เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มิ.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันวิสาขบูชา เราเห็นการทำบุญไหม? เราเห็นการทำบุญ ทำบุญมาก แล้วพระต้องแบกภาระมาก สิ่งนั้นเราเห็นอย่างนั้นแล้วเราก็ว่าทำบุญแล้วมันเป็นภาระไง สิ่งที่เป็นภาระ เพราะวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าได้สละทานมาขนาดไหน ๑๐ ชาติสุดท้าย สละแม้แต่คู่ครอง สละราหุล กัญหา ชาลี สละหมด การสละอย่างนั้นมันเป็นเครื่องดำเนินไง มันเป็นเหตุการณ์ที่เราจะต้องผ่านตรงนี้ไง ถ้าเราว่าสิ่งนี้มันเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นภาระ เราไม่อยากจะทำสิ่งนี้ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร

ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเหตุกับผลรวมแล้วเป็นธรรม เราไม่มีเหตุ แต่เราอยากจะเป็นพระอรหันต์ เราอยากจะทะลุ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราอยากทุกอย่างเลย แต่เราไม่สร้างเหตุ พอเราสร้างเหตุ เหตุนี้ก็เป็นภาระ เหตุก็เป็นอุปสรรค สิ่งที่เป็นอุปสรรคนี้เราต้องเหยียบมันไป ก้าวเดินย่ำมันไป ย่ำอุปสรรคในชีวิตของเราทั้งหมด ย่ำมันไป เห็นไหม สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรง ไง “ภิกษุจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” ความเพียรความพยายามอุตส่าห์

การสละทาน เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ โลกนี้ อายุทางวิทยาศาสตร์เขาคำนวณนะ ๔,๐๐๐ หรือ ๕,๐๐๐ ล้านปี โลกเรา นี่อายุของมัน แต่ศาสนาเราผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปีเท่านั้น สิ่งที่ผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี คือการเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เกิดแสนยาก การสละทาน การทำอะไรต่างๆ ขึ้นมา สภาวะสิ่งนี้ขึ้นมา จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนพยากรณ์แล้วกลับไม่ได้ แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ ผู้ที่ปรารถนาเป็นพุทธภูมิมหาศาลเลย แต่ไปแล้วไปไม่ถึงที่สุด กลับก็มี ความเปลี่ยนแปลงไปก็มี

ครูบาอาจารย์เล่าสมัยที่ท่านธุดงค์ ท่านธุดงค์ไปนะ ท่านบอกว่าเวลานั่งสมาธิไปเข้านิมิต ปลาช่อนมาเข้านิมิตของครูบาอาจารย์นะว่า พรุ่งนี้เช้าไปบิณฑบาตนะ ขอให้ไปบ้านนั้นๆ แล้วให้ไปหลังบ้านเขา ขอให้ไปปล่อยปลาช่อนในกระชังของเขาที เพราะว่าเขาจับมาขังไว้ ในนิมิตนะ พระองค์นั้นถามว่า “ทำไมต้องมาบอกเราล่ะ”

เขาบอกว่า “อ้าว! ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ ผมก็เป็นพระโพธิ์สัตว์”

หัวหน้าปลาช่อนตัวนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็ไปบอกพระโพธิสัตว์ที่ว่าเป็นพระอยู่ กำลังเจริญบารมีของตัวเอง “ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ ผมก็เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นหัวหน้าปลาช่อน แล้วพรุ่งนี้ไป ไปบิณฑบาตแล้วให้ไปปล่อยที” นี่สร้างบารมีกัน

ถึงตอนเช้าก็ออกไปบิณฑบาต แล้วมันคุ้นเคยไง ก็บอกว่าขอเข้าไปบ้านเขาสักหน่อยได้ไหม พอเข้าไปเห็นปลาช่อนเขาขังไว้ “ขอได้ไหม ขอได้ไหม” ปากพูดขอเขานะ ขอแล้วก็จับปลาช่อนทั้งกะละมังนั้นเทใส่แม่น้ำไปเลย เห็นไหม นี่การสร้างบารมี การปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ทุกคนก็อยากเป็น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดโลก นี่โลกเห็นกันหมด สมัยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจะมีหนหนึ่ง เวลาพูดถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ การเป็นมาฆบูชามันเป็นเรื่องที่เขามีงานประจำปีของเขา มันเป็นการว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกองค์จะเป็นแบบนั้น จะรวมมาฆบูชาหนหนึ่ง จะเปิดโลกหนหนึ่ง จะมีสภาวะแบบนี้เพื่อเป็นอำนาจวาสนาไง

ผู้ที่ทำบุญมามาก ทำไมองค์พระศรีอริยเมตไตรยต่อไปข้างหน้า นี่ว่าจะปฏิบัติง่าย เพราะอะไร เพราะการสร้างต่างกันมา สิ่งที่สร้างต่างกันมา ที่เราสร้างเหตุกัน ที่ว่ามันเป็นอุปสรรค มันเป็นความลำบากของเรา สิ่งที่เป็นอุปสรรค เป็นความลำบาก นั้นกิเลสมันบอกไง สิ่งที่เราหา สิ่งที่ว่ามันเป็นโทษเป็นภัย เราต้องการสิ่งใด เราแสวงหาสิ่งใดตามกิเลสไป แสวงหาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นโทษเป็นภัยทั้งนั้น แต่มันว่าเป็นคุณงามความดี แต่การสละออก การทำบารมีของเรา สร้างบารมีของเรา มันว่ามันเป็นความเสียเปรียบไง สิ่งที่เสียเปรียบนี่กิเลสมันพูดสภาวะแบบนั้นไง การกระทำอย่างนี้มันต้องมี ถ้ามีหัวหน้านะ มันจะว่าโคนำฝูง หัวหน้าฉลาดจะนำฝูงไปได้

ถ้าหัวหน้าไม่ฉลาด เห็นไหม วันนี้ถึงเป็นวันสำคัญไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรม โลกนี้ก็มืดบอด ดูจากลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็มีของเขา อ้อนวอนเอา ขอกันเอา ต้องอ้อนวอนนะ ต้องขอนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ต้อง ให้ทำคุณงามความดี “ทำดี ดีกว่าขอพร” ถ้าเราปฏิบัติคุณงามความดีของเรา เราเองต่างหากเป็นพุทธะ เราต่างหาก เรารู้ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ใจของเรา เราเห็นใจของเราไหม นี่เราแต่สิ่งที่เป็นที่พึ่ง

พ่อแม่เกิดมาก็อยากให้ลูกยืนในสังคมให้ได้ ต้องการสิ่งต่างๆ ให้ลูกมีฐานะทางสังคม แต่ไม่คิดเลยว่าใจลูกนี้ทุกข์ขนาดไหน ถ้าเห็นทุกข์ต้องย้อนกลับมา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นที่ใจไง ถ้าย้อนกลับมาที่ใจ ย้อนกลับมาทำความละเอียดอ่อนเข้ามา แล้วใจมันอยู่ไหน เราไม่สามารถค้นหาใจของเราเจอ นี่เราเห็นแต่ที่พึ่งข้างนอก ถ้าเป็นข้าวของเงินทองจะเป็นที่พึ่งของเรา ที่พึ่งของเรา มันพึ่งไม่ได้เลย ตามสัจจะเราก็รู้ เขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากเขา สิ่งนี้มันต้องพลัดพรากจากกันโดยแน่นอน อันนี้สัจธรรมเป็นความจริง เราก็ว่าเป็นความจริง แต่กิเลสมันก็บังไว้ เห็นไหม ผัดวันประกันพรุ่งไป สิ่งนี้เราอาศัยกันไปก่อนๆ

การประพฤติปฏิบัติมันเริ่มตั้งแต่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว เรากำลังแข็งแรงอยู่ เราทำของเราได้ ไว้จนแก่เฒ่าก่อน ประเพณีเป็นอย่างนั้นไง แก่เฒ่าแล้วค่อยเข้าวัดไง เตรียมตัวตาย พอแก่แล้วเตรียมตัวตาย เตรียมไปหาบุญหากุศล เตรียมตัวตาย สิ่งนั้นมันตาย มันก็เวียนตายเวียนเกิด มันเป็นเปลือก เป็นกระพี้ของศาสนาเรา ศาสนาพุทธสอนว่าให้เอาชนะตนเองให้ได้ ให้เอาใจของใจไว้ในอำนาจของตนให้ได้ ถ้าเอาใจของใจไว้ในอำนาจของตน โลกนี้ไม่มีความหมายเลย

สิ่งที่โลกนี้เขาเป็นธุรกิจ เขาเป็นสิ่งต่างๆ ไป เป็นเหยื่อล่อทั้งหมดเลย ล่อให้เราไปใช้จ่ายใช้สอย ถ้าเราใช้จ่ายใช้สอย มันก็เป็นธุรกิจ มันก็เป็นเศรษฐกิจ มันก็หมุนไปในโลก สิ่งนี้เป็นเหยื่อทั้งหมด แล้วเราถ้าเราเอาใจของเราไว้ได้ สิ่งนั้นมันจะมาล่อเราได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นมายาทั้งหมด สิ่งที่เป็นมายา เราก็เกิดจากมายา ต้นไม้เกิดจากแผ่นดินๆ ต้องอาศัยอากาศ อาศัยแสงแดด มันถึงจะเจริญงอกงามขึ้นมา มนุษย์ก็เหมือนกัน จิตนี้มันต้องตายในวัฏฏะ มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้แหละ แต่นี้เวียนตายเวียนเกิดมาแล้ว เราเกิดมาในวัฏฏะนี้

ต้นไม้เกิดบนดิน เหมือนกับธรรมะบอกว่าดอกบัวเกิดจากโคลนตม แล้วจะไม่กลับไปโคลนตมอีกเลย นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดในวัฏฏะนี้ ก็เป็นโลกอย่างนี้เหมือนกัน เกิดจากพ่อจากแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ พระอรหันต์ทุกองค์ก็เกิดจากพ่อจากแม่ เราก็เกิดจากพ่อจากแม่ แต่เราเกิดมาแล้วเราต้องเกิดซ้ำ พระอรหันต์ไม่เกิดซ้ำอีกไง ถึงบอกว่า เอาใจของใจไว้ในอำนาจของตนได้ มันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ไง

วันนี้วันเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็เกิดตรัสรู้ขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานไปแล้วนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน “ดวงตาของโลกดับแล้ว เรายังมีกิเลสอยู่ ต้องการคนชี้นำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานในวันนี้” พระโสดาบันนะกอดกลอนประตูไว้แล้วก็ร้องไห้ สิ่งที่ร้องไห้เพราะอะไร เพราะจะต้องไม่มีคนชี้นำแล้ว แล้วเราล่ะ เรามีสติไหม เราเข้าใจสิ่งนี้ไหม ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้ เรามีชีวิตไง

“ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเธอ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้นะ “อานนท์ ธรรมและวินัยที่เราตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา”

ในเมื่อธรรมวินัยยังมีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเรา พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน แต่ก็มีกิเลสในหัวใจไง ก็หวังพึ่งเพราะอะไร เพราะของอยู่กับมือ แล้วหลุดจากมือไป ทุกคนต้องเสียดายเป็นธรรมดาของคนที่มีสมบัติอยู่ในมือแล้วหลุดไป แต่เราเกิดมาไม่ทันช่วงนั้น แต่เราก็มีธรรมวินัยเป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ชี้นำเรา เป็นครูบาอาจารย์นะ

ถ้าธรรมวินัยนั้นเราอ่าน เราศึกษา มันก็เป็นไป แล้วในปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง ในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วเราก็เกิดกึ่งพุทธกาล ในเมื่อเราเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเกิดกึ่งพุทธกาลที่ว่าการประพฤติปฏิบัติ การพยายามค้นคว้าหาตัวเอง มันเป็นการเจริญรุ่งเรือง

ปัจจุบันนี้การประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร? เพื่อหาตัวเองไง หาตัวเอง หาที่ไหน? หาที่ใจ หาที่ใจ หาได้อย่างไร มันก็ไม่เห็น มันก็ปฏิบัติไม่ได้ อะไรก็เป็นใจไปหมด อะไรก็เป็นความรู้สึกไปหมด

ความรู้สึกนี้มันส่งออก เห็นไหม ถึงต้องใช้พุทโธๆ นี่สัทธาจริต หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ความคิดไล่ความคิดเข้ามา ไล่เข้ามาให้มาเห็นใจของตัวเอง พอจิตเป็นสัมมาสมาธิ อ๋อ! สมาธิเป็นอย่างนี้หรือ จิตตั้งมั่นเป็นอย่างนี้หรือ มันจะเห็นของมันโดยสัจจะนะ เป็นปัจจัตตัง ถ้าไม่เป็นปัจจัตตัง มันต้องลังเลสงสัย ถ้าเราลังเลสงสัยนี้เป็นนิวรณ์อันหนึ่ง เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สิ่งนี้มันมีอยู่ในใจ แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา มันจะไม่ลังเลสงสัย เป็นปัจจัตตัง จับต้องแล้วเห็น สิ่งที่เห็นจับต้องได้ มันก็ไปตัดความลังเลสงสัยอันนั้นออก

ความลังเลสงสัย เห็นไหม จากสุขกับทุกข์ เป็นอุเบกขา อุเบกขา ว่างหมดๆ สุขก็ไม่ติดมัน ทุกข์ก็ไม่ติดมัน อุเบกขา ตัวอุเบกขานั้นคือตัวกิเลส ตัวที่มันจะออกไปสุขออกไปทุกข์ แล้วปัญญาเข้าไปทำลายตรงนั้น ทำลายอุเบกขา ทำลาย ภวาสวะ ทำลายจิต ทำลายดวงจิต ทำลายตรงนั้น ตรงที่กิเลสอยู่ตรงนั้น ถึงบอกอันนี้เป็นแก่นของศาสนาไง

ในเรื่องทาน ศีล ภาวนา ในเรื่องของทานนี่เป็นกระพี้เป็นเปลือกก็จริงอยู่ แต่ต้นไม้ไม่มีเปลือกไม่มีกระพี้ เราก็ไม่มีโอกาส อย่างเด็กก็ให้เขาทำบุญของเขาเด็กๆ ออกมา เรามีศรัทธาใหม่ เราก็ทำทานบุญกุศลของเราขึ้นไป เพราะสิ่งนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เหตุปัจจัยเพื่อจะให้การภาวนาเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป แล้วมันมีศรัทธานะ

การฟังธรรมนี้แสนยาก แล้วการฟังธรรมบ่อยๆ เหมือนกับตอกตะปู ตอกย้ำบ่อยๆ ถ้าเราไม่ทำบุญกุศล เราไม่ทำทาน มันก็ห่างออกไป ห่างออกไป จากที่ว่าศรัทธามากแล้วก็เสื่อมไป เสื่อมไป ห่างออกไป จางคลายออกไป แต่ถ้าเราได้ตอกย้ำบ่อยๆ ฟังธรรมบ่อยๆ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกวันนี่แหละ ฟังทุกวัน ฟังจนเบื่อ แต่กิเลสมันไม่หลุดจากใจไปเลย เห็นไหม ฟังอย่างนี้ อาจารย์พูดอย่างนี้ทุกวันเลย ทุกวันเลย แต่กิเลสเราออกจากใจไปไหมล่ะ? ไม่ออกเพราะอะไร เพราะอันนั้นเป็นของครูบาอาจารย์ ของจากภายนอกไง เราต้องสร้างของเราขึ้นมาจากภายใน แล้วมันย้อนกลับขึ้นมาทำลายกิเลสของเราขึ้นมา นี่เป็นธรรมของเรา สิ่งที่เป็นธรรมของเรา อันนี้จากกระพี้จากเปลือกมันก็เป็นแก่นของเรา

ธรรมอยู่ที่ใจ เวลาทุกข์ ทุกข์ที่ใจนะ คนตายไปแล้วเผาไฟเขาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรา แต่คนมีชีวิตอยู่นี่ทุกข์ร้อนมาก ทุกข์ร้อนเพราะมีหัวใจดวงนั้น เห็นไหม มนุษย์เกิดมาจากวัฏฏะ เกิดมาจากโลก ต้นไม้เกิดมาจากโลก เราก็เกิดมามีร่างกายของเรา นี่ทุกข์ร้อน เวลาตายแล้วมันสละทิ้งหมด ถึงเราต้องตายไป เราต้องสละทิ้งออกไป แต่ถ้าจิตประพฤติปฏิบัติถึงที่สุด มันก็สละสิ่งนี้ออกไป แล้วมีชีวิตอยู่ไง สละกิเลสออกไป แต่ยังยืนดูมันอยู่จนถึงที่สุด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป จบสิ้นกระบวนการของการประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตนเอง แล้วเป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ชี้นำ ให้ศรัทธาก้าวเดินตามมา ถึงต้องทำ มันจะมีอุปสรรคขนาดไหน เราก็ต้องทำ ทำของเราเพื่อเรา เพื่อหัวใจของเรา เพื่อความสุขของเรา นี้จะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง