เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ มิ.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาแจกเทปไป เห็นไหม “พุทธจักร” ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมีอาณาจักรด้วยเหรอ พุทธจักรหมายถึงใจไง ใจอันนั้นมันเสวยตรงนั้น พุทธจักรหมายถึงนิพพาน นิพพานมีอยู่นะ แต่นิพพานไม่ใช่อัตตา และนิพพานก็ไม่ใช่อนัตตา

อนัตตาคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า คือยา คือเครื่องดำเนินไง อนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมนี้เป็นอนัตตา สิ่งสรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด มันเป็นอนิจจัง แล้วเราก็เข้าใจตามอนิจจัง แต่ไม่เคยเห็นพระไตรลักษณะ ถ้าเห็นพระไตรลักษณะ คืออนัตตา สภาวธรรมที่เกิดขึ้น อนัตตาของใครเห็น เราก็เข้าใจว่าเป็นอนัตตา ธรรมะเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นความว่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เราก็เห็นกันทุกคน เราก็เข้าใจทุกคน เราก็รู้ทุกคน แต่มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำได้หมายรู้

สมบัติยืมมา เงินในธนาคารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตู้พระไตรปิฎก เงินในธนาคารล้นธนาคารเลย แต่เป็นเงินของชาวบ้านเขาไปฝากไว้ ไม่ใช่เงินของเรา เราผ่านไปเห็นขนาดไหนมันก็ไม่ใช่เงินของเรา เราทำมาหากินขึ้นมา มีเงินบาทสองบาทขึ้นมา มันก็เป็นเงินของเรา สิ่งที่เป็นเงินของเรา เห็นไหม นี่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเกิดอย่างนี้ไง เกิดจากเราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นสภาวะความเป็นจริง มันถึงบอกว่าธรรมจักรมันเคลื่อน เห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นมาจากภายใน จากหัวใจ นั้นคือความเห็นเป็นอนัตตา สิ่งที่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมที่เป็นอนัตตา เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ที่ไปจำมา ไปก็อปปี้มา มันไปเห็นภาพของเขามา

อัตตาคือตัวตนของใจนี่มันมีอยู่แล้ว สภาวะของใจ สภาวะของทิฏฐิมานะของใจ ใจนี่อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา รู้เหมือนไม่รู้ ไม่รู้เหมือนรู้อยู่อย่างนั้น สิ่งนี้กลิ้งไป หมุนไปตลอดไป แล้วสิ่งนี้มันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร

แต่ถ้าเป็นอาณาจักรของพระพุทธเจ้า “พุทธจักร” สิ่งที่พุทธจักรเกิดขึ้นมา จิตดวงนี้เกิดตายๆ มาตลอด มันเศร้าหมองมาตลอด มันเศร้าหมองนะ มันเศร้าหมอง มันเกิดในที่ทุกข์ที่ยาก เกิดในที่สุขสบายขนาดไหนมันก็ต้องเวียนไป เพราะมันเป็นอยู่ในวัฏฏะ มันเป็นสมมุติทั้งหมด

จริงตามสมมุติ สมมุติมีอยู่นะ สภาวะนี่มนุษย์ไม่มีได้อย่างไร มนุษย์ก็มี สิ่งนี้ก็มี แต่มันสมมุติ สมมุติคือของชั่วคราวไง จริงตามสมมุติ ของชั่วคราว ของมีอยู่ จริงตามวิทยาศาสตร์นี่จริงตามสมมุติ นี่ความร้อนเกิดขึ้น ความร้อนเราไปจับความร้อน ความร้อนลวกมือเรา ความร้อนเกิดขึ้น ความร้อนก็ตั้งอยู่ ความร้อนก็ดับไป แต่ผลที่มันลวกมาจากมือ มือเป็นแผลพุพองขึ้นมานี่ มือนี้ต้องไปรักษาอีก เพราะมันเป็นแผลเกิดขึ้นจากความร้อนนั้น สิ่งที่ความร้อนทำให้มือนี้ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นสภาวะแบบนั้น มันมีอยู่สภาวะแบบนั้น ความร้อนเป็นอย่างนั้น สิ่งที่มีอยู่ นี่สมมุติเป็นแบบนั้น มีอยู่โดยชั่วคราวๆ แต่ชั่วคราวมันเวียนไป มันไม่คงที่ไง แต่พุทธจักรมันคงที่ วิมุตติพูดถึงไม่ได้ ถ้าสิ่งที่เป็นวิมุตติพูดได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องอธิบายไว้หมดแล้ว ถึงที่สุด อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ พอพ้นจาก ๑ ไป พุทธจักรเป็นอย่างนั้น เพียงแต่เป็นบุคลาธิษฐานไง

ถ้าบอกว่า “พุทธจักร” นี้ก็คือการพูดผิด เริ่มตั้งแต่อ้าปาก เริ่มตั้งแต่แสดงธรรมนี่ เป็นของที่เป็นสมมุติบัญญัติทั้งหมดเลย สิ่งนี้สมมุติบัญญัติเพราะอะไร เพราะใจมันเสวยไง ธาตุรู้นี้ ตัววิญญาณธาตุรู้นี้ พลังงานของธาตุรู้นี้ มันเสวยความรู้สึก เสวยออกมา

อย่างที่ว่าเป็นทิพย์ เทวดาเขาสื่อความหมายกันอย่างไร ในเมื่อเขาไม่มีร่างกาย เขาสื่อความหมายกันได้อย่างไร มันเป็นภาษาของใจไง แต่ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ มนุษย์เรานี่ ภาษาหนึ่งก็เป็นส่วนหนึ่ง แล้วก็แปลไปอีกภาษาหนึ่งเป็นภาษาหนึ่ง ความเป็นภาษาหนึ่งเป็นภาษาต่างๆ สมมุติทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นสมมุตินี่เป็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าบอกว่าพุทธจักรมันมีอยู่ มันเป็นสิ่งที่ผิด สิ่งที่ว่ามันเป็นอัตตา สิ่งที่เป็นอัตตามันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร นี่ถ้าเขาจะโต้แย้งอย่างนี้ก็ได้ แต่เพียงบอกว่าพุทธจักรเหมือนถึงเป้าหมายไง เหมือนกับเราจะไปถึงที่หมายของเรา ที่ไหนเป็นที่หมายของเรา เราก็ไปถึงตรงนั้น นี่ถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมอันนี้ถึงให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพุทธจักร อาณาจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมไว้

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตัวของศาสนาคือศาสนธรรม ตัวของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้เข้าไป ทำให้จิตใจดวงนั้น ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มันเป็นสมมุติ มันเป็นบัญญัติอยู่ มันหมุนไป มันเป็นสมมุติบัญญัตินะ แต่มันมีธาตุรู้อันหนึ่งที่เป็นความอัศจรรย์มาก ที่ไม่เคยบุบสลาย สิ่งนี้มันอยู่ มันอยู่ในใจดวงนี้ เกิดตายๆ ไป มันถึงเป็นสะสมคุณงามความดีที่เคยทำมากขนาดไหนมันก็สะสมลงที่นี่ บาปอกุศลใครทำขนาดไหนมันก็สะสมที่นี่

ทุกข์นี้มันถึงว่าเวรกรรมตัวนี้มันเป็นภวาสวะ เป็นที่รับภพไง รับคุณงามความดี รับความบาปอกุศล มันต้องรับรู้ตลอดไป สิ่งนี้มันถึงสะสมตรงนี้มา สิ่งที่ตรงนี้มา สิ่งนี้มันถึงไม่เคยตาย มันมีสภาวะแบบนี้ แต่ในสถานะที่มันเสวยสิ เวลามันเกิดสถานะอีกสถานะหนึ่ง แล้วก็เวียนไปอย่างนั้น ธรรมะเข้าไปกำจัดตรงนี้ไง กำจัดสิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่ว่าเป็นสิ่งที่สะสมอันนี้ไง

