ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คติชาวพุทธ

๑o ก.ค. ๒๕๕๒

 

คติชาวพุทธ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราพูดถึงสติปัฏฐาน ๔ ว่าปลอมหมด ปลอมหมด ปลอมหมายถึงว่าเรามีกิเลสอยู่การกระทำของเราเนี่ยมันไม่มีค่าอย่างนั้นหรอก พอพูดออกไปแล้วเนี่ย โยม คอยฟังกัน แล้วโยมกลับมา เขาบอกว่า ไปหาหลวงปู่จันทา หลวงปู่จันทาครูบาอาจารย์ ท่านสอนอย่างนี้เหมือนกัน เราบอกงั้นเหรอ ถ้างั้นก็เป็น สติปัฏฐาน ๔ ของพระป่า พระป่าก็พยายาม เพราะเราประพฤติปฏิบัติ เรายังมีกิเลสอยู่ ยังมีความเห็นของเราอยู่ มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ไม่ได้หรอก เราจะถูกชักจูงให้เข้า ให้เข้าสู่สติปัฏฐาน ๔ แล้วมีคนมาถามอีกว่า ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้นอีก เราเลยสรุปสติปัฏฐาน ๔ มันเลยหลายรอบ สติปัฏฐาน ๔

ฉะนั้นโดยข้อเท็จจริง สติปัฏฐาน ๔ เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้น่ะ ใช่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา ท่านตั้งเป้าไว้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติเรานะเหมือนเราอ่านแผนที่ แผนที่เนี่ยเขาวัดค่าแล้วเนี่ย แผนที่ การทำแผนที่แล้วการทำพิกัดนั้นก็ถูกต้องหมด แต่เราเดินตามแผนที่นั้นไม่ถูก เราไม่รู้จักแผนที่นั้นเพราะเราไม่เคยเดินลงในพื้นที่ ฉะนั้นเราอ่านแผนที่ออกหมด แต่ในพื้นที่จริงเราไม่รู้ นี่เหมือนกันสติปัฏฐาน ๔ ก็เหมือนกัน ความจริงเป็นอย่างนั้นน่ะ แต่เราทำถูกหรือเปล่า เราบอกที่มันผิด ๆ ตรงนั้นไง

นี่พูดถึงนะ เราบวชเป็นพระ เวลาเรามาบวชเป็นพระเนี่ย เนี่ยสิ่งที่ปฏิบัติเนี่ย สิ่งที่เรามาศึกษาปฏิบัติเนี่ยอันนี้สุดยอด เนี่ยการบวชเป็นพระนะโอกาสทองเลยนะ โอกาสทองของเรา เพราะเราบวชมาแล้วเห็นไหม ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ ทางของพระเนี่ยเป็นทางกว้างขวาง ทางของภิกษุเป็นทางที่กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงนะ เรามีโอกาสประพฤติปฏิบัติได้ตลอดเวลา

เนี่ยถ้าเราได้ประพฤติ เราได้บวชเป็นพระแล้วได้ประพฤติปฏิบัติแล้วเนี่ย โอกาสของเรามีแล้ว ถ้าโอกาสของเรามีแล้วเนี่ย เราต้องขวนขวายของเรา ถ้าเราขวยขวายของเราเนี่ยเห็นไหม เราแค่ทางโลกเขานะเขาแค่ขอโอกาสกันนะ ถ้าเขาให้โอกาสเห็นไหม เขาให้โอกาสได้ทำงาน เขาได้โอกาสเห็นไหม หน้าที่ตำแหน่งในการงานก็เป็นโอกาสของเขาเหมือนกัน เนี่ยเขาต้องแสวงหากันนะ เขาต้องแสวงหางานเขาหางานทำกัน แต่งานของเรามันเนี่ยมันมีอยู่แล้ว งานของเราเห็นไหม

เราเกิดมาเห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เนี่ยอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้สำคัญมากเลย สำคัญมากเพราะเราเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนย้อนกลับไป ย้อนกลับไปที่ที่เราเกิดเนี่ย เราเกิดมาเนี่ยถ้าเป็นวัยรุ่นนะเวลาเกิดเนี่ย ชีวิตนี้โอ้โฮชีวิตนี้น่ารื่นรมย์นะ เพราะชีวิตมัน ๆ เราเห็นมันยังสดใสมาก แต่คนแก่คนเฒ่าเนี่ยชีวิตเขาเนี่ย เขาบั้นปลายของชีวิต เพราะธรรมชาติของเรา เรารู้แล้วชีวิตนี่มันต้องตายไปเป็นธรรมดา พอคนแก่คนเฒ่า กาลเวลาเขาน้อยลง อายุเขาน้อยลงเห็นไหม เขาก็ต้องหาที่พึ่งของเขา แต่พวกเรานี้มันชะล่าใจ มันชะล่าใจว่า เรายังเป็นคนหนุ่มคนสาวกันอยู่ โอกาสของเราเวลายังมีอีกมากอยู่ แต่เราไม่เข้าใจเลยว่า คนเรานะตายได้ทุกเวลานะ คนเราเนี่ยตายได้ทุกเวลา

ฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์สมบัติ การเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติเห็นไหม เนี่ยมีค่ามาก ทีนี้พอเกิดเป็นมนุษย์สมบัติมีค่ามากแล้วพบพระพุทธศาสนา เราย้อนกลับ ย้อนกลับศึกษาในการเกิดของเราไง ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีความทุกข์ ความทุกข์ของเราเกิด ทุกข์มีเพราะเราเกิด โลกนี้มีเพราะมีเรา โลกนี้มีเพราะมีเรานะ เวลาเราสัมผัสมันนะ เนี่ยดูสิ เราไปยืนกลางแดดนะเราร้อน เราหลบในที่ร่มเราเย็น เนี่ยเห็นไหม จิตใจมันก็เหมือนกัน จิตใจเนี่ย มันทุกข์มันร้อนภาษามันนะ ทุกข์มันร้อนโดยธรรมชาติของมัน แต่มันไม่เคยเห็นมียาแก้ไข มันไม่เคยมียาแก้ไขของมัน

แต่เรามาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เนี่ยธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันแก้ไขได้ ธรรมโอสถเนี่ยมันมีแต่ตำรายาเห็นไหม เราศึกษาตามทฤษฎีเห็นไหม สติปัญญาเห็นไหม ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา สติปัญญาเห็นไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา มันปัญญาของใคร มันปัญญา มันชิงสุกก่อนห่าม เพราะเวลาเราบวชเข้ามาแล้วเห็นไหม เราศึกษาเนี่ยโดยทางโลกเขาก็มีปัญญาของเขา เขาใช้ปัญญานะ ดูการบริหารจัดการสิ ใครมีเชาว์ปัญญาของเขาเนี่ย ในบริหารการจัดการ เห็นไหม เขาสามารถทำองค์กรของเขาเนี่ยได้ทำกำไรได้มหาศาลเลย นั่นเขาใช้ปัญญาของเขา

เราศึกษามาเนี่ย แล้วยิ่งมีการศึกษามา มีการศึกษามามาก เห็นไหมเราว่าเป็นปัญญาของเรา ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี้มันเป็นปัญญาโดยกิเลสทั้งหมด กิเลสมันพาใช้ กิเลสเพราะอะไร กิเลสเพราะเราเกิดขึ้นมาเนี่ย เราเกิดเห็นไหม อวิชชาพาเกิด เวลาเราถามโยมบ่อยมาก ว่าโยมเกิดมาจากไหน เขาบอกว่าเกิดมาจากพ่อแม่ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่หรอก เกิดจากพ่อแม่เนี่ยสายบุญสายกรรม เราเกิดมาจากกรรม เกิดมาจากการกระทำของเรา เราเกิดมาจากกรรมนะ กรรมจากจิตเนี่ย

จิตมัน จิตของเราเนี่ย มันพลังงานปฏิสนธิจิตมันมีกิเลส กิเลสเป็นตัวขับดัน ขับดันให้ต้องเกิดอยู่แล้ว มาเกิดกับพ่อแม่เราเพราะสายบุญสายกรรมมาเกิดกับพ่อแม่เรา แล้วไปเกิดกับคนอื่นล่ะ ไปเกิดกับพ่อแม่อื่น แล้วเกิดในภพชาติอื่นล่ะ เกิดเป็นสัตว์ เป็นเดรัจฉาน เป็นอสูรกาย ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เราก็ไม่เชื่อ พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้เห็นไหม เวลาเกิดเป็นมนุษย์แท้ ๆ เนี่ยเห็นไหม มนุษย์สมบัติเห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม มนุสสเดรัจฉาโน มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นเปรต ใจเป็นผี ใจเป็นพรหม ใจเป็นเทวดา

พระพุทธเจ้าแบ่งไว้หมดเลย เพราะพระพุทธเจ้าถือหัวใจเป็นใหญ่ เพราะหัวใจเนี่ยปฏิสนธิจิตเห็นไหม เพราะเรามีกรรม กรรมมันขับไสมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเนี่ย แล้วนี่เราบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระเป็นภิกษุ เป็นผู้เห็นภัยในวัฎสงสาร เราจะศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะ ธรรมโอสถ ศึกษาธรรมนะเห็นไหม เราศึกษามาธรรมะอันนั้นเห็นไหม ฉลากยานะ เราจะใช้ยาเนี่ยยามันต้องมีฉลากยาของมัน แล้วเราต้องอ่าน อ่านศึกษาว่าฉลากยานี้กินอย่างไร ใช้อย่างไร ทำอย่างไรเราจะได้ประโยชน์กับเรา

ธรรมะที่เราศึกษาเนี่ยเห็นไหม เขาชี้นำเข้ามาเพราะตัวยามันยังไม่มีไง ถ้าตัวยาคือสติใช่ไหม สติปัญญาเนี่ย ตัวยาจะเกิดขึ้นมา ถ้าตัวยาเกิดมา ตัวยานี้ใช้ที่ไหน ยานี้ ยานี้เขาใช้ภายนอกนะ เขาใช้ทา เขาห้ามกินเห็นไหม ยานี้ใช้ภายใน ยานี้นี่ก็เหมือนกัน เนี่ยสติปัญญาเราใช้อะไร เราหาตัวยาเจอหรือยัง เวลาเราหายานะ เราหายาสมุนไพรเราไปเก็บเอานะ แต่ยาของเรานะ พระพุทธเจ้า บอกยานะ สติมันซื้อหาไม่ได้ ปัญญามันซื้อหาไม่ได้

แต่เวลาเราศึกษาเรามีปัญญาของเรา เราใช้ของเรา เนี่ยเราว่าเรามีปัญญา ๆ เนี่ยมันเป็นปัญญาเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เนี่ยมีการสื่อสารกัน มีการพูดคุยกันมีการศึกษากัน มันเป็นสื่อสารกัน แล้วปัญญาเนี่ยในการจัดการชีวิตเราเนี่ย เราคิดว่ามันเป็นปัญญา มันเป็นโลกียปัญญาไง ธรรมะมันย้อนเข้ามาเห็นไหม

ดูสิ เวลาเกิดมาเนี่ย เกิดมาเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์เนี่ยมนุษย์สมบัติ เนี่ยทรัพย์มนุษย์สมบัติเนี่ย อันนี้สำคัญมาก เพราะมนุษย์สมบัติเกิด มนุษย์สมบัติ เราถึงรู้ร้อนรู้หนาวเห็นไหม เกิดเป็นลูกครอบครัวใด เราจะได้มรดกตกทอดจากครอบครัวนั้น เนี่ยแล้วเกิดเราได้หนี้สินจากครอบครัวนั้นล่ะ เราก็ต้องใช้ไป กรรมก็เหมือนกัน เนี่ยกรรม กรรมพาเกิดเห็นไหม เนี่ย ๆ มนุษย์สมบัติ แล้วมนุษย์สมบัติเกิดมาเป็นอริยทรัพย์แล้ว อริยทรัพย์แล้วยังมาศึกษาธรรมะอีกเห็นไหม ธรรมะนี้มันได้ทรัพย์จากภายในนะ

ถ้าทรัพย์จากภายในมันจะมาแก้ไข รู้สุขรู้ทุกข์ คนดีนะเนี่ยเราบวชขึ้นมาเนี่ย เราบวชมาเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าพ่อแม่ต้องให้บวช ลูกบวชเพราะพ่อแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลือง พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองนะ นี่คิดกันโดยโลกไง แต่ถ้าโดยธรรมนะ เวลาลูกบวชพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป ๑๖ กัปเพราะอะไร เราบวชเท่ากับพ่อแม่บวช ไข่ของแม่ กินเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ เดี๋ยวนี้เขาเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ไง ถ้าเลี้ยงด้วยน้ำนมแม่ ลูกจะฉลาด สมองมันจะพัฒนา เนี่ยน้ำนมแม่คือเลือดของแม่ มันกลั่นออกมาจากเลือด เนี่ยไข่ของแม่ สเปิร์มของพ่อ แล้วเอาเลือดเนื้อเชื้อไข

แต่เรากับพ่อแม่เราคนละคนกันเห็นไหม เวลาเราเกิดกรรมพาเกิด ไม่ใช่ว่าเกิดจากพ่อจากแม่ตามสายบุญสายกรรม แล้วลูกมาบวช ลูกมาบวช พ่อแม่ได้บุญได้ยังไงล่ะ เนี่ยประเพณีวัฒนธรรม ลูกมาบวชเพราะว่าลูกเห็นไหม ลูกมาบวช บวชเพื่อสืบทอดศาสนา สืบทอดที่ไหน สืบทอดนะ ดูสิประเทศไทยอยู่ได้ด้วยสมัยก่อนเป็นแว่นแคว้นนะ เราใช้กำลังใครมาก เขาต้องรุกรานเอา เขายึดครองประเทศเอา เขาจะมีการปกป้องด้วยกำลังทหาร ทหารนะทหารเกณฑ์เนี่ย ไพร่เนี่ยเขาเกณฑ์มาเป็นทหาร นี่ก็เหมือนกันโดยมนุษย์ผู้ชายเนี่ยต้องเป็นทหาร ๒ ปี เนี่ยเวลาเกณฑ์ทหาร ทหารเนี่ยจะรักษาประเทศ เนี่ยรักษาประเทศ นายพลเอาไปรบไม่มีกำลังหรอก เขาใช้พลทหารใช้ไอ้เณรไปรบ

เนี่ยเรามาบวชก็เหมือนกัน เรามาค้ำจุนศาสนากี่วัน เนี่ยศาสนานี้มันเกิดขึ้นมาเนี่ย เนี่ยเรามารักษาสืบทอดศาสนา สืบทอดตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเนี่ย พระไม่เคยขาดเลย เพราะพระขาดบวชพระกันมาไม่ได้ พระไม่เคยขาดเห็นไหม สิ่งนี้เวลามาบวชค้ำจุนศาสนา พ่อแม่ได้ตรงนี้ไง พ่อแม่ไม่ได้สืบทอดพระพุทธศาสนา เอาเลือดเนื้อเชื้อไขเห็นไหม ทางเหนือเขาเรียกค้ำโพธิ์ ๆ ค้ำศาสนา เวลาต้นโพธิ์ต้นไทรเนี่ยเขาเอาไม้ค้ำ ค้ำเพื่อค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ์ไว้เห็นไหม

นี่เราเอาตัวเรามาค้ำ ค้ำศาสนาไว้ ค้ำศาสนาเพราะมันสืบต่อมาถึงพวกเราถึงชนรุ่นหลัง ถึงอนุชนรุ่นหลัง เนี่ยเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อของแม่มาบวชเราถึงได้ ๑๖ กัป พอมาบวชแล้ว เข้ามาแล้วเนี่ย แล้วเรื่องตัวของเราล่ะ บวชออกมาจากโบสถ์พ่อแม่เอาไปแล้ว แล้วเวลาเราเป็นพระเห็นไหม ถ้าพ่อแม่คิดถึงพระลูกชาย เวลาคิดถึงพระแล้วถ้าเกิดว่าลูกนี่มันไปค้ายามันมีปัญหา มันยิงคนตายมันหนีไป มันปล้น ปล้นมันชิงเขาเนี่ยมันหนีไป พ่อแม่คิดถึงลูกก็คิดถึงโจร คิดถึงโจรก็ทุกข์นะ คิดถึงพระก็มีความสุขนะ นี่พระ พระโดยสมมุติ เนี่ยเราเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม เราบวชพระได้ สัตว์บวชไม่ได้ ทีนี้พอบวชเข้ามาแล้วเนี่ย เนี่ยพุทธะจากภายในเราถึงบอก เรามีโอกาสตรงนี้ ได้ศึกษาตรงนี้

ศาสนาพุทธเป็นยอดของศาสนา มีศาสนาเดียว ศาสนาเดียวที่แจกแจงเรื่องของชีวิตได้ทั้งหมด ที่มามายังไง ปฏิสนธิจิตเกิด เกิดยังไง พระพุทธเจ้าเวลาย้อนอดีตชาติไปเห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทำไมถึงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เคยเกิดเป็นพระเวสสันดร เห็นไหม เนี่ยสิ่งที่มันย้อนไปเนี่ย จิตนี้เวลามันย้อนไปสายบุญสายกรรมมาเกิดเป็นเรา พอมาเกิดเป็นเราเห็นไหมเนี่ย สายบุญสายกรรม เนี่ยสิ่งที่จิตมันพาเกิด เนี่ยปฏิสนธิจิตมันพาเกิดเป็นเรา

ถ้ามีบุญกุศลของเราเห็นไหม สิ่งที่เราจะเห็นใจของเราไง เราเห็นใจของเรา ศึกษาที่นี่มันศึกษาจบ เนี่ยแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ทางโลกเขาชนะคะคานกัน เขาหาสมบัติของเขา ใครใช้ปัญญาโดยชอบธรรม เขาเรียกหามาโดยความชอบธรรม เขาก็ได้ของเขา เขาคดโกงกันมา เขาหามาก็เรื่องสมบัติของเขา แต่สมบัติของเราล่ะ ถ้าสมบัติของเรานะ เขาหามาอย่างนั้นนะ เป็นสมบัติสาธารณะหามาได้ขนาดไหน พ่อแม่คนไหนนะไม่มีใครดูแลสมบัติต่อไป มีมากนะ เนี่ยเศรษฐีเดี๋ยวนี้มีมากเลยลูกไปอยู่อเมริกาไม่ยอมกลับแล้ว แล้วสมบัติหามาให้ใคร เป็นทุกข์เป็นร้อนนะ หามาก็ด้วยความทุกข์ หามาเสร็จแล้วไม่มีใครสืบต่อก็เป็นความทุกข์ เพราะมันเป็นสมบัติสาธารณะ

แต่เราเกิดมากับ กับโลกเห็นไหม มันก็ต้องเป็นสมบัติสาธารณะนี่แหละ มันเป็นสมมุติ แต่สมบัติที่ความเป็นจริงล่ะ นี่ไงพุทธศาสนาสอนตรงนี้ไง เนี่ยศาสนา ศาสนาอื่นเป็นลัทธิ ไม่รู้ว่ามาจากไหน อ้อนวอนพระเจ้ากันไป ขอให้พระเจ้าให้มีความเป็นสุข เนี่ยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธทุกลัทธิทุกศาสนา ทุกลัทธิทุกศาสนาเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริง มันเป็นการอ้อนวอนขอเอา เหมือนเราเนี่ยเดี๋ยวนี้ โลกเห็นไหม เศรษฐกิจเนี่ย เศรษฐกิจไม่เจริญ แต่เศรษฐกิจมันจะไปเจริญ ไปเจริญที่หมอดู เพราะเวลาเศรษฐกิจมันทรุดเนี่ย ไอ้พวก ไอ้พวกที่ไม่มีจุดยืนน่ะ มันจะไปหาคนชี้นำให้มัน...เนี่ยสิ่งต่าง ๆ อย่างนี้ เพราะเราไม่มีจุดยืนเห็นไหม เนี่ยลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาก็อ้อนวอน ขอกันเอาอย่างนั้นน่ะ

แต่ศาสนาพุทธของเราเห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ พระพุทธเจ้าจะเกิดมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปเนี่ยย้อนอดีตชาติก่อน ก่อนได้เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ทดสอบมาทุกศาสนาหมดแล้วกลับมา กลับมาถึงไปทดสอบกับเขา ไปฝึกกับเขา ไปทำทุกอย่างกับเขา ที่โลกนี้เขามีกัน ไปทำกับเขาทั้งหมด และมันทำไปเพราะเขาเชื่อถือกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่เชื่อถือเพราะมันแก้ไม่ได้ มันแก้ความลังเลสงสัยเราไม่ได้

มันแก้ไม่ได้ ความลังเลสงสัยเป็นนิวรณ์ธรรม เป็นกิเลสตัณหา ความทะยานอยากเพราะมีความสงสัย มีความไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ จิตนี้มันถึงทุกข์ไง มันต้องขับจิตนี้ให้ไปใช่ไหม แล้วจะมาศึกษาด้วยตัวเอง เนี่ยศึกษายังไง ศึกษาก็ศึกษาไม่ได้ พอจิตสงบเข้ามาเนี่ย ศึกษาเข้ามามันเป็นข้อมูล จิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามามันเห็นข้อมูลของตัวเองเห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นอดีตชาติไม่มีวันจบเลย เนี่ยสุดท้ายแล้ว ดึ๊งกลับมาเพราะมันไปแล้วก็ไม่มีที่สิ้นสุด

นี่เห็นไหมการเกิดและการตาย วิทยาศาสตร์จะบอกเลยว่า เราเกิดมาจากไหน เกิดมายังไงให้พิสูจน์มาสิ แต่ในเมื่อองค์สมเด็จสัมพุทธเจ้าเนี่ยเป็นศาสดา เนี่ยตอบสนองเรื่องความเกิดและความตายของชีวิต แต่ตอบสนองทำไมไม่บอกมาล่ะ บอกมาได้ไม่มีต้นไม่มีปลาย หมายถึงว่าการเกิดและการตายมันมาตลอดไป เพราะสิ่งที่มีชีวิตเนี่ยมันพัฒนาการของมันมา แล้วถ้าตอบไปแล้วเนี่ย เวลาพระที่มาบวชเนี่ยเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้ารู้ทันเนี่ย รู้เหมือนกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นะรู้เหมือนพระพุทธเจ้า แต่ แต่บารมีไม่เท่าพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระอรหันต์บางองค์ระลึกชาติได้ ๕ ชาติ ๑๐ ชาติ ๑๐๐ ชาติมันไม่เท่ากัน

แล้วถ้าบอกไว้สิ่งต่าง ๆ นี้มันก็ขัดแย้งกัน เนี่ยจุตูปปาตญาณ ถ้าไม่มีกระบวนการของการชำระกิเลสมันไม่สิ้นสุด มันยังมีการเกิด ที่ว่าเราเกิด เราเกิดเนี่ย เราเกิดมาจากไหน เกิดมาจากไหนเนี่ย จุตูปปาตญาณ จิตนี้ยังมีแรงขับอยู่มันต้องเกิดแน่นอน แต่เราว่าเราเกิดจากพ่อจากแม่ มันเกิดจากพ่อจากแม่ชาตินี้นะ แต่ชาติอื่นเราเป็นพ่อเป็นแม่ของพ่อแม่เราหรือเปล่า

มันผลัดกันเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นญาติ เป็นพี่น้อง มันสับเปลี่ยนกันมาทั้งหมด ไม่รู้ชาติไหนใครเป็นพ่อแม่ใคร มาใช้เวรใช้กรรมกัน ชาติที่แล้วก็เป็นพ่อแม่เขา ดูแลเขาไม่ดี ชาตินี้ก็มาเกิดเป็นลูก ก็ต้องมาล้างผลาญเขา มันเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้นน่ะ เนี่ยกรรมมันพาเกิด ถ้ามันหมุนเวียนอย่างนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด เนี่ยไงมนุษย์สมบัติไง มันมีการเกิด มีโอกาสได้แก้ไข ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มันมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดตายมันก็หมุนของมันไป

แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ยตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่จุตูปปาตญาณ มันไม่จบกลับมาอาสวักขยญาณ นี่ไงพระพุทธศาสนา จิตเนี่ย การเกิดมันมีที่มาที่ไป แล้วถ้าไม่สิ้นสุด มันมีที่มาของมัน แล้วถ้าที่มานี้กระบวนการของมันยังไม่จบ มันมาเกิดปัจจุบันเป็นมนุษย์อยู่แล้วเนี่ย ถ้ากระบวน การยังไม่จบเวลาตายไป มันก็ต้องมีไปของมันอีก ทีนี้พระพุทธเจ้าไม่เอาตรงนั้น เอาปัจจุบันธรรม เอาปัจจุบัน เอามาแก้ไขปัจจุบันธรรมนี้มาแก้ไขที่นี่ สิ้นสุดกระบวนการของที่นี่

ถ้าสิ้นสุดกระบวนการที่นี่เห็นไหม เนี่ยศาสนานี้ตอบสนองถึงที่มาของการเกิด แล้วตอบสนองไม่ได้ที่มาของการไป ที่มาของการเกิดที่มาของการไป แล้วปัจจุบันจบที่นี่ พระพุทธศาสนาเกิดที่นี่ไง เนี่ยศาสนาเนี่ยตอบสนองได้ทั้งหมด ตอบสนองที่มาของการเกิด แล้วถ้ามันไม่จบเวลาตายไป เขาว่าตายไป แต่ไม่ใช่ มันเกิดใหม่ มันหมดวาระที่นี่ มันไปเกิดของมันใหม่ มันเกิดตลอดเวลา เกิดจากอตีตชาติเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วจะเกิดไปอีกใช่ไหม

แต่พอมาสิ้นกระบวนการในพระพุทธศาสนาเนี่ยเห็นไหม จบที่นี่ จบเนี่ยคือถ้ามันชำระกิเลสทำแรงขับในหัวใจให้หมดแล้ว ทำพลังงานตรงนี้สะอาดหมด มันไปเกิดอีกได้ไหม มันไปเกิดไม่ได้เพราะเหตุใด มันมีที่มาของมัน แล้วมันต้องมีที่ไปของมัน แล้วทำไมมันไม่ไปของมันอีกล่ะ ไม่ไปเพราะเหตุใด เนี่ยมรรคญาณขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรงทดสอบ กับทุกศาสนามาหมดแล้ว แล้วกลับมา กลับมาค้นคว้า กลับมาแสวงหาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียเอง แล้วทำลายกิเลสด้วยพระองค์เอง แล้วทำลายเนี่ย ทำลายด้วยวิธีการอย่างใด นี่ไง มรรคญาณที่เกิดขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ มรรค ๘ ที่ทำกันอยู่เนี่ย

ในปัจจุบันเนี่ย เนี่ยแล้วเราปัจจุบันบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นผู้สืบทอดศาสนา ปัจจุบันเนี่ยเราบวชเป็นพระแล้ว เรามีโอกาสแล้ว เราจะค้นคว้าไหม เราจะทำสิ่งนี้ไหม ถ้าเราทำสิ่งนี้ สิ่งที่เราบวชมาแล้วเนี่ย เราบวชเป็นพระเนี่ย เราบวชเป็นพระตามประเพณีวัฒนธรรม แต่วัฒนธรรมเนี่ยเป็นสิ่งซึ่งห่อหุ้มศาสนา

เราบวชมาจากประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมด้วยความเชื่อ เป็นความตกผลึกของสังคมเห็นไหม พ่อแม่เราเชื่อ สังคมเราเชื่อ เชื่อว่าการบวชพระ การบวชของเราเนี่ยเห็นไหม พ่อแม่เกิดมา ถ้าได้ลูกผู้ชายอยากให้บวชมาก ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่ต้องเสียใจ ลูกผู้หญิงก็ทำบุญดีได้ ทำดีได้เหมือนกัน ผู้หญิงผู้ชายเวลาสิ้นกิเลส มันไม่มีหญิงไม่มีชาย มันสิ้นได้ทั้งหมดเห็นไหม พ่อแม่มีลูกผู้ชายก็อยากให้บวช บวชเพราะมันได้โดยอัตโนมัติ เพราะบวชแล้วพ่อแม่ได้เลย เพราะเอาเลือดเนื้อเชื้อไขไปค้ำศาสนา ไปค้ำจุนศาสนาชั่วคราว ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ พรรษา กี่พรรษา เนี่ยไปค้ำศาสนา เนี่ยสมมุติสงฆ์

