เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ประเพณีนะ เราเป็นชาวพุทธ เวลาชาวพุทธดูศาสนาอื่นนะ เขามีข้อบังคับของเขา แต่ศาสนาพุทธนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านจะวางธรรมไว้กว้างขวางมาก กว้างขวางมากคือว่าให้เป็นตามความเห็นของแต่ละดวงจิตไง ศาสนาพุทธเลยเป็นศาสนาที่มีอิสรภาพมากนะ

เราเป็นชาวพุทธ เราไม่เข้าใจในศาสนาอื่น ถ้าเราเป็นศาสนิกของเขา เขาจะหักเงินเดือนของเรานะ เขาจะหักทุกอย่างเข้าไปบำรุงศาสนาของเขา ถึงวันเวลาเขาต้องไปวัด เขาบังคับ แต่ศาสนาพุทธนี้ไม่บังคับเลยนะ ศาสนาพุทธนี้ให้เป็นเจตนา ให้คนเห็นคุณเห็นโทษแล้วพยายามประพฤติปฏิบัติไง ให้เห็นคุณเห็นโทษ เห็นไหม

แต่นี้เราเป็นศาสนิกกัน เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้านไง มีนะ มีพวกลูกศิษย์เขาไปเมืองนอก เขาไปศึกษาเมืองนอก เวลาทางยุโรปเขาถามว่า “ศาสนาพุทธนี้สอนอะไร” เพราะทางเมืองนอกทางวัตถุเขาเจริญมากนะ แล้วเขาก็ว่าทางตะวันออกเวลาไปหาเขา เรื่องทางตะวันออกเรื่องศีลธรรมจริยธรรมดีมาก จะถามว่า “พระพุทธเจ้าสอนอะไร” ตอบเขาไม่ได้ พอตอบเขาไม่ได้ก็ต้องไปลงหน่วยกิจ ไปดูพระไตรปิฎกในภาษาอังกฤษ เพื่อจะไปตอบเขาไง เพราะเขาแสวงหา เขามีวัตถุมาก แต่เขาก็หาความสุขไม่ได้ หาความสุขไม่ได้เพราะสิ่งใดพอเติมเข้าไป ความต้องการมันก็ต้องการมากขึ้นไป มากขึ้นไป ไม่มีวันจบสิ้นไง เขาก็เหนื่อยมาก

แต่ของเราชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจนะ ใจนี้สำคัญมากเลย แต่เราอยู่ในโลกไง โลกนี้ต้องเจริญ โลกนี้ต้องใช้วิชาการ เราถึงต้องมาเรียนหนังสือกัน เราต้องหาหลักวิชาของเราเพื่อเป็นวิชาชีพของเรา นี้วิชาชีพ คนเก่ง เราเรียนเก่ง เราทำอะไรประสบความสำเร็จ เราเป็นคนเก่ง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการคนดี คนเก่งด้วย แล้วคนดีด้วย คนดีคือศีลธรรมจริยธรรมไง ศีลธรรมจริยธรรมคือความดี ความถูกต้อง ความเก่งนี้เป็นส่วนหนึ่งนะ แต่ความดีเป็นอีกส่วนหนึ่ง

นี่ไง ศาสนาพุทธสอนตรงนี้ไง คนดีดูตรงไหนล่ะ ดูตรงการแสดงออกของใจ ถ้าจิตใจแสดงออก จิตใจเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่เห็นไหม ดูเพลงเขาร้องกัน “เป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยต้องมีน้ำใจ” เห็นไหม คนไทยเรามีน้ำใจ ยิ้มสยามไง ทางยุโรปเขายิ้มกันมันเป็นสิ่งที่ว่าสังคมเฉยๆ แต่ในทางตะวันออกเราเวลายิ้มขึ้นมา มันยิ้มออกมาจากความสุขไง ยิ้มออกมาจากใจ ความยิ้มออกมาจากใจ ยิ้มออกมีวิญญาณไง มีความรู้สึก เห็นไหม ศาสนาพุทธสอนอย่างนั้นไง

ที่เรามาถวายเทียนพรรษากันนี่ก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เวลาเราอยากมีความสุข เราอยากมีความสุข เราจะทำบุญอย่างไรถึงจะมีความสุข แล้วเราก็ว่ากันนะ มีคนถามมากว่าทำบุญในศาสนาพุทธมีบุญมาก มีบุญมาก ทำไมคนชาวพุทธเราไม่เป็นเศรษฐีโลกล่ะ เศรษฐีโลกทำไมเป็นศาสนาอื่นทั้งนั้นเลย ทำไมเศรษฐีโลกไม่เป็นชาวพุทธเราเพราะชาวพุทธเราทำบุญมาก

นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญ ทำบุญเพื่อจะมีความสุข บุญเพื่ออะไร อย่างเช่น ถวายเทียนนี่ เห็นไหม เช้าขึ้นมาเราตักบาตร เราตักบาตรดำรงชีวิตของพระภิกษุ พระภิกษุนี่สละไง สละทางโลกออกหมด เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งนะ เช้าก็ออกบิณฑบาต แล้วแต่คฤหัสถ์เขาจะใส่บาตร เลี้ยงชีพด้วยอย่างนั้น เลี้ยงชีพด้วยอย่างนั้นเพื่ออะไรล่ะ เพื่อมาค้นคว้าความสุขไง

เห็นไหม คนดีกับคนเก่ง ค้นคว้าความดีในใจ ความดีในใจอยู่ที่ไหน ค้นคว้าเข้ามาภายใน เพื่อเอาอันนี้ เห็นไหม เอาอันนี้มาสั่งสอนไง เอาอันนี้มาบอกว่าความดีอย่างนี้มันมีอยู่ ไม่ใช่ความดีอย่างทางโลกเขา ทางวัตถุ เห็นไหม ตอนนี้อย่างเราไม่มีอะไรเลย แต่เรามีเครดิต เห็นไหม เราสามารถไปถอยรถก็ได้ ทำอะไรก็ได้ออกมา แต่เราก็ต้องผ่อน เห็นไหม มันเป็นการที่ว่าวัตถุมันมีการพึ่งพาอาศัยกันได้ แต่ความสุขพึ่งพาอาศัยกันไม่ได้นะ

พ่อแม่รักเรามาก เพราะพ่อแม่มีลูก รักลูกมากเพราะอะไร เพราะความเป็นห่วงลูกรักมาก แต่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย พ่อแม่อยากจะเจ็บไข้ได้ป่วยแทนนะ อยากให้ลูกมีความสุขมาก แต่พ่อแม่ก็เจ็บไข้ได้ป่วยแทนเราไม่ได้ เห็นไหม ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความสุข ความทุกข์ในหัวใจมันของแต่ละบุคคล พ่อแม่รักเรามาก เราถึงต้องพยายามของเราเพื่อทำตัวเราให้สมกับพ่อแม่รักเรามาก

มีคนเขาถามนะว่า “พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวมาก” เวลาสละ เห็นไหม สละกัญหาชาลี สละคนอื่น ทำไมไม่สละตัวเองล่ะ เนี่ยเหมือนกัน เราคิดสิ เรานี่เรารักไหม เรารักเพื่อนเราไหม เรารักสิ่งใดไหม เรารักมาก แล้วเราสละออกไปเจ็บปวดมากไหม เจ็บปวดมากนะ พระเวสสันดรรักลูกมาก รักภรรยามาก รักทุกอย่างมาก แต่พระโพธิญาณไง อยากได้พระโพธิญาณ เขาไม่ขอพระเวสสันดรนี่ ถ้าเขาขอพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะไปเดี๋ยวนั้นเลย ขอเราสิ เราจะไปแทนลูกแทนเมียเรา อยากให้ลูกเมียเรามีความสุขอยู่ แต่เขาไม่ขอ เขาขอกัณหา ขอชาลี ขอนางมัทรี เพราะอะไร เพราะว่าให้มันสะเทือนหัวใจไง เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ

ถ้าการสละออกอย่างนั้น ถ้าเราสละออกอย่างนี้ได้ เห็นไหม ถึงเพื่อปรารถนาพุทธภูมิ เห็นไหม ปรารถนาโพธิญาณ มันเจ็บปวดมากกว่าขอตัวเองนะ แต่เราเข้าใจผิดกัน เข้าใจผิดว่าพระเวสสันดรให้แต่ลูก ให้แต่เมีย แต่ไม่สละตัวเอง สละได้ ตัวเองสละง่ายมาก

ดูสิ เวลาเรารักกัน เห็นไหม แล้วใครมาทำเพื่อนเรา เราพอใจไหม เราไม่พอใจเพราะเราโกรธมาก แต่นี้ลูกเมียของเรานะ เขามาขอไป มันสะเทือนใจขนาดไหน แต่ให้ไปด้วยความขันติ ความพยายามเอาหัวใจของตัวเองไว้ สะเทือนใจมาก สะเทือนใจ ความสะเทือนใจนี้เป็นความทุกข์นะ แล้วพระเวสสันดรเป็นนักรบ มีวิชาทุกอย่าง แล้วคนที่มาขอเนี่ยชูชกไม่มีวิชาการอะไรเลย จะทำอย่างไร เขาก็ต้องอยู่ในอำนาจของพระเวสสันดรทั้งหมด แต่ก็ให้เขาไป เพราะ ...เพราะความปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อะไร รู้อริยสัจไง

เรานี่เกิดมาจากไหน พ่อแม่รักเรามาก เห็นไหม ทางยุโรปบอกว่า “เป็นธรรมชาติของการอยู่ครองเรือนต้องมีลูก เราเป็นธรรมชาติ พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ” เป็นไปไม่ได้หรอก พ่อแม่มีบุญคุณมาก เวลาเราไปใส่บาตรให้พระ เห็นไหม เราใส่บาตรถวายพระ พระเอาไปฉัน เราว่าได้บุญกุศล แล้วพ่อแม่ให้เรากินเหมือนกับใส่บาตรไหม พ่อแม่มีสิทธิที่จะไม่ให้เรากินก็ได้ จะให้เรากินก็ได้ ให้เราเป็นทานทั้งหมดไง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา พ่อแม่รักษาครรภ์ของมารดาไว้ทั้งหมด เราอยู่ในครรภ์ของมารดาอยู่ ๙ เดือน แล้วเราคลอดออกมา พ่อแม่รักมาก

จะทำอะไรต้องคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดอะไรต้องคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ เพราะพ่อแม่รักเรา เพื่อนเราก็มีปัญญาเท่ากับเรานี่แหละ สิ่งที่มีปัญญาเท่ากับเรา ความเห็นของเราก็เท่ากับเรา เห็นไหม คนดีเขามองกันตรงนี้ไง คนเก่งคือเราสอบได้ เราอ่านหนังสือได้ เราทำอะไรได้ นั่นคือคนเก่ง แต่คนเก่งต้องคนดีด้วย ประเทศชาติต้องการคนดี ต้องการสังคมที่ดี

ถ้าเรามีสังคมที่ดี เห็นไหม เวลาเราทำบุญ เราถวายเทียนกัน เทียนนี้เป็นเครื่องหมายของผู้ที่มีปัญญา ความแสงสว่างของปัญญา เราถวายเทียนในพรรษา ถวายเทียนกับพระ เห็นไหม เช้าตักบาตรเพื่อให้พระดำรงชีวิต สิ่งที่พระดำรงชีวิตจากข้าวปลาอาหารที่เราใส่บาตรไปนี้ พระออกประพฤติปฏิบัติทำความสงบของใจขึ้นมา หรือทำวิปัสสนาเกิดเห็นปัญญารู้แจ้งแทงทะลุกิเลสออกมา บุญกุศลได้จากข้าวที่เราใส่บาตรนั้นไป บุญกุศลจะได้กับเรามาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการทำบุญมีผลประเสริฐอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน เห็นไหม คือว่าทำลายกิเลสออก เห็นไหม เพราะฉันข้าวของนางสุชาดา เพราะข้าวอันนั้น บุญกุศลมีอยู่สองคราว คราวนี้หนึ่ง

คราวอีกคราวหนึ่งคือฉันอาหารของนายจุนทะไง จะไปปรินิพพาน จะไปตายไง แล้วฉันข้าวมื้อสุดท้ายของนายจุนทะ ช่างทองเห็นไหม ฉันข้าวนายจุนทะช่างทองสุดท้ายแล้วจะไปปรินิพพาน แต่เป็นห่วงนะ เป็นห่วงว่า จะกลัวว่าลูกศิษย์ลูกหาจะบอกว่าเพราะฉันอาหารของนายจุนทะ นายจุนทะทำให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ถึงได้สั่งไว้ไง สั่งพระอานนท์บอกว่า

“ให้บอกกับชาวโลกเขาว่าอาหารสองคราวที่มีกุศลมาก คือ นางสุชาดาหนหนึ่ง กับนายจุนทะหนหนึ่ง ไม่ใช่เพราะอาหารของนายจุนทะทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เพราะถึงคราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องปรินิพพาน”

แต่ฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้ายไง แล้วดับขันธ์คืนนั้นถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์ ๕ นี่แหละ ธาตุขันธ์นี่แหละ มันเป็นสิ่งที่เป็นภาระของพระอรหันต์ ธรรมของพระอรหันต์สว่าง มีความสุขในใจนั้น วิมุตติสุขนี้ไม่มีความทุกข์สิ่งใดเข้าไปเจือจางใจดวงนั้นได้เลย ครองใจดวงนี้อยู่ ๔๕ ปี ถึงที่สุดแล้วร่างกายนี้ก็ต้องสละไป ใจดวงนั้นพ้นออกไป เห็นไหม

เราทำบุญตักบาตรมาเพื่อให้พระสงฆ์ได้ฉันอาหาร ได้ดำรงชีวิต แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ บริสุทธิ์ผุดผ่องมากนะ เพราะเราตั้งใจอยากจะใส่บาตร เห็นไหม ตั้งแต่เราคิดอยากจะใส่บาตร แต่โบราณมาเราต้องทำอาหารเอง ตั้งแต่รุ่งขึ้น เห็นไหม เราคิดถึงแต่บุญกุศลตลอดเลย แล้วพระออกมาบิณฑบาต เห็นไหม เดินมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่ได้ปรารถนาว่าจะต้องการให้ใครใส่บาตร แต่เดินไปด้วยปลีแข้งไง แล้วเราไปใส่บาตร

นี่ความบริสุทธิ์ของสัมมาอาชีวะ พระออกบิณฑบาตนี้เป็นการเลี้ยงชีพที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ไม่ได้สั่งอาหารจากร้าน ไม่ได้สั่งจากใครให้มาใส่บาตร ไม่ต้องการของใคร ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นทุจริต บิณฑบาตออกมาด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เห็นไหม นั้นคือการเราใส่อาหารเพื่อบุญกุศลของเรา แล้วเราถวายเทียนในพรรษา ถวายเทียนในพรรษาบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม แล้วพระประพฤติปฏิบัติ ความสว่างไง

เพราะเรามืด เราคิดไม่ออก เวลาเราทุกข์มันปิดกั้นเรามาก เวลาเราเสียใจ เห็นไหม เวลาเราโกรธ เรานึกอะไรไม่ออกเลย เพราะอะไรล่ะ เพราะว่ามันมืดบอดไง มันมืดบอดทางปัญญาไง ว่าเป็นคนที่ฉลาด เป็นคนที่รู้แจ้ง ทำไมเราเอาตัวเราเองไม่อยู่ล่ะ ทำไมเราไม่มีอำนาจบังคับตัวเราเองล่ะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยบังคับว่าอย่าให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยสิ เวลาเราโกรธบอกอย่าโกรธสิ ทำไมเราบังคับไม่ได้ล่ะ เพราะเรามืดบอด เราไม่มีปัญญาไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้เรามีความโกรธ สิ่งนี้ถ้าเราบูชาด้วยแสงสว่าง เห็นไหม นี้เป็นบุคลาธิษฐาน แต่ถ้าเราเกิดความสว่างของใจขึ้นมา เราสามารถชำระกิเลสได้

เขาบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นพระอรหันต์แล้วต่อไปจะไม่มี” ไม่จริงหรอก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว ๕,๐๐๐ ปีไปข้างหน้า พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป องค์ต่อไป มันไม่มีกาล ไม่มีเวลานะ เหมือนสัจจะความจริง เวลาความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ในใจเรามีหรือไม่มี มีทั้งนั้น เวลาเราหิวข้าว หิวไหม หิว เวลาเรากินข้าวไปอิ่มไหม อิ่ม มันเป็นสัจจะความจริงไง ความทุกข์เกิดขึ้นมาจากใจ ในเมื่อเราใช้ปัญญาของเรา วิปัสสนาเข้าไปทำลายมันนะ วิปัสสนาปัญญา

ดูคลื่นวิทยุ เห็นไหม เรามีโทรศัพท์ไหม เวลาเราเปิดเครื่อง เห็นไหม คลื่นมันมา นั้นเป็นคลื่นของวิทยุนะ แล้วความสงบของใจ ใจมีความรู้สึก มันมีคลื่นของมันนะ เวลาคลื่นของมัน เราคิดถึงเพื่อนที่อเมริกาเดี๋ยวนี้ มันถึงเดี๋ยวนี้เลย คิดถึงเพื่อนที่เชียงใหม่ จะถึงเชียงใหม่เดี๋ยวนี้เลย มันไปได้ตลอด มันเร็วกว่าคลื่นของวิทยุอีก เร็วกว่าคลื่นของโทรศัพท์

เพราะคลื่นของใจสิ่งนี้มันเร็วมาก แล้วเราทำความสงบของมัน ด้วยการกำหนดคำบริกรรมพุทโธ พุทโธนะ ให้คลื่นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ให้มันสงบนิ่ง สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดแล้วสงบนิ่ง สิ่งนี้มันมีพลังงานมาก พอมีพลังงานมาก เราใช้สัมมาสมาธิยกขึ้นวิปัสสนา คำว่าวิปัสสนาคือใช้ปัญญา การทำสงบของใจเราใช้ความบังคับมันด้วยสติ มันจะสงบเข้ามา

สิ่งที่มันออกไป เห็นไหม ออกไปยึดรูป รส กลิ่น เสียง ออกไปคิดถึงพ่อถึงแม่ ออกไปคิดถึงว่าพ่อไม่รักเรา แม่ไม่รักเรา คนนั้นรังแกเรา คนนี้ไม่ชอบเรา มันออกไปรับรู้สิ่งนั้น ควบคุมมันด้วยสติ ด้วยปัญญา สิ่งที่ควบคุมด้วยสติด้วยปัญญาเข้ามา มันจะเกิดสงบ เห็นไหม เช่นเราเป็นนักเรียน ถ้าเราอ่านหนังสือแล้วเราไม่เข้าใจ เราพยายามตั้งสติ แล้วเราทำความสงบ แล้วเรามาอ่านใหม่ เรามาเข้าใจใหม่ การที่เราทำสมาธิแล้วมันจะอ่านหนังสือได้ดีมาก การศึกษาเรามันจะเป็นประโยชน์มาก เห็นไหม นี้เป็นเรื่องของโลกนะ

แต่ถ้าเป็นการวิปัสสนา นี่แสงสว่างของปัญญา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา คลื่นที่มันเคลื่อนที่เร็วมาก เราจับให้มันสงบนิ่งได้ แล้วเรายกขึ้นวิปัสสนาเป็นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เน้นอยู่ตรงนี้ ตรงที่การรู้อริยสัจคือการวิปัสสนา

ในการทำความสงบของใจ อาฬารดาบสก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้มีลัทธิต่าง เขาสอนเรื่องสมาธิกันมามหาศาล เรื่องสมาบัติ สมาธิ ฌานสมาบัติต่าง สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ แล้วถ้าพระไม่เข้าใจจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นตัวตั้งนะ แล้วเอาสิ่งนี้มาเป็นฤทธิ์เป็นเดช เป็นพลังงาน แล้วเอาไปทำปลุกเสกของต่างๆ มันเป็นเกจิ เห็นไหม มันไม่เป็นงานชอบของใจดวงนั้น

ถ้างานชอบของใจดวงนั้น ทำสิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด สิ่งที่ไปกว้านเอาสิ่งที่เป็นความทุกข์มาทับถมใจ ให้มันปลดปล่อยสิ่งนั้นให้ได้ พอมันปลดปล่อยสิ่งนั้นได้ทั้งหมด มันเป็นอิสระในตัวของมันเอง มันจะเป็นความว่างทั้งหมดเลย ความว่างเพราะไม่มีอะไรไปเกาะเกี่ยวมัน โกรธก็ไม่มี โลภก็ไม่มี หลงก็ไม่มี สิ่งต่าง ไม่มี ปัญญาเกิดจากหยาบๆ เห็นไหม นี่คือเราเห็นเงาไง เห็นเงาคือเห็นต้นทุน คือจิตนี้สงบเข้ามา แล้วถ้ายกวิปัสสนา เนี่ยที่ว่าคนดี ดีที่สุดมันดีตรงนี้ไง ดีตรงที่ว่าเอาตนของตนไว้ในอำนาจของตนไง บังคับตนไว้ให้ได้

เรากลับบ้าน เห็นไหม พ่อแม่บอกให้ช่วยงานบ้าน ให้ช่วยทำงาน เรายังไม่พอใจเลย แต่นี่เราพอใจจะทำ เรานั่งอยู่ในป่าที่ไหนก็แล้วแต่ เรานั่งอยู่ในห้องของเราก็แล้วแต่ อยู่คนเดียว เรานั่งตลอดรุ่งก็ได้ เราทำยังไงของเราก็ได้ เห็นไหม แล้วยกขึ้นวิปัสสนาในอะไรล่ะ ในร่างกายเรานี่ร่างกายเนี่ยเราคิดว่าเป็นเรา เห็นไหม ศาสนาพุทธสอนเรื่องอริยสัจตรงนี้ แต่เวลาเขาถามว่าสอนอะไร สอน... ไม่รู้ ไม่รู้ เราไม่เข้าใจไง ชาวพุทธ พุทธตรงไหน ศีลก็พูดไม่ถูก อริยสัจก็พูดไม่ถูก เห็นไหม

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคจะเกิดตรงนี้ เกิดตรงที่ว่าเราเห็นทุกข์ไง เห็นทุกข์คือว่าเห็นกายกับเห็นจิต ถ้าเราไม่เห็นกายเห็นจิต เราไม่เคยเห็นทุกข์ เราเห็นแต่ผลของทุกข์ที่มันคายทิ้งไว้ กิเลสความเห็นของเรา มันต้องการอะไรของมัน มันแสวงหาของมัน แล้วมันขับถ่ายความไม่พอใจ ทิ้งไว้ที่ใจของเราไง แล้วเราก็เห็นแต่ผลของความทุกข์อันนี้ แต่เราไม่เห็นตัวทุกข์ไง

แต่ถ้าเราย้อนกลับไปจับตัวทุกข์ เห็นไหม โดยสมมุติ จริงตามสมมุติ เราเกิดมานี่จริง แต่ ๑๐๐ ปีแล้วก็ต้องไป ไม่มีความจริงอะไรเลย โลกนี้เป็นสมมุติส่วนหนึ่ง ถ้ามันจิตวิปัสสนาตรงนี้ มันเห็นสภาวะแบบนี้ มันจะเข้าใจสิ่งนี้ บ่อยครั้งเข้า ปล่อยวางเข้า นี่ไง ปัญญาอย่างนี้เกิด

สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญาคือนักวิชาการ เห็นไหม จินตมยปัญญาใคร่ครวญบ่อยๆ ครั้งเข้า ภาวนามยปัญญานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประพฤติปฏิบัติทำบุญกุศลมากขนาดไหน จะทำบุญกุศล อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช เห็นไหม สร้างวัดแปดหมื่นสี่พันวัด ถามว่า

“เป็นญาติกับศาสนาหรือยัง”

“ยัง”

“ถ้าเป็นญาติกับศาสนาต้องทำยังไง”

“ต้องให้ลูกมาบวช”

หนึ่งลูกมาบวช หรือเราบวช แล้วเราทำใจของเราเป็นสงฆ์ขึ้นมา เป็นความสว่างขึ้นมา ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดอันนี้มันจะทำลายกิเลส ความสว่างของปัญญาทำลายกิเลสขาดหมดเลย พ้นออกไป เห็นไหม จากกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ยอดเยี่ยมมากเพราะอะไร เพราะให้คนเป็นคนมีความสุข ให้คนพึ่งตนเองได้ พระพุทธเจ้าสอน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราพึ่งพาอาศัยกันด้วยศีลธรรม จริยธรรมนะ เป็นคนไทยหรือเปล่า คนไทยต้องมีน้ำใจ การอยู่ร่วมกัน อย่างนี้เป็นศีลธรรม จริยธรรม เราช่วยเหลือกัน เป็นสิ่งที่ว่าเรื่องหยาบๆ

แต่ถ้าเรื่องเอาสิ่งที่สุด ตัดใจของเรา ทุกข์อยู่ที่ใจของเรา พ่อแม่ก็ปลดเปลื้องทุกข์ของลูกไม่ได้ ลูกก็ปลดเปลื้องทุกข์ของพ่อแม่ไม่ได้ แต่อาศัยจุนเจือกัน อาศัยกัน แต่การจะปลดเปลื้องได้ ต้องปลดเปลื้องจากมรรคะอันเกิดขึ้นไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจเกิดขึ้นมาจากหัวใจ หมุนไปตามหัวใจ กลั่นออกมาจากหัวใจ เห็นไหม นี่ปัญญา

ถวายเทียนพรรษาเพื่อเหตุนี้ไง เพื่อเหตุที่ว่าให้พระได้ประพฤติปฏิบัติ ให้สิ่งนี้ได้เป็นแสงสว่างของปัญญา เป็นตัวแทนของปัญญา แล้วถ้าปัญญาเราเกิดขึ้นมา เห็นไหม ศีลธรรม จริยธรรมจากหยาบๆ เป็นประเพณีวัฒนธรรม ความเป็นอริยสัจจะความจริงเกิดขึ้นมาจากใจ วัตร เห็นไหม วัตรปฏิบัติ เห็นไหม ศาสนวัตถุ ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนพิธีเราได้ทำแล้ว เห็นไหม ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล พระเป็นศาสนบุคคล

เราก็เหมือนกันเป็นศาสนบุคคล เพราะอะไร ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นบริษัทนะ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา “มารเอย เมื่อไหร่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ปรินิพพาน” จนถึงวันมาฆบูชา เห็นไหม มารดลใจ “มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ จะจรรโลงศาสนาไว้ในโลกนี้ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

เห็นไหม ฝากศาสนาไว้กับเรา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเราเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาในใจของเราได้ เราจะเป็นชาวพุทธแท้ไง นี้เป็นชาวพุทธตั้งแต่ทะเบียนบ้าน เป็นชาวพุทธแล้วแต่ประเพณี แต่ถ้าเป็นชาวพุทธจริงนะ เราจะเข้าใจเรื่องสัจธรรมความจริง ทุกข์เกิดขึ้นมายังไง เห็นตัวตนของเรา แล้วเราจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องของโลกเขาไง

เรื่องของโลกเขา โลกเป็นแบบนี้ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ สิ่งใด ไม่เคยเต็ม โลกนี้เป็นอนิจจัง มันเคลื่อนที่ไปตลอด ไม่มีสิ่งใดคงที่ แล้วเราจะไปเอาสิ่งที่ไม่คงให้เป็นที่คงที่ เป็นที่พึ่งของเรา มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราถึงอาศัยกันชั่วคราวไง อาศัยกันทั้งชีวิตนี้เท่านั้นเอง แล้วเราจะดำรงชีวิตยังไงให้มีความสุขกับโลกนี้ หรือดำรงชีวิตแล้วสร้างตนเองให้สูงขึ้นกับโลกนี้ไง มามืดไปสว่าง มาโดยไม่เข้าใจสิ่งใดเลย แต่พอไปแล้วเราจะเข้าใจเรื่องชีวิต เราจะวางสิ่งนี้ไว้ นี้คือปัญญา

เราถวายเทียนเพื่อเหตุนี้ นี่เป็นตัวแทน แต่ถ้าปัญญาที่เทศน์ให้ฟัง ถ้าเข้าใจในหัวใจของเรา เราจะเข้าใจสิ่งนี้ ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนธรรม แล้วศาสนบุคคล ศาสนบุคคลนี่สำคัญ มันเคลื่อนไหวได้ มันแสดงออกได้ แล้วใจเราเป็นขึ้นมาจากหัวใจของเรา เราจะสำคัญมาก แล้วเราจะมีความสุขของเรามาก ถวายเทียนพรรษาเพื่อเหตุนี้ เหตุที่สุดแล้วก็คือใจผ่องแผ้ว

ฟังธรรม เห็นไหม

สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง จะได้ฟัง

สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วจะช่วยตอกย้ำให้มั่นคงขึ้นไป

ถึงที่สุดแล้วจะทำให้หัวใจเบิกบาน หัวใจนี้มีความสว่างคือความผ่องแผ้วของใจ ความรู้แจ้งของใจไง ใจผุดผ่องนี้คือการฟังธรรม

เนี่ยผลของการฟังธรรม เห็นไหม ฟังธรรมนี่สำคัญมาก สำคัญเพราะธรรมนี้ออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจดจารึกมาเป็นพระไตรปิฎก แล้วครูบาอาจารย์ศึกษาสิ่งนี้มา เห็นไหม แล้วเข้าใจออกมาเป็นจากใจนั้นเข้าใจสิ่งนั้น แล้วจะเผยแผ่มาไง เผยแผ่มาถึงพวกเรา แล้วเราจะดำรงชีวิตอย่างไร เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาในโลกนี้ เราจะดำรงชีวิตอย่างไร ถามตัวเองนะ เราปรารถนาอะไร ตั้งใจอะไร แล้วต้องตั้งใจ แล้วพยายามควบคุมตัวเอง

เพื่อนก็คือเท่านี้ ต้องเชื่อพ่อ เชื่อแม่ เพื่อนเท่านั้นนะ เชื่อพ่อเชื่อแม่แล้วฟังกับพ่อแม่นะ ครูบาอาจารย์ผ่านโลก ผ่านอะไร ว่านะ พอพูดอย่างนี้มันบอกว่า “อาบน้ำร้อนมาก่อน อาบน้ำร้อนมาก่อน” แล้วเราจะคิด เราว่ามันคิดแล้วมันน้อยเนื้อต่ำใจ เด็กเป็นอย่างนั้นไง แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่เราจะคิดอีกอย่างหนึ่ง นี้เป็นศาสนาพุทธสอนอย่างนั้น นี่เป็นทางตะวันออก ถ้าทางตะวันตกเสมอภาค เสมอภาค เสมอภาคว่ากันไปนะ เอาวิทยาศาสตร์มาเป็นสิ่งที่ว่าเสมอภาค เสมอภาคขนาดไหน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะนิ้วของคนมันไม่เท่ากัน

กรรมไง กรรมมันเป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น ถ้าเราไปฝืนกรรม มันฝืนไปไม่ได้หรอก คนมันเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราช่วยได้ขนาดไหน เราก็ช่วย ไม่ใช่ปฏิเสธสิ่งที่ช่วย แต่ในเรื่องของกรรม มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นสภาวะแบบนั้น คือสภาวะแบบนั้น จะได้มากได้น้อย มันอยู่ที่ใจของเขาจะพลิกหรือไม่พลิกไง ถ้าใจของเขาพลิก ใจเขาเปิด มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าใจเขาไม่พลิกมันจะปิดอยู่อย่างนั้น

นี่ธรรมของพระป่านะ ฟังเข้าใจก็เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะให้ถามนะ เอวัง