาไปทำบุญกุศลนะ

บุญกุศลนั้นมันจะเสริมขึ้นมา นี่บารมีธรรมเห็นไหม มาประพฤติปฏิบัติก็ง่าย ทำอะไรก็ดีขึ้น พระสีวลีนี่รวยที่สุดเพราะอะไร ในพุทธศาสนา ในลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระสีวลีนี่เป็นพระที่มีลาภมากที่สุด มีลาภที่สุดเพราะเขาทำมามากที่สุด เพราะเขาได้เสียสละของเขามา เขาทำของเขามาพอเป็นพระสีวลีนี่รวยที่สุดเลย

มีพระอรหันต์องค์หนึ่งเห็นไหม กินข้าวไม่เคยอิ่มเลย แล้วพอไปดูประวัติ พอเราไปอ่านแล้วเราก็ทึ่งเหมือนกันนะ ทำข้าวสารตกเม็ดหนึ่ง มดมันมาถึง มันก็ลากข้าวสารนั้นไป มันเอาจอบไปขุดเอาข้าวสารนั้นคืน โอ้โฮ มันขี้เหนียวได้ขนาดนี้นะ แต่มันก็ทำบุญอย่างอื่นด้วยใช่ไหม

เวลามาปฏิบัติเป็นพระอรหันต์กินข้าวไม่เคยอิ่ม หลวงตาท่านพูดบ่อย วันแรกอยู่ข้างท้าย พอตักบาตรมาถึงมันก็หมด พระด้วยกันก็ช่วยกันนะ แต่มันช่วยยังไงก็สู้กรรมไม่ได้ อย่างนั้นพรุ่งนี้ เอาอยู่ข้างหน้าเลย ไอ้คนตักบาตรมันก็คิดนะ เมื่อวานนี้ตักข้างหน้าก่อนข้างหลังมันเลยไม่มี วันนี้ข้างหน้ากูไม่ตัก มาข้างหน้าก็อดอีก อดไปทุกอย่างก็ร่ำลือไปในคณะสงฆ์ พระสารีบุตรมาดูเลย ถามว่า “เป็นจริงอย่างนั้นหรือ” “จริง”

พระสารีบุตรนี่เป็นพระอรหันต์ พระอัครสาวกรู้ ใส่บาตรมาสงสารไงแล้วจับบาตรไว้ด้วยบุญบารมีของพระสารีบุตร ฉันเลยฉันโอ้ คำนี้เราคิดมากนะ คนเราเกิดมาทั้งชาติเลยไม่เคยกินข้าวอิ่มสักมื้อหนึ่งนี่ทุกข์ไหม

เราเวลาหิวข้าวแล้วไม่เคยกินข้าวได้อิ่มท้องเลย แม้แต่มื้อเดียวในชาติหนึ่ง เราจะทุกข์ขนาดไหน พระสารีบุตรจับขอบบาตรไว้ แล้วบอกให้ฉัน วันนั้นกินข้าวอิ่ม ตั้งแต่เกิดมา กินข้าวอิ่มมื้อแรกเลยนะ นิพพานเลย แล้วพอไปดูอดีตชาติ

ไปถามพระพุทธเจ้าถึงอดีตชาติ บอกว่ามีอยู่ชาติหนึ่งนะ พอข้าวตกกับพื้น มดมันก็มาขนไป ข้าวก็ไปอยู่ในรูมด เอาจอบขุดเอาเม็ดข้าวนั้นคืน มันขี้เหนียวได้สุดๆ เลย แต่มันก็ต้องมีบุญอื่นด้วย ถ้าบอกว่าเขาทำไม่ดีขนาดนั้น ทำไมเขาเป็นพระอรหันต์ได้ คนเรานี่นะ ดูสิบางคน ติดในสิ่งใดชอบในสิ่งใดก็จะทำบุญในสิ่งนั้น

ถ้าเขาไม่ได้ทำของเขามา มันก็เป็นกรรมของเขา แต่เขาต้องมีทำความดีมา คนเราไม่มีเลวไปทั้งหมด และไม่มีดีไปทั้งหมดหรอก ถ้ามันผิดพลาดในทางนี้ มันก็ดีในทางอื่น นี่พูดถึงมุมมองของเรานะ โลกคิดกันอย่างนี้หมด ไม่ใช่แต่พี่เขาคนนี้เขาไม่ชอบประพฤติปฏิบัติ ไอ้พวกเรานี่มันเป็นอุดมคติมันเป็นเพราะว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านผ่านวิกฤติมาเยอะ

แล้วท่านต้องการสร้างศาสนทายาท ท่านถึงวางธรรมวินัย หลวงปู่มั่นพูดไว้กับหลวงตา

“มหาๆ พรรษาก็เยอะแล้ว ให้เด็กๆ มันเข้ามา ให้พระบวชใหม่เข้ามา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป”

คำว่าข้อวัตรติดหัว มันเป็นจริตนิสัยของครูบาอาจารย์ที่ฝังเข้าไปในสายเลือดพวกเราในการประพฤติปฏิบัติ มันจะได้สร้างศาสนทายาทรุ่นต่อๆ ไป เพื่อจรรโลงศาสนา

การจรรโลงศาสนามันต้องมีพระที่รู้จริงมันถึงจรรโลงศาสนาได้ ถ้าไม่มีพระที่รู้จริง ก็ดูที่เขาจรรโลงกันสิ เป็นธุรกิจเป็นการค้า เป็นทุกอย่างเลย จรรโลงศาสนาอย่างนั้นหรือ เขาจรรโลงศาสนากันนะ โอ๊ย ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมาก จะดีมาก แต่พระทำอะไรไป ไม่เป็นไรอย่างนี้ แต่พวกเราจรรโลงศาสนากันต้องให้รู้จริง ตอบปัญหาได้ แก้ไขปัญหาของคนอื่นได้

หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาท่านไปแก้เพื่อนท่าน มีเพื่อนหลายองค์มาก ที่ไม่เชื่อเรื่องนิพพาน เพราะเรียนมาด้วยกัน ถามมาจะตอบ ถ้าคนไม่รู้จะเอาอะไรมาตอบ แล้วเรียนมาด้วยกันทุกคนวิชาการก็ล้นหัว แต่ความเข้าใจโดยเนื้อแท้มันไม่มี แต่หลวงตานี่ท่านเรียนมาเหมือนกันแล้วท่านก็มีความเข้าใจจริงด้วย “ก็ถามมาสิ ถามมา” พอตอบมานี่งงนะไก่ตาแตกเลย เป็นไปได้อย่างนั้น ก็เรียนมาด้วยกันนะ เรียนมาด้วยกันก็รู้มาอย่างนี้ ทำไมตอบไปอีกเรื่องหนึ่งเลย

นี่หลวงตาท่านก็บอกว่า “กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา ถ้าแปลโดยวิชาการเห็นไหม ทำดีทำชั่วมา หลวงตาบอกทำดีทำมาชั่วมาใครทำล่ะ ทำดีทำชั่วเป็นอดีตอนาคตไปแล้ว แต่ว่ากุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา ก็ตีหัวกิเลสเลย ความดีความชั่วของจิต อัดเข้าไปเลย เห็นไหม เวลามันแปลมันแปลต่างกันมากเลย

นี่นะบอกว่าพระสงบนี่ได้อ่านหนังสือเขาแล้วหรือยัง เราบอกว่านิยาย กูไม่อ่านหรอกนิยายเสียเวลา กูอ่านใจมึงนะ กูไม่อ่านหรอกนิยายของมึง ไม่ต้องให้กูอ่านหรอกเสียเวลามาก นี่พูดถึงมุมมองอย่างนี้เราเข้าใจว่าโลกเขามองกันอย่างนี้ตลอด ว่าในการปฏิบัติของเรานี่เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวรอดคนเดียว ไม่คิดเผื่อแผ่ใครเลย

มันมีนะเราไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ มันมีหัวหน้าช่าง โครงการของชลประทานนี่เขามาวัดบ่อย แล้วลูกน้องเขานี่ เขาบอกเลยว่าหัวหน้านี่มันโง่มาก ชอบไปแต่วัด เขาดูถูกเลยนะ ทีนี้หัวหน้าเขาเป็นคนมีคุณธรรม เขาประชุมพนักงานหมดเลย เขาบอกเลยนะพวกมึงรู้ไหมกูไปวัดนี่พวกมึงได้ประโยชน์มหาศาลเลย ถ้ากูไม่ไปวัดนะ กูต้องขูดรีดพวกมึงหัวหน้าทุกคนหาแต่ผลประโยชน์แต่นี่เพราะกูไปวัดไง ใจเป็นธรรม พวกมึงอยู่สุขสบายกันมากเลย

แต่ในมุมมองกลับ เพราะพวกเขาคิดว่า เขาเป็นข้าราชการนะ ต้องหัวราน้ำ ตกเย็นต้องกินเหล้า โอ๋ มีคลาสนะ กินเหล้าเมายา แต่หัวหน้านี่ไปแต่วัด มันก็เลยคิดในใจดูถูก แล้วข่าวนี้เข้ามาถึงหูท่าน นี่เขาเล่าให้เราฟังเอง เขาประชุมเลยนะเรียกประชุมเลย แล้วซัดเลยบอกกูไปวัดนะพวกมึงนะดีมากๆ เลยไม่ไถพวกมึง

พวกมึงมีอยู่มีกิน ถ้ากูไม่ไปวัดนะพวกมึงต้องให้กู ๕% นะเงินมึงน่ะ ไถเงินไถแหลกเลย นี่ไงทั้งๆ ที่เขาทำดีกับเรานะ เรายังไปดูถูก สบประมาทเลย กิเลสนี่มันร้ายขนาดนั้นนะ ว่าหัวหน้ากูนี่ซื่อเซ่อเลย ไม่รู้จักหาเงินหาทองนะ ยังไปวัดไปวานี่ซื่อเซ่อมากโลกเขาดูถูกกันอย่างนั้นเลย นี่กิเลสมันร้ายอย่างนี้

แล้วเวลามาเจอพระเห็นไหมพระก็เป็นอย่างนั้นอีก โอ้โฮ นักบริหารจัดการเลยนะ มึงหาเงินมา เดี๋ยวกูจะสร้าง มโหฬารทันทึกเลย ไร้สาระ สิ่งที่เราทำอยู่นี่นะ ไม่ใช่อวดว่าเรามองการณ์ไกลนะ อะไรที่เราทำนี่ นิสัยเรานะมันประหยัดมัธยัสถ์มาก อะไรถ้าสร้างแล้วต้องใช้คุ้มประโยชน์ที่สุด ต้องใช้แล้วไม่รื้อไม่ถอน ถ้ามันไม่บุบสลายไม่เสียนะจะไม่มีการทิ้ง

ฉะนั้นพอไม่มีการทิ้ง สิ่งที่เราสร้างขึ้นมานี่ ดูสิเขาบอกว่าวิทยุนี่ลงทุนลงแรงไปมาก ไปดูข้างบนนะตอหม้อร้าวหมดแล้ว เพราะมันโดนแรงลมกระชาก ตอหม้อนี่แตกหมดเลย นี่กำลังจะซ่อมกันอยู่ คิดดูสิ นี่ขนาดลงกันขนาดนี้มันยังเอาเราขนาดนี้เลย แล้วถ้ากูไม่ทำขนาดนี้นะป่านนี้เสากูล้มไปแล้ว

เราคิดยังไง เราคิดของเราต้องคิดให้ได้ มันมองกันอย่างนั้น โลกมองกันอย่างนั้น ถ้าโลกมองอย่างนั้นปั๊บ อย่างที่พูดเมื่อกี้ตอนเริ่มต้น ว่าทำไมพระเราถึงไม่สอนญาติโยมก็ความคิดเด็กๆ ไงแล้วจะให้ปรับมุมมองเข้าหากัน ถ้าจะให้ปรับมุมมองเข้าหากันนี่ มึงทำสัมมาสมาธิให้ได้ก่อน พอจิตสงบเข้ามา ทึ่งมากเลยนะ

พอจิตสงบเข้ามานี่มันเป็นกลางแล้ว พอเป็นกลางแล้วจิตออกรู้ มันจะพูดได้เหมือนกันเลย แต่นี่ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาทำจิตสงบคือทำสมถะ โอ๊ย สมถะไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ไม่ดีทุกอย่างเลย แต่พอครูบาอาจารย์ของเรามีสมถะขึ้นมา แล้วออกวิปัสสนา พอพ้นไปนะไอ้พวกนั้นมันเป็นอึ่งอ่าง

อึ่งอ่างมันอยู่ในรู นะมันก็อึ่งอ่างๆ อยู่ในรู ไอ้เราอยู่ข้างนอก กูจะจับอึ่งอ่างกินนะมึง มันเป้าหมายมันคนละอันแล้ว ฉะนั้นเวลาพูดธรรมะ ธรรมะมันเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ ไอ้อึ่งอ่างมันก็อึ่งอ่างๆ ไอ้คนที่มันจะจับอึ่งอ่างกินนะมันคิดไปคนละเรื่องเลยนะ ไหนว่าธรรมชาติล่ะ ถ้าธรรมชาติมันต้องอึ่งอ่างอยู่ในรู คือมันห่างไกลกันมาก ด้วยมุมมองด้วยทัศนคตินะ

ถาม : ๒. จริงหรือไม่ ที่บอกว่าหลวงปู่ทวดคือพระศรีอริยเมตไตรย?

หลวงพ่อ : ไม่เชื่อไม่จริง เพราะพระศรีอริยเมตไตรยนี่ ทุกคนอ้างมาก มีคนบอกองค์นี้เป็นศรีอริยเมตไตรย องค์นั้นเป็นศรีอริยเมตไตรย กาลเวลาของเรานะ ๙ ล้านปีเท่ากับดุสิตเท่ากับเทวดา ๑ ชาติ ในศาสนานี่ ๙ ล้านปี คำนวณแล้ว เพราะ ๑๐๐ ปีของเรา เท่ากับของเขา ๑ วัน ชีวิตหนึ่งนะเท่ากับเทวดาวันเดียว ๑๐๐ ปี เพราะ ๑ ชีวิตของเรากับ ๑ ชีวิตของเทวดา ถ้าคำนวณแล้ว ๙ ล้านปี หลวงปู่ทวดนี่ตายไปกี่ปีแล้ว

เราก็คิดว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นพระที่ดีนะ สาธุ ไม่ได้จาบจ้วงหลวงปู่ทวดเลย ไม่ได้จาบจ้วงใครเลย พูดนี่พูดสัจธรรม ออกตัวไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าเล่นเขาอีกแล้ว ไม่ใช่ ก็เขาถามมา สาธุ หลวงปู่ทวดเป็นครูบาอาจารย์เป็นพระที่ดี สาธุ แล้วท่านเสียไปแล้ว เราพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่เขาถามมาว่าหลวงปู่ทวด เป็นพระศรีอริยเมตไตรยหรือเปล่า

ไอ้นี่เป็นคำถามอันนี้เราถึงบอกว่ากาลเวลาที่มันแตกต่างกัน เราจะบอกว่าพระศรีอริยเมตไตรยนี่รออยู่แล้ว พระศรีอริยเมตไตรยตอนนี้อยู่ดุสิตจะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แล้วเราคิดว่าเวลาเรา ๑๐๐ ปี มันจะยาวมากจะไกลมาก นี่อีก ๒๐๐๐ กว่าปียังยาวไกลนะ แป๊บเดียว เดี๋ยวอีก ๒๐๐๐ กว่าปีนะเรานี่ ๑๐๐ ปีๆๆ นี่ก็เหลืออีก ๒๕ รุ่น อีก ๒๕ ชีวิตคนใช่ไหม เท่ากับ ๒๕๐๐ ปี

คนจะเกิดตายเกิดตายอีก ๒๕ ครั้งหรือว่ายังมีรุ่นมนุษย์อีก ๒๕ พวก แล้วพอสุดแล้ว สถานที่มันจะปรับ อย่างที่ว่าโลกจะแตกนี่ มันจะปรับของมันจนกลับมาเป็นป่าเขาอย่างเดิมเป็นธรรมชาติอย่างเดิม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ตรงนั้น แล้วถ้าเราคิดอย่างนี้นะ เราก็คิดถึงยุคน้ำแข็ง โลกมันปรับตัว ไดโนเสาร์ ถ้าคิดเป็นวิทยาศาสตร์นะ พวกนี้คิดจนหัวแตก

แต่ถ้าเป็นธรรมมันจะปรับตัวของมัน แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ ฉะนั้นที่ว่าหลวงปู่ทวดจะเป็นไหม เพราะเราไม่เห็น ไม่เชื่อว่าเป็น จะบอกว่าไม่เป็นเดี๋ยวจะหาว่าต้องพิสูจน์ไม่เป็น ทำไมถึงไม่เป็น โอ้ ถ้าอย่างนั้นต้องห้องแล็บแล้ว ต้องเอากล้องมาพิสูจน์กันนะ อะไรก็วิทยาศาสตร์ๆ นี่เราก็พูดวิทยาศาสตร์อยู่นี่

อันนี้มันมีพระหลายองค์ที่บอกว่าองค์นั้นเป็นพระศรีอริยเมตไตรย องค์นี้ก็เป็น เราก็สาธุนะเราสาธุไว้ เราไม่ก้าวล่วงแต่พระศรีอริยเมตไตรยรออยู่แล้ว

ถาม : ๓. เวลานั่งสมาธิแล้วมันละเอียดลงไป จะตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมาก ทำให้ครั้งหลังๆ เกิดความอยากในสมาธิขึ้นมา จะแก้อย่างไรเพราะพยายามอยู่กับคำบริกรรมแล้ว แต่ก็เผลอไปเพ่ง อยากเป็นสมาธิ

หลวงพ่อ : อันนี้สาธุนะ สาธุถึงว่าเคยทำแล้วได้ เวลานั่งสมาธิแล้วมันละเอียดลงไป จะตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมาก มันละเอียดขนาดไหนนะ เวลาทำนี่เราต้องทำกันอย่างนี้ เหมือนพวกเรานี่เก็บหอมรอมริบ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ หลวงตาท่านบอกท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะผิดเล็กน้อยอะไรก็ไม่ยอม ไม่ยอมเลย เป็นพระอรหันต์ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้วนะ

พระอรหันต์นี่เป็นปาปมุต ไม่มีอาบัติอีกแล้ว ไม่ต้องเกร็งไม่ต้องเก๊ก ไม่ต้องทำอะไรเลยปล่อยตัวตามสบายยังไงก็ได้ ดูหลวงปู่ตื้อสิ หลวงปู่ตื้อก็เป็นพระอรหันต์ เวลาหลวงปู่ตื้อท่านมาเยี่ยมหลวงปู่มั่นที่หนองผือ หลวงปู่ตื้อท่านธรรมชาติของท่าน เวลาพระแจกอาหารเห็นไหม

บาตรของหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเป็นคนดูแลอยู่ ท่านก็นั่งดูอยู่ หันไปเห็นหลวงปู่ตื้อกำลังกินข้าวเลย หลวงปู่มั่นก็ว่า

“ตื้อทำไมทำอย่างนั้นล่ะ”

“อ้าว ก็ผมหิวนะผมกินแล้ว”

หลวงปู่มั่นท่านก็ โอเค เพราะหลวงปู่ตื้อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็รู้ใช่ไหม แล้วท่านก็หันมาพูดกับพระ

“ใครจะเอาอย่างท่านตื้อเป็นตัวอย่างไม่ได้นะ”

นี่พระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นปาปมุต ปาปมุตคือไม่มีวิบากกรรม ไม่มีอะไรในหัวใจอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดกับพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ คือวิบากกรรมตั้งแต่อดีตชาติของเก่าๆ ที่มันมีมา อดีตชาติ

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเวลาจะไปปรินิพพานนี่ ให้พระอานนท์ไปเอาน้ำมาให้ฉันเห็นไหม “อานนท์เราหิวเหลือเกินเรากระหายเหลือเกิน”

พระอานนท์ก็ละล้าละลังใช่ไหม เพราะน้ำมันขุ่นก็อยากจะให้พระพุทธเจ้าไปฉันข้างหน้า พระพุทธเจ้าก็หิวเหลือเกิน นี่กรรมไง สุดท้ายพระพุทธเจ้าบอก “อานนท์ตักมาเถิดเรากระหายเหลือเกิน” พระอานนท์ก็ด้วยคำสั่งก็จนใจก็ตัก พอตักด้วยบุญบารมีของพระพุทธเจ้าน้ำตรงนั้นก็ใสขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกพระอานนท์ว่า “ชาติหนึ่งเราเคยเป็นพ่อค้าโคต่าง โคมันจะกินน้ำ เราก็สงสารเหมือนพระอานนท์สงสารเรานี่ล่ะ ก็ไม่อยากให้มันกินก็ดึงเชือกไว้จะให้ไปกินข้างหน้านี่ล่ะ” นี่กรรมมันตามมา

หลวงปู่มั่นท่านเป็นโรคเจ็บหน้าอก แล้วหลวงตาท่านบอกว่าท่านก็พยายามดูแลหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่าเคยไปรัดเขาไว้เป็นมวยปล้ำ เป็นอะไรนี่แหละ ท่านก็เป็นนะ กรรมของพระอรหันต์นี่คือมันเป็นอดีต เขาเรียกวิบากมันตกมาจากการกระทำของเราที่มันมีมา มันตามมาได้แค่เนื้อหนังมังสา มันตามหัวใจเราไม่ได้

หัวใจนี่เป็นพระอรหันต์พอสิ้นกิเลสปั๊บ หัวใจนี่ไม่มีภวาสวะไม่มีภพ ไม่มีภพไม่มีที่ตั้งๆ กิเลสหรือเจ้ากรรมนายเวรนี่มันจะไปเอาตรงไหน มันจะไปเอาตรงที่หัวใจไม่ได้ เพราะมารไม่เห็นไง อย่างพวกเรานี่ ความคิดมาจากไหน นี่เกิดดับๆ นิพพานว่างเป็นธรรมชาตินั่นน่ะ โอ๊ยมารมันยิ้มเลยนะ โอ๊ยไอ้โง่เอ๊ย ก็มึงอยู่ตรงหน้ากูนี่จะๆ นี่

เทวดาเห็นไหมเขามาถาม บอกว่าเวลาเทวดาไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนี่ รู้ได้ไงว่าหลวงปู่มั่นอยู่ในป่า อยู่เชียงใหม่ แล้วเขาไปหาหลวงปู่มั่นได้ยังไง แล้วเขาบอกเลยนะในที่มืดมันมีดวงไฟอยู่ดวงหนึ่ง เราจะเห็นไหมในที่มืด สภาวะนะธรรมชาติของมัน จิตพระอรหันต์มันสว่างโพลงเทวดาเห็นไหม สบายมากอยู่ในที่มืดหิ่งห้อยมาเรายังเห็นเลยแวบๆๆ แต่นี่ที่มืดแล้วใจมันสว่างโพลง ใจของหลวงปู่มั่น

โธ่ นี่ไงสิ่งที่มันเป็น มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วนี่วิบาก วิบากของพระอรหันต์มันมาอย่างนั้น เพราะอย่างนั้นมันเข้าไม่ถึง ดูอย่างพระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายนะเขาจะมาฆ่า กรรมมันลงตัวพอดีนะ นี่ธรรมะจัดสรร พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เผยแผ่ธรรมขึ้นมานี่ โอ้โฮ อลังการเลย ใครๆ ก็เชื่อถือมากเลย

ไอ้พวกที่มันเสียผลประโยชน์ ไอ้ลัทธิเดิมๆ มันบอกเลยต้องทำลายศาสนาพุทธถ้าทำลายศาสนาพุทธต้องทำลายใครก่อน ทำลายแม่ทัพ ทำลายแม่ทัพคือใคร คือพระโมคคัลลานะ เวลาพระพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการ พระโมคคัลลานะตกกลางคืนก็ไปสวรรค์มาหมดเลย แล้วก็ลงมาบอกเลย บ้านนาย ก. เมื่อคืนนี้ปู่เขาตายไปเกิดเป็นเทวดาที่นั่นที่นั่น พระพุทธเจ้าบอกสาธุ สาธุ พระพุทธเจ้ารับประกันหมดเลย เขาก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ศาสนานี่มันก็ขึ้นพรึ่บๆ เลย

ฉะนั้นเขาบอกว่าถ้าจะทำลายศาสนา ต้องทำลายคนนี้ก่อน ต้องทำลายคนส่งสาส์น คนไปเอาสาส์นมาจากสวรรค์ นรก มาเปิดเผย ต้องฆ่าคนนี้ก่อน นี่พูดถึงปัจจุบันนะ

แต่ในอดีต พระโมคคัลลานะ เป็นคนดี เป็นลูกโทนลูกคนเดียวแม่ก็อยากให้ลูกมีคู่ครอง ไอ้ลูกก็ไม่อยากได้แม่ก็ไปขอมา เลือกเองเลย เลือกอย่างดีเลย เอามาให้ลูก ทีนี้แม่ตาบอดใช่ไหมลูกสะใภ้ก็ต้องมาดูแลแม่ พอดูแลแม่ก็ขี้เกียจไง พอพระโมคคัลลานะออกไปทำงานใช่ไหมไอ้นี่ก็เอาข้าวโรย พอกลับมานี่ “ดูสิ ดูแม่สิ ทำอะไรสกปรกไปหมดเลย” ทุกวันๆ นะนี่มันเป่าหู อกสามศอกมันก็คลอนแคลนได้นะ

สุดท้ายก็บอกเอาแม่ไปเยี่ยมญาติจะไปส่ง ไปถึงกลางทางก็ลงจากเกวียนก็บอกว่าโจรมาก็ลงไปทุบแม่ก่อน ก็ทำว่าตัวเองเป็นโจรไงก็มาปล้นก็มาทุบแม่ ด้วยความรักของแม่รักลูก ก็บอก “โอ๊ย ลูกหนีไปนะโจรมันมา ลูกหนีไปนะ” ไอ้คำนี้ทำให้ได้สติไง โจรมันมานะๆ ลูกหนีไป คือตัวเองโดนทุบไง แม่ตายก็ไม่เป็นไรขออย่าให้ลูกเป็นอะไร ไม่รู้หรอกว่าลูกกำลังทุบอยู่

พอแม่พูดอย่างนี้ มันก็สะอึก ไอ้โจรถอยๆๆ พอถอยเสร็จก็ไปทิ้งไม้กลับมา ก็ถาม แม่เป็นยังไงๆ แม่แย่แล้ว เอากลับบ้านแม่ตาย กรรมอันนั้นนะตกนรกอเวจีมหาศาลเลย การฆ่าพ่อฆ่าแม่นี่บาปกรรมมหาศาล แล้วเราคิดถึงเวรกรรมสิ ลูกชายไม่อยากได้คู่ครอง แม่ก็อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา แม่ก็ไปหามาเองแต่พอมาแล้วเขาก็มายุมาแหย่

ดูเวรดูกรรมสิ พอเวรกรรมมันเกิดขึ้นมาแล้ว สุดท้ายแล้วมันก็ลงนรกอเวจี สุดท้ายก็มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ กรรมอันนั้นมันมาถึงตรงนี้ นี่แหละบอกพระอรหันต์ไม่มีจิต พระอรหันต์ไม่มีภพไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครทำอะไรได้เลย แล้วใครทำอะไรไม่ได้ทำไมทุบพระโมคคัลลานะแหลกเลยล่ะ

พอมาก็เหาะหนีๆ เอ๊ มันเป็นเพราะเหตุใด อ้อ กรรมที่เคยฆ่าแม่ไว้ นั่งเฉยเลยนะให้ทุบเลย ธรรมดาเหาะได้หนีได้เพราะฤทธิ์มาก ทำได้หมดทุกอย่างเลย แต่เชื่อกรรมเห็นไหม แต่ไม่ได้ทำหัวใจเลยนะ ที่ไม่ได้ทำหัวใจเพราะอะไร เพราะตีจนแหลกนะตายเลย พอตายแล้วนี่อย่างเรานั่งสมาธินี่ๆ แล้วให้จิตมันดีมันก็ลำบากใช่ไหม

ไอ้นั่น พอทุบจนตายเลยนะมันเจ็บขนาดไหน พอโจรไปแล้วนะ ฤทธิ์นี่มาจากสมาธิก็รวมร่างกายนี้ กลับมาเป็นพระโมคคัลลานะองค์เดิม เหาะไปหาพระพุทธเจ้า ไปลาพระพุทธเจ้าจะนิพพาน พระพุทธเจ้าอนุญาตเสร็จแล้วก็เหาะกลับมาที่เดิม อยู่ที่เดิมก็คลายฤทธิ์ออก ร่างกายนี่ก็แหลกเหมือนเก่า ดูสิ มีฤทธิ์ขนาดนั้นนะ

การกระทำอย่างนั้น ประสบการณ์อย่างนั้น นี่การนั่งสมาธิ เราจะคิดว่าถ้าจิตมันเป็นไป มันดีได้ขึ้นมานี่ สาธุ แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว ให้เราพยายามทำของเรา นี่มันตื่นเต้นดีใจขนาดไหนมันเป็นยังไงก็แล้วแต่ การประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องเริ่มมาจากคนไม่เป็นทั้งนั้นล่ะ คนไม่เป็นคนทำยังไงมันจะค่อยๆ ปรับของมันไป ถ้ามันดีขึ้นมาเราทำดีของเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้นเราจะบอกว่าเราต้องเข้มแข็ง พอเราเข้มแข็งแล้วนี่ในการปฏิบัติของเรา เราไปรู้จริง เราไปจับของจริง เหมือนเงินนะเราจะมีบาทสองบาทนะ ขอให้เป็นแบงก์จริง แต่ถ้าเราจะมีมากมีน้อย ถ้าแบงก์ที่มันไม่จริงเราใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก

การปฏิบัตินี่มันทุกข์ยาก เราจะพูดตั้งแต่หลวงปู่มั่น เก็บหอมรอมริบมาก็เพราะเหตุนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมดี แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราจะเก็บหอมรอมริบไหม ในการทำสมาธิทุกคน เราสอนนะ มีพวกกรุงเทพฯ มาเยอะมาก หลวงพ่อ ภาวนาไม่ดี ทำอย่างนู้นไม่ดี เราถามกลับเลยนะ เอ็งกินข้าววันละกี่มื้อ

เราพูดกันนี่ เราอยากได้สมาธินะ แต่เราไม่คิดถึงเลยว่า เหตุให้มันเป็นสมาธินี่ มันมาอย่างไร เราถามว่ากินข้าววันละกี่มื้อ ๓ มื้อ ๔ มื้อก็ว่ากันไป เราบอกเลยนะทำไมศีล ๘ เขาเลือกไม่กินข้าวเย็นล่ะ ศีล ๘ ข้าวเย็นเขาไม่กิน อย่างพวกเรานี่ถือศีล ๘ ได้เลย วันละ ๒ มื้อ แล้วศีล ๘ นี่ ถ้ามันมีความจำเป็นนะ เราก็กินอาหารเบาๆ กินพวกสลัดพวกอะไรเบาๆ แล้วลองภาวนาดู นี่คนมันจะดีขึ้นเลย หลายคนมากกลับมา โอ๊ย หลวงพ่อดีขึ้นเยอะเลย อาหารนี่แหละ

หลวงตา หลวงปู่มั่นท่านจะบอกเลย “ธาตุขันธ์ทับจิต” คนไม่ภาวนาไม่รู้เรื่องนี้นะ ว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา มันก็ว่านกแก้ว นกขุนทองของมันไป อ้าว นี่เรามาอยู่ที่นี่กันทุกคนเคยอดอาหารกันทั้งนั้นนะ เคยลองว่าอดอาหารดูแล้วเป็นยังไง แล้วอดอาหาร โดยธรรมชาติหิวไหม หิว แต่พออดอาหารแล้วนี่ เราภาวนาไม่ลง เพราะธรรมดา พอเราภาวนาขึ้นมา เราก็วิตก วิจาร กับความลำบากของเราตลอดเวลา

พอไปอดอาหารเข้า จิตมันก็ไปวิตก วิจารกับการอดอาหารไง โอ๊ย หิว ท้องร้องจ๊อกๆ เลย มันไม่คิดว่าอดอาหารก็คืออดอาหารนะ อดอาหารแล้วนี่มันเป็นอุบาย พอเราอดอาหารเสร็จแล้ว เรารีบมาพุทโธๆ ไม่ใช่อดอาหารแล้วก็ไปวิตกกังวลกับการอดอาหาร ที่เราไม่ได้ประโยชน์กัน เพราะเราอดอาหารแล้วใช่ไหม เราก็ไปวิตกกังวลกับการอดอาหาร อดอาหาร ๒ วัน พอวันที่ ๓ นะ พรุ่งนี้เช้า กูจะกินไอ้นั่นๆ มันไปคิดก่อนนะ ว่าพรุ่งนี้เช้านะ กูจะกินไอ้นั่น แล้วมึงอดอาหารทำไมล่ะ

ถ้ามันทำอย่างนี้ มันคิดอย่างนี้เห็นไหม คือว่าเข็มทิศ อุดมการณ์ การกระทำของเรานี่ เราจะตั้งเป้าหมายไปที่ไหน ถามว่าอดอาหารหิวไหม หิว แต่การอดอาหารนี่มันเป็นอุบาย มันเป็นการทำให้เราคล่องตัว ทำให้เราดีขึ้น การอดอาหาร พอทำอย่างนี้ ต่อไปเราคิดในใจนะ ต่อไปจะไม่มีใครทำกันแล้ว เพราะคิดว่าทำแล้วมันก็ไม่ได้ผล ทุกข์แล้วก็ไม่ได้ผลใช่ไหม ไปสบายๆ ดีกว่ามันจะได้ผล

เราก็คิดมุมกลับนะ ขนาดมึงทุกข์ขนาดนี้มันยังไม่ได้ผล แล้วสบายๆ มันจะได้ผลได้อย่างไร เออ ทำไมไม่คิดมุมกลับ แต่เราไม่คิดอย่างนั้นหรอก ทุกข์ไปทำไมวะ กูไปสบายๆของกูดีกว่า ทุกข์ยังไม่ได้เลย แล้วสบายๆ มันจะได้ยังไง ทีนี้พอเราอดอาหารอย่างนี้ พอเรามีเวลานี่เราพยายามตั้งสติ มันเป็นไปได้ พอมันเป็นไปได้แล้ว เราจะกลับมาทบทวนเลย

เราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มาเก่าๆ นะ ท่านจะบอกเลยว่าเวลาเราภาวนานี่ ถ้าจิตเราลงแล้วนะเราพยายามจำอารมณ์นั้นไว้ เมื่อก่อนหลวงตากับหลวงปู่มั่นพูดคำนี้มาก เราต้องจำอารมณ์นั้นไว้ อารมณ์พุทโธ อารมณ์ตั้งใจเรานี่ ตั้งใจก็เหมือนกับประเด็นนะ เราจะตั้งไปไหน ถ้าประเด็นตั้งไปไหนเราพยายามทำให้เข้าประเด็นนั้น จิตมันจะเป็นสมาธิได้

ถ้าเราเคยเป็นเคยได้ เราพยายามคิดถึงอารมณ์นั้น คิดถึงชำนาญในวสี ในการเข้าในการออก มันต้องละเอียดขนาดนี้นะ นี่เราจะเอาใจเราได้ เราต้องละเอียด เราต้องรอบคอบ ไม่ใช่ทำต่างคนต่างสะเพร่า พอสะเพร่าแล้ว ยังบอกว่าการสะเพร่านั้นเป็นธรรม เพราะมันเป็นเรื่องความสะดวกสบายมันเป็นการลัดสั้น ไอ้ขี้ทุกข์ขี้ยากนี่ ไอ้พวกนี้มันจะไม่ได้ผล

ต่อไปนี่ไง ศาสนาจะเรียวแหลม ศาสนาจะเสื่อมจากใจของสัตว์โลก เสื่อมจากใจของพวกเราที่ไม่เชื่อมั่น ถ้าใจเราเชื่อมั่นเราต้องทำของเราได้ สิ่งที่มันเคยเป็น จะละเอียดขนาดไหน เราตั้งใจตั้งสติอย่างนั้นไว้ แล้วกำหนดอย่างนั้นไว้ แล้วก็บริกรรมไปเรื่อยๆ

นี่เราพอใจคำถามนี้เพราะอะไร เพราะมีคำว่าอยู่กับคำบริกรรมตลอดเวลา ก็มีเผลอไปเพ่ง เพราะอยากเป็นสมาธิบ้าง คำบริกรรม คำอะไรนี่ ประสาเรานะ เรานี่เป็นคนทุกข์ คนยาก แล้วเราเคยทำงาน แล้วเราได้ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตมากเลย เราไม่กล้าบอกใครเลยนะ ว่าเราเคยทุกข์เคยยากมา แสดงว่าเรานี่ลืมตีน ลืมรากเหง้าของเรา แต่ถ้าเราเป็นคนทุกข์คนยาก แล้วเราทำอะไร ประสบความสำเร็จของเรา แล้วบอกว่าเรานี่เคยเป็นคนทุกข์คนยาก เราเคยลำบากมาก่อน แสดงว่าเราเป็นคนไม่ลืมตีน เราเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับเราเอง

ย้อนกลับมาการปฏิบัติ มันจะทุกข์จะยากยังไง คำบริกรรมนี่มันจะเข้าถึงฐีติจิต พอในการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ มันไม่มีคำบริกรรม เขาบอกสติไม่ต้องทำ มันตัดรากถึงผู้รับผล มันตัดรากถึงฐีติจิต มันตัดรากถึงคุณภาพ รากจิตของเราเอง แล้วพอมันว่างๆ ว่างๆ มันก็หายไปของมัน โดยที่มันไม่เข้าถึงราก มันก็ไม่เข้าถึงใจ มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันถึงบอกว่าว่างๆ

คนเป็นสมาธิไม่พูดอย่างนั้นนะ ไอ้คำบริกรรมของเรานี่ ไอ้สติ ปัญญาอบรมสมาธิมีสติตามทัน มันจะเข้าถึงรากมันจะเข้าถึงจิตของเรา มันจะเป็นสมาธิมันจะมีพื้นฐานของมัน แล้วมันจะออกปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง นี่เราเอาตรงนี้ เขาจะว่าทุกข์ว่ายาก ก็เหมือนพวกเรา พวกชาวไร่ ชาวนานี้ วันหนึ่งแบกจอบ แบกเสียม ไม่ทำอะไรเลยนะ ขุดมันอยู่นี่ โอ๊ย มันหมดสมัยแล้ว เดี๋ยวนี้เขาใช้แทรกเตอร์

เออ เวลาน้ำมันหมดแทรกเตอร์มันขุดดินไม่ได้นะ แต่จอบนี่ยังขุดได้อยู่นะ มีน้ำมันกูก็ขุดของกูได้ ไม่มีน้ำมันกูก็ขุดของกูได้ จิตของเรา เราเป็นคนทำเอง เราตั้งสติของเรา พอใจกับคำว่าเรามีคำบริกรรมตลอดเวลา

ฉะนั้นมันจะยากไง นี่เราพูดมาตั้งยาวเลยนี่ เพราะเขาถามว่า นี่ไงมันละเอียดแล้วลงไปมันจะตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมาก แล้วเวลาครั้งหลังๆ มันจะเกิดความอยากในสมาธินั้น ไม่ต้องไปอยากมันนะ กินข้าวแล้วนี่ เวลาความพร่ำว่าไม่อยาก หลวงตาใช้คำว่าอยากที่เป็นมรรคกับอยากที่เป็นกิเลส

ถ้าเราอยากเป็นสมาธินี่อยากโดยกิเลส สมาธิคือผล เราอยากได้ผลโดยที่เราไม่ทำงาน แต่ถ้าเราอยากในเหตุ คืออยากแล้ว คำบริกรรมนี่คือเหตุ สติคือเหตุ เราบริกรรมของเราไปพุทโธๆๆ คำบริกรรม บริกรรมอะไรก็แล้วแต่บริกรรมไปเรื่อยๆ คำบริกรรมนี่มันเป็นจุดย้ำเห็นไหม

เราพูดบ่อย อะไรก็พุทโธๆๆ อย่างเดียวเลยเหรอ อย่างอื่นไม่ได้เหรอ ความคิดเราโดยปกติ มันฟุ้งซ่าน ความคิดน้อยใจ ความคิดเสียใจ มันเป็นความคิดที่มันบวกด้วยกิเลส มันเป็นน้ำเสีย พุทโธๆๆ นี่เป็นการที่เราดึงความคิด คือฐีติจิต คือพลังงานที่ส่งออกมาจากจิต เห็นไหม รูปคือตัวจิต นามคือความคิด เพราะมีนามมีความคิดมันว่างลงเห็นไหม

เราคิดเรื่องต่างๆ ของเรานี่ มันมีความว่าง รูปนี้ก็ส่งพลังงานออกมาตลอดเวลา มาที่นาม นามก็หมุนไปเรื่อยๆ เห็นไหม มันก็เป็นความคิดตลอดเวลา เราเปลี่ยนใหม่ รูปเป็นพลังงานเห็นไหม เราส่งไปที่พุทโธ พุทโธนี่เป็นพุทธานุสติ มันเป็นสิ่งที่ขาวสะอาด มันไม่มีกิเลสเราบวกเพราะเราไม่รู้จะเอาอะไรไปบวกกับพุทโธ

เราไม่รู้นะ โทษนะ พุทโธดีหรือชั่ว กูก็ไม่รู้นะ กูก็พุทโธของกูไปเรื่อยๆนี่ พุทโธๆ เป็นคำบริกรรม พุทโธๆๆ พลังงานสะอาดเห็นไหม พลังงานลมไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเลย แต่ถ้าเป็นพลังงานของเรานี่ เราคิดของเราไปมันมีไอเสีย มีทุกอย่างพร้อมไปหมดเลย มันทำให้เราเสียหายหมดเลยเห็นไหม แต่เราพุทโธๆๆ แต่นี่มันไม่อยากคิด ไม่อยากทำ

นี่พอพุทโธๆ แล้วมันก็ยังไม่ลงเห็นไหม พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธๆ นี่ย้ำไปเรื่อยๆ พุทโธๆๆ เพราะมันดึงพลังงานของเรา มันดึงอวิชชา ดึงพลังงานออกมาอยู่ที่พุทโธๆ แล้วพอพุทโธๆ ถึงที่สุดนะ พุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้เลย พลังงานตัวนี้มันจะเข้ามาที่ตัวจิต มันทำให้จิตนี่สะอาดได้ นี่คือสมาธินะ

พุทโธนี่เป็นความคิดที่สะอาด ความคิดของเราโดยธรรมชาติ นี่เป็นความคิดสกปรก สกปรกเพราะจิตมันสกปรก สกปรกเพราะรูปมันมีอวิชชา เพราะมีรูปมันถึงมีนาม ถ้าเราไม่คิดมันนามก็ไม่เกิด ถ้าเราคิดมันนามก็เกิด มันก็หมุนไป ทีนี้พอเราพุทโธๆ นี่ เป็นนาม นามที่มันมีหลักยึดมั่นของมัน เพราะมันไม่คิดเหมือนความคิดโดยปกติ มีรูปมีนาม นามก็หมุนไป นามนี้เป็นนามพุทธานุสติ นามนี้เป็นนามที่จะถมให้ใจนี้หยุด

เขาบอกเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้มันไม่มีกิเลส จิตเดิมแท้นี้อยู่ตามธรรมชาติของมันนะ อยู่ตามธรรมชาติเดิมของจิต จิตธรรมชาติของมัน มันมีอวิชชา มีความรู้ตัวของมัน มันมีสกปรกของมัน พอเราสะสางมันด้วยพุทโธๆ มันสะอาดเข้ามา ความสะอาดอันนี้มันจะย้อนกลับมาที่จิต คราวนี้เรามีคำบริกรรมไง มีคำบริกรรมของเราไว้เพื่อประโยชน์กับเรานี่อย่างอื่นช่างหัวมัน

ข้อที่ ๔ ตอบไปก่อนแล้ว ทำไมพระอาจารย์......ถึงรู้วาระจิตของคนต่างๆ และทักทายได้ถูกต้อง

หลวงพ่อ : ถูกต้องเพราะคนไปคิดว่ามันถูกไง ถ้าเป็นส่งผลข้อสอบ เราไม่ให้คะแนนหรอก ไอ้คนอื่นจะให้คะแนน ไอ้คนนั้นให้ไป เราไม่ให้

ถาม : ขอโอกาสเรียนถามปัญหาดังนี้

๑. ทำไมเดี๋ยวนี้ผมหลงลืมบ่อยมาก ทั้งๆที่เราก็ว่าเราฝึกสติดีแล้ว

หลวงพ่อ : อันนี้เราจะตอบเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเมื่อก่อนลืมหลงก็ไม่เห็น ก็คิดว่าตัวเองไม่หลงไม่ลืม แต่พอเรามีสติขึ้นมานี่ พอเรามาเห็นหลงลืม แต่เดี๋ยวนี้มันลืมบ่อยมาก ขณะที่เราฝึกนี่นะ เราปฏิบัติ เราจะหลงลืมยังไง เราฝึกมาใหม่ๆนะ เมื่อก่อนเราอยู่ป่า ถ้าอะไรผิดพลาดปั๊บ เราจะแก้ไข ลืมอะไรไว้ที่ศาลา เราจะเดินกลับมาเอาเลย ฝึกมันไว้ บังคับว่าเอ็งลืมไม่ได้ ลืมถูกทำโทษ เราทำโทษตัวเราเองเลย

อะไรที่ผิดพลาดปั๊บ เรานี่เป็นคนที่ควบคุม มันแปลกนะเวลาปฏิบัติมาแล้ว หลวงตาท่านจะบอกไง เวลาท่านปฏิบัติคุมตัวเองยิ่งกว่านักโทษ ท่านบอกนักโทษนะ วันหนึ่งๆ มันอยู่ในคุกนี่มันเหลาตอก เหลานี่วันละกี่เส้น เรานี่ควบคุมใจตัวเองเหมือนเป็นนักโทษเลยนะ

ฉะนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาด เราจะสั่งทันทีว่าต้องไปเอากลับมา พอลืมครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งต่อๆ ไปลืมต้องเดินอีกรอบหนึ่งนะ ฉะนั้นกว่าจะไปไหนก็นับเลยนะ ๑ ๒ ๓ เราไปธุดงค์นะพระไปธุดงค์ด้วยกัน บางทีมันลืมกลดไว้บนรถ รถไปแล้วยังลืมกลด แต่สำหรับเรานะลงจากรถไปไหนมานะจะนับเลย ๑ ถุงบาตร ๒ กลด ๓ กระติกน้ำ ๔ ย่าม ๑ ๒ ๓ ๔ ครบไหม

พระเราเห็นบ่อยมาก ลงจากรถหรือไปไหนมานี่ ลืมกลดบ้าง ลืมอะไรบ้างรถเขาไปแล้วนะ ไม่มีเดือดร้อนกันไปหมด เราลงรถยังต้องเช็กเลยว่าบริขารครบไหม ทุกอย่างครบไหม เราฝึกเราขนาดนั้นนะ เราฝึกมาทุกอย่าง ถ้าลืมอะไรไว้ อย่างเช่น เมื่อก่อนเราอยู่ตามกุฏิ ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าลืมผ้าเช็ดปาก ลืมอะไรแล้ว ต้องกลับไปเอาเดี๋ยวนี้ เพราะไปถึงปั๊บต้องผึ่งใช่ไหม เวลาเดินไปนึกว่าถือมาครบ พอจะผึ่งแดด อ้าว โน้นก็ไม่ได้เอามา นี่ก็ไม่ได้เอามา กลับไปเอาทันทีเลย ต้องกลับไปเอาเดี๋ยวนี้ บังคับเดี๋ยวนี้ แล้วฝึกมาตลอดๆ

แต่เดี๋ยวนี้ลืมบ่อย ตั้งใจไว้เลยนะ พอแวบหายเลย เดี๋ยวนี้จะทำอะไรต้องจดไว้นะ ถ้าไม่จด ลืม เพราะมันเหมือนธรรมดาของทางการแพทย์ สมองนี้ถ้าเราไม่ได้ฝึกมันนะ อัลไซเมอร์ มันจะหดตัว อันนี้การฝึกโดยธรรมชาติของการชราภาพอันนี้อันหนึ่ง แต่ถ้าโดยมีสตินะมันต้องดูแลตัวเองด้วย อันนี้พูดถึงการหลงลืมนะ

ทีนี้เราฝึกสิ ถือว่าเราฝึกดีแล้ว อย่างปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด คิดจบแล้ว มีความทุกข์ในหัวใจแล้ว แล้วค่อยรู้ทันมัน ฝึกไปเรื่อยๆ มันจะรู้แจ้ง รู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด อ๊ะ อ๊ะ เลย จริงๆ เป็นอย่างนั้น จริงๆ นะ เราใช้สติของเรามาปฏิบัติ ความคิดไม่ให้เกิดเลย ความคิดไม่ให้เกิดก็ได้ ความคิดให้เกิดก็ได้

ถ้าพูดถึง ถ้าพอจิตมันเพลียมากนี่ เราไม่ให้ความคิดเกิดเลย ตั้งสติแล้วไล่ตลอด มันจะหยุดของมัน เดินจงกรมเฉยๆ ไล่ตลอด ว่างหมดมันจะอยู่ในความว่าง พอจิตมันมีกำลังแล้ว ปล่อยความคิดออกมาเลย พอปล่อยความคิดออกมา มันไหลมาแล้วก็จับมันเลย ไล่มันเลยไล่คือวิปัสสนา คิดเรื่องอะไร เรื่องเสียหายอะไร ดีหรือชั่ว เอ็งเป็นคนคิดชาติชั่ว ดีงามอย่างไร เอ็งเป็นคนเลวคนอะไร ไล่มันตลอดเวลา

ถ้ามันไล่ปั๊บ พอมันแยกใช่ไหม รูป เวทนา คือความคิดดี หรือคิดชั่วนี่ มันพอใจไม่พอใจ สัญญาคือข้อมูลที่มันมา สังขารแยกได้หมด พอแยกปั๊บถ้ามันเกิดดับ มันเกิดดับกับเราเองนี่ ความคิดมันเกิดดับกับเราเอง ก็คือธรรมชาติของมัน น้ำขึ้น น้ำลง แต่ถ้าเราเอาน้ำมา แล้วเรามากรองน้ำ เราทำให้น้ำนั้นสะอาด ทำให้น้ำนั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมา

ความคิด! ปล่อยให้มันเกิดดับเองนี่ ธรรมชาติ แสดงว่าธรรมเป็นธรรมชาติ ปล่อยให้มันเกิดดับเอง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเราจับความคิดได้ เราเอาความคิดมาตั้ง แล้วแยกแยะความคิดพร้อมกับความคิดนั้นไป เวลามันแยกเอง พอมันปล่อยปั๊บ มันเหลืออะไร เหลือคุณภาพของจิต จิตที่มันปล่อย มันไม่เคยปฏิบัติมันไม่รู้หรอก ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ปล่อยให้มันเกิดดับ รู้เกิด รู้ดับ นิยาย อย่าเอานิยายมาคุยให้กูฟังเลย

พูดถึงเวลาเราฝึก ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราถึงบอกไง เวลาเขาบอกว่าสภาวะนี้เป็นธรรม ถ้าผมอยู่เฉยๆ ความคิดมันไปนี่มันเป็นสภาวะธรรม ถ้ามันมีอารมณ์มันจะเป็นกิเลส มันเป็นได้จริงๆ เหรอ คำว่าเป็นได้จริงๆ นะ ภาษาเรานะเราสบประมาทมาก เราเข้าใจว่าเวลาความคิดที่เขาไหลไปนี่ ที่เขาบอกว่าเป็นสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม แล้วเขารู้ตามไปนี่ มันเป็นการให้ชื่อของเขาเอง แต่ไม่เป็นความจริง

ถ้ามันเป็นสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันตามความเป็นจริง ถ้าสติทันมันหยุดหมด แล้วมีคนมาถามบ่อย บางคนเขาบอกว่าอาจารย์เขาบอกว่าจิตนี่มันหยุดไม่ได้ ธรรมชาติของจิตมันหยุดไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้ไหลไปอย่างนี้ ถ้าธรรมชาติของจิตหยุดไม่ได้ ทำไมพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสมาธิ

สมาธิคืออะไร สมาธิคือจิตหนึ่ง จิตตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์ คือจิตตั้งมั่น จิตหนึ่งเดียว เออ แล้วไม่หยุดมันเป็นหนึ่งเดียวได้ยังไง คนพูดอย่างนี้แสดงว่าคนยังไม่เคยเห็นจิตตัวเองหยุด ไม่เคยเห็นจิตตัวเองตั้งมั่น แต่ถ้าเป็นการปฏิบัตินะ มันจะต้องทำหลักเกณฑ์เข้ามาจนจิตตั้งมั่น ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นออกคิด ออกใช้ปัญญานี่ มันจะมีกิเลสบวก เพราะมันไม่มั่นคง

เหมือนเงินเรานี่นะ การเงินเราไม่คล่องตัว เรากล้าใช้ตังค์ไหม หรือเราใช้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าวันไหนเงินเรานี่ล้นกระเป๋านะ จนไม่มีที่จะยัด แหม ใช้ได้ จิตตั้งมั่นไง เงินล้นกระเป๋าเลย เงินเรามหาศาลเลย เราจะใช้สอยสิ่งใดนะเป็นประโยชน์หมดนะ

แต่บุญวาสนาของคน บางคนนะเงินเต็มกระเป๋าเสือกขี้เหนียวใช้ไม่เป็นอีก ไม่กล้ากินไม่กล้าใช้ ไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่รู้จะมีเงินไว้ทำไม เราจะบอกว่าจิตตั้งมั่นแล้วไม่ใช่ว่ามันจะออกวิปัสสนาได้โดยอัตโนมัติ มันอยู่ที่จริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยมันเคยขี้เหนียว มันเคยอะไรนี่ มันจะตระหนี่ มันจะอยู่ของมันอย่างนั้น แต่ถ้าจริตนิสัยมันดี มันจะออกรู้ มันจะเป็นของมัน ถ้ามันขี้เหนียวแต่มีตังค์แล้วนี่ฝึกสิ ใช้สิ ทำให้มันออกใช้ได้ ฝึกได้หมดนะ ทุกอย่างฝึกได้

ปัญหามีไว้ให้แก้ๆ ไม่ใช่ไม่มีปัญหา ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น ปัญหาที่เกิดมานั่งอยู่นี่มีปัญหาทั้งนั้น แล้วจะแก้ปัญหานั้นแต่ละบุคคลๆ ไป ปัญหามีทุกคน นี่นะเมื่อก่อนมันเผลอมาก คำว่าเผลอมี ๒ อย่าง เมื่อก่อนเผลอก็ไม่รู้ว่าเผลอ เผลอก็บอกว่ากูยอดกูแน่ไง แต่พอเราปฏิบัติแล้วนี่เผลอมันจะรู้ว่าเผลอ พอรู้ว่าเผลอ อ้าว เดี๋ยวนี้ทำไมผมเผลอมากเลย เผลอเพราะเรามีสติขึ้น ฉะนั้นพอเรามีสติขึ้นแล้ว สติมหาสติไง สติดีขึ้นแล้ว มันเผลอแล้ว รู้ทันแล้ว เราก็แก้อย่างที่เราว่า ให้แก้อย่างที่ว่าทำโทษมัน ทำโทษตัวเอง

ถ้าเผลอกูจะทำโทษมึง ๒ ที ถ้าเผลอคราวหน้ามึงโดน ๓ ถ้าเผลอคราวต่อไปมึงโดน ๔ พอทำอย่างนี้ปั๊บนะ มันจะระวังขึ้นมา ความเผลอนั้น เพราะเราฝึก เราดูแล เรารักษา ความเผลอนั้นจะทำให้เราจางลง ให้เราดีขึ้น ต้องฝึกนะ ของจะดีได้อยู่กับการฝึกฝน

ไม่มีใครเกิดมาดีจากท้องพ่อท้องแม่ คนเราไม่ได้ดีด้วยชาติ ด้วยตระกูล ดีด้วยการฝึกฝน ดีด้วยการประพฤติปฏิบัติ จำคำนี้ไว้ ฝึกฝนไว้ได้ ทีนี้มันเป็นที่ว่าเราเผลอมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของเรา จะเวรกรรมของเราจากจุดไหนต้องฝึกจากจุดนั้นออกมา ต้นทุนของเราเป็นอย่างนี้ เราต้องฝึกจากต้นทุนของเราออกไป

เขาจะดี เขาจะชั่ว เขาจะมีขนาดไหนนั่น อำนาจวาสนาของเขา แต่เราเอาแต่ต้นทุนของเรา เรามีต้นทุนเท่านี้เราจะฝึกอย่างไรจะปฏิบัติยังไง ต้นทุนของเราฝึกมัน ทำมันแล้วไม่ต้องไปเทียบเคียงกับใคร

โธ่ เราปฏิบัตินะ เราอยู่บ้านตาด พระเขาจะเล่นกันเขาจะกินกัน เขาจะนอนกัน เขาจะทำยังไง เขาจะตีแปลงกันนะ โทษนะเรื่องของมึง กูไม่สนเลย ทางจงกรม เจริญสมาธิภาวนา ไม่สนเลยนะ ถ้าเราไปสนเขานะ เราทำไม่ได้ พอเราทำไม่ได้ปั๊บ จริงๆ เขาก็เพ่งโทษเราอยู่

เขาจะรู้นิสัยเราวันนี้ว่า ไอ้หงบไม่เอาใคร ไม่ใช่เราไม่เอาใคร เราจะเอาสมาธิภาวนา เวลาของเรา เราจะอยู่ในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา แล้วเรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเขาเราต้องแบ่งเป็น เราแบ่งเป็นนะ ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม เรื่องของข้อวัตรเราเอา แต่ถ้าเป็นเรื่องของส่วนบุคคล คือเขาคิดกันเอง เขาหางานทำกันเอง เราไม่ยุ่ง นี่จะไปอยู่ที่ไหนมันจะมีอุปสรรคไปหมด

ถ้าเรื่องของเขาทำไง มันเรื่องของเขา แล้วเราทำ ในมุมมองเห็นไหม จริงๆ เราไม่ได้พูดประชดหรือพูดอวดใครนะ เราอยู่ที่โพธาราม เราทำข้อวัตรอยู่อย่างนี้ จนพระมาเขาบอกเลย “ไอ้หงบนี่โง่ฉิบหายเลย มอเตอร์ ตัวเดียวมันก็ซื้อไม่เป็น” คือมอเตอร์มันซื้อมามันก็ดูดน้ำไว้ ไม่ต้องโพงไง เมื่อก่อนเราโพงน้ำนะ โพงน้ำแล้วใส่ปี๊บแล้วเข็นเอา อยู่ที่โพธาราม เราทำหมด ทำข้อวัตรเหมือนเดิมหมดเลย แล้วเราทำ ปีแล้วปีเล่าๆ

เพื่อนๆ พระมันมาดูไง แล้วไปพูดข้างนอกแล้วพระมาเล่าให้เราฟัง เขาบอกว่าเพื่อนที่เขามาหา เขามาดูแล้ว เขาบอกเลย ไอ้หงบนี่โง่ฉิบหายเลย ไดร์ตัวเดียวก็ซื้อไม่เป็นเขาว่า มันให้ซื้อไดร์มาแล้วก็ดูดน้ำไง นี่ความเห็นของพระเห็นไหม นี่ความเห็นของเขาก็เรื่องของเขา แต่ความเห็นของเรา เราก็ทำของเราอย่างนี้

แต่เดี๋ยวนี้มึงไม่ต้องบอกกูซื้อหรอก กูซื้อซัมเมิสเลย กูดูดขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้กูโพงไม่ไหว เดี๋ยวนี้มันใหญ่มันโตขึ้นมา แต่เมื่อก่อนเขาพูด โง่ฉิบหายเลย แค่นี้ก็ทำไม่เป็น แต่เขาไม่กล้าพูดกับเรา เพราะเขารู้ว่าเราเป็นยังไง ทีนี้เราจะบอกเลย เราจะเผลอไม่เผลอ คนอื่นเขาไปอีกเรื่องหนึ่งนะ คือว่าจิตใครจิตมัน เราต้องรักษาเราแล้วแก้ไขขึ้นมาจากเรา

ถาม : ๒. ราหูมีจริงหรือไม่ครับ ถ้ามีจริงแล้วทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงได้สามารถทำนายการเกิดสุริยุปราคา ได้ล่วงหน้าครับ?

หลวงพ่อ : เราจะตอบอย่างนี้นะ มันมีจริงหรือไม่มีจริง พอเกิดอย่างนี้เมื่อก่อนคนเรามันเชื่อไง พอคนเราเชื่อหนึ่ง สองไอ้ที่ว่าราหูอมจันทร์ สิ่งที่เป็นราหู สิ่งที่อะไรนี่ มันเป็นพรหมศาสตร์ใช่ไหม มันเป็นวิชาการอันหนึ่ง อันนี้คำว่าราหูอมจันทร์มันเป็นฤกษ์ยาม เราพูดธรรมะนะ เราไม่ได้พูดเรื่องไสยศาสตร์นะ แต่มึงถามกูว่ามีหรือไม่มี (หัวเราะ)

ทุกอย่างมีหมด ทุกอย่างมีนะ หมอดูนี่เกิดจากสถิติของเขา ความชำนาญของเขา อาชีพของเขา ทีนี้หมอดู ทีนี้มันมีไหม มี แต่เรานี่ดูถูกมาก เราจะดูถูก คำว่าดูถูกของเรา หมอดูเคยเข้าจะมาดู ทุกคนนะ หลวงตาพูดอย่างนี้ ถ้าที่ไหนมีคนดี คนเลว จะแทรกเข้าไป ที่ไหนเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือศรัทธา ผู้ที่มีอาชีพอย่างนั้นเขาจะเข้ามาขอร่วมแจมด้วย

ฉะนั้นถ้าหมอดูมาจะมาทำอะไรกับเรานี่ เราจะบอกเลยว่าในชีวิตครอบครัวของหมอดูนี่ควรทำให้เป็นปกติสุขก่อน ดูหมอเขาไปทั่วนะ ในบ้านของตัวเองทะเลาะกันทุกวันเลย ในบ้านของตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย แล้วหมอดูจะมีประโยชน์อะไรล่ะ แต่ในธรรมะของเราเห็นไหม เราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง

ฉะนั้นคำว่าฤกษ์ ว่ายามนี่ เขาก็ตั้ง ๑๒ ราศี นี่ไงมันก็เป็นตัวแทนไง คำว่าราหูอะไรนี่เขาตั้งกันขึ้นมาได้ แบบว่าการเดินเรือเขาดูดาวไหม สมัยก่อนยังไม่มีอะไร เขาดูดาว ดูต่างๆ สมัยเราธุดงค์ใหม่ๆ นี่ เพื่อนฝูงพระยังไม่มีนาฬิกานะ เรานี่มีนาฬิกาไป แต่เพื่อนไปด้วยกันนี่เขาไม่มีนาฬิกา เขาดูดาว แล้วบางทีนัดกัน เวลานี่ วิ่งมาหาเราเลย “หงบโว๊ย ดูดาวผิดๆ”

นัดเวลาตีสี่จะเดินลงไปบิณฑบาตกันไงมันไกล มาถึงวันนั้นไม่ได้กินข้าว เพราะเขาดูดาวผิด จำแม่นเลยนะ นั่นคนบ้านนอกนะ เขาดูดาว ดูอะไรนี่ คำว่าดาวฤกษ์ยามนี่ มันเป็นวิชาการอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าถึงบอกไง แต่ก่อนคนยังโง่อยู่กราบภูเขา กราบทุกอย่าง กราบไฟทั้งนั้นเลย

ในปัจจุบัน อะทาสิเม อะกาสิเม ญาติพี่น้องเราตายไป พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราตายไปอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ ให้ทำคุณงามความดีส่งถึงกัน เวลาเราพูดเราถึงซึ้งคำของพระเจ้าตากมาก “คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า” เราคิดถึงพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายก็อยู่กับเราตลอดเวลา เพราะพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ต้องการให้ลูกหลานของเขาเป็นคนดี เป็นคนที่สังคมยกย่องนับถือ

ถ้าเราทำคุณงามความดีก็เพื่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเรา เพื่อเรา เพื่อทุกอย่างเลยเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำคุณงามความดีไง ฉะนั้นราหูมีไหม อะไรมีไหม วิทยาศาสตร์เขาคำนวณได้จริงๆ เพราะวิทยาศาสตร์นี่ แรงโน้มถ่วงต่างๆ นี่เขากำหนดของเขาได้ อันนี้ถูกต้อง นี่วิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ไม่เห็นจิตวิญญาณ

เราพูดบ่อย ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน พระพุทธเจ้าบอกเลย พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ได้ ๓ วิธี คือธรรมชาติของเขาหนึ่ง สองด้วยก้อนเมฆ เมฆบังเห็นไหม สุริยุปราคามันก็บังพระอาทิตย์ได้ สามด้วยฤทธิ์ของเทวดา และตอนนี้เพราะเราเชื่อมั่นของเราอย่างนี้ เราพูดถึงเณรพระสารีบุตรบ่อยมากเลย

เณรพระสารีบุตรที่เขาไปบิณฑบาต เห็นเขาชักน้ำเข้านา ถามพระสารีบุตรว่า “น้ำมีชีวิตไหม คันศรมีชีวิตไหม” พระสารีบุตรบอก “ไม่มี” ไม่มีเขายังทำประโยชน์ได้ เลยให้พระสารีบุตรไปบิณฑบาต แล้วเณรกลับมาวิปัสสนา

พระพุทธเจ้าเห็นว่าเณรองค์นี้ ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วถ้าจิตมันลง จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ อนาคตังสญาณ ก็รู้ไง ก็เลยมากันพระสารีบุตรไว้ ก็มาถามปัญหาพระสารรีบุตร แล้วกันไว้แล้วนะ เณรนี้จะฉันข้าวได้ไม่เกินเที่ยงไง เลยเพลไปมันก็ฉันไม่ได้ ประสาเราก็ดึงพระอาทิตย์ไว้ว่าอย่างนั้นเลย ดึงไว้หมดเลยไม่ให้กาลเวลามันขยับ

พระสารีบุตรก็ตอบพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาปั๊บ สามเณรมันสมุจเฉทปหานขาดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าบอกให้พระสารีบุตรเอาข้าวไปให้เณรฉัน พอฉันเสร็จนะตะวันคล้อยบ่ายไปเลย นี่ดึงไว้ด้วยฤทธิ์ แต่ไม่ใช่ดึงแล้วกาลเวลาจะสับเปลี่ยนไปหมดนะ มันดึงไว้ตรงนั้นเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันใช่ไหม พอเสร็จปั๊บ พอปล่อยมันก็เข้าไปอยู่ในวงปกติของมัน คือมันเที่ยงใช่ไหม พอปล่อยก็พรวดไปเลย

คือเหมือนภาษาเราว่าหยุดโลกหมุนเลย พอโลกมันหมุน พระอาทิตย์มันก็ทำงานเป็นธรรมดาใช่ไหม ถ้าใครปฏิบัติเรื่องนี้ท้าพิสูจน์ พอดีอยากให้พิสูจน์ หยุดโลกกันไว้ อย่าหยุดจิตเลย (ดูสิว่า ๓๖๕ วัน ต้องตัดวันหนึ่ง เหลือ ๓๖๔ วันแล้วล่ะ) ใช้ได้เราจะบอกว่าของอย่างนี้มี

ราหูมีจริงไหม เราจะบอกว่าพวกราหูอะไรนี่นะ มันเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณอย่างเช่นพระอินทร์ พวกนี้มันเป็นวาระที่ปกครองกันไง อย่างเช่นพวกยมบาลนี่ เอ็งว่ายมบาลนี่ทำกรรมอะไรไว้ ตกนรกไปด้วยกับเขา ยมบาลไปอยู่ในนรก ยมบาลทำอะไร อ้าว แล้วไอ้คนที่ตกนรกมันทำกรรมของมันใช่ไหม

แล้วเราเป็นยมบาล เราก็ไปอยู่ในนรกเหมือนกัน เราไปคุมเขา มันกรรมอะไร เรื่องอย่างนี้ กรรมมันถึงเป็นอจินไตย ๔ เป็นอจินไตยอจินไตยหนึ่ง มันเหมือนบางทีไม่ใช่กรรมหรอก มันจะย้อนกลับมาเมื่อกี้นี้ ย้อนกลับมาที่บอกว่า เราเป็นคนดีแล้วๆ คือว่าเขาพอใจไง คือเขาอยากทำหน้าที่ อย่างเช่นบางทีเราเห็นสิ่งใด เราอยากบริการเห็นไหม เราอยากช่วยมากเลย คือเขาพอใจอยากจะทำหน้าที่อย่างนั้น

ความจริงนี่มันอยู่ที่แรงปรารถนา มันอยู่ที่ทุกๆ อย่างนะ มันถึงจะเป็นอย่างนั้นได้ จะบอกว่าเราเชื่อสิ่งที่มีคือ มี ไสยศาสตร์ทุกอย่าง ไสยเวทนี่ มี แต่เรามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราถึงเห็นสิ่งนั้นเป็นของไร้ค่า ถ้าสิ่งนั้นเป็นของมีค่า พระเรานี่ หลวงตาจะบอกว่าพระเรานี่ไม่เป็นผู้นำสังคม พระไม่ทรงธรรม ทรงวินัย ใครจะทรง ถ้าพระไม่ทรงธรรม ทรงวินัย พวกเราถึงถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือธรรมะเป็นที่ตั้ง ไม่ถือสิ่งนั้นเป็นที่ตั้ง

ถ้าสิ่งนั้นเป็นที่ตั้งเห็นไหม เราพูดไม่ได้สบประมาทนะ มีลูกศิษย์มาหาเขาบอก เขาฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิม มาส่งเสริมเขาหมดเลย เราถามเขากลับนะ ถ้าเจ้าแม่กวนอิมมาหากูนี่ กูจะถามว่าเจ้าแม่กวนอิมอยากได้อะไร กูจะให้เจ้าแม่กวนอิม ไม่ใช่ให้เจ้าแม่กวนอิมมาให้ เขาฝันไงว่าเจ้าแม่กวนอิมนี่มาให้ลาภสักการะเขาเต็มเลย เขาก็มาถามเราไง เพราะเราไม่ต้องการให้เขาออกจากไตรสรณาคมน์ไง

เราจะบอกเลย ถ้าเราฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมนะ เราจะถามว่าเจ้าแม่กวนอิมอยากได้อะไร เราจะให้เจ้าแม่กวนอิม เพราะเราไม่ต้องการอะไรไง ถ้าเราต้องการ เราอยากได้จากเขา เราก็หวังพึ่งพาอาศัย ถ้าเราไม่ต้องการจากใครทั้งสิ้น เราพึ่งพาอาศัย อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราจะยืนใจของเราขึ้นมา เราจะเป็นเอกเทศขึ้นมา เราจะมีที่พึ่งของเรา แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่สุดแล้ว เรามีใจของเราเป็นธรรมแล้วนี่ เราเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้หมดเลย

เราถึงบอกว่าเรื่องอย่างนี้มันมีแต่เราไม่อาศัยว่าเป็นที่พึ่ง ถ้าเป็นที่พึ่งเห็นไหม นี่สายบุญสายกรรม เราจะเป็นสายบุญสายกรรม จะไปอยู่กับเขามีมุมมองที่เห็นดีเห็นงามไปกับเขา แต่ถ้าเราไม่มีมุมมองอย่างนั้น เราฟังเทศน์สิ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ของเรา มันซึ้งใจ มันกินใจนี่เพราะเรามีมุมมองอย่างนี้ เรามีสายบุญสายกรรมที่มันจะเปิดใจของเราได้

นี่ไงเวลาฟังเทศน์เห็นไหม ฟังไม่รู้เรื่องเลย โอ๊ย ฟังไม่เป็น ฟังไม่ได้ กรรมของสัตว์ล่ะ บอกว่ามีไหม มี แต่มีโดยสถานะที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ เรามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา ให้เขาปกป้องให้เขาดูแล ไม่ใช่ว่าเราจะเอาเขามาเป็นผู้นำของเรา

เราต่างหากเราจะบอกว่าพวกเรานี่มีโอกาสมากมีวาสนามาก เราอุทิศส่วนกุศลให้ใครๆ ก็ได้ เราทำประโยชน์ให้ใครๆ ก็ได้ พวกจิตวิญญาณเราทำได้หมดเลย แต่เขาไม่มีสิทธิ์นะ ถึงบางทีต้องมาหาญาติโกโหติกา เพื่อมาขอส่วนบุญ ต้องมาหานะ ทำให้รู้ทำให้เห็น ทำให้รับรู้ไง

พอพูดอย่างนี้ปั๊บนะ โยมอย่าคลอนแคลนนะ อย่าอ่อนไหวไปกับเขา เราเชื่อมั่นในรัตนตรัยแล้ว เรามั่นคงใครทำอะไรไม่ได้ ขนาดมั่นใจในพุทธะๆ นี่ของเอย พวกไสยศาสตร์เอย จะใส่เข้ามา ใส่เข้ามาเถอะ อยู่กับพุทธะนี่มันเข้ามาหาเราไม่ได้ โม้ซะหน่อยนึง มึงดูสนธิสิ โดนยิงขนาดนั้นนะ มีไหม แล้วทำไมมันทำไม่ได้

ถาม : ในพระไตรปิฎกคำว่าหมื่นโลกธาตุหมายความว่าอย่างไร กว้างขวางเพียงไรครับ?

หลวงพ่อ : หมื่นโลกธาตุกว้างขวางมาก แม้แต่จักรวาลของเรานี่ ฉะนั้นในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ดูอย่างพระโมคคัลลานะ หลงทิศสิ ไปจักรวาลอื่นนะ หมื่นโลกธาตุมันมีไปหมดนะ เพียงแต่ว่าวิทยาศาสตร์นี่พิสูจน์ได้มาก ได้น้อยแค่ไหน

มันมีพระด้วยกันนี่ละ เขาบอกว่าญาติเขาทำงานอยู่องค์การนาซ่า ความจริงนะ สมัยที่เราคุยกัน เราไปคุยกันอยู่ที่เชียงใหม่ ไปเจอพระที่เชียงใหม่ ๒๐ กว่าปีมาแล้วนะ เขาบอกว่าตอนนั้นนะ องค์การนาซ่าเห็นจักรวาลนี่ ๓-๔ จักรวาล องค์การนาซ่าเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับของเขานะ พูดอย่างนี้ปั๊บก็แบบเอาสีข้างเข้าถูไง มันไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล ไอ้นี่พูดเอาดีเข้าข้างตัวนี่หว่า ทีนี้เราเชื่อของเราเรื่องอย่างนี้ เรื่องหมื่นโลกธาตุอะไรนี่

คำว่าหมื่นโลกธาตุนี่ มันมี ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่ง โลกธาตุมันซ้อนกันก็ได้ คำว่าซ้อนกัน ก็โลกธาตุนี่แหละ อย่างที่ว่าพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ที่นี่เห็นไหม หมื่นโลกธาตุ ก็ธาตุนี่แหละ มันเกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วก็ได้ แต่ไอ้เรื่องจักรวาลนี่พระพุทธเจ้าบอกแล้วในพระไตรปิฎกว่าพระอาทิตย์ ๗ ดวงอะไรนี่

หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้า เรานี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี้พระพุทธเจ้าเหมือนกัน รู้เหมือนกัน แต่ความกว้างขวางอย่างนี้ มันอาจจะต่างกันบ้าง ถ้า ๑๖ อสงไขย ดูอย่างพระศรีอริยเมตไตรยเห็นไหมบอกคนจะตรัสรู้ง่ายๆ คนจะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ

แต่จะง่าย จะยากนะ มันก็อริยสัจ ๔ อันนี้แหละ คือเราไม่ทิ้งโอกาสในปัจจุบันนี้ของเราไปก่อน โอกาสปัจจุบันนี้เราทำได้มากมายขนาดไหนเราต้องทำ ถ้าไม่ทำนะใฝ่ต่ำมันดึงเราไปแน่ๆ เลยล่ะ เราต้องเอาธรรมใฝ่สูงของเราไว้ก่อน เกิดมาชาติหนึ่งแล้วถ้าทำใฝ่สูงไว้แล้วนี่ ถ้าทำใฝ่สูงทำของเราจนเราอิ่มตัวของเรา

พระพาหิยะไง ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย เป็นเพราะเหตุที่เราทำไว้นี่แหละ เป็นเพราะเหตุที่เราทำไว้นี่! ถ้าไม่ได้ทำไว้ที่นี่นะ ฟังยังไงนะพระพุทธเจ้าเทศน์ ก็มีนะตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ไปเดินผ่านมานพคนหนึ่ง เดินสวนกัน เขาถามพระพุทธเจ้าว่าบวชมาจากใคร พระพุทธเจ้าบอกเราตรัสรู้ด้วยตนเอง มันสั่นหัวไปเลยเห็นไหม เดินสวนกับพระพุทธเจ้าเลยนะ มันปฏิเสธมันไม่เอา มันไปเลย

ถ้าเราไปเจออย่างนั้นนะ เพราะอะไรเพราะเราไม่ได้ฝึก ไม่ได้ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเราฝึก เราทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้ พอเจออย่างนั้นปั๊บหูตานี่ตาพองเลยนะ เหมือนอนาถะเห็นไหมฟังคำว่า “พุทธะ” นี่นอนไม่หลับเลย มันสะเทือนหัวใจตึ้ง! เลย นอนไม่ได้เลยนะ คือ พุทธะเกิดแล้ว “พระพุทธเจ้าเกิดแล้วเหรอ”

เห็นญาติตัวเองจะเลี้ยงพระไง

“ไปทำอะไรกันนี่” นึกว่ามีงาน

“ไม่มี นิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันพรุ่งนี้”

“ฮ้า! พระพุทธเจ้าเกิดแล้วเหรอ”

ไม่นอน นอนไม่หลับเลยนะ นี่บุญกุศลที่สร้างไว้เห็นไหมนอนไม่ได้เลยนะจะกราบพระพุทธเจ้าให้ได้จะไปอีกเดี๋ยวนั้นเลย ญาติบอกไปไม่ได้มันค่ำอยู่ มันกลางคืนจะเข้าไปได้อย่างไร ยังไงต้องรอเช้าก่อน ก็นั่งรอจนเช้าเลย นอนไม่หลับเลย นี่บุญกุศลเห็นไหมมันสะเทือนใจเอง

ดูในปัจจุบันที่เขาสะเทือนใจกันนะ หมื่นโลกธาตุ คำว่าหมื่นโลกธาตุ ตอบแบบไม่ได้ตอบ คำว่าไม่ได้ตอบ เพราะว่าหมื่นโลกธาตุ ก็ต้องจับหมื่นโลกธาตุมาเรียงให้ดูสิ เป็นไงตอบไม่ได้ตอบอย่างนี้ไม่มี เราทำไม่ได้ ถ้าบอกหมื่นโลกธาตุมี ก็ลองเรียงสิ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ถึงหมื่นเลยนี่ มันจะกว้างแคบขนาดไหน คำว่ากว้างแคบขนาดไหนเหมือนกับคนหยาบละเอียด ถ้าคนละเอียดจะมองทุกอย่างได้รอบครอบ คนหยาบจะมองของนั้นได้หยาบ คือมองไม่ละเอียด

นี่เหมือนกันถ้าจิตใจของคน ถ้ามันดีขึ้นมา อธิบายมันจะเข้าใจได้หมดเลย เรื่องหมื่นโลกธาตุ ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าพูดอะไรไว้นี่ บางอย่างนะท่านพูดไว้เป็นอุปมาอุปไมบางอย่างท่านพูดเป็นวิทยาศาสตร์ เราฟังนะถ้าจิตเราสูงจิตเรารับรู้ได้เราต้องแยกแยะ บางอย่างพูดเป็นอุปมาอุปไมย เพื่อจะให้เราย้อนกลับมาดูใจเรา มันเป็นธรรมไง มันจะแทงกลับให้เราย้อนกลับมา

ถาม : ๑. เวลาเอาสติตามความคิดทีไร มันก็หยุดคิด แต่ถ้าปรุงแต่งให้มันคิด เพื่อจะเอาสติตามความคิดต่อไป ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ครับ?

หลวงพ่อ : ถูกต้องนะ เวลาเอาสติตามความคิดทีไร มันก็หยุด ถ้าปรุงแต่งให้มันคิดนะ มันก็หยุด ถ้ามันหยุดใช่ไหม เราใช้สติตามความคิดไป พอมันหยุด เราก็หยุดก่อน หลวงตาใช้คำนี้นะหลวงตาใช้คำว่าถ้าจิตเราลงสมาธิแล้วนี่ อย่าไปดึงมันขึ้น อย่าไปกระตุก อย่าไปให้อยากออก ให้มันค่อยๆ ออกมา

ถ้าจิตเราลงสมาธิแล้วใช่ไหม แล้วเราไม่เข้าใจ แล้วเราไปดึงมันขึ้นมานี่ต่อไปเราจะลงได้ยาก นี่หลวงตาท่านพูดอย่างนั้นนะ ถ้าว่าจิตลงสมาธิแล้ว เราต้องอยู่กับสมาธิแล้วมันจะคลายตัวออกมา สมาธินี่มันก็เหมือนกับอากาศเห็นไหม ความร้อนนะมันจะขยายตัวออกมา ความร้อนมันจะหดตัวลง เพราะว่า อากาศมันเปลี่ยนแปลงมันจะหดตัวลง

ความรู้สึกเราเวลาลงสมาธินี่ มันจะหดตัวเข้าไป เวลามันเข้าออกคืออย่างนี้ ไม่ใช่เข้า-ออก คือก้าวเข้า-ออกไม่ใช่ พลังงานมันหดตัวเข้ามาๆ เวลาหลวงตาท่านบอกท่านนั่งตลอดรุ่งใช่ไหม พอจะลุกนี่ท่านลุกไม่ได้เพราะร่างกายบางที มันชาหมดใช่ไหม ร่างกายนี่มันตายหมด ต้องดึงขาออกไปก่อนให้เลือดลมมันเดินก่อนถึงจะลุกได้ ไม่อย่างนั้นล้มเลย นี่ไงจิตเวลามันเข้า-ออก มันเข้า-ออกอย่างนี้

ฉะนั้นเวลาเอาสติตามความคิดไป มันก็หยุดคิด พอหยุดคิดนี่เราอยู่กับมันก่อนก็ได้ แล้วถ้าอยู่แล้วนี่มันไม่มีอะไรเกาะ ยึดพุทโธ ก็ได้ พุทโธๆๆ แต่พุทโธมันก็คือความคิดแล้ว แต่ถ้าพุทโธนี่เราให้มันเกาะไว้ก่อนคือคำบริกรรมไง เราพุทโธก็ได้ แล้วถ้าเราปรุงแต่งเพื่อให้มันคิดเพราะถ้าเราปรุงแต่ง กิเลสเป็นเราทุกอย่างเป็นเรานี่ เราจะแยกอะไรไม่ได้

พอเราใช้สติตามความคิดไป ความคิดมันหยุดถ้าโดยธรรมชาติของมัน มันจะคิดของมันหยุดแป็บเดียวคิดอีกแล้ว คิดก็ตามมันไป คิดมันไป แต่บางทีนี่มันเล่นแง่ เล่นงอนกัน ลิเลสนี่นะถ้าเราตั้งใจทำอย่างนี้ มันจะบิดเบือนไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราตั้งใจทำอย่างหนึ่งมันก็บิดเบือนไปอีกอย่างหนึ่ง กิเลสนี่มันร้ายนัก มันจะบิดเบือนทำให้การกระทำของเราล้มเหลวตลอดเวลา

พอเราพูดอย่างนี้ปั๊บนะ พอเราบอกจะหยุดคิดนะ หยุดคิดคืออยู่กับความคิดก่อน คือเราจะบอกว่าความหยุดคิดนี่มันเป็นสมาธิอันหนึ่ง ถ้ามันหยุดแล้วนี่เราหยุดอยู่กับมันเพื่อสร้างกำลัง ทีนี้ถ้าเราปรุงแต่งเห็นไหม คำว่าปรุงแต่งนี่คือเราไปกระตุ้น เพื่อคิด เพื่อจะเอาสติ พอเราจะไปกระตุ้นก็เหมือนเราทำงาน ลองบอกสิว่า ถ้าลุกไปแล้วต้องไปเดินจงกรมนะ ทุกคนไม่ลุก ยังไม่อยากไป อยากนั่งอยู่นี่ แต่บอกให้มันไปอย่างอื่นมันจะไปเลย

นี่ก็เหมือนกันเวลาเราไปกระตุ้นนี่มันก็ไม่ทำ มันก็บอกมันไม่มีไง หยุดไง พอมันหยุดนะ จะเอาความหยุดนะมันก็จะคิดแล้ว กิเลสมันร้ายอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าเราเอาสติตามไปถ้ามันหยุดคิด หยุดคือหยุดอยู่กับมัน ถ้ามันคิดไล่มันไป ทีนี้พอเราไปปรุงแต่งเพื่อจะเอาสติใช่ไหม สตินี่มันทันอยู่แล้ว แล้วเราก็ตามมันไป นี่การทำอย่างนี้ คือว่าปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันทันต้องหยุดหมด

ถ้ายังมีความคิดอยู่นี่บอกว่าเป็นสภาวธรรมๆ โกหกแล้วนะ พอโกหกอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ว่าโกหกคือเขาไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเขาหยุดความคิดไม่ได้ พอมันไหลไปนี่เขาคิดว่าเขาทำของเขาแล้ว แล้วมันก็จะด้านชา หลวงตาพูดอย่างนี้นะ “ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก แต่ใจมันด้าน”

การปฏิบัติของเรานี่ เราไปย้ำคิด ย้ำทำ เราไม่ได้ต่อสู้กับมันนะ มันจะด้าน พอมันด้านแล้วนะเราสู้มันไม่ไหว สิ่งนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องทีเดียว การกระทำของเรา กลายเป็นสิ่งที่เราหาขึ้นมา กลายเป็นของทุกข์ของยากเลย ไอ้ความชินชาหน้าด้านในใจมันเลยเป็นของปกติไง ฉะนั้นเราเอาสติตามมันไป ถ้ามันหยุดเราอยู่กับพุทโธ แล้วถ้ามันคิดเราไล่มันไป เอาหลักให้ได้ก่อนๆ

ถาม : การทำอย่างนี้ถูกต้องไหม?

หลวงพ่อ : ถูกต้อง หยุด สิ่งที่เขาบอกว่าเขาดูจิตจนจิตหยุด หลวงปู่ดูลย์บอกว่าจิตดูจิต จนจิตเห็นอาการของจิต ทำไมเรา จิตคือรูป ความคิดเป็นนาม พอมันหยุดขึ้นมา มันหยุดมาที่รูป รูปอยู่เฉยๆ ได้ไหม รูปมันต้องแสดงอาการของนาม อาการแสดงความคิด แล้วถ้าจิตมันหยุดแล้ว ตรงนี้สำคัญกว่า

ถ้ามันหยุดแล้วนะ สติหยุด แล้วสังเกตว่า มันคิดอย่างไร ทำไมถึงคิด ถ้าจับตรงนี้ได้นะ ลาภมากเลย ถ้าจับตรงนี้ได้จะบอกว่า จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิตปัญญามันเกิดมันไล่ไปนะ วิปัสสนาเกิดแล้ว วิปัสสนาจะเกิดตรงนี้ วิปัสสนาจะเกิดต่อเมื่อรูปมันหยุด รูปตั้งมั่น โดยธรรมชาตินะเพราะมีรูป มีความคิดถึงมีนาม รูปนามก็หมุนไป นี่คือธรรมชาติของมัน แต่ในการกระทำของเรานี่ ถ้ารูปมันตั้ง แล้วมันจะเกิดนาม เราจับได้ไง

นี่ภาษาหลวงตาประสาเราว่า จิตเสวยอารมณ์ รูปเสวยนาม เพราะมีรูปมันมีนาม มันถึงเสวยเป็นอารมณ์ออกไป วัฏฏะมันเกิด แต่ถ้ารูปมันตั้งมั่น แล้วเห็นความคิดเห็นนาม พอมันจับนามได้ เพราะมีรูป มันถึงมีนาม ตรงนี้ที่เราค้านว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมดาเพราะตรงนี้ไง ตรงที่เขาไม่เห็นตรงรูป ตรงที่เขาไม่เห็นถึงต้นความคิดไง

ตรงที่เขาไม่เห็นถึงอวิชชา ตรงที่เขาไม่รู้จักอวิชชาเกิดดับตรงไหน ตรงที่เขาไม่รู้ว่าเหตุผลเกิดอย่างไร ทุกข์ กิเลส ตัณหา ทะยานอยากเกิดจากที่ไหน ดับที่ไหน ธรรมะเกิดที่ไหนดับที่ไหน ธรรมะเกิดที่ไหนดับที่นั่น

พอดับที่นั่น ธรรมะตั้งอยู่บนอะไร เขาไม่มี เขาไม่รู้ เขาไม่เห็นกันอยู่นี่ไง ที่เราบอกธรรมดาเราไม่รับ แต่ถ้าเป็นความจริงมันเห็นของมันหมด มันจับต้องของมันได้ มันใคร่ครวญของมัน มันทำลายของมัน คนจับคนอื่นมาแล้วทำลายหมด แล้วตัวเองเป็นผู้ที่ควบคุมทำลายเขา ยมบาลไง มันควบคุมไอ้พวกสัตว์นรกไง

นี่เหมือนกัน ถ้าธรรมะมันควบคุมกิเลสได้หมดไง ถ้าธรรมะมันควบคุมกิเลสได้หมดทำลายกิเลสได้หมด มันเหลืออะไรๆ มันถึงเหนือธรรมชาติ เพราะมีรูปถึงมีนามเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็เคลื่อนไหวกันอยู่อย่างนี้ กุปธรรม อกุปธรรม แน่นอน มันทำอยู่ แต่มันทำไม่เป็น มันทำไม่ได้

ฉะนั้นถึงบอกว่า นี่มันหยุดคิด เราจะพูดอย่างนี้นะ เวลาเอาสติตามความคิดทีไร มันก็หยุดคิด ถ้าหยุดปั๊บนี่เราก็พุทโธเลย พุทโธๆๆ ถ้ามันคิดก็ตามมันไป ถ้ามันหยุดก็พุทโธไว้ คือว่าถ้ามันหยุดคิดเราก็หยุดอยู่กับมัน หยุดเพื่อให้ความหยุดนี้มากขึ้น ดีขึ้น มั่นคงขึ้น

ถ้าการหยุดบ่อยๆ นี่เท่ากับเติมพลังงานให้จิตนะ หยุดเห็นไหม คิดดูสิ เราเปิดน้ำนี่ น้ำมันก็ไหลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหยุด คือปิดน้ำ จำนวนน้ำที่ไม่ไหลออกไปจะเป็นประโยชน์กับเราไหม หยุดคือไม่คิด ความคิดนี่รูป มันถึงมีนาม มีนามคือมันเปิดน้ำไหลออกไป

ถ้าเราหยุดหมดเราปิดหมดนี่ น้ำไม่ไหลออกไป จำนวนน้ำนั้นจะเพิ่มขึ้นไหม จำนวนของการหยุดคิด หยุดนั่นคือสมาธิ คือจิตที่มันจะมีกำลังขึ้นมา คือจำนวนน้ำจะมากขึ้น เพราะมันไม่ได้ไหลออกไป แต่ถ้ามันไหลออกไป พอหยุดปั๊บมันก็คิดอีก เพราะเราปิดไม่ได้ ปิดไม่อยู่ ไหลออกไป ตามมันไปสติตามความคิดไป มันก็หยุดอีก ตามความคิดไป มันก็หยุดอีก หยุดอีก มันจะหยุดอย่างนั้น

พอหยุดอย่างนั้นนี่ มันเพิ่มจำนวนรูปนี่ให้เข้มแข็ง พอเข้มแข็งขึ้นไป เราหมั่นสังเกตหมั่นดูของเรานะ มีรูปมีกำลังขึ้น พอน้ำมันจะไหลจับให้ได้ พอจับได้ อ้อ ไอ้น้ำที่มันไหล มันไหลอย่างนี้เอง พอจับได้นะเริ่มวิปัสสนาเลย

วิปัสสนามันจะเป็นปัญญาอีกอย่างหนึ่งเพราะอะไร เพราะจำนวนน้ำ เพราะเราไม่ปล่อยให้น้ำไหลออกไป มันมีจำนวนมากขึ้นมันก็มีกำลังมากขึ้น พอมีกำลังมากขึ้น คนเราไง กินอิ่มๆ นะ นอนสบาย ความคิดนี่แล่นน่าดู เวลามันหิวๆ นี่คิดอะไรก็ไม่ออก จะกินอย่างเดียวไง

จิตมันอิ่มนะ เพราะมันมีน้ำเยอะ ความคิดมันจะเป็นคนละความคิดกับที่เขาคิดกันเลย ปัญญาอบรมสมาธิเป็นอย่างหนึ่ง เป็นโลกียปัญญา ปัญญาการฆ่ากิเลสอย่างหนึ่งเป็นโลกุตตรปัญญา เพราะคนอิ่มหนำสำราญแล้วทำ กับคนหิวโหยแล้วทำต่างกัน! ต่างกัน! คนอิ่มหนำสำราญ คนมีความสุขแล้วทำหน้าที่การงาน นี้สุดยอด คนหิวคนกระหายมันจะทุกข์ มันจะตายอยู่แล้วนี่ จะลากฉันไปทำงานที่ไหนอีกเห็นไหม

ถ้ามันหยุดนะถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าขั้นตอน เหมือนนักมวย นักมวยเรายังเป็นโนเนมอยู่ เราขึ้นไปนี่ปิดก็ไม่เป็น หลบก็ไม่เป็น ลงมาได้แผลทุกทีเลย แต่ถ้าขึ้นไปถ้าชำนาญนะ ชนะมาด้วยร่างกายไม่บอบช้ำเลย นี่การกระทำเห็นไหม เราไปต่อสู้กับกิเลส เราเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเราไม่ทันมันนะ เจ็บช้ำออกมาทุกที

ปฏิบัติแล้วก็ไม่ได้ นั่งก็คอตก ทุกข์ยากไปหมดเลยเห็นไหม นักมวยไง เข้าไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้คือกิเลสในตัวเราเอง แล้วก็ผิดพลาดให้มันชกมาหน้าแตกทุกทีเลย เราก็สู้กับมัน ฝึกกับมันเราเป็นโค้ชนะนี่ เราต้องคอยบอกว่า ให้ยกหมัดสูงๆ ยกขึ้นไว้มันชกมาก็โดนแขน ไม่โดนเราหรอก ตั้งสติไว้ มันแยปมามันก็โดนสติเรา ยับยั้งไว้ ต่อสู้ไว้มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ นะ นี่ถูกหรือไม่ ถูก เพราะมันเห็นผลนะ แล้วจะทำให้มันดีขึ้นๆ ต้องทำนะ ถ้าทำแล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา

ถาม : หากต้องการขอขมาต่อครูบาอาจารย์ ถ้าเราได้กระทำผิดด้วยวจีกรรม หรือมโนกรรมควรทำอย่างไรคะ สามารถตั้งจิตขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปได้หรือไม่คะ?

หลวงพ่อ : ได้ๆ เมื่อวานนี้มันก็มีคนมาถามนี่เขาไปหาหลวงตา เขาจะไปขอขมาหลวงตาแต่เขานึกเอาเองแล้วขอขมาหลวงตาแล้วกลับเลย เราบอกก็ได้ แต่ถ้าตอนนี้หลวงตายังมีชีวิตอยู่ ให้เขียนหนังสือตัวโตๆ แล้วอ่านเลยว่าเมื่อก่อนผมหลงผิดไป ผมคิดว่ายังไง แล้วเดี๋ยวนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ผมมาขอขมาหลวงตา อ่านให้หลวงตาฟังเลย

เพราะถ้าท่านบอก “เออ เรายกโทษให้ตั้งแต่ยังไม่ขอนะ” มันก็ทำให้เราสบายใจ เพราะเราเคยมีมโนกรรมที่ไม่ดีต่อท่าน แล้วท่านยังมีชีวิตอยู่นี่ มันมีโอกาสให้เราได้กระทำตอนนี้ ถ้าท่านล่วงไปแล้วหรืออะไรไปแล้ว เราไม่มีโอกาส เราก็ขอขมากับพระพุทธรูปถูกต้อง เราทำได้หมดนะ แต่ถ้าเราทำของเราได้ต่อหน้านี่มันเหมือนเอาภูเขาออกจากอก มันชัดเจน แหม เราเคยคิดไม่ดี แล้วเราทำถูก มันเหมือนดึงภูเขาออกจากอกเลย

เราจะบอกว่าโอกาสที่เราจะทำได้ที่ไหนควรทำ รีบทำ กาลเวลามันหมุนไปตลอดเวลานะ เพราะของอย่างนี้มันหักห้ามกันไม่ได้ อย่างเช่นหลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำเห็นไหม เวลาท่านเผาศพแล้วนี่ ท่านกลับไปถึง ดอยธรรมเจดีย์แล้ว จนท่านไปโลกธาตุหวั่นไหว ท่านกลับมาขอขมารูปหลวงปู่มั่นเลย แล้วมาขอพระธาตุไปเลย ขนาดนี้มันยังมีความคิดในใจ

ความคิดในใจเรานี่ มันจะห้ามได้ยากมาก แล้วมันเป็นเรื่องสายบุญ สายกรรม ลูกทุกคนเลย ส่วนมากจะบอกว่าพ่อแม่นี่ลำเอียง เพราะลูกมันคิดปรารถนาอย่างหนึ่ง พ่อแม่นี่รักลูกเหมือนกันทั้งนั้นนะ แต่พ่อแม่จะดูว่าลูกคนไหนเข้มแข็ง ลูกคนไหนเอาตัวรอดได้ ก็จะดูแลน้อยหน่อย ลูกคนไหนอ่อนแอ ลูกคนไหนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ก็จะทุ่มให้คนนั้นมาก

การทุ่มให้อย่างนี้ เพราะการทุ่มในมุมมองของพ่อแม่ว่า อะไรควรช่วยเหลือ แต่ลูกนี่จะบอกไว้เลยว่าพ่อแม่นี่ไม่รักๆ ปิดห้ามใจอย่างนี้ไม่ได้ การเกิดมโนกรรม การเกิดวจีกรรม อย่างนี้ ห้ามได้ยาก ทีนี้ห้ามได้ยากมีโอกาสที่ไหนขอขมาที่นั่น เพราะมีพระมาหาเยอะมากบอกว่าตั้งพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วก็โจมตีคือคิดอกุศล ตั้งครูบาอาจารย์ของเราหลายองค์

อย่างลูกศิษย์หลวงปู่เจี๊ยะนี่ อยู่ด้วยกันเขาบอกเลยนะ เขาเคารพหลวงปู่เจี๊ยะ แต่เวลามันคิดถึงหลวงปู่เจี๊ยะขึ้นมา แล้วก็ด่าๆๆๆ มาหาเรานี่ เราบอกเลยว่าขอขมาซะ แล้วเขาพูดกับเรานะ หลวงพ่อผมก็เคารพนะ ผมก็รักของผม ทำไมใจมันเป็นอย่างนี้ๆ ห้ามใจห้ามยังไงกัน ฉะนั้นการขอขมานี่ เพราะเรื่องอย่างนี้เราเจอบ่อย เราพาทำขอขมาๆ เพราะเราเห็นโทษของมันตรงนี้ไง เราเห็นโทษของใจเราว่ามันคุมได้ยาก เราถึงพาทำบ้าง

แต่ต่อไปจะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเพราะอะไรรู้ไหม เพราะทำไป ทำมามันเลยกลายเป็นพิธีไง กลายเป็นพิธีทำ แต่ใจมันคิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้ามันรู้ด้วยคิดด้วย มันก็จะเป็นประโยชน์นะ

ถาม : นมัสการเจ้าค่ะ หนูอยากจะกราบเรียนถามว่า ในขณะที่เดินจงกรมเราสามารถพิจารณาธาตุ ๔ หรือพิจารณาร่างกาย เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ได้หรือไม่คะ? เพราะการที่เดินจงกรมจิตจะฟุ้งซ่าน พุทโธก็เอาไม่อยู่ แต่พอพิจารณาร่างกายแล้ว ก็สามารถระงับความคิดนี้ได้ดีกว่า

หลวงพ่อ : ถ้าดีกว่า คำถามมันก็ตอบแล้วไง ดีกว่ามันก็คือที่ได้ไง เพราะคำว่าพุทโธๆ นี่ พุทธานุสติการพิจารณาความตายนี่เขาเรียก มรณานุสติ มันเป็นกรรมฐานห้องหนึ่งนะ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนะ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติเห็นไหม นี่กรรมฐานนี่ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็เรื่องของร่างกายนี่ เราจะคิดให้เป็นมรณานุสติก็ได้

ได้! ได้หมดเลย คำว่าได้แล้วนะ เพราะอะไร เพราะคำว่า การพิจารณาธาตุ ๔ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ ถ้าพุทโธๆๆ นี่ โดยธรรมชาติที่เรายกเมื่อกี้นี้ พุทโธนี่มันเป็นพุทธานุสติ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า มันเป็นความคิดที่สะอาด ทีนี้ความคิดที่สะอาดแต่กิเลสเรานี่น้ำมันล้นบ่า พอน้ำล้นบ่าอย่างไรเราเอาไม่อยู่ เราก็ต้องมีวิธีการหลายหลากออกไปอีก การพิจารณา เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันเป็นความคิดที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น ที่สามารถจะปิดกั้น ตัณหาน้ำล้นฝั่งนี้ได้ มันก็ถูกต้องใช้ได้นะ

ถ้าอย่างนี้มันเป็นอุบาย ถ้าเราคิดขึ้นมาได้เองนะ มันเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากับเราเอง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการที่เราขุดค้น ถูกต้อง ได้หมด ได้! ได้! เพราะในการประพฤติปฏิบัติของเราทุกๆ อย่างต้องการความสงบของใจ เราต้องการให้จิตสงบต้องการตั้งหลัก ถ้าผลมันตอบสนองว่ามีผลขึ้นมา ถูกต้องทั้งนั้น

มีผลขึ้นมาต้องมีผลเป็นสติ สัมมาสติ ต้องมีผลขึ้นมาโดยสัมมาสมาธิ คำว่ามีผลทางนั้นๆ เขาบอกปฏิบัติเขาก็ได้ผลไง ได้ผลที่เป็นมิจฉาสติ คือเผลอเลอเลย เออ ธรรมชาติเว้ย ธรรมดาเลย มันพอใจของมันใช่ไหม โธ่ คนกินเหล้านี่นะ มันกินเหล้าเมา มันว่ามันปฏิบัติธรรมนะ เอ๊ย ชนแก้วเว้ย เอ๊ย ธรรมะเว้ย มันทำเมานะ เขาก็พอใจของเขา

ถ้าเขาวัดผลของเขาล่ะ เราจะบอกผลต้องเป็นสัมมา สติต้องเป็นสัมมา ไม่ใช่ว่าผลทุกคนก็พูดว่าผลได้ เพราะทุกคนพอใจก็คือผลใช่ไหม ทุกคนมีความสุข ทุกคนมีความพอใจก็ว่าผลของผมนะ ทำไม แต่นี้ผลนั้นมันเป็นสัมมาหรือมิจฉา ฉะนั้น ถ้าบอกว่า เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่มันเป็นคำบริกรรม หลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดบ่อย เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา

เป็นสมถะคือเป็นคำบริกรรม หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกเลย เราฟังเทศน์นะ กำหนดในข้อกระดูก ถ้าเอาจิตตามข้อกระดูกไปนี่ ถ้ามันตามได้เป็นชั่วโมงๆ มันอยู่ในชั่วโมงนี่แสดงว่าจิตมันนิ่ง อันนี้เป็นสมถะนะยังไม่เป็นวิปัสสนา ถ้าจิตมันอยู่ในข้อเราได้เป็นชั่วโมงๆ มันอยู่ของมันได้ มันไม่แวบออก มันไม่คิดเรื่องอื่น นี่มันตั้งมั่น

พอมันตั้งมั่นเราก็เดินไปเรื่อยๆ พอเดินไปเรื่อย จิตมันเดินถึงข้อกระดูก ถ้าจิตมันเป็นสมาธิแล้ว จิตมันเป็นสมถะแล้ว มันเดินถึงข้อกระดูก มันจะขยายข้อกระดูก ข้อกระดูกแต่ละข้อมันจะขยาย เขาเรียกวิภาคะ อุคหนิมิต วิภาคนิมิต ถ้าไม่มีสมาธินะ มันขยายส่วนไม่ได้ ทุกคนนึกถึงข้อกระดูกเป็น ทุกคนนึกถึงกระดูกได้ ทุกคนนึกได้หมด ยิ่งเอาโครงกระดูกมาแขวน เรากำหนดได้เลย แต่เพราะไม่มีสมาธิมันก็นึกได้หมด

แต่ถ้ามีสมาธินะ กระดูกนั้นมันขยายส่วนได้ ถ้าขยายส่วนได้ บอกนั่นผีหลอกแล้วนะ โอ๊ย ผีหลอกๆ ไม่ใช่ สัจธรรมมันแสดงตัว สัจธรรมเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะมีสัมมาสมาธิ เพราะมีสัมมาสติ เพราะมีสัมมากัมมันโต งานมันชอบ เพราะมีสัมมาวายาโม เลี้ยงชีพ เลี้ยงจิตชอบ ถ้าเลี้ยงจิตชอบ มรรคมันก้าวเดิน

พอมรรคมันก้าวเดินอาหารของมรรคนะ มรรคมันเห็นของมัน นี่ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจนี่เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา เป็นสมถะคือทำจิตให้สงบ เป็นวิปัสสนาคือจิตมันออกรู้ออกค้นหาเพื่อทำลายทิฐิมานะ ทำลายสักกายทิฏฐิความเห็นผิดของจิต ออกค้น ออกรีไซเคิลน้ำ ทำให้มันสะอาด ทำให้มันดีขึ้น วิปัสสนาเกิด

ฉะนั้นถึงบอกว่า ได้ จะชมหน่อยหนึ่งว่าเก่ง คือว่าหาอุบายให้ตัวเองได้ไง เออ มันยังหาอุบายให้มันได้นะ เปลี่ยนจากพุทโธ มาเป็น เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เปลี่ยนได้ทำได้ ถูกต้อง อุบายนะ หลวงพ่ออันนี้กินได้ไหมๆ มึงอดตายแน่ๆ เลย มึงเปิดหม้อกินได้ไหม ถ้ากินแล้วไม่ตายมึงกินได้เลย

นี่เหมือนกันเวลาอยู่ทางจงกรมไง นั่งสมาธิไง กินได้ไหม หมายถึงอุบาย เราหาอะไรเลี้ยงจิตล่ะ เราต้องเลี้ยงจิตเราได้ เราต้องดูแลมันเป็น เราถึงปฏิบัติกับมันได้ ฉะนั้นสิ่งใดที่เกิดขึ้นถูกต้อง ถ้าจิตมันเป็นสัมมา จิตมันทำแล้วมันอยู่ในอำนาจของเรา สติสมาธิของเราควบคุมจิตของเรา เขาบอกดูจิต ดูใจ ไปที่ไหนพระกรรมฐานก็สอนดูจิตทั้งนั้นแหละ

คำว่าดูจิต ดูใจ คือดูบริหารจัดการ เราเลี้ยงมัน กล่อมเกลี้ยงมัน ดูแลมันไม่ใช่ดูแบบไม่รับผิดชอบ การดูจิตดูใจของหลวงปู่เจี๊ยะ การดูจิตดูใจของหลวงตา ที่ท่านพูดว่า “ดูใจนะ รักษาใจนะ รักษาให้ดีนะ หัวใจตัวเองต้องรักษานะ”

การดูจิตดูใจคือการดูจิตดูใจ แบบบริหารจัดการแบบดูของเรา ไม่ใช่การดูแบบไม่รับผิดชอบ ดูแบบให้แล้วแต่มันจะเป็นไป มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ฉะนั้นเราต้องหาอยู่หากิน อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องประพฤติปฏิบัติ ตนต้องค้นคว้า ตนต้องได้ประโยชน์ขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง..