ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความคิดเกิดดับ

๙ ก.ค. ๒๕๕๒

 

ความคิดเกิดดับ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความคิดเกิด ถ้าพูดถึงให้เราอธิบายมันมายาวไกลมากเลย ความคิดเกิด ความคิดดับ ปฏิสนธิจิต เวลาปฏิสนธิจิตมาเกิดในไข่ออกมาเป็นมนุษย์ มันก็มีธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของจิตมันก็คิดเป็นธรรมดา พอมันคิดเป็นธรรมดาใช่ไหม ธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของโลก ของวัฏฏะมันเป็นอย่างนั้น เพราะต้องมีการสื่อสาร

ทีนี้การสื่อสารภาษาอะไรของมัน นี่พูดถึงธรรมชาติก่อน พอพูดถึงธรรมชาติปั๊บพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งมันมีอยู่แล้ว เจ้าลัทธิทั้งหลายที่เขาว่าเป็นศาสดาเป็นพระอรหันต์ เขาเข้าฌานสมาบัติกันทั้งนั้น นั่นก็ความคิดเกิด ความคิดดับเหมือนกัน

ถ้าไม่ดับมันจะเข้าฌานสมาบัติได้อย่างไร แต่การเกิดการดับของเขา เขาไม่รู้ตัวนะ เขาไม่รู้หรอกว่าการเกิดการดับนี้ทำอย่างไร การเกิดการดับนี้ได้ประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าก็ไปศึกษาของเขามาหมดแล้วแหละ ไปศึกษามาหมดแล้วมันไปไม่ได้เห็นไหม

ดูจากอาฬารดาบสเห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะเข้าฌานสมาบัติได้เหมือนเราเป็นอาจารย์สอนได้ เข้าฌานสมาบัตินะมันมีความคิดไม่ได้ มีความคิดมันจะนิ่งได้อย่างไร

เราถึงบอกว่าฌานสมาบัติเข้าความว่าง ๘ ระดับ รูปฌาน อรูปฌาน ความว่างของปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เห็นไหม มันความว่างตั้ง ๘ ระดับ

ความว่างอย่างนั้นมันหยุดหมด หยุดอย่างนั้นแล้วความคิดเกิดดับไปไหน ความคิดเกิดดับบอกไม่รู้เรื่อง ความคิดเกิดดับเพราะเขาทำฌานสมาบัติ เขาทำความว่าง ๘ ระดับของเขาเข้าๆ ออกๆ แล้วความคิดเกิดดับเขาเห็นไหม เขาไม่รู้เรื่องของเขานะ เขาไม่รู้เรื่องของเขา แต่เขาคิดว่ามันเกิดดับ เขาคิดว่าเขาได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เขาคิดว่าเขาเป็นพระอรหันต์กันนะ

ถ้าเขาไม่คิดว่าเขาเป็นพระอรหันต์ อาฬารดาบสจะบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้ เหมือนเรา เห็นไหม มีความรู้เหมือนเรามีความสามารถเหมือนเราสอนลูกศิษย์ได้ การเกิดการดับของผู้ที่ปฏิบัติของเขา เขายังไม่รู้เรื่องของเขาเลย มีแต่พระพุทธเจ้ามาพิจารณาของท่าน

ตั้งแต่ปฐมฌานเห็นไหม เข้าถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณเห็นไหม เหมือนกับคอมพิวเตอร์ เราคีย์เข้าไปถึงข้อมูลแล้วมันจะเปิดออกมา นี้เข้าถึงจิต คอมพิวเตอร์ก็เป็นคอมพิวเตอร์สิ แต่นี่พวกเราเป็นจิต จิตมันเข้ามา เราจะบอกการเกิดดับไง แล้วเข้าถึงข้อมูล ข้อมูลมันมีข้อมูลของมัน

อ้าว เมื่อชาติที่แล้วโยมเป็นอะไร ชาติก่อนนั้นโยมเป็นอะไร พอโยมเป็นอะไรนี่แหละ มันสะสมมา สะสมมาแต่ละชาติๆ มานี่ มันทำให้เราเปลี่ยนแปลง มันพอกพูนความดีและความชั่วไง ถ้าคนพอกพูนความดี นี่ไงพระโพธิสัตว์ก็พอกพูนความดีมาเห็นไหม มันสะสมความดีมา สะสมความดีมา พระโพธิสัตว์ไง สะสมความดีมา

แต่ไอ้พวกมหาโจรมันสะสมความชั่วมา แต่ส่วนใหญ่ของคนมันสะสมทั้งดีและชั่วมาเพราะมันไม่แน่นอนเห็นไหม นี่บอกไปเห็นข้อมูล เราบอกว่าการเห็นข้อมูลอย่างนี้ ไปเห็นข้อมูลเชิงลึก ไม่ใช่เกิดดับนะ เกิดดับคือความคิด แต่ข้อมูลมันลึกกว่าเกิดดับ

แต่เราจะพูดตรงนี้ขึ้นมาบอกว่า การเกิดดับมันมีรากฐานมาจากตรงนี้ นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ

แล้วพูดถึงเวลาจุตูปปาตญาณเห็นไหม ข้อมูลมันมีอยู่แล้ว แต่เรายังชำระของเราไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน ข้อมูลมันมีอยู่แล้ว คือข้อมูลของเรา ประสาเราว่ากิเลส หนี้สินมันมีอยู่แล้ว มึงต้องใช้ตลอดไป ใช้ตลอดไปมึงใช้โดยอะไร

โดยข้อมูลของมันคือทำกรรมดีกรรมชั่วเดี๋ยวมันก็เกิดจุตูปปาตญาณ เดี๋ยวมันก็เกิดอีก นี่พระพุทธเจ้าครบองค์ของพระพุทธเจ้าคือ วิชชา ๓ แล้วก็กลับมาอาสวักขยญาณเห็นไหมมันก็ดับตรงนี้ไง

การที่ว่าอาสวักขยญาณนี่ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ อาสวักขยญาณ ญาณชำระกิเลส ความคิดเกิดจากข้อมูล เกิดจากการกระทำตรงนี้ทั้งหมดเลย ความคิดมันมาจากไหน ความคิดมาจากภพ มาจากจิต เกิดเป็นภพ แล้วภพมาเกิดเป็นเราแล้ว มันถึงมีความคิด

แล้วไม่มาเกิดเป็นเราแล้วมันไปไหน เห็นไหม มาเกิดเป็นเราแล้วมันก็มีภพอยู่ พอมีภพอยู่ ภพอันนั้นที่ว่ามันต้องเกิดตายอยู่ เราจะบอกว่า ความคิดก่อนที่จะว่าความคิดเกิดดับ มันต้องมีที่มาของความคิดเกิดดับก่อน แล้วความคิดเกิดดับ เหมือนเรานั่งอยู่ ๓ คนคิดไม่เหมือนกันนะ

มึงเอาแก้วมาตั้งอยู่ตรงนี้ ของเราอร่อยอยู่คนเดียวไอ้ ๒ คนนั้นไม่ได้กิน แล้วความคิดต่างกันไหม อยู่ด้วยกันมันก็คิดอีกอย่างหนึ่ง เราจะบอกว่าแม้แต่มุมมองเหตุการณ์อันเดียวกัน เราก็ยังคิดต่างกันเพราะมันมาจากข้อมูลของเรา

นี่ก็เหมือนพระพุทธเจ้ามาถึงอาสวักขยญาณมาชำระกิเลสแล้ว พอชำระกิเลส คนชำระกิเลสใช่ไหมข้อมูลก็มี เหตุให้กระตุ้นข้อมูลก็มี ข้อมูลคือข้อมูลเฉยๆ นะโว้ยไม่ใช่กิเลสนะมึง กิเลสคือตัณหาความทะยานอยากนะโว้ย

ทีนี้ข้อมูลอันนี้มันสะสมมา มันกระตุ้น พอกระตุ้นขึ้นมาแล้ว มันกระตุ้นที่ความคิด ความคิดมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เราเริ่มต้นตั้งแต่การเกิดเห็นไหม การเกิดการตาย การเกิดการเวียนอยู่ในวัฏฏะ ทีนี้ข้อมูลอันนี้มันกระตุ้น พอกระตุ้นขึ้นมามันก็เป็นตัณหาทะยานอยาก

แต่พระพุทธเจ้า เพราะกระตุ้นในทางบวกเพราะว่าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มาเห็นไหม กระตุ้นในทางบวก ในทางบวกนี้มันก็แก้ไขจนถึงที่สุดกระบวนการของมัน ชำระ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ มันก็มีวิชชา มรรคญาณมีวิชชาเข้าไปทำลายอวิชชา

พอพระพุทธเจ้าทำถึงที่สุดแล้วสิ้นสุดกระบวนการ พั้บ! เป็นพระอรหันต์ กิเลสตายหมด ความคิดก็ยังมีอยู่ ความเกิดตายก็ยังมีอยู่

นี่ไงเกิดดับๆ ต่างกันอย่างไร การเกิดดับโดยที่เขาพูดกัน โดยฌานโลกีย์ โดยฤๅษีชีไพรโดยสิ่งที่เราไม่เข้าใจ เขาเรียกว่าการเกิดดับ คือมันสิ้นสุด การเกิดดับคือมันจบไง

แต่พระพุทธศาสนาไม่ใช่ พุทธศาสนาไม่ใช่ การเกิด การดับมันต้องมีเหตุมีที่มาที่ไป พอมีเหตุที่มาที่ไปแล้วเราเข้าไปทำกระบวนการล้างมันจนสิ้น

การเกิด การดับก็มีอยู่แต่กิเลสตายไป ถ้าการเกิด การดับไม่มีเลยพระพุทธเจ้าจำสามเณรราหุลได้ไหม จำนางพิมพาได้ไหม อันนั้นคืออะไร

โยม : สัญญา

หลวงพ่อ : เออ ก็สัญญาคือสัญญาข้อมูลเก่าไง

โยม : ข้อมูล แต่ว่าไม่มีกิเลส

หลวงพ่อ : เออ ก็ไม่มีกิเลส แต่พวกเรามีกิเลส พวกเราจึงจำนางพิมพาได้ โอ๋ ของกูนะ ใครห้ามยุ่งนะ แต่นี่ท่านจำได้ พิมพาก็คือพิมพา เราก็คือเรา แต่เราจะช่วยเหลือเขา เราจะเกื้อกูลเขา นี่ไง ที่ว่าเกิดดับมันต่างกันอย่างไร

การเกิดดับเรามองมาที่การเกิดดับที่เราพูดเห็นไหม ที่เขาเอาคำพูดเรา เขาเอาคำพูดเราไปใส่ในเว็บไซต์ไงว่า พระสงบพูดถูก เขาเอามาให้เราดูอยู่ ว่าพระสงบพูดถูกนะ ว่าการดูจิตเหมือนกับดูเสาไฟฟ้า เหมือนดูไฟฟ้าเกิดดับไง เพราะการดูจิตที่เขาคิดกัน ที่เขาพูดกันเราเห็นอยู่แล้ว

ถ้าเอ็งเข้าใจว่าการเกิดการดับมันพิจารณาของมัน ดูไว้เฉยๆ เราเปรียบเหมือนกับรูปธรรมเหมือนเป็นแร่ธาตุไง ที่เขาโพสเข้ามาในกระบวนการที่เขาโต้เถียงกัน เขาบอกว่าพวกเราเหมือนพระป่าเน้นการทำจิตสงบ แล้วพิจารณากายที่ว่า เขาบอกว่าการดูกายมันก็เหมือนปอเต๊กตึ้งไปเก็บศพมันจะได้อะไรวะ

เราบอก แหม พูดอย่างนี้ถูกใจกูฉิบหายเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกูก็จะพูดว่าการดูจิตก็เหมือนกับการเก็บศพนี่แหละ กูจะพูดให้เป็นวัตถุธาตุ เป็นวัตถุเป็นรูปธรรมที่เอ็งทำกันอย่างนั้น การเกิดการดับที่เห็นการเกิดการดับ ก็เหมือนกับเราดูไฟเกิดดับ เราดูยังดีนะเพราะเราดู

แต่เสาไฟฟ้ามันไม่มีใครดูมันเป็นพลังงานเฉยๆ ไม่มีชีวิต แต่เพราะมนุษย์เราคิดขึ้นมาว่า ถ้าแสงมันสลัวลง แสงไฟฟ้ามันจะสว่างขึ้น พอแสงแดดมันสว่างขึ้นมาไฟก็ดับเองเห็นไหม ไอ้เสาไฟฟ้ามันก็เกิดดับเหมือนกัน มันก็เป็นวัตถุใช่ไหม มันก็เป็นสสารอันหนึ่งใช่ไหม

แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาอย่างนั้น เพราะการเกิดการดับมันเกิดจากจิต เกิดจากภพ เราถึงพูดบ่อยเราพูดประจำเลยว่า ความคิดเกิดดับ ยิงจรวจเขาจะปล่อยยานอวกาศเขาปล่อยมาจากฐานยิงของมัน

ความคิดมันคิดมาจากไหน มันเกิดที่ไหน และมันดับที่ไหน และมันทิ้งอะไรไว้บนหัวใจมึง เห็นไหมความคิดมันเกิดมาจากไหน คอมพิวเตอร์มันมีพลังงานของมัน มันถึงพร้อมเพราะมันมีข้อมูลของมันใช่ไหม แต่ความคิดคนตายคิดได้ไหม

เราไปคิดกันเองว่าว่าง แล้วความคิดมาจากไหน เพราะอะไรเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องจิตไง เขาไม่เข้าใจเรื่องสมาธิเขาปฏิเสธเรื่องสมาธิไง เขาปฏิเสธเรื่องภพชาติไง เขาคิดว่าพวกเราด้วยปัญญาชนนะ เขาคิดว่าธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ไง เราเป็นปรมัตถ์ เราเกิดมาจากธรรมชาติ เราเข้าใจธรรมชาติ แล้วเพราะอะไรของมึงล่ะ แล้วกรรมของมึงล่ะ

แต่พอเราคิดอย่างนั้นได้ เราคิดธรรมะไง กึ่งๆ ไง ตัวเองว่าตรึกในธรรมะ แต่คิดแบบวิทยาศาสตร์ เห็นไหมวิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎีกระบวนการที่เราคิดได้ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราก็คิดว่าธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด การเกิดก็เป็นธรรมชาติ

เราเจอพระฝรั่งมาบวชถามว่ามึงเกิดมาจากไหน เขาก็บอกเกิดจากธาตุ ๔ เขาคิดว่าเขาพูดปรมัตถธรรมนะ แต่ความจริงมันไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเราคุยกันใช่ไหม เราเกิดมาโดยสมมุติมันเป็นจริงตามสมมุติ เราจะคุยกันเรื่องสัจจะในภพในชาตินี้ มึงเกิดมาจากไหน เราเกิดจากพ่อแม่

เคยถามว่าพ่อแม่เป็นใคร เคยถามอย่างนั้น เขาจะปฏิเสธว่าเขาเป็นปรมัตถ์ไง ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ เกิดจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วพ่อแม่มึงไม่มีเหรอ

นี่เรายกตัวอย่างนี้ขึ้นมาให้เห็น ที่ว่า เขามาดูจิตกัน เขาตัดตอนไง เขาตัดตอนเหมือนตัณหาความทะยานอยาก เขาทำว่าสิ่งที่มันเกิดดับ สิ่งที่มันมี แต่เขาตัดตอนเรื่องจิต เขาตัดตอนตามกระบวนการของมัน กระบวนการของมัน มันมีที่มาที่ไป แล้วตัณหาทะยานอยากมันอยู่ที่จิต จิตนั้นอวิชชาไงเพราะเราไม่รู้ไง

พลังงานนี้เราไม่รู้ตัวของมัน เหมือนไฟ ลองจุดไฟขึ้นมากองหนึ่ง ไฟมันรู้จักตัวเองไหม ไม่รู้หรอก เราเป็นคนจุดมัน ไฟมีชีวิตไหม ไฟมันรับรู้อะไรไหม ไม่รับรู้อะไรสักอย่างใช่ไหม ความคิดก็เหมือนกัน ถ้ามันคิดมาแล้วเหมือนไฟ แต่คนที่คิดใครเป็นคนคิดมัน เพราะเราจุดไฟ ถ้าไม่จุดไฟ ไฟมันจะเกิดได้อย่างไร แล้วแรงเสียดสีของความชื้นอะไรนั่นอีกกรณีหนึ่ง ไฟมันจุดขึ้นมาเอง ความคิดก็เหมือนกัน ใครจุดความคิดขึ้นมา

โยม : เราจุดเอง

หลวงพ่อ : แล้วเวลาดับขึ้นมา ก็ตามดับมัน เราจุดความคิดขึ้นมาเราก็ตามดับมัน นี่การเกิดดับไง ถ้าพูดถึงการเกิดดับโดยเฉพาะการเกิดดับเห็นไหม เราพูดอย่างนั้นปั๊บมันก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ไป เป็นเรื่องโลกไป

แต่พูดถึงธรรมะแล้ว การเกิดการดับนั้น มันต้องมีที่มาที่เกิดที่ดับ พระพุทธเจ้าถึงบอกไง “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ตอนนี้เขาคิดเป็นวิทยาศาสตร์เลย ดูเกิดดับ ดูความว่าง ดูความปล่อยวาง ไม่ปล่อยวาง กูฟังอย่างไร ก็ว่ามึงยังไม่เข้าถึงกิเลส มันไม่ชำระกิเลส เพราะอย่างเรา เราพูดไปว่าเราไม่รู้จักพ่อแม่เรามึงบ้าหรือ

เราเกิดมานี่ เราก็ว่าเรามีการงานทำแล้วใช่ไหม เราเกิดมาแล้วเรามีการศึกษาแล้ว เรามีหน้าที่การงานแล้ว เรามีเงินจับจ่ายใช้สอยแล้ว เราลืมพ่อแม่เราไปเลยเหรอ แต่เวลาเราไปพูดกับเขา เขาบอกว่าไม่ใช่ๆ ไม่ได้คิดอย่างนั้นมันก็ต้องมีไป เวลาเขาว่า เขาก็ต้องมีปัญญา ก็ต้องมีการศึกษาไปถึงจิต ต้องมีสมาธิ ต้องมีสมถะ มีอะไรสรรพเพต่อไปล้านสี่

มันพูดแบบนี้ต่อเมื่อคนรู้ทันมัน ตบหัวมันแล้ว แต่ถ้าไม่มีคนรู้ทันไปคอยจิกมันนะ มันก็จะพูดธรรมะแบบวิทยาศาสตร์แจ้วๆๆ ไปเลย เป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่มีราก นี่พูดถึงการเกิดดับ ถ้าพูดถึงการเกิดดับ ก็ตอบพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกมันก็จบ เกิดดับไง

เปิดไฟ เปิดก็ติด ปิดก็ดับ เกิดดับพูดแบบวิทยาศาสตร์ใช่ไหมแต่ธรรมะมันไม่ใช่ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้ามาเกิดชาตินี้หรือ พระพุทธเจ้ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม ก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเคยเกิดเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น แล้วพระพุทธเจ้าสร้างบุญบารมีมา

ถ้าเราบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน แล้วเขานั่งสมาธิเราก็นั่งสมาธิกัน นั่งตะบี้ตะบันเข้าไป อีกคนหนึ่งสร้างบารมีมาก็นั่งได้ อีกคนหนึ่งก็นั่งสมาธิเท่าไรก็นั่งไม่ได้ เพราะเขาสร้างมาทางอื่นเห็นไหม เขาเดินจงกรมก็ได้ เขาจะปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ มันมีทางไปของมัน

อันนี้พูดถึงเกิดดับ เกิดดับในกรณีไหนล่ะ ถ้าคิดว่าการเกิดดับแล้วอธิบาย การเกิดมันไม่มีหรอก คำว่าไม่มีเพราะมันไม่มีที่มันจะตัดตอนได้ หลวงปู่ดูลย์พูดอย่างนี้

หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม

หลวงปู่ดูลย์พูด เราฟังแล้วเราชัดเจนมากนะ ความรู้สึกเป็นรูปเพราะมันคิดขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกเป็นรูปความคิดเป็นนาม อันนี้มันคืออวิชชาเลยนะ หลวงปู่ดูลย์น่ะของจริง แล้วพูดถูกด้วย มันไม่มีอะไรเลยโลกนี้ มันมีรูปและนาม แต่รูปและนาม รูปนามรูปจากภายนอก รูปของเรา รูปร่างกายนี้มันออกมาเป็นสถานะเป็นการเกิดแล้ว

ร่างกายของคนสิ้นกิเลสไม่ได้สิ้นด้วยจิต จิตที่มันจะคิดจิตที่จะเกิดดับ รูปคือการเกิด นามคือความคิด นามธรรม นามก็คือดับ แล้วก็เกิดรูปใหม่ มีรูปกับนามแล้วหมุนไป หลวงปู่ดูลย์พูดไว้นะมีรูปกับนามเท่านั้น

พอมีรูปมีนามแล้วมันก็รับรู้เหมือนกับขั้วบวกขั้วลบ มีขั้วบวกขั้วลบก็มีพลังงาน มีนามมีรูปมันก็มีความคิด หลวงปู่ดูลย์พูด เราฟังหลวงปู่ดูลย์มาเยอะแล้ว แล้วถูกหมด แต่เวลาคนไม่เป็นมาพูดตัดตอนอย่างที่เราว่าเมื่อกี้นี้

ถ้าคนเป็นมันเหมือนเรา มันรู้จักที่มาที่ไปเห็นไหม รู้จักถิ่นกำเนิด รู้จักมีบุญมีบาป เราพูดถึงเกิดดับ นี่มันดีตรงไหนรู้ไหม ดีที่ว่าเราคุยกันมาเยอะ มีพื้นฐาน ถ้าไม่เคยคุยมาเลย พวกนี้หาว่ากูบ้าแน่ๆ เลย เพราะอะไร ไอ้นี่ถามว่าเกิดดับไปไหน นี่เราพูดถึงธรรมะนี่ การเกิดดับนี่เราอธิบายให้ฟังให้เห็นเลย ไม่ใช่มันตัดตอนมา มันมาไม่ได้หรอก มันมีรากมีเหง้า

ทุกคนมีรากเหง้ามานะ จิตไม่เคยตาย มีรากมีเหง้ามามีวาสนามากหรือมีวาสนาน้อย ถ้ามีวาสนามากเห็นไหม พระสารีบุตรฟังพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าเทศน์ถึงหลานพระสารีบุตรที่จะมาต่อว่าพระพุทธเจ้าว่า เอาพระสารีบุตรมาบวช บอกว่า

“ข้าพเจ้าไม่พอใจสิ่งต่าง ๆ อะไรเลย”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอก็ต้องไม่พอใจอารมณ์และความรู้สึกของเธอด้วย”

พระสารีบุตรพัดพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหลัง เป็นพระอรหันต์เลย ดูเชาว์ปัญญาสิ เขาไม่ได้เทศน์ให้ตัวฟังนะ ก็กำลังโต้แย้งกับหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรเฝ้าอยู่ข้างหลัง

นี่เหมือนกันเราฟังเทศน์ ถ้าคนมีปัญญาฟังเทศน์ บางคนคิด โอ้โฮ ลึกซึ้งเข้าไปถึงใจ บางคนปวดหัว เมื่อไหร่จะเลิกสักทีจะกลับบ้าน เหนื่อยเต็มทีแล้ว

โยม : แล้วความคิดหยุดอย่างไรครับ

หลวงพ่อ : ความคิดหยุดนะมีสติ ความคิดหยุด ความคิดที่เราอธิบายถึงความคิด ความคิดของเราในการปฏิบัตินะความคิดมีความลึกซึ้งถึง ๔ ระดับ ความคิดของพระโสดาบัน ความคิดของพระสกิทา ความคิดของอนาคา ความคิดของพระอรหันต์ คำว่า ๔ ระดับนี้ จะบอกว่าความคิด โดยปกติความคิดดิบๆ ความคิดปุถุชน นี้ความคิดปุถุชนนะ ถ้าเราไม่หยุดเหมือนเครื่องยนต์ โยมก็ขับรถมา แล้วรถมันติดเครื่องตลอดเวลา แล้วเรารู้อยู่ว่า ถ้าติดไปเหมือนหม้อน้ำมันจะแห้ง หม้อน้ำมันจะเสีย แล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไร ต้องดับเครื่องไหม ความคิดของเรามันจะติดตลอดเวลา การจะติดตามความคิดไป นี่เห็นไหม มีสติตามความคิด ตามความคิดไป พอไปเห็นถึงความคิด เห็นถึงความบกพร่องของมัน เห็นถึงความให้โทษกับเรามันหยุดได้

โยม : แล้วตรงนี้ไม่ใช่ดับหรือครับ หยุดนี่ก็คือดับด้วยหรือเปล่า

หลวงพ่อ : ว่าไป ว่าให้จบก่อนมันดับเพราะอะไร

โยม : ก็อย่างเครื่องยนต์มันหยุด เราก็ดับเครื่องมันก็คือมันก็พร้อมกัน

หลวงพ่อ : รถยนต์มีเกิดดับใช่ไหมตอนนี้

โยม : คือนั่งๆ ไปแล้ว คือตอนพิจารณาความสวยอะไรอย่างนี้ คือไม่ได้เห็นเป็นภาพ คือเหมือนกับว่าเป็นความรู้สึก แล้วก็อยู่ดีๆ มันก็เหมือนจอทีวีค้าง

หลวงพ่อ : ดับ

โยม : แล้วคนดูก็ เหมือนคนดูก็เหม่อ เหมืนภาพค้าง คือมันไม่ใช่ภาพหายไปเลย มันเป็นภาพค้างแล้วมันเหมือนพยายามจะคิดต่อ แล้วมันก็ไม่ไป พอไม่ไปมันก็เหมือนกับว่าแฮงค์อยู่ระหว่างนี้ คราวนี้ก็มีคล้ายๆ กับว่า เหมือนมีอีกคนหนึ่งเดินมา แล้วก็มาดูที่จอ เอ๊ะ ทำไมจอมันค้าง แล้วก็มาดูที่คนดู เอ๊ะ คนดูมันก็เหม่อ เราเหมือนคนดู เราก็รู้สึก อุ๊ย มีคนมาแล้ว มันก็เลยเริ่มรู้ตัว หลวงพ่อ : อันนี้เป็นอาการของใจ อันนี้เป็นอาการของจิตนะ จิตพลังงานของมัน คิดเรื่องสวยๆ เราจะเริ่มต้นใหม่ คิดเรื่องสวย พอคิดเรื่องสวย มันจะไปเรื่อย สวยเพราะเหตุใด สวยเป็นอย่างไร สวยเราพอใจไหม เห็นไหมคิดเรื่องสวยไป

ทีนี้พอเราคิดเรื่องสวยไป ถ้าเรามีสติตามไป ที่มันแฮงค์มันหยุดได้ หยุด ถ้าไม่หยุดปั๊บ เพราะการปฏิบัติใหม่ เราแบบว่าวิชา อวิชชา เราคิดว่าสวย เราคิดว่าดี มันอวิชชาทำงาน โดยธรรมชาติของมนุษย์ พอเรามีสติตามไป วิชามันเข้ามา แล้ววิชชามันเข้ามาที่มันแฮงค์ เพราะว่าสติหรือการกระทำของเรา มันเป็นของใหม่ อย่างนี้แหละถูกแล้ว นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้าตามสติไปมันแฮงค์หรือถ้าปัญญาเราทันนะพิจารณาไป อะไรสวย สวยเพราะเหตุใด มันค้นไปเรื่อยๆ นะ ถ้าโดยวิทยาศาสตร์แล้วมันคิดได้ใช่ไหม ร่างกายมนุษย์ทุกชิ้นออกมาจากร่างกายแล้วหรือวางไว้ มันอยู่ไม่ได้หรอกมันต้องเน่าหมด มันเห็นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรายังมีชีวิตมนุษย์อยู่

ชีวิตมนุษย์จิตนี่คือพลังงาน พลังงานคือไออุ่นมันหล่อเลี้ยงอยู่ ร่างกายของเราเหมือนกับอาหาร ถ้าเราได้อุ่นกินตลอดเวลา มันจะไม่เน่าไม่เสีย ถ้ายังมีชีวิตอยู่ร่างกายยังอยู่ของมันได้ แต่ถ้าเราคิดเป็นวิทยาศาสตร์เห็นไหม พอมันทันปั๊บ มันเห็นโทษของมัน ถ้าหยุดอย่างนี้นะ หยุดเห็นไหม หยุดเดี๋ยวก็คิดอีกแป๊บเดียว นี่ยังดีนะ พอมันมีคนใหม่หยุดแป๊บเดียว มันจะคิดทันทีเลย แล้วก็ตามไปอีกเดี๋ยวก็หยุดอีก

โยม : คือเราพยายามจะคิดต่อแต่มันไม่ไป

หลวงพ่อ : ไปไม่ได้ มันยังไปไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนคนทำงาน อย่างเช่น เราเป็นนักเรียน เราจะเรียนภาพการปั้นจากศิลปะ เราเรียนการปั้น ทีนี้พอเรียนการปั้นเห็นไหม อาจารย์ที่สอนเขาหลับตาปั้นได้เลย เพราะเขาทำทุกวัน เราเรียนการปั้นพอเราขึ้นรูปได้ หรือขึ้นรูปได้แล้วมันหักหรืออะไรนี่แล้วเราทำไปไม่ได้ นี่เปรียบเทียบนะ จิตก็เหมือนกัน เราทำใหม่ๆ เรายังไม่ชำนาญ พอมันหยุดเหมือนกับเราทำงานแล้วเราปั้นขึ้นมา พอปั้นขึ้นมาแล้วครึ่งตัวเราไปไม่ได้ๆ นี่ไง

โยม : วัตถุประสงค์ในการที่ทำอย่างนี้ก็คือให้หยุดอย่างนี้หรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : อย่างนี้เราก็ไม่ต้องคิดต่อ ถ้ามันหยุดแล้วก็ดีแล้ว

หลวงพ่อ : หยุดแล้วก็ดีแล้วก็ถูกต้อง ทีนี้เพียงแต่เรายังไม่เป็นไง

โยม : เราพยายามจะไปคิดต่อเพื่อให้มันไม่หยุด

หลวงพ่อ : ถ้ามันหยุดนะ ถ้ามันหยุดแล้วเราเก็บผลผลประโยชน์ของการหยุดนั้นสิ ผลประโยชน์ของการหยุดนั้น ทำไมมันหยุดได้ ปัญญามันเกิดตรงนี้ ปัญญามันเกิดตรงที่ว่าความคิดของคน พลังงานมันไปตลอดเวลา แต่เพราะนี่มันเป็นโลกนะ นี่เป็นสัญชาตญาณเป็นศักยภาพของมนุษย์

แต่เพราะธรรมะที่เราคิดไปที่เราใช้สติตามไปคือธรรม ธรรมเพราะอะไร ธรรมก็คือสติปัญญา มีสติมีปัญญา สติปัญญาพอมันหยุดนั่น มันจะแว้บๆ เหมือนกับสมาธิ คำว่าแว้บๆ มันยังไม่เป็นสมาธินะมันจะเข้าสมาธิ สมาธิคือจิตหยุดนิ่ง จิตที่พุทโธๆ มันคือจิตหยุดนิ่งจิตมันจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

แต่ถ้าปัญญามันตามไปอย่างนี้นะมันหยุดนะแล้วมันควบคุมได้ด้วย ตามต่อไปนะมันจะหยุดอีก แล้วพัก ธรรมชาติของมันคิดทันทีเลย สติมันจะคิดใหม่เลย พอคิดใหม่ตามไปๆ ทำอย่างนี้คือปัญญาอบรมสมาธิตามความคิดไป ถ้าปัญญามันทัน คำว่าปัญญามันทัน มึงคิดทำไม มึงบ้าอะไร จนมันหยุดได้ๆๆ จนความคิดกับจิตคนละอันเลย

พระที่เราฝึกมาอยู่นี้ มันตามความคิดไปอย่างนี้ ใช้ปัญญาตามไปจนบางทีมันเหนื่อยเห็นไหม ใช้สติมันจะเหนื่อยมาก มันจะบอกเลย เฮ้ย ความคิดมึงพักก่อนสิ กูเหนื่อยฉิบหายเลย มันพูดอย่างนี้เลยนะ

โยม : ไอ้ตามที่หลวงพ่อว่า มันไม่ได้คิดเป็นเรื่องอย่างความสวยอะไรอย่างนี้ นี่คือตามเฉยๆ คือดูตาม

หลวงพ่อ : ใช่ ดูตามคือตามสติไป แล้วพอถึงที่แล้ว พอดูตามไป เดี๋ยวนะพอทำอย่างนี้ดูตามมันทันใช่ไหม พอตามไปมันรู้ทันกิเลสมันรู้ทันนะมันตามไม่ทันหรอก พอตามไม่ทันปั๊บเราใช้ปัญญา ใช้ปัญญาว่าคิดเรื่องอะไร คิดแล้วมีผลอะไร คิดเรื่องอะไร คิดแล้วผลมันให้โทษกับตัวเรามากน้อยขนาดไหน ถึงจะไม่ให้โทษเลยนะ ความคิดคือความคิดไม่ให้โทษกับใครเลยแต่ความคิดนี้มันเหนื่อยฉิบหายเลย

เราเองกระบวนการความคิดเกิดดับ เราจะควบคุมได้หมดเลย หรือการเกิดดับอย่างนี้นะมันจะทำให้จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นเพราะอะไร จิตตั้งมั่นเอ็งคิดสิ เราคิดว่าเราควบคุมความคิดเราได้ ให้คิดก็ได้ ไม่ให้คิดก็ได้ คำว่าไม่ให้คิดเพราะอะไร เพราะสติปัญญาเรายับยั้งมัน ยับยั้งมันเพราะอะไร เพราะเราจับต้องได้

ของในตู้เซฟถ้าคนไม่รู้รหัสเปิดไม่ได้ใช่ไหม แต่ของในตู้เซฟ ถ้าเรามีรหัส คือว่ารหัสคือสติปัญญา รหัสเราจับได้ เราจับจิตได้แล้ว เราล้วงเข้าไปในข้อมูลนั้นได้

นี่เหมือนกัน พอจิตมันจะคิดมันต้องมีที่มาที่ไปสิ พอมีที่มาที่ไปเพราะอะไร เพราะสติทัน สติตามไปมันก็รู้ทันตัวเอง ที่เราคิดกันอยู่นี่เพราะอะไรรู้ไหมเพราะว่าพลังงานคือตัวจิต สติมันเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต ไอ้ความคิดที่เกิดจากจิตมันเป็นสัญชาตญาณอยู่วงนอกที่เรายกประจำว่า ส้มกับเปลือกส้ม ตัวเนื้อส้มนี่คือตัวจิตนะ แต่ความคิดของพวกเราเปลือกส้ม

เปลือกส้มอาการของจิตมันครอบอยู่ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพราะธรรมชาติเราทำงานกันอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติที่ทำงาน ทำงานกันอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติของจิตที่นามรูปที่ว่าธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธรรมชาติของร่างกายมันเจริญเติบโตไปตามธรรมชาติของมัน

จิตที่อยู่ในร่างกายนี้ การทำงานของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือเปลือก ตัวพลังงานคือตัวจิต มันทำงานกันอยู่อย่างนี้ เราเองเราก็อยู่กับโลกอย่างนี้ ศึกษาธรรมะก็โง่ฉิบหายเลย เอาแต่ขันธ์ ๕ นี่ศึกษา เอาแต่ความจำไปศึกษา เอาแต่ความรู้มาคุยมาโอ้อวดกัน

แต่เรามีสติปัญญาตามเราไปเห็นไหม นี่ไม่ได้ศึกษานี่เป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเกิดแล้วพอข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมา หยุดนี่คือขันธ์ ๕ มันหยุด มันหมุนเห็นไหมมันหมุน ทำงานเหมือนๆ กัน แต่ว่ามันหยุดปั๊บ แต่มันหยุดหยุดไม่ได้เพราะเราเป็นคนสิ่งที่มีชีวิต มันต้องหมุนตลอดเวลา เพราะพลังงานของมัน เพราะมันเป็นสันตติ แต่มันหยุดไม่ได้ ธรรมชาติมันหยุดไม่ได้

แต่ที่สติปัญญาเราทันมันหยุดด้วยธรรม ธรรมะนี่หยุดได้ พอมันหยุดได้เราก็ทึ่งไง เราก็แปลกประหลาดไง พอแปลกประหลาดเพราะเพิ่งเจอเฉยๆ ไง แต่ฝึกเข้าไปบ่อยๆ ฝึกเข้าไป

โยม : แล้วอย่างการที่ใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ มันใช้หาคำตอบได้ไหมครับ

หลวงพ่อ : ก็คำตอบคือปัญญาไง มึงไล่เข้าไปสิ

โยม : ตกลงจุดประสงค์ไม่ใช่ให้หยุดหรือครับ

หลวงพ่อ : ใช่ จุดประสงค์คือต้องให้หยุด แต่นี้จุดประสงค์ให้หยุดนี่นะ จุดประสงค์ให้หยุด คำว่าปัญญาอบรมสมาธิจุดประสงค์ให้หยุด แต่หยุดแล้ว เขาถึงบอกพลังงานมันหยุดไม่ได้มันต้องหมุนไปเป็นธรรมดา ถ้าหยุดปั๊บ เพราะเราไปขืนมัน เพราะเราอยากให้หยุด เราเข้าใจว่าหยุดแล้วมันคือหยุดเลยใช่ไหม

แล้วพอมันเลยแฮงค์ เพราะธรรมชาติของมันต้องไปใช่ไหม แต่สติปัญญา เหมือนเราไปรั้งไว้ มันไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราเข้าใจเลยนะที่โยมพูดอย่างนี้ เพราะเราเคยเป็น พอเราไล่ความคิดของเราไปนี่แหละ เราไปถึงมันทันหมด มันก็หยุดหมด เราจับต้องมันได้ เหมือนกับเราจับวัตถุนี้ได้เลย

ธรรมดาเราคิดว่านามธรรมคือเป็นนามธรรมที่จับต้องด้วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม พอเราไปจับต้องได้เราก็งงมากเลย ว่าทำไมนามธรรมกูจับได้อย่างนี้หรือวะ ขึ้นไปถามอาจารย์

“อาจารย์ไหนว่าจิตเราไม่มีไงล่ะ ทำไมจิตมันจับต้องได้ขนาดนี้เลยล่ะ”

“แล้วใครบอกมึงว่าไม่มีล่ะ”

โอ้หงายหลังตึงเลย “มันมี” นี่จิตที่ว่าเป็นนามธรรม เราถึงโต้แย้งกับโลก ที่โลกเขาบอกว่าเป็นนามธรรม เราถึงยกพระสารีบุตรกับพระพุทธเจ้าเป็นประจำที่เขาคิชฌกูฏ พระพุทธเจ้าบอกเลย “อารมณ์ความรู้สึก เป็นวัตถุอันหนึ่ง” ไปเปิดในพระไตรปิฎกสิ

โยม : แล้วถ้าสมมุติว่าถ้ามีคำตอบ หลวงพ่อว่าตอนนี้มันก็คือสัญญาธรรมดา

หลวงพ่อ : ใช่ ถูกต้อง

โยม : เป็นคำตอบซึ่งเป็นสัญญา โดยมีโลกียปัญญา..

หลวงพ่อ : ไม่ใช่ ถ้าสัญญาคือข้อมูล สัญญาคือทฤษฎีที่เราจำได้ สัญญาคือทฤษฎีที่เราจำได้! อันนี้ไม่ใช่สัญญาธรรมดา อันนี้เป็นกิจกรรม เป็นการกระทำของจิต ที่จิตมันมีการกระทำต่อกันมันถึงแฮงค์ ถ้าไม่มีมันจะหยุดอารมณ์แฮงค์ อารมณ์อันนั้นสำคัญนะอารมณ์ที่แฮงค์

แฮงค์คือว่ามันทำไปแล้ว แต่ประสาเราว่ามันยังทำไม่เป็น คือเข้าไปเห็นข้อมูลแล้ว แต่ เหมือนกับพวกราชการลับ เขาต้องการเข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่น เข้าไปแล้วเจอแล้วขโมยไม่เป็น เข้าไปแล้วขโมยข้อมูลของเขาออกมาไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน เข้าไปเจอแล้ว เออๆ แฮงค์เลย

นี่ธรรมะเจอจิตแล้ว ใช้ได้ เข้าไปๆ ทำไปเข้าไปเดี๋ยวโยมจะมาเล่าให้เราฟังเอง หลวงพ่อมันเป็นอย่างนั้นๆ เลย

โยม : คือจุดประสงค์คือต้องคิดต่อ หรือว่าปล่อยให้มันแฮงค์เฉยๆ

หลวงพ่อ : ปล่อยให้แฮงค์ แสดงว่ามันขัดข้อง เหมือนเทคนิคมันขัดข้อง เทคนิคมันไปไม่ได้ ถ้ามันจริง มันไม่แฮงค์ มันหยุดแล้วเราเห็น เอ๊อะๆ เลย เหมือนกับกระบวนการของมันเดินไปใช่ไหม อันนี้กระบวนการของมันเดินไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าอวิชชา เพราะว่าเราคาดการณ์ไว้อย่างหนึ่ง แต่พอไปเจอความจริงแล้วมันเป็นอีกอย่างหนึ่งมันเลยแฮงค์กันไง

กระบวนการของธรรมะมันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งใช่ไหม แต่เราคาดเอาไว้ว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับน็อตเกลียวซ้ายเกลียวขวา เราจับยัดใส่กัน มันขันไม่เข้า ถ้าน็อตเกลียวเดียวกันมันเข้าเลย ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยว เออ น็อตอันนี้ก็ใส่ไม่ได้ๆ เดี๋ยวมันจะหาน็อตเกลียวพอดีเลย

โยม : ตกลงความรู้ที่ได้จากการ อ้าว สมมุติว่าโกรธอะไรแบบนี้แล้วเราก็นั่งไล่ไปๆ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : ข้อสรุปที่ได้จากตรงนี้มันก็เป็นโลกียปัญญาใช่ไหม

หลวงพ่อ : ใช่ โลกียปัญญาหมด ประสาเรานะ โยมไม่ต้องเป็นห่วงว่าโลกียปัญญา หรือโลกุตตรปัญญา นักกีฬาที่ออกจากจุดสตาร์ทจะนักกีฬาแข่งวิ่งหรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องมีจุดสตาร์ทออกไป ถ้ามีจุดสตาร์ทนักกีฬาที่แข่งขันเริ่มต้นที่ไหนแล้วจบที่ไหน คือเข้าเส้นชัยที่ตรงไหน

คนเราเกิดมาโดยธรรมชาติ เราบอกเลย มันจริงตามสมมุติ ความจริงปลอม คือเราเกิดเป็นมนุษย์เราเกิดจริงๆ แต่ความเป็นมนุษย์นี้ชั่วคราว มันปลอมตรงนี้ไง

ทีนี้ความจริงปลอมคือความจริงของเราเราเกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่มันความจริงปลอมหมด เพราะอะไร เพราะเวลาปฏิสนธิจิตเวลาตายจากมนุษย์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ต่อๆ ไปไหม เราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เราเกิดเห็นไหม นี่มันความจริงปลอมหมดเพราะเป็นวาระ แต่ตัวจิตเป็นของจริงเพราะมันมีมัน มันถึงได้ไปเกิด

ฉะนั้นพอเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมันเป็นความจริงปลอมคือมีความคิดเรา ความคิดเอ็งคิดอะไรก็แล้วแต่ เป็นโลกียะหมด ไม่มีใครเคยคิดโลกุตระได้ แต่เรากำลังจะทำกันอยู่เพราะไล่ความคิดนี้ไปจากโลกียะมันสงบลงๆ สงบลงเรื่อยๆ ตามไปเรื่อยๆ จนจิตมันฟรี มันฟรีมันเข้าใจหมด

นี่ไงที่เราบอกว่าเราพูดประจำเห็นไหมว่า รถถ้าในเกียร์ติดเครื่องไม่ได้ ต้องปลดเกียร์ว่าง พอติดเครื่องเสร็จแล้วมึงไม่ใส่เกียร์ มึงก็ไปไม่ได้อีก พอมันฟรีนี่เกียร์ว่าง พอเกียร์ว่างคือโลกียปัญญาคือปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ ปัญญาเกิดจากกิเลส ปัญญาเกิดจากตัณหาทะยานอยากทั้งหมด

แต่เราอาศัยธรรมะพระพุทธเจ้าไล่เข้าไปๆ จนมันหยุด มันตั้งมั่นมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วหลักเกณฑ์อันนี้มันออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม อันนั้นแหละเกิดโลกุตตรปัญญา

โลกุตตรปัญญามันจะเกิดจากจิตของเราที่มั่นคง พอมั่นคงขึ้นแล้วนะ มั่นคงใช่ไหมเราเข้าใจทุกกระบวนการของเราหมดเลย จะทำอะไรเราก็ทำได้ไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย อย่างเราเดินก็ไม่ถนัดร่างกายพิการหมดเลย จะทำอะไรมันก็เป็นโลกียะ โลกียะเพราะกิเลสบวก การพิการต่างๆ นั้นคือตัณหาทะยานอยากไง

โดยจิตใต้สำนึกทุกคนอยากจะเป็นโลกุตตรปัญญา เอ็งจะคาดหมายโลกุตตรปัญญาหรือโลกียปัญญาไม่ได้ แต่ต้องไปตามกระบวนการของมัน กระบวนการของธรรมชาติ กระบวนการของมนุษย์มันโลกียะทั้งนั้น สติปัฏฐาน ๔ ไง ใครปฏิบัติผิดหวังทั้งนั้น ผิดเพราะเรามีกิเลส

แต่สรุปสติปัฏฐาน ๔ ครูบาอาจารย์เราพยายามจะจูงเราเข้าสู่สติปัฏฐาน ๔ พยายามจะจูงเราจากโลกียปัญญาเข้าสู่โลกุตตรปัญญา กระบวนการต้องเริ่มต้นตรงนี้ เอ็งเป็นพระอรหันต์หรือ เอ็งเป็นปุถุชน ใครเป็นพระอรหันต์บ้าง ไม่มี ทุกคนเป็นปุถุชนหมด

ทุกคนเกิดเพราะมีกิเลสหมด แล้วมึงจะปฏิเสธการเกิดของมึงไหม อย่างเราเกิดเป็นคนไทยกูอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกาฉิบหายเลย กูปฏิเสธว่าเป็นคนไทยมึงจะบ้าหรือ นี่ก็เหมือนกันปฏิเสธโลกียปัญญา มึงปฏิเสธไม่ได้

โยม : ไม่ เคยเห็นตอนโน้นที่ผมเคยถามหลวงพ่อทีหนึ่ง อะไรนะที่ว่าสัญญาเป็นรูปเป็นนาม หรือว่าจิตเป็นรูปเป็นนาม ก็ตอนนั้นก็คิดอย่างนี้ แล้วมันก็มีข้อสรุปออกมาว่า เอ๊ะ ทำไมมันเป็นรูป พอมาฟังเทศน์หลวงพ่อหลังๆ ก็คล้ายๆ กับว่า เอ๊ะ อันนี้มันคือ เราคิดไปเองมันก็จะเป็นสัญญา

หลวงพ่อ : ใช่ สัญญาหมด

โยม : แล้วเราก็กลับมาทำสมาธิให้ดีก่อน แล้วค่อยจะไปนั่งอย่างนั้น

หลวงพ่อ : ใช่ ที่ว่าเป็นรูปเป็นนามเป็นอะไร เราถึงบอกพวกอภิธรรมเห็นไหม ก็เป็นรูปเป็นนามก็ว่ากันไป เราเองจิตเราเป็นปุถุชน จิตเราเองมันไม่เป็นไปตามนั้น เอ็งจะถึงธรรมะขนาดไหนเอ็งก็ไม่ได้อย่างนั้นหรอก

ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่โยมทำ ถ้าโยมทำถ้าจิตมันแฮงค์ แฮงค์นี่คือมันถึงแล้ว แต่มันไม่สมดุล ถ้าทำไปอีกมันก็จะถึงสมดุลของมัน ตรงนี้เขาเรียกว่าตัวจิต เราพูดถึงว่าถ้าไม่มีจิตไปพิจารณา อย่างไรก็แล้วแต่ไม่มีทางเข้าอริยสัจ ไม่มีทางเข้าถึงสติปัฏฐาน ๔ ฉะนั้นสิ่งที่ว่าเป็นรูปเป็นนามเป็นอะไร คือเราไปให้ค่า เราให้ค่าใครไม่ได้

เราให้คะแนน ถ้าทุกคนชมตัวเองกูนี่สุดยอดกว่าทุกคนเลยกูดีหมด แต่ข้างนอกเขาดูกูเขาว่ากู...ฉิบหายเลย แต่กูว่ากูดี นี่ก็เหมือนกันนามรูปเราให้ค่า แต่พอมันเป็นจริง ความที่เราโต้แย้งทุกการบัญญัติทั้งหมดก็ตรงนี้ตรงที่ทุกคนไม่รู้จักจิต เราพูดบอกกับทุกคนว่าทุกคนไม่รู้จักจิต ทุกคนไม่รู้จักตัวเอง แต่คิดอวดเก่งนักว่าเป็นคนรู้จักคนเก่ง คนทำอะไรได้หมดเลย ทำให้สาธารณะนะ

สมบัติโลกเป็นสมบัติสาธารณะ แก้วแหวนเงินทองเป็นสมบัติสาธารณะหมดเลยเราเป็นเจ้าของมันชั่วคราว ความคิดความนึกของเราสาธารณะเพราะเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม ญาติกันโดยธรรมเรามีปากมีท้องเหมือนกัน มีความคิดเหมือนกัน นี่คือสาธารณะ

แต่พอโยมไปเจออันนั้นที่โยมเห็นแฮงค์นั่นแหละของโยม แฮงค์คำนี้นะโยมแฮงค์ของโยมคนเดียวใครจะแฮงค์กับเอ็งด้วย เพราะมันไม่เห็นแฮงค์กับมึง แฮงค์นี่ของกู คนอื่นไม่เกี่ยว นี่สมบัติส่วนตน จิตเรา ถ้าจิตเราอันนี้เราควบคุมมันดีขึ้นมาแล้วออกรับรู้

แต่การที่โยมพูดๆๆ กัน เราฟังนั้นโยมมาถามเราเองนี่ว่าอะไรนะ อันนั้นเป็นรูป อันนี้เป็นนาม กูก็เออเองทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะถ้าจิตมันยังไม่สงบความเห็นอันนั้นมันก็เหมือนปริยัติ เรามองอภิธรรมเราพูดบ่อยเห็นไหมว่าปริยัติในวงปฏิบัติ เขามาปฏิบัติกันแต่จำมาเต็มหัวแล้วก็วาดภาพเป็นอย่างนั้น ความจริงไม่มีแม้แต่ขี้เล็บ!!

ถ้าความจริงมีต้องเข้ามาจุดนี้ให้ได้ก่อน จุดสตาร์ทของการแข่ง ถ้ามึงเข้าจุดสตาร์ทของมึงไม่ได้ นักกีฬาวิ่ง ๑๐๐ เมตร เขาจะแข่งอยู่แล้วมันยังเดินรอบสนามหาจุดสตาร์ทมันไม่เจอ แล้วมันจะไปแข่งกับใคร

มึงหาจิตมึงไม่เจอ!!! มึงไม่รู้จักตัวมึงเองไม่มีสิทธิ์!!! เพราะอะไร เพราะกิเลสอยู่ที่จิต เอ็งต้องแก้ไขที่จิต อันนี้จิตกูสกปรกเต็มที่เลย เห็นนาม เห็นรูป เห็นธรรมะ เห็นพระอรหันต์ ตายห่าเลยมึงหันของมึงไปเถอะ กูไม่เกี่ยว อันนี้อยู่ที่วาสนา วาสนาของคน คำว่าจุดสตาร์ท จุดเริ่มต้น ที่เขาทำๆ กัน เขาไม่มีตรงนี้ไง แล้วไปปฏิเสธมัน อย่างดูจิตดูต่างๆ เรายกมาเพราะดูจิตมีหลากหลายมาก

ทีนี้การดูจิตเห็นไหมมันปฏิเสธ คือไปเห็นไฟฟ้าเกิดดับ แต่มันไม่เห็นตัวมัน คือไม่รู้จักจุดสตาร์ทนะ ไอ้พวกนี้เหรียญทองห้อยเต็มคอเลย แต่มันบอกจุดสตาร์ทแข่งมันไม่รู้จัก กูก็แปลกใจนะ เอ๊ะ มันไม่รู้จักจุดสตาร์ท ไม่ได้แข่งทำไมเหรียญทองเต็มคอเลย ก็แปลกอยู่ เราถึงไม่รับ เราค้านตลอด แต่ถ้าภาวนาเป็นเขาจะพูดกันอย่างนี้ ถ้าภาวนาเป็น โยมเห็นมานั่นก็โยมเห็นเอง

โยม : หลวงพ่อแล้วอย่างไอ้ตัวที่ว่า มันเหมือนกับอีกคนหนึ่งมาดูว่า

หลวงพ่อ : สติ

โยม : อันนั้นคือตัวสติ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : ตัวจิตคือตรงไหน

หลวงพ่อ : ตัวจิตก็คือตัวรับรู้ไง

โยม : ตัวรับรู้ก็แฮงค์ไปแล้ว

หลวงพ่อ : แฮงค์ก็แฮงค์ แต่ตัวมันยังอยู่ แฮงค์คืออารมณ์ แต่ตัวมันอีกค่าของมันคือแค่นั้น ก็แฮงค์ไปแล้วเดี๋ยวมันก็ลุกขึ้นมาใช่ไหม แฮงค์แล้วมันตายที่ไหน แฮงค์เพราะมันโดนธรรมะ โดนจิต

โยม : จริงๆ ตัวจิต มันน่าจะรู้ตัวก่อนสติ ทำไมสติมันเหมือนกับว่า....

หลวงพ่อ : เวลาโยมนอนหลับนะ โยมสั่งไว้เลยว่าพรุ่งนี้จะไปไหน แล้วมันเพลียมากนอนหลับ บอกว่าให้ใครปลุกทีหนึ่ง แล้วไอ้คนที่มาปลุกเป็นใครล่ะ มันใช่ตัวโยมหรือเปล่า นี่ตัวสติไง เรานอนหลับใช่ไหม เราตื่นไม่ทัน เราบอกให้คนมาปลุกที แล้วเขามาปลุกเรา แต่เราก็คือเรา จิตคือจิต สติเกิดจากจิต ทำไมส้มกับเปลือกส้มมันอยู่ด้วยกันล่ะ กระแสไง ถ้าไม่มีกระแสนะเวลาคนนอนหลับฝันนะตายไปแล้ว เพราะอะไร เพราะเรานอนใช่ไหม เราก็ฝันเป็นเรื่องเลย จิตมันออกไป แล้วบางคนบอก จิตออกจากร่างแล้วเข้าร่างไม่ได้ เขาบอกว่า ได้เข้าได้ไม่เป็นไรหรอกกระแสมันมี เว้นแต่คนตาย

โยม : หลวงพ่อ แล้วอย่าง เวลานั่งหลับ ตอนโน้นตอนที่ภาวนาดีๆ มันพุทโธอยู่ข้างใน คราวนี้พอจะหลับ หัวมันก็จะเริ่มสับลงมา แต่ตัวในมันก็พุทโธ มันก็จะรู้ว่า ทำไมมันจะหลับแล้วตัวนอกมันก็พูดข้างในว่าตัวนอกจะหลับแล้ว ทำไมมึง “พุท” แล้วไม่ “โธ” วะ

หลวงพ่อ : สติมันดีๆ

โยม : อันนั้นคือสติ

หลวงพ่อ : ใช่ สติมันดี จิตมันยังดีอยู่ สติดีอยู่ข้างใน แต่พูดประสาเราว่า จิตเรายังดีอยู่ เช่น เราทำงานเห็นไหม เราทำงานเราต้องการใช้เงิน เงินกองอยู่ที่นี่ งานเราอยู่ที่นั่น เราก็ต้องโอนเงินมาอะไรมาเห็นไหม สติมันไม่รวมเป็นตั้งมั่นมันไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว ทำไปเรื่อยๆ บ่อยๆ สติระยะห่างมันมีใช่ไหมทำบ่อยครั้งๆ ทำงานบ่อยครั้งๆ พั้บ มันเป็นอันเดียวกัน พออันเดียวกันควบคุมได้หมดเลย

โยม : ถ้าสติดี แล้วทำไมตัวนอกที่หลับทำไมมันหลับได้ทั้งๆ ที่สติข้างในมันไม่ได้หลับ

หลวงพ่อ : ก็เราบอกว่ามันอยู่คนละส่วนกัน

โยม : มันคุมกันไม่ได้หรือครับข้างในกับข้างนอก

หลวงพ่อ : สมมุติว่าเราเป็นนายช่างใหญ่ เรามองการเคลื่อนไหวทุกคนรู้หมดเลย มันมีเด็กฝึกงานมาหัดฝึกงาน เด็กฝึกงานมันจะคุมได้ไหม เด็กฝึกงานเห็นไหมเด็กฝึกงานกับเรา เราเป็นช่างใหญ่ใช่ไหม เราเป็นเจ้าของอู่รถ เราเป็นเจ้าของบริษัท เราบริหารจัดการหมดเลย เรารู้หมดเลย เพราะเราผ่านงานมาหมดแล้ว

อันนั้นเห็นไหมอย่างที่โยมว่า มันถึงเป็นอันเดียวกันหมดเลย แต่เด็กที่ต้องฝึกใหม่ขึ้นมา มันยังไม่รู้เรื่องเลย เข้ามาบอกให้มันดูขนาดของเครื่องมือมันยังไม่รู้เลยว่าทำอย่างไร มันต้องฝึกใช่ไหม จิตของเราก็เหมือนกัน

เวลาโยมคิดนะโยมคิดถึงว่า ธรรมะที่สำเร็จรูปที่เป็นของครูบาอาจารย์มาแล้ว แต่เราไม่คิดเลยว่าเราเพิ่งมาฝึกหัด ทีนี้มาฝึกหัดอาการที่มันเป็น พระที่ปฏิบัติหรือคนที่ปฏิบัติเขาจะผ่านอย่างนี้มาเขาจะเข้าใจของมันมา ถ้าไม่เข้าใจขึ้นมามันจะเริ่มต้นจากตรงไหน

จิตเริ่มต้นจิตเป็นไปจะเป็นอย่างนั้น แล้วหลวงปู่เจี๊ยะครูบาอาจารย์ยังบอกเลยต้องชำนาญในวสี ฝึกหัดจนชำนาญ พอชำนาญมันถึงจะควบคุมได้พอมันชำนาญหมด จิตมันจะมีอาการจะไปคิดทางโน้นคิดทางนี้มันจะทันหมด โยมจะไปคิด แหม พอคิดทันสติแล้วทุกอย่างมันจะไปพร้อมกันหมด ทันพร้อมกันหมด

อันนั้นหมูสเต๊ะ หมูสเต๊ะจานหนึ่ง เขาเอามาเสริพให้เสร็จเลย ธรรมะสำเร็จรูปไง พอคิดแล้วต้องเป็นอย่างนั้นเลย คิดเอาทั้งนั้น อ่านหนังสือมา แล้วก็คิดเอาก็เป็นอย่างนั้น เราถึงว่าธรรมะสำเร็จรูป ไม่มีหรอก

ถ้ามึงทำไม่เป็นมึงก็ทำไม่เป็นอยู่วันยังค่ำ อย่างที่ทำตัวในตัวนอก เวลาจิตมันเป็นมันเป็นแป๊บเดียวเป็นชั่วคราวแล้วไม่เป็นอย่างนั้นอีก เพราะอะไรรู้ไหม โยมเข้ามาหาเราเมื่อเช้า โอ๊ย ภาวนาอย่างนั้นนะดี อันนั้นมันเป็นเงินเดือน เดือนที่แล้วนะมึง เงินเดือนใหม่นี้ยังไม่ออก มึงต้องทำตลอดไป อันที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว ทำไปเรื่อยๆ พอเรื่อยๆ ปั๊บจะชำนาญหมด

เมื่อก่อนเราพูดบ่อยกับพวกโยม เมื่อก่อนเรานั่งเป็นอย่างนี้ จะเอียงนะ ขืนใหญ่เลยนะ โอ๊ยจะล้มๆ ก็งงเพราะว่าทำไม่เป็น พอชำนาญขึ้นมาไอ้ฉิบหายมันก็คืนมามันก็จบ ทำไม่เป็น โอ๊ย มันจะลงจิตมันจะลง มันดีๆ พอคล้อยหลังล้มตึงเลยเสร็จหมด

อาการของจิตกิเลสมันหลอกร้ายนัก เอียงท่าโน้น เอียงท่านี้ ถ้าจิตมันจะลงนะทำเอียงๆ เอียงแล้วทำอย่างไร มันก็ให้ออกมารับรู้ เอียงก็กลับมาเป็นอะไรไป แต่ตอนนั้นยังไม่กล้า จิตมันจะลง มันจะดี เอียงๆ ปล่อยแล้วก็ล้มเลย โธ่ กิเลสมันร้ายแล้วคนไม่เคยปฏิบัตินะ ก็เหมือนกับผ้าพับไว้ต้องเรียบร้อย ต้องดีอย่างโน้น ต้องดีอย่างนี้

กูฟังแล้วเวรกรรมฉิบหายเลย อ่านแต่หนังสือมา พระพุทธเจ้า กิริยาของพระพุทธเจ้า กิริยาของพุทธวิสัยมันเป็นเพราะพระพุทธเจ้าปฏิบัติมาเป็นพระอรหันต์แล้ว แล้วก่อนที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติมา ๖ ปี พระพุทธเจ้าทุ่มเทขนาดไหน แต่พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันก็เป็นธรรมดาก็กิริยามารยาทพระพุทธเจ้า แล้วเรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่มึงไม่ทุ่มเทมึงไม่ทำมึงจะเอาแต่กิริยาของผู้ที่สำเร็จแล้ว

เหมือนกับเราเห็นเศรษฐีพันล้านกูอยากเป็นเศรษฐีพันล้าน ไอ้เขามีพันล้านแต่กูยังไม่มีทำอย่างไร ไอ้ถ้ากูมีพันล้านแล้ว เออ พันล้านกูก็พันล้าน แต่เขามีพันล้านก็จบแล้ว เขาก็สะดวกสบายของเขาแล้ว แต่เรายังไม่มีเราจะทำอย่างไร วิ่งเหมือนจิต ต้องเป็นอย่างนั้นๆ คิดเอาทั้งนั้นต้องไปอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องไปลงทุนลงแรงก่อน แล้วเดี๋ยวจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร

โยม : อย่างนี้ก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่อหรือว่าจะกลับไป..

หลวงพ่อ : ได้ คือการทำงาน ทำอะไรไปบ่อยๆ แล้วบางทีแบบว่ามันล้ามันเหนื่อย แบบว่าอุบายไง ถ้าวันนี้ใช้ความคิดดีก็ใช้ความคิดไป ถ้าวันไหนมันคิดเราก็พุทโธได้ คือสับเปลี่ยนใช้ได้ไฮบริดไง ใช้น้ำมันก็ได้ ใช้ไฟฟ้าก็ได้

โยม : เข้าใจครับ

หลวงพ่อ : จบ ได้อีกหน่อยหนึ่ง