สิ่งที่สะสมหลุดออกไป พ้นออกไป แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ในประวัติหลวงปู่มั่น ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนหลวงปู่มั่นล่ะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นรำพึงว่า “พระสมัยพุทธกาล เขาห่มผ้ากันอย่างไร ผ้าตัดอย่างไร ใช้สีอะไร แล้วสิ่งที่ว่ามาได้อย่างไร” นี่มาในประวัติของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกประวัติ แม้แต่หลวงปู่มั่นตอนนั้นท่านยังไม่สิ้น ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ยังสงสัยว่า ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้วมาได้อย่างไร

คำตอบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า “มานี่มาโดยสมมุติ”

“อ้าว! มาโดยสมมุติได้อย่างไร ก็สมมุติบัญญัติมันไม่มีแล้ว วิมุตติมันออกไปแล้ว”

นี่ก็การสะสมบุญญาธิการอันนี้ มันสะสมไปอย่างนั้น นี่จิตมันปล่อยสมมุติ ปล่อยบัญญัติหมด เวลาตายไป สอุปาทิเสสนิพพาน คือธาตุขันธ์ที่มันมีอยู่นี่ เวลาทิ้งไปจิตนี้เป็นวิมุตติออกไป วิมุตติอะไร? นี่มันขาดมีไง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ถ้ามันขาด กิเลสขาดออกจากใจหมด ทำไมจำพ่อได้ล่ะ ทำไมจำลูกได้ จำคู่ของท่านได้ สิ่งนี้เป็นสัญญา สิ่งนี้มีอยู่ แต่มันขาดออกไป มันขาดแล้วมันเสวยได้

ถึงว่า มโนสัญเจตนาหาร ช่องทางอันนี้ออกมา สื่ออันนี้มาได้ ถึงมีอยู่ ถึงว่าเป็นพุทธจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่ถ้าเราพูดกัน เราเอ่ยปากกันนี่มันเป็นกิริยานะ มันเป็นสิ่งที่สื่อกันมา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นตัวตนขึ้นมา มันมีขึ้นมา มันถึงว่าเป็นความผิดพลาด

แต่เวลาพระเราปฏิบัติ พระอัญญาโกณฑัญญะ ครูบาอาจารย์เราปฏิบัติขึ้นไป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมลงที่ใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงมีพุทธจักร นี่สังฆจักรของเราเกิดขึ้นมา เราก็มีของเราขึ้นมา แต่ศาสนธรรมอันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามีอยู่ มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่คงมีอยู่ ทฤษฎีคือความเป็นไป เหตุและผลอันนี้มีอยู่ แล้วใจดวงนี้เข้าไปสภาวะแบบนั้น แล้วทำสิ่งสภาวะแบบนั้นออกมา ใจนี้พ้นออกไป

ถึงว่าพุทธจักรก็คือใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังฆจักรก็คือใจของสาวก สาวกะ ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง จักรอันนี้ อาณาจักรอันนี้ อาณาจักรที่มันไม่เคลื่อน อาณาจักรที่มันเป็นไปไง ถึงบอกว่าสิ่งนี้มันมีอยู่กับใจดวงนั้น

ตัวที่มันมีอยู่โดยที่มีกิเลส มันก็เวียนตายเวียนเกิด ในเมื่อชำระอันนี้สิ้นสุดไป มันก็มีอยู่โดยสภาวะของมัน แต่มีอยู่ที่สื่อไม่ได้ มีอยู่เพราะมันเป็นสมมุติไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ว่าเข้าใจกันโดยผู้ที่พ้นออกไปจากกิเลส แล้วเข้าใจอันนี้เลย แล้วอันนี้มันจะไม่เวียนกลับอย่างมาเกิดมาตายอีก

อย่างที่ว่าพระโพธิ์สัตว์ เกิดตายๆ มาเพื่อจะสร้างสมบารมี สร้างคุณงามความดี ดีและชั่วถึงที่สุดก็ต้องทิ้งเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมามาก ถึงได้เป็นพุทธวิสัย ปัญญาจะกว้างขว้างมาก จะรู้ทุกอย่างไปหมดเลย ถึงจะเกิดครั้งหนึ่งหนหนึ่ง แต่เราเป็นสาวก สาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าเราเกิดมาพบพุทธศาสนาอย่างนี้ แล้วศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้ เจริญรุ่งเรืองนะ ถ้าเจริญรุ่งเรือง

ตู้พระไตรปิฎก ดูหนังสือเขาพิมพ์กัน เขาเก็บเอกสารกัน จากในเมืองจีน ๓,๐๐๐ ปี ๔,๐๐๐ ปี ที่เขาพิมพ์ใส่เยื่อกระดาษ ใส่สิ่งต่างๆ เขาเก็บมาได้ขนาดนั้น สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เก็บขึ้นอยู่ สิ่งที่เป็นพระไตรปิฎก นี่ศาสนาเจริญ เจริญที่ตำรับตำรา มันเจริญขนาดไหน เขาพิมพ์ขนาดไหน เขาพิมพ์จนล้นโลกก็ได้ แต่ความเข้าใจหัวใจที่ว่าตีความหมายอันนั้นออกไง

เราตีธรรมอันนั้นออก แล้วธรรมอันนี้เข้ามาในหัวใจของเรา นี่สภาวธรรมอันนั้นเราตีออก ตีออกคือมันเป็นความเข้าใจ เป็นจินตมยปัญญา จินตะคือความเข้าใจอย่างนั้น แล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เห็นตามความเป็นจริงนะ ถ้าใจดวงนี้มันเข้าใจเห็นตามความเป็นจริง ถึงต้องทำสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจ

ศีล สมาธิ ปัญญา นี้สำคัญแน่นอน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ในพระไตรปิฎก ยืนยันไว้มากมายเลยว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา สิ่งนี้ต้องมีสัมมาสมาธิ ต้องมีสิ่งนี้ถึงเป็นมรรค ๘ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ความเป็นไป มรรค ๘ มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อมรรคเกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนยา ยาเสื่อมคุณภาพ มันจะรักษาโรคได้ไหม ถ้ายาเสื่อมคุณภาพมันรักษาโรคไม่ได้หรอก ยามันต้องมีคุณภาพของมัน มันต้องมีฤทธิ์ของมัน มันถึงจะทำลายโรคได้ ทำลายโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามรรคมันสมดุลของมัน มันพอตัวของมัน มันจะชำระกิเลสได้ ถ้ามรรคไม่สมดุลของมัน เราไปเห็นยา ยามันก็เสื่อมคุณภาพ เราก็กินยาที่เสื่อมคุณภาพ เราว่าเรากินแล้วเราพอใจแล้ว นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เมื่อมรรคมันไม่รวมตัว ในเมื่อความเป็นไปของอริยสัจมันเกิดขึ้นไม่ได้ตามความเป็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้ามันรวมตัวกันเกิดขึ้นมา นิโรธะ ความดับทุกข์

เวลาเราหนาวขึ้นมาเราห่มผ้ามันก็อบอุ่น มันก็ดับทุกข์เหมือนกัน นี่นิโรธะ นิโรธะเกิดอย่างนี้เหรอ ในเมื่อเราเกิดขึ้นมา เรามีความทุกข์ เราปล่อยวาง เราก็ว่าเป็นนิโรธะ เห็นไหม นี่ยามันเสื่อมคุณภาพไง คุณภาพมันไม่ถึงกับที่มันจะรักษาโรคได้ มันกินเข้าไป มันมีความเข้าใจว่ากินเข้าไปแล้ว นี่เรากินยาแล้ว นี่ก็เวลามันปล่อยวาง ใจมันมันปล่อยวางแล้ว เราเข้าใจว่าปล่อยวางแล้ว

ปล่อยวางโดยความเห็นของเรา ปล่อยวางโดยความที่เราไม่เคยพบเคยเห็น แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความปล่อยวางของมัน มันสมุจเฉทปหาน มันรู้จักความเป็นจริงของมันว่าจิตนี้มันปล่อยของมัน จากสักกายทิฏฐิ ปล่อยออกมาจากสังโยชน์ ปล่อยออกมา จิตนี้เป็นอันหนึ่ง กายที่จริงอันหนึ่ง ขันธ์จริงอันหนึ่ง ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นความจริงหมด

โลกของเขา เขาก็จริงของเขาอันหนึ่ง ถึงจะเป็นสมมุติ แต่เป็นชั่วคราว ก็จริงตามสมมุติชั่วคราว แสงแดดออกมาแล้วนี่ มันแผดเผามามีความร้อน มันก็ความร้อนชั่วคราว เวลาพระอาทิตย์ตกไป แสงแดดมันไม่มี มันก็ชั่วคราว สิ่งที่ชั่วคราวมันจริงทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นความจริงทั้งหมด แล้วมันก็ต่างอันต่างจริงของมัน มันไม่คละเคล้ากันไป เพราะใจเราไม่ไปผูกมัด ใจเราไม่ไปยึด ไม่เป็นต้นเหตุไปรวมตัวมันเข้ามาให้มันกดถ่วงหัวใจ นี่สิ่งนี้มันปล่อยวางหมด นี่สังฆจักรและพุทธจักรอันนี้

มันถึงว่าต่างอันต่างจริงกับสภาวะของโลก มันไม่ถึงไม่มาเวียนในวัฏฏะอันนี้อีกเลย นี่มันจะเป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสุขแบบวิมุตติสุข สุขแบบคนที่อิ่มพอ ไม่สุขแบบเราหรอก สุขแบบเรามันสุขแบบสมมุติไง สุขแบบพลังงานของแสงแดด เวลาแสงแดดมันร้อนขึ้นมา มันก็แสดงตัวว่าเป็นความร้อน นี่ก็เหมือนกัน สุขมันพอใจ มันก็แสดงตัวอย่างนั้น เดี๋ยวแสงแดดมันมอดไป นี่ก็เหมือนกัน สุขในเวทนา ทุกขเวทนามันเกิดอย่างนี้ มันเกิดับๆ อยู่อย่างนี้ แต่อันนั้นเป็นวิมุตติสุข ไม่ต้องอาศัยแสงต่างๆ ไม่ต้องอาศัยอะไรทั้งสิ้น มันอิ่มในตัวมันเอง มันพอใจในตัวมันเอง นี่พุทธจักร จักรอันนี้เป็นบุคลาธิษฐาน

แต่ถ้าบอกเป็นพุทธจักรเป็นอันที่อยู่นี่ มันก็เป็นการโต้แย้งกัน สิ่งที่เป็นบุคลาธิษฐานนี้เป็นตัวอย่าง เป็นเป้าหมายเพื่อจะให้เราเดินเข้าไปถึงตรงนั้นไง นี่เข้าไปถึงใจของเรา เข้าไปถึงสังฆจักร สาวกสาวกะ สาวกสาวกะที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเกิดขึ้นมาในหัวใจเรานะ เอโก ธัมโม จิตอันนี้เป็นหนึ่งเดียว

สิ่งนี้เป็นเป้าหมาย สิ่งนี้เป็นความสุข เป็นเป้าหมายในศาสนาพุทธของเรา นี่เป้าหมายของเรา เราทำบุญทำกุศล เราสร้างบารมีมาก็เพื่อเหตุนี้ เพื่อเราจะไห้เราสุขสบาย เพื่อให้เกิดขึ้นถึงตรงนั้น แต่จะทำขนาดไหนก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วต้องผ่านการประพฤติปฏิบัติ ต้องมาปฏิบัติตรงนี้ แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้ตามความเป็นจริง เอวัง