แล้วสงฆ์จริง ๆ ล่ะ พระผู้ประเสริฐอยู่ที่ไหน พระผู้ประเสริฐนะ พระคือผู้ประเสริฐ ถ้าจิตใจประเสริฐนะ แล้วรักษาใจที่นี่ได้ พอสิ้นกระบวนการของกิเลสได้ เราชำระกิเลสของเราได้เห็นไหม ทรัพย์เกิดจากที่นี่ เนี่ยโอกาสของเราจะ ๕ วัน ๑๐ วันนะไม่สำคัญหรอก สำคัญให้ทำให้จริง ธรรมโอสถ ความสงบของใจ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติที่โลกเขาทำกันอยู่เนี่ย มันเข้าไม่ถึงความจริง ไม่เข้าความจริงเพราะคำพูด ว่าง ๆ ว่าง ๆ เนี่ยมันเป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาที่เขาทำใช้ทำกันนะ ดูสิจิตแพทย์ ทางจิตแพทย์เห็นไหม คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเนี่ย เขาใช้จิตแพทย์เขาใช้ขุดได้ เขาแก้ไขของเขาได้ จิตแพทย์ดีกว่านักปฏิบัติพระปฏิบัติในปัจจุบันนี้เลยนะ เขาพูดถึงโรคจิต เขาพูดถึงการแก้ไขทางจิต ได้ดีกว่าพระอีก

พระเราต้องดีกว่าเขา พระเรารู้ดีกว่าเขามาก เขาใช้ยา ใช้ทางวิชาการแก้ไข แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ยาทางโลกไม่มี องค์สมเด็จสัมพุทธเจ้าแก้ไขโรคกิเลส แก้ไขสิ่งที่เกิดกับตาย โรคทางจิตแพทย์ต่าง ๆ มาแก้ไขกิเลสไม่ได้ แก้ไขกิเลสไม่ได้ แต่แก้ไขโรคจิตได้ เราเนี่ย พวกเราเนี่ยมีการป่วยทางจิต แต่ป่วยมากป่วยน้อยอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่ปัจจุบันนะ สิ่งที่ทางโลกถือว่าไม่เป็นการป่วยคือความไม่เข้าใจ แต่ในทางศาสนาถือว่าเป็นการป่วยเพราะความไม่เข้าใจคืออวิชชาไง

เราไม่เข้าใจเรื่องชีวิตของเราเอง เราไม่เข้าใจถึงตัวของเราเอง ทางการแพทย์พิสูจน์ได้เรื่องของร่างกาย เจ็บไข้ได้ป่วยน่ะให้ยาได้ แก้ไขได้ แต่ไม่มีทางการแพทย์ใด ๆ แก้ไขโรคการเกิดและการตายได้ ทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ อย่างไรก็พิสูจน์ไม่ได้ เขาพยายามสร้างวิทยาศาสตร์ สร้างกล้องถ่ายเข้าไปย้อนอดีตไปให้เห็นตั้งแต่เมื่อวานนี้ สิ่งต่าง ๆ นี่มันก็ไปเห็นภาพการกระทำที่มัน มันเวลานั้น แต่ไม่สามารถเห็นนามธรรมอันนี้ได้

แต่ถ้าเราตั้งสติของเราเห็นไหม ตั้งสติกำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหมนี่ไง ใครเป็นคนมาบวช ใครเป็นคนมาบวช เราบอกก็เราไง พระ ก. พระ ข. เนี่ยเป็นคนมาบวช ร่างกายมาบวชเนี่ย ในสมมุติ ในญัตติจตุตถกรรม บวชเข้ามาเป็นสงฆ์ แต่ขณะที่มันเกิด เกิดมรรคผลนะ มันเกิดญาณของมันนะ นี่ธรรมะบวช เห็นไหมบวชกายและบวชใจ ใจมันบวชตัวมันเอง ไม่มีใครบวชใจให้เราได้ เพราะการบวช เราบวชเนี่ยบวชจากสีมา บวชจากอุปัชฌาย์อาจารย์บวชออกมาจากโบสถ์

แต่ถ้าเราบวชใจของเรานะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะบวชใจของเรา ถ้าบวชใจของเรา ถ้ามันทำใจของเราให้เป็นพระขึ้นมาได้นะ ความสงบที่เกิดขึ้นมาจาก พุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย มันเป็นรสชาติที่เราหาไม่ได้ในโลกนี้ แต่เวลาเรากำหนดกันน่ะ ที่เขาทำบอก ว่าง ๆ ว่าง ๆเนี่ย มันรสชาติเรารู้จักเห็นไหม อารมณ์ดี อารมณ์อะไรไม่ดีน่ะ อารมณ์ขุ่นมัว อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์เนี่ย เรารู้ได้ใช่ไหม แล้วพอมันสงบเข้ามามันมีความปล่อยวางอารมณ์เข้ามา เราก็ว่าอันนี้เป็น ๆ สมาธิ อันนี้เป็นความว่าง ๆ สมาธิก็เป็นสมาธิเฉย ๆ ว่าง ๆอย่างนี้มันว่างเพราะเกิดจากปัญญา ปัญญามันใคร่ครวญปัญญามันศึกษาแล้ว ปัญญามันปล่อยวางไปแล้ว อันนี้ก็คือปัญญานี่ไง เราถึงบอกว่าปัญญาอย่างนี้ มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ไม่ใช่โลกุตรปัญญา

ปัญญาที่พระพุทธเจ้าชำระกิเลสด้วยมรรคญาณอันนั้นนะ ถ้ามรรคญาณมันจะเกิดขึ้นมาได้นะ พอจิตมันสงบเข้ามานะ มันมีความสงบนะ ความตื่นเต้นของมัน รสชาตินี้มันจะดูดดื่มกว่าที่เขาเห็นกันมาก รสชาติที่มันดูดดื่มกันเนี่ย เนี่ย ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีสมาธิมันจะเกิดปัญญาขึ้นมาได้ยังไง ไม่มีสมาธิมันเกิดปัญญาคือปัญญามันเกิดจากโลกไง เกิดจากโลก คือเกิดจากโลกทัศน์ เห็นไหม เกิดจากภพ เกิดจากสถานที่ที่มันตั้ง เห็นไหม เนี่ยบอกว่าใครมาบวช ใครมาบวช ร่างกายมาบวช จิตใจเรา จิตใจเราต้องพร้อมด้วย พ่อแม่ขอให้บวชหรือเราขอพ่อแม่บวชเห็นไหม ขอเนี่ยมันมาจากความคิด ความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากจิต จิตมันมีแรงปรารถนา มันมีความพอใจเหมือนกันที่จะมาบวช แต่บวชนี้บวชเป็นวัฒนธรรมบวชเป็นประเพณีของชั่วคราว

แต่ถ้ามันบวชตัวมันเองนะ มันเอาอารมณ์ความรู้สึก เอาศีล สมาธิภายใน เข้าไปทำลายตัวมันเอง ถ้าเข้าไปทำลาย ทำลายตัวเองเพื่อเหตุใด เวลาเราร่างกายสกปรกเรามีเหงื่อมีไคล เราอาบน้ำชำระความสะอาดของร่างกาย นี่ไงการชำระร่างกาย เวลาศีล สมาธิ ปัญญามันเข้าไปล้างทำความสะอาดของจิต ถ้าทำความสะอาดของจิต เนี่ยโลกเราเวลาสกปรก เราอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลไป แต่มันไม่ได้ล้างความลังเลสงสัยไป เหงื่อไคลเนี่ยล้างไม่มีวันหมดหรอกถ้ายังมีร่างกายนี้อยู่ อาบน้ำแล้วอาบน้ำเล่า เหงื่อไคลมันจะออกมาตลอดเวลา

อวิชชาความไม่เข้าใจ มันจะมีฝังอยู่ที่จิตตลอดไป สิ่งใดคือว่าอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้เราก็ไปศึกษาทางทฤษฎี เราก็รู้หมด รู้อย่างนี้มันรู้ทฤษฎี รู้จากภายนอก รู้ขนาดไหนแต่ไม่รู้จักตัวมันเอง ตัวมันเองไม่รู้จักหรอก เรารู้แต่เรื่องคนอื่น รู้ทุกอย่างรู้หมดเลย แต่ไม่รู้จักเรื่องของตัวเอง ความคิดรู้ไปหมดทุกอย่างเลย แต่ไม่รู้จักตัวมันเองเพราะความคิดเกิดจากตัวเอง ความคิดเกิดจากอวิชชามันถึงเป็นโลกทัศน์ มันถึงเป็นโลกจากภายใน

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม มันจะย้อนกลับมาที่นี่ มันจะย้อนกลับมาที่พื้นฐาน พื้นฐานของภพ พื้นฐานของสมาธิ เนี่ยมันจะเข้ามาที่นี่ พอเข้ามาที่นี่ปัญญาที่ละเอียด ปัญญาแบบซับ แบบซึมซับ ไม่ใช่ปัญญาแบบคิด ปัญญาแบบคิดเป็นปัญญาเกิดจากโลกเป็นปัญญาออกไป ปัญญาซึมซับเข้ามาเพราะจิตมันละเอียดมันจะซึมซับเข้ามา แล้วมันมาแก้ไขของมันเองเห็นไหม มันมาแก้ไขของมัน คำว่าแก้ไขของมันเห็นไหม มันต้องมีสติ มีปัญญาเห็นไหม สติ ปัญญา มหาสติ มหาปัญญา

เนี่ยสิ่งที่เป็นเนี่ย กิเลสมันมีหยาบ มีละเอียด มีซับ มีซับซ้อน เหมือนการบริหารจัดการของเราในหน้าที่การงานนะ งานทำความสะอาด ก็เป็นพวกของพวกพ่อบ้านแม่บ้านเขาทำ งานทางบัญชีก็ไอ้พวกลูกน้องมันทำ ไอ้งานกำหนดนโยบายก็งานเราทำเพราะเราจะเอาประโยชน์ จิตมันมีความลึกลับ มีความละเอียดลึกซึ้งเยอะมาก นี่การกระทำไปเห็นไหม มันถึงตอบสนองถึงที่มาที่ไปของจิต มันตอบสนองที่มาที่ไปของมนุษย์ไง งานภายนอกงานภายใน

ศาสนานี้สำคัญมาก แล้วเรามาบวชในศาสนาเนี่ย เรามีโอกาสมากนะ โอกาสอย่างเงี๊ยะ มันมาถึงมือเราโดยที่อย่างครูบาอาจารย์ของเราเนี่ยอยากบวช อยากบวช อยากพ้นทุกข์ มีทุกข์ในชีวิต อยากพ้นทุกข์ มีความกระทบบางอย่าง แล้วมาหาทางออก นั่นเขาออกมาแล้วเขาตั้งใจ อย่างเราบวชเนี่ย บางทีพ่อแม่ขอให้บวช บางทีเราก็บวชด้วยความอยากบวช บวชแล้วมันก็บวชเป็นพิธีเฉย ๆ แต่ถ้ามีความฉุกคิดนะ ถามตัวเองว่าชีวิตนี้คืออะไร นี่บอกชีวิตนี้เรียนจบแล้วจะไปทำงาน ชีวิตนี้จะหาผลประโยชน์

อันนั้นชีวิตมนุษย์นะ ชีวะ ชีวะ จิต ความรู้สึก ที่มันมีมันตาย มันมีมันอยู่เนี่ย ชีวะ ตามแต่สิ่งที่มีชีวิตอันนี้ อันนี้สำคัญกว่านะ การเป็นมนุษย์น่ะกรอบมันคือร่างกายเนี่ย ทำมากน้อยขนาดไหน ทำดีก็ได้ดีเท่าที่ทำ ทำชั่วได้เท่าที่ทำ แต่ทั้งดีทั้งชั่วมันต้องตายหมด แต่ชีวะตัวพลังงานตัวนี้ ถ้ามันทำความสะอาดได้เนี่ย มันไม่เคยตายและมันมีอยู่กับเราเนี่ย ตอนนี้ชีวะมันอยู่กับเรา มันเลี้ยงได้ด้วยอาหารอันละเอียด ออกซิเจนหายใจ เราไปกินแต่ข้าวแล้วว่าเป็นอาหารนะ ลมหายใจออกซิเจนเป็นอาหารของร่างกายเนี่ย มันล้างมันถนอมชีวะนี้ไว้อยู่ แล้วชีวะนี้ยังสืบไป แต่เราไม่ตอบสนองตัวนี้เห็นไหม

พระตัวนี้สำคัญมาก พระคือผู้ประเสริฐ พระคือตัวใจเนี่ย ไม่ใช่พระนั่งอยู่นี่นะ นี่เขาเรียกสมมุติสงฆ์ พระสมมุตินะ สึก พอสึกไปก็เป็นนายแล้วไม่ใช่พระ เป็นพระเพราะมันเป็นสมมุติสงฆ์ขึ้นมา แต่ถ้าชีวะอันนี้มันเป็นนะ เป็นฆราวาสเขาก็เป็นพระ นางวิสาขาไม่ได้บวชทำไมเรียกพระโสดาบัน พระเจ้าสุทโทธนะทำไมเป็นพระอรหันต์ เนี่ยชีวะตัวนั้นมันเป็นเพราะชีวะที่มันเป็น มันเป็นจากข้างในนะ เนี่ยตัวนี้สำคัญ

ตัวนี้สำคัญนะตอนนี้เราแค่ค้นหาตัวเรา ค้นหาใจนะ ทำให้เป็นสมาธิได้เนี่ย พุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เนี่ยถ้ามันสงบของมัน อื้อ ถ้าใครสงบ ใครเคยจิตหยุดนะ จิตมันหยุดของมัน แล้วมีสตินะ เราจะตื่นเต้นนะ เราจะค้นหา เหมือนของเนี่ยเราเก็บไว้ในตู้เซฟ หรือของเราเก็บไว้ที่ไหน แล้วเราลืมไปหาไม่เจอ เหมือนกันเลย จิตของเราความรู้สึกของเรามีอยู่นะ แต่เราลืมมันไปไง เราเลยหามันไม่เจอนะ จับได้แต่วัตถุเนี่ย เอ่อร่างกายที่เป็นเราเนี่ย เวลาเกิดบาดแผลเกิดความเจ็บเนี่ย มันเจ็บมาก แต่เราเจ็บช้ำน้ำใจ มันเจ็บตรงไหน เจ็บช้ำน้ำใจเนี่ย ความผูกอาฆาต ผูกโกรธเนี่ย

เนี่ยแผลที่มันเกิดขึ้นเนี่ย รัก เอายาใส่รักษามันก็หาย ไอ้แผลใจเนี่ย ไอ้เจ็บปวดในใจเนี่ยจะรักษามันได้ยังไง พระพุทธเจ้าสอนนะ ถ้าเรารักษาไม่ได้ ถมมันเต็มไม่ได้ มันปกติไม่ได้ มันเป็นสมาธิไม่ได้ เราเป็นสมาธิไม่ได้เพราะอะไร เราเป็นสมาธิไม่ได้เพราะสิ่งที่มันเจ็บปวดในใจเนี่ยมันพร่อง สิ่งที่มันพร่องนะ ขวดน้ำเนี่ย น้ำน้อยเขย่าดังมากเลย ขวดน้ำเต็มนะ มันเขย่าไม่มีเสียงดัง จิตเต็มนะ จิตอิ่มเต็มเนี่ย อารมณ์ไม่คิดถึงความเจ็บปวดอันนั้น ความเจ็บอันนั้นเต็ม สมาธิเนี่ยมันถมเต็ม มันมีความสุขของมันพอสมควรนะ แล้วพอจะรักษาให้หายมันต้องรักษาด้วยปัญญา ปัญญามันจะหมุนเข้าไป รักษาเข้าไปนี่คือมรรคญาณ นี่คืองานของพระนะ

เราศึกษาทางวิชาการนั้น ศึกษามาเพื่อเป็นทฤษฎี แล้วต้องพิสูจน์ ในทฤษฎีเขียนบอกเลย ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สีละ แต่ถ้าเราปกติของใจ นั่งปกติเนี่ยศีลสมบูรณ์มาก ขณะที่เราเคลื่อนไหวออกไปเนี่ยทำผิดทำถูกเนี่ย ทำผิดถึงผิดศีล ถ้าไม่ได้ทำผิด ศีลก็สมบูรณ์โดยธรรมชาติของมัน ศีล สีละ สมาธิ สมาธิก็เป็นตัวอักษร เป็นตัวชื่อของมัน ถ้าเกิดในใจของเราเป็นตัวสมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิด ปัญญามันแยกแยะไปอีก โลกียปัญญา โลกุตรปัญญา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาอันไหนปัญญาฆ่ากิเลส ปัญญาอันไหนเป็นการดำรงชีวิต ปัญญาอันไหนเป็นปัญญาในสังคมของเรา ในสังคมเราเห็นไหม เราต้องมีปัญญา เราต้องเกรงใจกัน เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจกันเห็นไหม นี่ก็เป็นปัญญาอันหนึ่ง ปัญญาเพื่อครองตัวเท่านั้นเอง

แต่ปัญญาที่ครองใจ ปัญญาเพื่อเอาใจให้สงบมันอยู่ที่ไหน อันนี้เราต้องคิดเนี่ย เราบวชมาแล้วไง เนี่ยวิธีการอย่างนี้ เราจะรื้อค้นของเรา บวชแล้วมีโอกาสมากนะ คนถ้าไม่บวชนะเราอยู่ทางโลกเห็นไหม มันมีหน้าที่การงาน มันมีความรับผิดชอบ ทุกอย่างเนี่ยมันต้องทำหมดเลย ปัจจุบันนี้ความรับผิดชอบหน้าที่การงานเราก็พักไว้ เรามาเป็นพระ ๒๔ ชั่วโมงเนี่ยตลอด ทำได้ตลอดเวลา ถึงปัจจุบันนี้ โอกาสเรามีเท่านี้นะ ถ้าสึกออกไปแล้วนะ เราต้องไปทำหน้าที่การงาน โอ้ย สึกออกไปแล้วนะอยากปฏิบัติ โอ้ย อยากบวช เวลาบวชทำไมไม่ทำ ตอนบวชนี้ไม่ทำ

พอสึกไปแล้วนะ แหม เสียดาย ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ บวชอยู่นี้ทำให้เต็มที่ ทำให้เต็มที่ พอทำขึ้นไปแล้วนะ นั่งสมาธิเนี่ย มันจะเจ็บมันจะปวดยังไงเนี่ยมันเป็นเรื่องปกติ ปกติมัน เราต้องสู้มัน ต้องสู้มันเพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เราเจ็บปวดมาตลอดนะ เราอยู่ในท้องแม่เนี่ย เราคลอดออกมาเนี่ย นั่นนะชีวิตแทบไม่รอดเลย ความเจ็บปวดอันนั้นมันเป็นธรรมชาติ ทุกคนต้องลอดออกมาช่องแคบนั้น การลอดช่องแคบนั้นทำให้เราเกิดมา เราเจ็บปวดอย่างนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจะต้องกลับมาเจ็บปวดอย่างนั้นอีก แต่เราลืมมันไป

แต่พอเราจะเผชิญกับสัจจะความจริงเพราะมีสติสัมปชัญญะ เราจะค้นคว้าตัวของเราเอง เราบังคับตัวเราให้นั่งด้วยความสมัครใจของเรา แล้วเวลาเลือดลม มันไม่ขับเคลื่อนความเป็นไปของมัน มันมีความเจ็บปวดขึ้นมา ทำไมเราท้อถอย ท้อถอยเพราะความอ่อนแอของจิต จิตมันไม่ต่อสู้ แต่ขณะที่เราลอดจากช่องแคบของแม่ออกมาเนี่ย ทำไมมันต้องออกมาล่ะ เพราะพ่อแม่เบ่งออกมามันก็เจ็บปวด เจ็บปวดจนเอาชีวิตแทบไม่รอด แต่ความเจ็บปวดอย่างนั้นมันเจ็บปวด เจ็บปวดเพราะความจำเป็น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะต้องขับเคลื่อนไปเป็นอย่างนั้น

ในปัจจุบันเนี่ยจะทวนกระแส ย้อนกลับไปดูจิตของเรา จะต่อสู้กับจิตของเรา จะต่อสู้กับความเป็นจริงของเรา เพราะเราเจ็บตัวขึ้นมา เพราะมันอิสรภาพไง เพราะเราอ่อนแอเองนะ พอเจ็บปวดเราก็เลิก พอเวทนาเกิดเราก็เลิก พอเราขุ่นมัวของใจเราก็เลิก เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความบังคับของธรรมชาติ ความบังคับเกิดออกมาจากช่องแคบนั้น ถ้าไม่ออกจากช่องแคบนั้นมันก็ต้องตายคาอยู่นั้น มันถึงต้องเบ่งออกมาตามช่องแคบนั้น

ในปัจจุบันเนี่ย มันเป็นความบังคับของสติปัญญาของเรา สติปัญญาของเรามันอ่อนแอไง มันไม่สู้แม้ขนาดเรื่องอย่างนี้ มันไม่มีความจริงเรื่องอย่างนี้ แล้วมันจะไป มันจะไปทำงานที่มีความละเอียดอ่อนได้ยังไง มันถึงต้องสู้กับตัวเองเวลาไปทำแล้วไง ทำแล้วมันก็เจ็บ ทำแล้วมันก็ไม่ได้อะไร เพราะเรามันอ่อนแอจิตใจอ่อนแอ ถ้าจิตใจเข้มแข็งนะ ทุกอย่างมันจะประสบความสำเร็จนะ นี่พูดถึงการกระทำ ถ้าเราทำจริงขึ้นมาเราจะได้พิสูจน์ไง

บอกว่า พุทธศาสนานี้สำคัญมาก พุทธศาสนามีความจริงมาก แล้วความจริงเนี่ยเราไม่พิสูจน์กับความจริง เหล็กนะเขาจะตีเนี่ยเขาจะต้องเผาไฟ มันต้องแดงเพราะเหล็กแดงมันอ่อน อ่อนมันตีได้ จิตใจเนี่ยเวลาเราเข้าถึงตั้งสติมีสมาธิเข้ามาเนี่ย มันอ่อนควรแก่การงาน อ่อนควรแก่... เราต้องเร่งตี ตีด้วยอะไร ตีด้วยสติปัญญาของเราเหมือนกัน มันเป็นเรื่องใจแก้ใจ จิตแก้จิต มันเป็นเรื่องของกรรม มันเป็นเรื่องของจิตที่มันหลง จิตที่มันมีอวิชชา ก็ต้องเอาจิต เอาปัญญาของมันแก้ไขมัน ทำลายมัน แล้วแก้ไขมันนะ

ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีครูบาอาจารย์ ดูสิ ดูลัทธิศาสนาเขาทำกันนะ เขาก็มีทั้งนั้นนะ ทุกศาสนามีการภาวนานะ แม้แต่ฤาษีชีไพร เขาทำความสงบใจของเขาได้ ความสงบใจนั้นเพราะเขาไม่มีปัญญาของเขา ความสงบของใจนะ พอความสงบจิตมันมีความสงบ ฤาษีชีไพรเขาเหาะเหินเดินฟ้าได้นะ พอจิตสงบเนี่ยมันมีกำลังของมัน มีพลังงานของมัน พลังงานนี้มันเหาะเหินเดินฟ้าได้ เขาว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรมของเขาเวลาจิตมันว่าง จิตมันขุ่นมัว จิตมันมีความฟุ้งซ่าน มันก็มีความฟุ้งซ่านไป พอเขากำหนดเขา เขาใช้กำหนดของเขาให้หยุดได้ ให้นิ่งได้ เขาว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม แล้วพอเวลามันเสื่อมไปล่ะ

แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเนี่ย พอจิตสงบเข้ามาเนี่ย ด้วยอานาปานสติ ด้วยปัญญาเข้าไปชะล้างเนี่ย มันเห็นการทำลาย มันเห็นการทำสิ่งที่เป็นต้นเหตุของการขุ่นมัว การไม่เข้าใจสิ่งนั้นออกไปหมด พอออกไปหมดแล้วเนี่ย เห็นไหม เนี่ยปัญญาอย่างนี้ การกระทำอย่างนี้ มันทำให้จิตสะอาดได้ มีเหตุมีผลของมัน ทำตามความจริงของมัน แล้วมันจะเห็นผลของมัน เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

เรามืดบอดอยู่ เราไม่ลืมตาเราก็ไม่รู้ จิตที่มันไม่รู้อะไรเนี่ย ตอนนี้รู้มากเพราะทฤษฎีเรื่องปรัชญา เรื่องวิชาการมันล้นฟ้า เราบอกเลยนะ โทษนะไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่พูดเหยียบย่ำกันนะ เนี่ยทางทฤษฎี ทางวิชาการมึงพิมพ์หนังสือให้ล้นโลกเลย ให้ตั้งให้โลกนี้เอียงไปเลยนะ ทฤษฎีก็ทฤษฎีวะ ถ้ามึงไม่พิสูจน์ นี่ไงมันเป็นทฤษฎีเห็นไหม

เราเป็นภาคปฏิบัติ เราต้องค้นคว้าต้องศึกษามา ศึกษามา ศึกษามาเพื่อให้รู้เท่า แล้วมีการกระทำของเราเห็นไหม มันภาคปริยัติมันจะปฏิบัติ มันจะรู้จริงของมัน แล้วทำของมันให้เป็นความจริงของมันขึ้นมา แล้วเราจะรู้จริง เห็นจริง เป็นความจริงของเรานะ

ให้เราพูด เราจะพูดไปเรื่อย ๆ เราพูดไปเราพูดคนเดียว เราตั้งใจจะให้มีสงสัยอะไรให้ถามดีกว่า เนาะ ใครมีอะไรว่ามา ถ้าให้พูดจะพูด พูดถึงเย็นเลย

ถาม : ถ้าเกิดเรานั่งสมาธิแล้วเรา… ถ้าเกิดอยู่ในบ้านเดียวกัน ไม่ได้ปลีกวิเวก หรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย จะต้อง…

หลวงพ่อ : อันนี้ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดานะ อันนี้ที่เขาเรียกสัปปายะ แล้วเวลาบวชแล้วเนี่ยเราก็เป็นนะ ทางสังคมเนี่ย เราบวชแล้วเนี่ย เวลาเราบวช แล้วกลับมาบ้าน พี่ ๆ น้อง ๆ เขาบอกว่าหลวงพี่ ไม่แน่จริง ถ้าแน่จริงก็ต้องอยู่ในสังคมเนี่ยแล้วภาวนาให้ได้ เนี่ยโลกเขาคิดกันอย่างนั้นไง โลกเขาว่าอยู่ในที่วิเวกก็ต้องปฏิบัติได้ อยู่ในที่ชุมชนก็ต้องปฏิบัติได้ ไอ้คำนี้จริง แต่จริงต่อเมื่อผู้ปฏิบัติจบ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเนี่ย ถ้าคนปฏิบัติแล้วถึงที่สุดแล้วนะ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

แต่ขณะคนที่จะปฏิบัติเริ่มต้นนะ เหมือนเด็กฝึกงานเนี่ย มันก็ต้องมีการดูแลกันหน่อย จิตของเราเนี่ยมันก็ต้องอาศัยสัปปายะคือที่สงบเห็นไหม ถ้าที่สงบมันเป็นดาบสองคมนะ เพราะฉะนั้นในทางทฤษฎีเนี่ยเขาบอก อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เวลาเราอยู่กับความไม่สงัดเห็นไหม อยู่กับเสียงกระทบต่าง ๆ เราก็รำคาญ แต่พอเราจะไปอยู่ จะเอาที่ความสงัด เราเข้าป่าเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงสอนในอะไรนะ ในอภิธรรมใช่ไหม ไม่ใช่ เวลานึกนึกไม่ทัน เนี่ยในวิสุทธิมรรคว่าเวลาเราจะปฏิบัติเราต้องไปที่ป่าช้า เวลาบวชเห็นไหม รุกขมูลเห็นไหม เวลาบวชอุปัชฌาย์จะให้มาหมด

ทีนี้พอเราไปอยู่ในที่สงบสงัดเนี่ย มันกลับกลัวตัวเอง อยู่คนเดียวไอ้ความคิด โอ้โฮ ผีตัวเบ้อเร่อเลยจะมาเอาเรานะ ยิ่งคิดไปผีตัวใหญ่ก็กลายเป็นใหญ่สองเท่า สามเท่า มันหักคอไม่หักคอใครเลย จะหักคอเราอยู่คนเดียว กลัวขนลุกขนพอง นี่ไงเวลาเราสงัดเนี่ย เราต้องการความสงัด แต่ไปอยู่ในที่ที่สงัดปั๊บ อยู่ในที่มืด ในที่วิเวกเนี่ย เราก็จะกลัวตัวเอง มันความคิดจะกลัว ฉะนั้นเวลาไปปฏิบัติน่ะ กายวิเวก จิตวิเวกมันต้องออกที่วิเวก เพราะวิเวกนะ ดูอย่างพระป่าเนี่ย ไปอยู่ในป่าในเขากันเพื่ออะไร เพราะต้องการความสงบสงัด แต่ถ้าความสงบสงัดมันเป็นประโยชน์จริงนะ สัตว์ป่าเนี่ย สัตว์ในป่าเนี่ยมันอยู่ในป่าตลอดเลย มันได้อะไรขึ้นมา ความสงบสงัดแล้วเนี่ย ถ้าเราสงบแล้ว เราต้องใช้ประโยชน์จากมันไง

เราเป็นมนุษย์ เราเป็นคน คนที่จะหาคุณงามความดี แต่อยู่ในที่สงัด อยู่ในที่ที่มันไม่สงัด เราสิ่งนั้นมันก็ชักนำให้ใจเราไป แต่พอเราอยู่ในที่สงัดปั๊บ เราต้องรักษาใจเราด้วยไง ฉะนั้นที่ว่าจะทำยังไงเนี่ย มันก็ต้อง มันก็อยู่ที่วาสนาของคนไง บางคนเนี่ยเขาก็ต้องหลีกเร้น เขาหาของเขา งั้นถ้าอยู่ที่นั่นปั๊บ อย่างเช่นบางคนมีครอบครัว ลูกเล็ก ๆ อย่างนี้ แล้วจะภาวนายังไง ลูกโอ๋ ๆให้ลูกนอนให้หลับก่อน หลับเสร็จแล้วแล้วค่อยมานั่งภาวนา แล้วเวลาเราเหลือเท่าไหร่ ถ้าคนอยากปฏิบัติก็ต้องทำเพราะอะไร เพราะเอ็งมีลูก เอ็งเป็นมนุษย์ไหม เอ็งเป็นสัปปุรุษไหม เอ็งสร้างชีวิตนี้มา เอ็งดูแลชีวิตนี้ไหม เราต้องดูแลชีวิตนี้ใช่ไหมเพราะเราสร้างเขามา นี่เขายังเป็นเด็กน้อยอยู่เนี่ยเราจะรักษาเขายังไง อันนี้คือแบบว่ามันเป็น มันเป็นเพราะเราสร้างมาไง เราสร้างสิ่งใดเนี่ยมันมีเหตุมีปัจจัยทั้งนั้นนะ ถ้าเหตุปัจจัยนั้นเราอยู่ในบ่วงอย่างนี้ เราต้องแก้ไขไปตามเหตุและปัจจัยนั้น แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวเรายังไม่มีครอบครัว แต่บางทีนะไปอยู่ในเพื่อนบ้านที่เขาไม่เกรงใจอย่างนี้ มันก็น่ารำคาญ

พระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ในการดำรงชีวิตไง อเสวนา จ พาลานํ คนพาลอย่าไปคบมัน นี่ถ้าคบคนพาลนะ ทีนี้เราต้องเอาธรรมะนี้มาหักล้างเรา ถ้าเราคบข้างบ้าน เรือนข้างเคียงเขาเป็นคนพาล เขาไม่เกรงใจ เขาเปิดเสียงดังเนี่ยทำให้กระทบกระเทือนเรา พอกระทบกระเทือนเรา เราเกิดความไม่พอใจ ไอ้ความไม่พอใจนี้เราเป็นคนพาลภายใน พาลภายในเพราะไอ้ความไม่พอใจเนี่ยมันเป็นพาล พาลอันนี้มันจะทำให้เราขุ่นมัว พาลอันนี้มันจะทำให้เราไปทำ ไปโต้แย้งกับเขา

ถ้าเราพยายามคบบัณฑิต ต้องใช้ปัญญาไงคือเขาเป็นคนพาล เขาเป็นคนที่ไม่เกรงใจคน เขาเปิดอย่างนั้น ก็คนพาลเขาทำอย่างนั้นมันก็ถูกต้องของคนพาลแล้วใช่ไหม เราเป็นบัณฑิตเราต้องรักษาใจ เราต้องอดทน ต้องหาเหตุหาผล ถ้าควบคุมได้เราจะไม่ไปกระทบกระเทือนกับเขา พาลภายนอก พาลภายใน พาลคือคนพาลภายนอก ความคิดดีเป็นบัณฑิต ความคิดชั่วเป็นพาล ฉะนั้นถ้ารักษาตรงนี้ปั๊บ เราจะไม่ไปกระทบกระเทือนกับใครไง ถ้าบอกว่าไม่คบคนพาลก็เป็นพาลภายนอก เราเป็นบัณฑิตเราก็จะไปล่อคนพาล (หัวเราะ) เราก็เป็นคนพาลเหมือนกัน เราเป็นบัณฑิตเราต้องคุมใจเราได้ พอคุมใจปั๊บ เราจะบอกว่าถ้าเป็นบัณฑิตเราคุมใจเราได้นะ เราจะมีโอกาสเพิ่มการทำดีมากกว่านั้นไง

เนี่ยแพ้เป็นพระ พระพุทธเจ้าสอนว่าแพ้เป็นพระ แล้วยิ่งแพ้ทางโลกแต่ชนะใจของตัว ยิ่งประเสริฐขึ้นเรื่อย ๆ ประเสริฐขึ้นเรื่อย ๆ แล้วใจเราประเสริฐเอง มีสิ่งใดกระทบขึ้นมาแล้วเราเกิดความโกรธ เราเกิดความบาดหมาง เราเกิดการจะต้องการทำลายเขา แล้วเราชนะความคิดอันนั้นได้ เราประเสริฐไหม เราชนะความคิดที่จะเราทำลายเขาได้ เราชนะความคิดเราได้ แล้วเรารักษาใจเราได้ เราชนะทั้งตัวเราด้วย ชนะทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเห็นไหม เราชนะหมดเลย

แล้วชนะแล้วนะ เขาก็ว่าเราเป็นคน คนที่ไม่สู้คน เราเป็นคนที่ยอมจำนนกับเขา เขายิ่งจะรังแกเรามากขึ้น อันนั้นก็คือเวรกรรมของเขา เห็นไหมถ้าเขาทำ เขารังแกคนที่ไม่ตอบโต้ กรรมจะเกิดกับเขาสองเท่า สามเท่านะ แต่ถ้าเราไปโต้ตอบนะ นี่ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้ แต่เราคิดว่าพอสอนแบบนี้ปั๊บเหมือนกับเรายอมจำนน ไม่ใช่หรอก ยอดคน ยอดคนแก้ไขได้

ทีนี้มันทำได้ยาก ไอ้พูดเนี่ย คนพูดเนี่ยทำได้หรือเปล่าวะเนี่ย สอนเขาอยู่เนี่ยมึงทำได้หรือเปล่า ทำ ถ้ามีสติก็ทำได้ ทำได้ทั้งนั้นนะ แต่ถ้าบางทีไม่ขาดสติหรอก บางทีมันเหตุการณ์มันต้องจัดการ ต้องจัดการหมายถึงว่าผู้นำ เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผู้นำต้องจัดการ ถ้าเป็นผู้นำเป็นผู้จัดการไม่จัดการ มันไม่ใช่ผู้นำ แต่บางอย่างเนี่ยมันยังไม่สมควร เหตุการณ์ยังไม่สุกงอมก็ยังไม่จัดการ ถ้าเหตุการณ์นั้นสุกงอมควรจะจัดการ ต้องจัดการ ลักษณะของผู้นำต้องมี แต่ถ้าไม่ถึงจังหวะนั้นยังไม่ควรทำ บางอย่างทำแล้วจะเกิดประโยชน์ บางอย่างทำแล้วเกิดโทษ การเกิดประโยชน์เกิดโทษต้องคิด

พระพุทธเจ้าญาติข้างพ่อญาติข้างแม่ยกทัพมารบกันแย่งน้ำทำนา พระพุทธเจ้ามาห้าม น้ำกับชีวิตอะไรมีคุณค่ากว่ากัน ชีวิตนี้มีคุณค่ามากกว่าครับ ญาติข้างพ่อ ญาติข้างแม่แยกทัพกลับไป ครั้งที่สองญาติข้างพ่อญาติข้างแม่ยกทัพมาอีก เพราะมันต้องการแย่งน้ำทำนา พระพุทธเจ้าก็มาห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง พอครั้งที่สามนะพระพุทธเจ้าไม่มาห้าม ยกทัพมา ยกทัพมาต่อสู้กัน หมดเลยทั้งญาติข้างพ่อและญาติข้างแม่หมดเลย ถึงที่สุดแล้วเห็นไหม กรรมของเขามันให้ผลของเขา

แต่ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลาพระพุทธเจ้าถามแย่งน้ำทำนา น้ำเอามาทำนา มันทำนาเพื่อเอาข้าวมาเลี้ยงชีวิต แล้วน้ำกับชีวิตอะไรมีคุณค่ากว่ากัน ถ้ามีปัญญายับยั้งเห็นไหม พอพระพุทธเจ้าถามเนี่ยน้ำกับชีวิตอย่างใดมีคุณค่ามากกว่ากัน ชีวิตนี้มีคุณค่ามากกว่าน้ำ ชีวิตนี้มีคุณค่า แล้วเราจะเอาชีวิตนี้มาแลกกันทำไม เราเอาชีวิตมารบกันนะ เอาชีวิตมาแลกกันเพื่อจะเอาน้ำ แล้วพอสุดท้ายครั้งที่สาม เวลาเอาชีวิตมารบกันแล้วได้น้ำไหม ชีวิตเนี่ยตายหมดเลย แล้วได้น้ำหรือเปล่า แต่เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมที่เขาสร้างของเขามา พระพุทธเจ้าห้ามขนาดไหนเนี่ย พูดถึงคนพาลไง

คนพาลว่า เราเป็นบัณฑิต เราจะดีขนาดไหน ไอ้คนพาลมันก็คือคนพาล ไอ้คนที่มันไม่เกรงใจเราทำลายเรา มันก็ทำลายเราล่ะ แต่เราทำความดีของเรา เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งกระทบกระเทือนกับเรา ต้องตั้งสติ ต้องตั้งสติ ต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกวันหนึ่งหลุดกี่หน ถามมันดิ ตั้งสติเราหลุดกี่หน โมโหกี่หน โมโหเนี่ย เดี๋ยวก็เดือดล่ะ เดี๋ยวก็เดือดล่ะ แหม พอเดือดแล้วปุดปุดปุดเลย ถามเนี่ย หนึ่งเดือดครั้งที่หนึ่ง เดือดครั้งที่สอง เฮ่ย อย่ามีครั้งที่สามนะ เตือนตัวเองอย่างนี้คือสติ

พระพุทธเจ้านะ ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด พระพุทธเจ้าฝากไว้เลย ความประมาทกับความมีสติพระพุทธเจ้าฝากไว้เลย ถ้าคนมีสตินะ มันจะไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปเรื่อย ๆ คนมีสติ แต่พระพุทธเจ้าพูดถึงความประมาท อย่าประมาท อย่าประมาทเตือนไว้ตลอด เป็นคำเตือนคำสุดท้ายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ฝากไว้กับพวกเรา อย่าประมาทกับทุก ๆ เรื่อง ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ มีสติแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นมา

อันนี้พูดถึง ๆ เราจะบอกว่ามันมีเหตุความจำเป็นไง ถ้าไม่มีเหตุความจำเป็นเราจะบอกว่า เอ้าก็ต้องพระป่าสิ เห็นไหม อยู่ในป่าสุดยอดเลยเนี่ย สงบสงัดตลอดเลย ต้องเอากล้องไปจับไว้ว่าพระป่าอยู่ป่าเนี่ย มันภาวนาหรือเปล่าวะ อยู่ป่ากันเนี่ยมันได้ภาวนาหรือเปล่า เพราะมันสถานที่ดีแล้ว สัปปายะไง สถานที่วิเวก กายวิเวกไหม จิตวิเวกไหม จิตไม่วิเวก สถานที่วิเวกนะ มึงทำสิ่งที่วิเวกนั้นให้ไม่วิเวกนะ

จิตวิเวกใช่ไหม ก็เอางานเข้ามา เอางานการเข้ามาแล้วมันจะวิเวกอีกไหม สถานที่นะมันวิเวก แต่ตัวเจ้าของนั้นไม่วิเวก มันดึงสิ่งที่วิเวกนั้นไม่ให้วิเวกเลย ฉะนั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมนะ พระเราก็เหมือนกัน มันต้องหาที่ เราเคยนะ เราเคยอยู่สถานที่หนึ่ง โอ้โฮสงบสงัดมาก เราไปคุยให้พระเพื่อนฟังบอกสุดยอดเลยโว้ย พระบอกไป ไปด้วยกัน พอไปด้วยกันสองคน ไปถึงแล้วเขาพัฒนาไปแล้วไง ติดพัดลมติดโน่นติดนี่ไปหมดเลย

พระมันถามเราไหนมึงบอกว่าดีไง เอ่อ ก็เมื่อก่อนมันดี เมื่อปีที่แล้วมันยังดีเลย ปีนี้มันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว เราโดนกับตัวเองเลย เราธุดงค์ไปสถานที่ไปเห็นว่าดี เราธุดงค์ไปเจอเพื่อนเพื่อนก็สนิทกันมาก เราบอกไปที่นี่แจ๋วเลย เราภาวนาได้ทั้งวันเลย พอไปถึงแล้วมัน เขากั้นติดมุ้งลวด มีพัดลมแล้วพอนั่งภาวนาก็ปับปับปับปับ แล้วเขาถามเราไหนมึงบอกว่าดีไง เราก็หน้าแตก ก็ปีกลายมันดี ปีนี้มันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว นี่ความวิเวกมันยังไม่แน่ เราโดนมาเยอะนะ เรื่องนี้เราก็โดนมา ฉะนั้นขนาดเราหาที่ เรายังต้องอย่างนั้นเลย

แล้วนี่ชีวิตของเราเนี่ย ถ้าเราฉลาด บางทีเนี่ยเราไม่ฉลาด สิ่งใดเกิดขึ้นมาก็แล้วแต่ สิ่งนั้นกดถ่วงใจเราคือพอเราคิดปั๊บ ความคิดนั้นเหยียบเราทันทีแล้วนะ นี่ไงพระพุทธเจ้าถึงบอกธรรมะไว้นะ ทำลายตนก่อนแล้วค่อยทำลายผู้อื่น เวลาเราโกรธเราโมโหโกรธาใครนะ ความโมโหนั้นมันเกิดจากใจเรา มันทำลายเราก่อนแล้วไปทำคนอื่น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทันสิ่งนี้เห็นไหม ไม่ทันใจเราเนี่ย มันทำลายเราทั้งนั้น

ฉะนั้นมันจะวิเวกหรือไม่วิเวกขนาดไหน เราจะต้องรักษาใจเรา เราต้องใช้ปัญญาไปตลอด มันเป็นกรรมของสัตว์นะ โธ่หลวงตาท่านพูดบ่อยนะ สมัยท่านนะก้าวออกจากนี่หายไปมีแต่ป่ากับป่านะสถานที่ภาวนาตลอดไป เดี๋ยวนี้ป่าหาแทบไม่ได้ พระเข้าป่าเขาไล่ออกเลยนะ เดี๋ยวนี้ กลัวพระจะไปยึดที่ป่า ถ้าพระเข้าป่าเนี่ย ป่าไม้จะมานั่งเฝ้าเลย ออกไป ออกไป ออกไป เพราะพระเข้ามาแล้วโยมก็จะตามเข้าไป ฉะนั้นป่าต่อไป ป่าจะมีเจ้าของทั้งหมด

แล้วมาคิดดูซิว่า วัดเวิ๊ดก็เหมือนกัน มันสำคัญที่ มันสำคัญที่ผู้นำ สำคัญที่หัวหน้าจิตวิเวกแล้ว พอจิตที่วิเวกแล้ว ทำไมจิตนี้ถึงวิเวก จิตนี้วิเวกแล้วก็อาศัยสถานที่วิเวก อาศัยสถานที่วิเวกแล้วนะ ก็ทำให้จิตวิเวก พอจิตวิเวกแล้วเนี่ยมันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่านั้น มันจะรักษาสิ่งนั้นไว้ เหมือนเราเห็นคุณค่าเห็นคุณค่าชีวิต เห็นคุณค่าของเงิน เห็นคุณค่าต่าง ๆ เราจะใช้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ คนเราไม่เคยหาเงินไม่เห็นคุณค่าของเงิน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย พ่อแม่เนี่ยหาเงินมายากจะรักถนอม จะดูแลเงินมาก จะรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ให้ลูกนะ ไอ้ลูกแบมือขอนะ แม่ แม่ แม่ จะเอาท่าเดียว แล้วไม่รู้จักหาไม่รู้คุณค่า

จิตที่วิเวกแล้วมันรู้จักคุณค่านะ นี่ของเรานี้ไม่รู้คุณค่า ทำลายหมดนะ แต่ถ้าเรารู้คุณค่ามันรักษาไว้ นี่ไงเราเกิดมาแล้วต้องตาย พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว คนที่มีคุณค่า จิตที่มีคุณค่าที่รู้สึกรู้จักคุณค่าพยายามถนอมรักษา เขาก็ต้องตายไปนะ แล้วใครจะรักษาต่อ ในศาสนาก็เหมือนกันใครรักษาต่อ ถ้าจิต จิตมันเป็นธรรมรักษาต่อนะ โธ่เวลาพระพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ กัสสปะเอยเธอก็เป็นพระอรหันต์ก็อายุปานเรา ทำไมต้องถือธุดงควัตรล่ะ ข้าพเจ้าถือเพราะเพื่อ ไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลังได้มีคติแบบอย่าง

พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ ถือธุดงควัตรตลอดเวลา สังฆาเนี่ยปะถึงเจ็ดชั้น เพราะถือผ้าบังสุกุลเก็บมาปะ เก็บมาปะจนพระพุทธเจ้าบอกว่าอายุเท่าพระพุทธเจ้า ๘๐ เท่ากัน แล้วพระพุทธเจ้าก็บอก พระพุทธเจ้าก็ยืนยัน กัสสปะเอยเธอก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมต้องมาทุกข์มายากอย่างนี้อีกล่ะ ข้าพเจ้าทำไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลัง อนุชนรุ่นหลังจะได้มีคติ มีแบบอย่างได้ยึดได้เหนี่ยว เนี่ยจิตวิเวก ทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังทำเพื่อต่อไป ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ พวกเราได้มาเนี่ย ได้บวชเนี่ย เขาบอกว่าก็ไม่เห็นยากเลยนะ ก็เกิดเป็นคนพ่อแม่ให้บวช ไปซื้อเครื่องบวชก็ได้บวชเนี่ยไม่เห็นยากเลย เขาบวชมาแล้วก็เป็นพระมันยากตรงไหน

โธ่ ลูกที่ไม่ยอมบวช พ่อแม่ขอแล้วก็ไม่ได้บวช เราเกิดมาไปลัทธิอื่น เราไปเกิดมาในศาสนาอื่นจะได้บวชไหม เกิดเป็นคนเหมือนกัน ไม่พบพระพุทธศาสนาจะได้บวชหรือเปล่า คนเนี่ย ในโลกเนี่ยกี่พันล้านคน แล้วเกิดมาเป็นชาวพุทธเนี่ยมีมาก คนบางทีอายุมากแล้วค่อยมาบวช บอกเกิดยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้บวช เพราะมันเป็นความเชื่ออันหนึ่ง เราก็เห็นคุณงามความดีของเขา แล้วบวชเข้ามาได้สัมผัสไง บวชมาได้สัมผัส พระในวัดเป็นยังไงวะ เขาอยู่กันยังไง เขากินกันยังไง แล้วเราทำยังไง เขาได้สัมผัสนะได้สัมผัสของเราอย่างหนึ่ง ดูสิดูอย่างพระในสมัยพระพุทธกาลเขาอยู่กันยังไง เขาทำกันยังไง นี่ ๆ ทำจากงานนอกนะ

แล้วครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น ใครเคยฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นนะ โอ้โฮ คนเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่มั่นยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเข้าป่า เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องกินอาหารเพื่อจะฟื้นฟูร่างกาย หลวงปู่มั่นพอเจ็บไข้ได้ป่วย กินข้าวต้มกับเกลือ ท่านสวนกระแสหมด หลวงปู่มั่นไม่เข้าโรงพยาบาล หลวงปู่แหวน หลวงปู่หล้า บอกหลวงปู่มั่นไม่เข้าโรงพยาบาล ท่านก็ไม่เข้า หลวงปู่แหวนยังไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลเลย ถือคติอาจารย์ทำยังไงจะทำตามอาจารย์

หลวงปู่หล้าเนี่ยภูจ้อก้อ ท่านนะไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล เป็นไส้เลื่อนเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดแป๊บเดียวก็หาย ท่านก็ทนเอาจนตาย ไม่ทำ ไม่เข้า นี่ถือครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง หลวงปู่หล้านะไปบิณฑบาตกลับมาน่ะ ไส้เลื่อนมันไหลลง ลงอัณฑะน่ะ ก็เอาบาตรวางไว้ก่อน เข้าไปที่ต้นไม้แล้วก็เอาขายันไว้แล้วก็ขึ้นไป ให้มันไหลกลับไง ไหลกลับเสร็จแล้วค่อยเดินกลับวัด หลวงปู่หล้าภูจ้อก้อนะ ท่านเป็นไส้เลื่อน แค่ไปโรงบาลเนี่ย เย็บหน่อยเดียวก็หายเห็นไหม ท่านไม่เอา ท่านทนเอาทั้งชีวิตน่ะ นี่มีคติมีความจริงในหัวใจ ของง่าย ๆ อย่างเช่นหลวงปู่แหวนเนี่ย ในหลวงท่านเคารพบูชามากนะ เป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมป์เนี่ยมัน โอ้โฮสุดยอดเลย ท่านไม่มาหรอก ท่านไม่สนนะ ไม่สน ไม่เอา

ไอ้ของเรานี่อ่อนแอไง คำว่าอ่อนแอกับเข้มแข็ง หัวใจอ่อนแอหัวใจเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง อะไรมันก็อดทนได้นะ จะทำให้เราไม่อ่อนแอ อันนั้นมันอยู่ที่เหตุ อยู่ที่เหตุปัจจัย ไอ้ความสงัดความวิเวกเนี่ย มันอยู่ที่เหตุปัจจัยอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน เราไปตกกาลเวลาไหน เราไปตก ดูดิใครเกิดพร้อมชุดที่ครูบาอาจารย์รุ่งเรือง หมู่คณะเห็นไหม สมัยกองทัพธรรม โอ้โฮ พระเคลื่อนไปไหนเนี่ย มันไม่ต้องภาวนาหรอก ระบบมันบีบเลยล่ะ เพราะพระป่าเขาทำกันหมดเลย ไม่ทำก็ไม่ได้ เอากับเขาไปด้วย

เดี๋ยวนี้โห ตัวใครตัวมันนะ สมัยกองทัพธรรมมานะ มันบีบมาโดยอัตโนมัติ เขาภาวนากันทั้งวัน อาจารย์สิงห์ทองพูดไว้ ในสมัยห้วยทรายของหลวงตามหาบัวที่ห้วยทราย บอกเลยเหมือนพระอรหันต์ทั้งวัดเลย มองไปทางไหนมีแต่โคมแขวนไว้ มีแต่พระเดินจงกรม คึกคัก คึกคัก นี่อาจารย์สิงห์ทองพูดเองนะ บอกสมัยอยู่ห้วยทรายนึกว่าพระอรหันต์ทั้งวัดเลย เพราะเดินจงกรมแข่งกัน นั่งสมาธิภาวนาแข่งกัน ทั้งวันทั้งคืน เหมือนวัดนี้มีแต่พระอรหันต์ นี่เพราะหลวงตาท่านเป็นหัวหน้า ท่านเข้มงวดของท่าน นี่ระบบมันบีบเลย

ถ้าเราเกิดในยุคที่ครูบาอาจารย์รุ่งเรือง ท่านคอยดู คอยแนะนำ คอยตรวจสอบ คอยชี้นำ แล้วโอกาสอย่างนี้จะมีอีกไหม พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันจะเจริญด้วยหัวใจ ศาสนาไม่ได้เจริญด้วยวัตถุนะ วัตถุเนี่ยใครก็สร้างได้ วัตถุเนี่ยมันเป็น มันเป็นวัฒนธรรม คนที่เขามีศรัทธาความเชื่อ เขาสละเงินปัจจัยของเขาสร้างขึ้นมา ใครก็ทำได้

แต่ถ้าหัวใจมันเจริญเห็นไหม ศาสนาก็เจริญ คนเนี่ย หัวใจของหลวงปู่มั่น หัวใจของครูบาอาจารย์เราเนี่ย หัวใจท่านเป็นธรรม พอใจท่านเป็นธรรม ท่านสอนเราได้ ท่านบอกได้ทุกแง่ทุกมุมของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ทีนี้พออย่างพวกเราเนี่ย ทำไมไม่บอกให้ผมรู้หมดเลยล่ะ ไอ้เรามัน ไอ้เรามันคนป่วยที่ไม่ยอมรับว่าป่วยเนี่ย บอกยังไง บอกเอ็งป่วย ป่วยที่ไหน ยังแข็งแรงเนี่ย ป่วยที่ไหน โอ้โฮ.. ยังปกติเนี่ย

นี่ไงท่านพูดเราก็ไม่รับ แล้วจะบอกเรา เราจะรู้ไหม ไหนบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านรู้ทุกแง่ทุกมุมของกิเลสเลย ทำไมไม่บอกให้เรารู้ล่ะ จะบอกได้ยังไง ก็มึงมันกะลาคว่ำ ภาชนะมันไม่หงาย กะลาคว่ำเห็นไหม ภาชนะที่มันคว่ำดินอยู่ ฝนตกแดดออกไม่มีอะไรเข้าไปได้เลย จิตใจเรามืดบอด พูดเท่าไหร่นะมันก็ไหลออกหมดเลย เฮ้ย เขาว่าคนนู้นนะ เขาพูดคนนู้นนะ กูนี่ยอดเยี่ยมเขาไม่ได้ว่ากูสักคำ เขาออกหมดเลย มันไม่เข้ามาเลย เราบอกว่าไหนว่ารู้ไง ไหนว่าจะบอกไง แต่ถ้ามันหงายขึ้นมานะ ฝนตกแดดออกมันเข้าหมด

นี่เหมือนกันถ้าเราเปิดใจนะ ทุกแง่ทุกมุมนะพื้นฐานน่ะ แค่พื้นฐานของเราเนี่ย แค่ตัวตนของเราเนี่ย เขาบอกว่าสมถะไม่สำคัญ สมถะไม่มีความหมาย ไม่สำคัญนะเวลากินข้าวก็ยัดใส่หูไปเลยสิ กินข้าวมึงยัดใส่ปากทำไม เพราะปากมีหน้าที่กลืนคำข้าวใช่ไหม กิเลสมันอยู่ที่ใจมึง ถ้าธรรมะไม่เข้าถึงใจ มันจะแก้กิเลสมึงได้ไหม แล้วบอกไม่สำคัญ ไม่สำคัญก็เย็บปากแม่งทิ้งเลย เวลากินข้าวก็ยัดใส่หูน่ะ ถ้าสมถะคือฐีติจิตคือเข้าสู่ปาก สู่ปากคือธรรมะจะเข้าสู่ใจ ถ้ามึงไม่เข้าสู่ใจ ไม่เข้าสู่ฐีติจิต สมถะไม่มีความหมาย

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เราทำหน้าที่การงานทั้งหมดใครเป็นเจ้าของงานนั้น ใครเป็นเจ้าของสิ่งตอบแทนสิ่งที่เกิดจากงานนั้น จิตถ้ามันทำงานถูกทาง จิตนี้ได้ผลตอบแทนถึงธรรมะนั้น จิตนี้ได้สัมผัสกับความสงบนั้น จิตนี้ได้สัมผัสกับปัญญานั้น

แต่ในปัจจุบันนี้เขาไม่ได้สัมผัสกับความสงบนั้น เขาได้สัมผัสกับสัญญาอารมณ์นั้นต่างหาก สัญญาอารมณ์ความคิดที่มันฟุ้งซ่าน มันคิดมันเป็นความคิดที่สงบ ความคิดคือสัญญาอารมณ์ไม่ใช่ตัวจิต ความคิดที่มันเป็นตัวจิต จิตเขาได้สัมผัสกับสัญญาอารมณ์นั้น เขาไม่ได้สัมผัสกับความเป็นจริง แล้วเขาจะรู้อะไรขึ้นมาได้ยังไง แล้วเขาบอกว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอีกห้าร้อยชาติ ปฏิบัติไปเถิด เพราะเขาไม่ได้เอาข้าวเข้าปาก เขาไม่ได้เอาธรรมเข้าสู่ใจ เขาเอาธรรมสัมผัสกับสัญญาอารมณ์ ใช้สัญญาอารมณ์นั้นสัมผัสแทน ไม่สัมผัสด้วยจิต

สัมผัสด้วยจิตคือจิตมันสงบไง จิต ตัวฐีติจิต เพราะจิตสงบ จิตสงบจะไม่พูดอย่างนั้น จิตสงบ อึ อึ อึ ว่าง ๆ ว่าง ๆ ใครพูด จิตใช่ไหม จิตพูดไม่ได้ จิตต้องคิดใช่ไหม คิด ความคิดคือพูดไง ความคิดคือคำพูด จิตคิดว่าว่าง ความว่างนั้นเป็นที่ความคิดใช่ไหม แล้วความคิดมันว่าง แล้วตัวจิตมันรู้อะไร จิตก็เลยอธิบายความว่างไง ว่าง ๆ ว่าง ๆ แต่ตัวจิตมันไม่รู้ แต่ถ้าตัวจิตมันว่าง เอ๊อะ ไม่ใช่ความคิด เพราะจิตไม่ได้บอกความคิด

จิตไม่ต้องไปบอกที่ความคิด จิตมันว่างเอง อึ๊ อึ๊ อึ๊ นี่คือปาก พอมันเปิดปากปุ๊บนะ พออาหารมันเข้าปากไง มันก็เข้าท้องไง ยัดเข้าหู มันก็หูหนวกน่ะสิ ตอนนี้ธรรมะมันเข้าหูหมด มันยัดเข้าหูมันเลยหูตึงไง พูดมันก็ไม่รู้เรื่องไง เลยพูดคนละภาษาเดียวกันไง มันก็พูดธรรมะ ครูบาอาจารย์เราก็พูดธรรมะ พูดธรรมะเหมือนกันน่ะ พูดคนละภาษาเดียวกัน พูดธรรมะนะ คนละภาษา ภาษาธรรมะไงแต่คนละภาษาเดียวกันไง เลยไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้เรื่องกัน นี่ขนาดพูดถึงสัปปายะอย่างเดียวตอบไปครึ่งชั่วโมงเลย เอ้าปัญหาต่อไป

ถาม : เวลาฟังเทปของพระอาจารย์นะครับ เวลาเราปวดเมื่อยขาแล้ว แบบว่าให้พุทโธแบบถี่ ๆ แบบว่าให้ทำแบบเต็มที่…

หลวงพ่อ : ใช่ หนึ่งนะ พูดอย่างนั้น มันพูดบอกเป้าหมาย แต่ถ้าบอกพองั้นน่ะ เพราะเวลามันปวดขึ้นมาเนี่ย เราบอกให้พุทโธถี่ ๆ เพราะเหตุใด โดยหมอเนี่ยเขาจะรู้เลยว่าคนนี้เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าแก้หายแล้วอาการจะเป็นอย่างนี้ อาการจะเป็นอย่างนี้ แต่นี่เขายังไม่ได้แก้คนไข้ให้หายป่วย มันก็คือปวดอยู่นั้นใช่ไหม อันนี้ก็เหมือนกันบอก พุทโธแล้วมันต้องหาย ก็พุทโธแล้วมันไม่หาย ก็คนป่วยมันยังไม่หาย มันจะหายได้ยังไงล่ะ

แต่ถ้ามันบอกไว้นะ คำว่าพุทโธเนี่ยนะ คำว่าพุทโธ เราอธิบายความคิดเราเป็นความคิดที่สกปรก ทำไมถึงสกปรกเพราะความคิดนี้เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เกิดจากธรรมชาติของจิต พุทโธเนี่ย พุทโธเห็นไหม ความคิดพุทโธเป็นความคิดไหม พุทโธเป็นความคิด แต่พุทโธนี้เป็นพุทธานุสสติ เราพอเราคิดพุทโธ พยายามคิดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ยเห็นไหม เราพยายามคิดพุทโธ พุทโธ พุทโธ มันไม่อยากคิดหรอก พุทโธ พุทโธ

เราคิดพุทโธ ๆ เนี่ย เราคิดขาวคือคิดชื่อพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้า คือมันไม่มีโทษไง พุทโธ พุทโธ พุทโธ แต่ถ้าคิดเรื่องอารมณ์เราเนี่ย โอ้โฮมันจะไปไกลเลย เนี่ยเราจะย้อนกลับมาเวลาพุทโธพุทโธเนี่ย ถ้าเราย้อนพุทโธเนี่ย ความคิดมันอยู่ที่พุทโธ ถ้าความคิดเราอยู่ที่พุทโธเพราะเราเปลี่ยนความคิดที่สกปรกมาเป็นความคิดขาว พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ย ทีนี้ไอ้เวทนาเนี่ย ไอ้เวทนาที่จะเกิดขึ้นมาเนี่ย มันจะเกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร เพราะความคิดเรารับรู้ ถ้าความคิดเราไม่รับรู้เรื่องเวทนานะ ไอ้เด็กมันไปเล่นเกมส์นะ มันกดเจ็ดวันแปดวันนะ มันกดได้ทั้งวันเลย มันไม่เจ็บ มันไม่มีเวทนา เพราะความรู้สึกมันไปอยู่ที่เกมส์นั้นหมด ความรู้สึกมันไม่อยู่ที่เรา

แต่อันนี้เราไม่มีเกมส์เล่น เราจะเผชิญกับความจริง เอ็งนั่งปั๊บ ห้านาทีปุ๊บเวทนามาแล้ว เพราะอะไรเพราะจิตมันรับรู้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันรับรู้กับความรู้สึกตัวของเรา นี้พอรับรู้เวทนามาปั๊บเนี่ย มันก็ปวดทันทีใช่ไหมเพราะเวทนา จิตเราไปรับรู้ รับรู้ความปวด นี้กำลังเราไม่พอใช่ไหม เราก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ยคือถ้าพุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ย ความรู้สึกไปอยู่ที่พุทโธหมดเห็นไหม ความรู้สึกนี้ ความรู้สึกนี้มันไปรับรู้เวทนาใช่ไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ยมันจะเบี่ยงเบนไง เบี่ยงเบนความคิดทั้งหมดที่ไปรับรู้ในเวทนา มันรู้ที่พุทโธไง

พุทโธ พุทโธ พุทโธ แต่ต้องจริงนะ พอพูดอย่างนี้ไปปั๊บพอรับรู้แล้วนะ มันก็ซ้อนเลยนะ กิเลสมันร้ายมาก ถ้ารู้งั้นปั๊บ พุทโธก็ไม่หาย อะไรก็ไม่หายเพราะดันไปรู้ก่อน เขาห้ามรู้ ต้องทำไปแบบไม่รู้ มันถึงจะเป็นจริง ถ้าเรารู้แล้วนะกิเลสมันจัดฉาก ทีนี้ว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ย พุทโธ พุทโธ เข้มแข็งไปเลยนะ มันต้องอยู่เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนก๊อกน้ำเนี่ย เราต่อสายให้ไปทางอื่น น้ำมันจะมาตามก๊อกน้ำนั้นได้ไหม ไอ้ปวดเนี่ยจิตไปรับรู้ เราเบี่ยงเบนให้มันไปอยู่กับพุทโธ

แต่นี้บังเอิญเรารู้แล้วว่ามันเบี่ยงเบนไป เราก็เจาะรูให้มันรั่วให้น้ำออกไปทางก๊อกอีก ก็เรารู้แล้วไง พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันก็ยังรับรู้อยู่ เราบอกว่าพุทโธพุทโธนี่นะ เวทนาเนี่ยจริง ๆ แล้วเนี่ย เวทนาเนี่ยไม่มี เวทนากายนี้ไม่มี กายนี้ไม่มีเวทนานะเพราะกายนี้เป็นแร่ธาตุ เลือดมันเจ็บปวดได้ไหม หนังเจ็บปวดได้ไหม เนื้อเจ็บปวดได้ไหม กระดูกเจ็บปวดได้ไหม มีไหม แร่ธาตุเนี่ยมันไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึก ความรู้สึกเจ็บปวดเนี่ย เป็นเรื่องของจิตหมดเลย เป็นเรื่องของความรับรู้ ความรับรู้นี้ไปรับรู้ ไปรับรู้อะไรอย่างนั้น ฉะนั้นความรับรู้เนี่ย เราเปลี่ยนแปลงความรับรู้นั้น นี่พูดถึงพุทโธนะ

แต่ถ้าพูดถึงคนมีกำลังแล้วเนี่ย ถ้าพุทโธ พุทโธ เนี่ยมันไม่อยู่เนี่ย ถามมันอะไรปวด ถามมันอะไรปวด เรียกว่าใช้ปัญญา นักรบกับนักหลบ ถ้านักรบใช้ปัญญาเข้าไปเลย ถ้ามันไล่เข้าไปนะ ที่ปวดนี้อะไรปวด เข่าปวด หนังปวด กระดูกปวด แต่ถ้าเข้าไปสู้อย่างนี้ ความปวดมันจะเป็นสองเท่า เพราะมันปวดอยู่แล้วใช่ไหม เราเผชิญกับความปวด เหมือนความร้อนเนี่ย เราเผชิญกับความร้อน เราไปใกล้ความร้อน ความร้อนยิ่งมากขึ้น เวทนามันเกิดอยู่แล้ว เราเข้าเผชิญกับเวทนา เวทนาขึ้นเป็นสองเท่า

ฉะนั้นคนจะเข้าไปเผชิญกับเวทนาเนี่ย มันถึงต้องมีกำลังพอสมควร นี้กำลังแล้วเนี่ย เราต้องฝึกสติของเราไว้ เราต้องทำสมาธิไว้ มันถึงว่ากรณีอย่างนี้ เป็นกรณีแบบว่าเป็นทางเลือกให้เราเข้าไปเผชิญกับความจริง การศึกษาธรรมะเนี่ย คือการเข้าไปเจอกับความจริง เราพูดบ่อยนะเวลาบอกว่า ความจริงปลอม ความจริงปลอมคือความคิดเราเนี่ย เป็นความจริงอันหนึ่งเป็นความจริงปลอม แต่ความจริงอันจริง ๆ คือมันจริงโดยสัจธรรม นี้พอเราจะเข้าไปเผชิญกับความจริงจริง เนี่ยเราต้องมีความจริงพอสมควร แต่เข้าไปเผชิญแล้วมันจะเป็นความจริง

ฉะนั้นบอกว่าการใช้ปัญญามันเป็นอย่างที่เราพูดเนี่ยล้านเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าเราทำเข้าไปไม่ถึงในจุดนั้น มันมีไงมันมี ๆ มันมี เราอ้างตัวนี้บ่อยมากนะ มีลูกศิษย์คนหนึ่งเขาเป็นหมอ แล้วเขามาบวชเนี่ย แล้วเขาก็อยากทดสอบไง เขาอดอาหาร เขาเป็นหมอ วันที่สามที่สี่ เนี่ย เขาเอายาเคลือบกระเพาะ ยาอะไรมาวางไว้เต็มไปหมดเลย ในความคิดเขาถ้ามันไม่หายปวด ไม่หายหิว มันจะเจ็บแสบกระเพาะเนี่ยเขาจะกินยานั้น นี้พอถึงเต็มที่ในวันที่สามมันลงปุ๊บ หายหมดเลย ว่างหมดเลย ครั้งแรกเขายังไม่มั่นใจ เขาทำถึงสองรอบแล้วก็มาหาเรา

พอมาหาเราแล้วเราบอกเห็นไหม ความหิวนั้นเป็นสมมุติ เห็นไหมเหมือนเวทนาเนี่ย พอหิวเนี่ยกระเพาะไม่มีอาหาร ทุกอย่างไม่มีอาหารมันก็หิวเป็นธรรมดา หิวเป็นธรรมดาตรงไหน จิตไปรับรู้ พอจิตมันปล่อยเข้ามา กระเพาะไม่มีอาหารทำไมมันไม่หิว หิวหายไปไหน เพราะหิวเป็นสมมุติไง นี่ไงความจริงปลอมไง เป็นความจริงไหมจริง ไม่กินข้าวหิวไหม หิว แหม..ไม่กินข้าวบอกอิ่มไม่เชื่อ หิว หิว หิวแน่นอนเลย แต่ความหิวนั้น ความหิวนั้น เวลาจิตมันลงมันแล้วไปไหน เนี่ยความจริงปลอม เป็นเรื่องสมมุติ เป็นสมมุติในความจริงนะ ความจริงปลอม

ทีนี้เอาสมมุติ เอาตรรกะ เอาความเห็นของเราเนี่ยไปรื้อค้นธรรมะ เอาความจริงปลอมเข้าไปหาความจริง มันก็เรียกความจริงปลอมไง แต่ถ้าเราเอาความสงบของเรา เอาจิตของเราเนี่ยเป็นความจริงแท้ ความจริงแท้เพราะเป็นพลังงานเพียว ๆ จิตสงบคือตัวพลังงานเพียว ๆ ไม่มีสิ่งใดบวก แต่ความคิดเราเนี่ยมีพลังงาน แต่มีความคิดเราบวก เราถึงโลกียปัญญาไง ความคิดคือโลก โลกทัศน์ พื้นฐาน ตัณหาจริตบวก มุมมองของแต่ละคนบวก มันเลยเป็นความจริงปลอม

แต่พอจิตสงบปั๊บเนี่ย ใครจะมีจริตนิสัยอย่างไรก็แล้วแต่ พอจิตสงบคือสากล คือพลังงานเพียว ๆ คือสมาธิที่ไม่มีสิ่งใดบวก แล้วถ้าออกรู้ งั้นจิตเราเนี่ย ขณะที่ปัจจุบันมันยังไม่เกิด เราถึงต้องทำกันตรงนี้ เนี่ยครูบาอาจารย์ของเรา หรือองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมถึงอานาปานสติล่ะ ทำไมกำหนดจิตอย่างนั้นถึงสงบเข้ามาล่ะ อานาปานสติ พระพุทธเจ้าวางพื้นฐาน พระพุทธเจ้าปฏิบัติอานาปานสติก่อน พอจิตสงบเข้ามาเห็นไหม มันถึงเป็นข้อมูลที่ว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ

กลับมาที่อานาปานสติ เข้าไปเห็นจุตูปปาตญาณ กลับไปอานาปานสติถึงอาสวักขยญาณ ถ้าไม่มีพื้นฐานตรงนี้นะ ความคิดมันปลอมปนมาจากความรู้สึกของเรา ปลอมปนมาจากข้อมูลของเรา อย่างที่เราบอกสติปัฏฐาน ๔ ปลอมหมด ให้พวกเราไปตรึกในสติปัฏฐาน ๔ ปลอมหมด ปลอมจากความปลอมปนของความคิดเรานี่ไง ปลอมปนจากมุมมองจากความเห็น แล้วมุมมองความเห็น เอาประเด็นใดประเด็นหนึ่งมาตั้งสิ แล้วนั่งมองกัน เถียงกันตายห่าเลย เพราะความเห็นมุมมองแตกต่าง จริง จะมีมุมมองเห็นเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้นเราบอกกำหนดเวทนากำหนดอย่างนั้นถูก แต่ต้องเข้มแข็งแล้วทำ แต่นี่มันพอเรารู้ว่า เออท่านสอนอย่างนี้ ๆ กำหนดอย่างนี้ เรากำหนดเออ ๆ จริงหรือเปล่า บางทีนะทำทิ้งทุ่มไปทั้งตัวเลย เจ็บก็ไม่พ้นตาย มึงจะเจ็บขนาดไหนสู้กับมึง แล้วพอมันปล่อยนะ มันได้ เราอยากให้ทำตรงนี้ ถ้ามีครั้งที่หนึ่งเหมือนสถานที่ที่เราไม่เคยไป ถ้าเราเคยไปสถานที่นั้นหนแรก เรารู้แล้วว่าสถานที่นั้นมีจริง เราจะไปสถานที่นั้นได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเราไม่เคยเห็นสถานที่นั้นเลย เราไม่เคยประสบสถานที่นั้นเลย เขาก็บอกทั้งนั้นนะ ไอ้เราก็เดินผ่านไปผ่านมา เฉียดไปเฉียดมา เหยียบมันไปเหยียบมันมาไม่เห็นนะ แต่พอไปเห็น อ๊อ.. มันอยู่ตรงนี้

วันหลังทำเข้ามานะมันจะง่ายขึ้น มีครั้งที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ตามมาได้ง่ายขึ้น ครั้งที่หนึ่งเนี่ย ครั้งแรกเนี่ย ถ้ามีครั้งที่หนึ่งปั๊บเนี่ย เห็นไหมที่มากันบอกว่า หลวงพ่อบอกว่าเดี๋ยวก็จะหลง หลวงพ่อทำไมไม่บอก เราบอกว่าไอ้ห่ากูจะบอกได้ไง มันไม่มีตุ๊กตา เอ็งไปทำตุ๊กตามาสิ ถ้ามีครั้งที่หนึ่ง ตุ๊กตามีใช่ไหม เราก็คอยแนะนำว่าตุ๊กตาเอ็งแขนยาวไปหน่อยนะ เออขาเอ็งเก ๆ ค่อยมาทำให้ตุ๊กตานั้นสมดุลเห็นไหม ครั้งที่หนึ่งคือสันทิฏฐิโก คือปัจจัตตังเฉพาะจิตดวงนั้น เป็นแหล่งข้อมูล เป็นสถานที่ที่เก็บข้อมูลสะสมบาปกรรมอยู่ที่ตรงนั้น แล้วเอาตรงนั้นนะมาแก้ไขดัดแปลง

ฐีติจิต จิตของแต่ละบุคคล จิตของปฏิสนธิจิตที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่นั่งกันเป็นมนุษย์อยู่เนี่ย ไม่เคยเห็นข้อมูล ไม่เคยเห็นตัวจริงของเรา จิตสงบเมื่อไหร่นั่นล่ะคือตัวตนของเรา ตัวจิตสงบนั่นล่ะคือตัวจิตเดิมแท้ ตัวจิตที่มาเกิดมาตาย นั่นนะเปิดปากมัน แล้วเอาอาหารป้อนมัน ป้อนมัน ป้อนมัน อย่าเอาอาหารยัดใส่หู ถ้ามันง่าย พระพุทธเจ้าไม่ท้อใจ ถ้ามันทำง่าย ๆ อย่างที่เขาพูดกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทอดอาลัยตายอยากเลย ทั้ง ๆ ที่สร้างมาเป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหมือนไอ้เนี่ยอักษรศาสตร์เนี่ย ก็อักษรศาสตร์เนี่ย เขาศึกษามา เขาเรียนมาเพื่อจะเป็นครูสอนใช่ไหม สอนจบแล้ว มันบอกกูสอนไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้านี่ปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ เตรียมตัวมาพร้อมที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่พอจบขบวนการแล้ว โอ้โฮ.. แล้วจะสอนกันยังไงวะเนี่ย ทั้ง ๆ ที่ปรารถนามาเตรียมตัวมาพร้อมนะ แล้วเดี๋ยวนี้มันบอกว่าเรียบง่ายลัดสั้น ลัดลงนรก ลัดลงนรก ลัดไปลงนรกหมด เพราะเดี๋ยวมันจะรู้ว่านรกจะเป็นยังไง ปฏิบัติไปปฏิบัติไป เดี๋ยวมึงจะรู้ว่าอะไรคือนรก เพราะถ้ามันลัดสั้นมันง่าย พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนาใช่ไหม มหายานนะเขาถือพระกัสสปะเป็นต้น เพราะเขาบอกว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะฟังธรรม ๆ เนี่ยไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้ายกดอกไม้ขึ้นมาพระกัสสปะยิ้ม พระกัสสปะเข้าใจ

เซ็น มหายานเขาถือพระกัสสปะกับพระอานนท์เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา เถรวาทเราถือว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา แล้วอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาหรือใครก็แล้วแต่ มันมาจากไหน ถ้ามันไม่มาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเองใช่ไหม แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร พุทธานุสสติ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทโธ ธัมโม สังโฆ อานาปานสติ พระพุทธเจ้าสอนอะไร ทำไมมึงไม่เอาศาสดาวะ มึงไปฟังใครกูก็ไม่รู้นะ สังเวชมากนะ สงสารมาก คือรู้ไหมประสาเรานะ ผลไม่มีหรอก ทำไปเถอะ ไอ้ที่พูด ๆ นะของเก๊ทั้งนั้น จะบอกว่าของเก๊ทั้งนั้น

นี้บังเอิญวุฒิภาวะสังคมมันเสือกเก๊ มันเลยเห็นของเก๊มีคุณค่า ไอ้ของจริงนี่ ไม่มีใครมองเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่แวววาว มันไม่แวววาว มันไม่สดใสเหมือนของเก๊ว่ะ ของเก๊นี่มันแวววาวมันมีประกายแสง มันมีฉัพพรรณรังสี ดูนะอย่างกูเนี่ยอยากมีฉัพพรรณรังสี กูเอาไฟไว้ข้างหลังส่องออกได้หมดเลย ไอ้คนเห็นนะบอก โอ้โห้.. แจ๋ว ๆ แจ๋ว ๆ นั่นมันแสงไฟ ไอ้บ้า คนมันชอบ มันชอบอย่างนั้นน่ะ มันชอบเห็นสีเห็นแสงไง เอาแบล็คไลท์มาเปิดข้างหลังกูนี่เลยนะ โอ้โฮ แวววาวเลย แล้วแบล็คไลท์มันมีชีวิตไหม มันมีอะไร ไอ้กูพูดนี่สิมันมีรสชาติ ไอ้ห่าเอ๊ย โลกมันไปชอบแบล็คไลท์ คิดแล้วเศร้านะ บางทีเราเศร้ามันสังเวช จริง ๆ นะสังเวชมาก สังเวชมาก ๆ

แต่พูดภาษาเราเนี่ยมันกรรมของสัตว์ มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราเนอะมึง ก็ไม่ใช่เรื่องของกู กูนี่บิณฑบาตกินกูก็พอแล้ว แต่มันสังเวช โลกมันสังเวชมาก โลกเป็นอย่างนั้น ต้องรอเวลาเพราะอะไรรู้ไหม ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว คลื่นธรรมะมันจะซัดซาก ซัดซากศพเข้าหาฝั่ง จะไม่มีสิ่งโสโครกอยู่ในทะเลนั้น ในทะเลเนี่ย มันจะซัด ซัดสิ่งโสโครกเข้าหาฝั่งหมด

ในธรรมวินัยนี้ ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะซัดพวกอลัสชี พวกเปรต พวกผี เข้าฝั่ง มันจะไม่มีอยู่ในธรรมวินัย แต่เดี๋ยวนี้เยอะมากนะ แต่กาลเวลามันจะซัด เยอะมาก เพราะสังคมมันตกต่ำ เยอะมาก เพราะสังคมมันเป็นไป แต่แล้วคำว่าซัดเข้าฝั่งหมายความว่า ถึงที่สุดแล้วความจริงมันจะเปิดออกมาไง พอความจริงมันแดงออกมา ซากศพนั้นก็เข้าฝั่งทีละศพ ๆ ความจริงมันจะเปิดออกมา

เอ้ามีอะไรว่ามาสิ นี่พุทโธประเด็นเดียว เวทนาเป็นเวทนา เราต้องสู้กันไป ในการปฏิบัติมันก็มีบ้าง ไม่บ้าง มันเต็ม ๆ เลยล่ะ เพราะมันขาวกับดำน่ะ เราจะเอาจิตเรามาขัดให้มันแวววาว จิตของเรามันโดนครอบงำด้วยมาร มารนะ พระพุทธเจ้าเย้ยมาร มารเอย เธอเกิดจากการดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย แต่เรานะคิดทั้งวัน คิดทั้งวันนะ มารครอบมันทั้งวันนะ เพราะมารมันอาศัยหัวใจของมนุษย์เป็นที่อยู่อาศัย เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเนี่ย มารคอตกเลย นางตัณหา นางอรดีจะมารำ เพื่อฟ้อนรำให้พระพุทธเจ้ากลับ กลับมาเสพกามอีก ไม่มีทาง ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ เนี่ยเวลามาร มารมันอยู่ในหัวใจแล้วตอนนี้ ภาษาเราใครมันไม่มี ทุกคนมีหมด ถ้าไม่มีไม่มาเกิด ไม่มานั่งอยู่นี่หรอก คนที่เกิดทุกคน คนที่เกิดทุกคนมารมันครอบงำหมด แล้วเราจะมาต่อสู้กับมันนะเนี่ย ดูดิพระพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธการนับถือ พระเจ้าหลายองค์ร้อยองค์พันองค์กี่องค์ พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย

พระพุทธเจ้าบอกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เราต่างหากเป็นพระเจ้า เราเป็นเจ้าของชีวิตทั้งหมด เนี่ยใครทำคุณงามความดีมาก ใครทำบุญสาธารณะมาก เวลาตายไปเกิดเป็นพระอินทร์ ก็พระเจ้าแล้วพระเจ้าก็คือพระผู้ครอบครอง ไอ้จิตเราเนี่ยมันเป็น ดูปัจจุบันดิเนี่ย มนุษย์เรามนุสสเดรัจฉาโนใจเป็นสัตว์ มนุสสเทโวเนี่ยเห็นไหม ใจเป็นเทวดาแล้ว ศาสนาพุทธเราปฏิเสธทุกอย่างเลย เพราะอะไร เพราะเราเกิดเองตายเอง เราจะดับเองไม่พึ่งใครทั้งสิ้น ไม่พึ่งใคร แล้วไม่ต้องมาช่วยกู กูช่วยตัวเอง ไม่ต้อง เดี๋ยวนี้แรงนะ เวลาโยมมาเนี่ยเขาจะมาสงสาร ไม่ต้องมาสงสาร ไม่สงสาร เห็นพระนั่งสมาธิภาวนาจะมาสงสาร บางคนมาดูมาเห็น โห.. จะเอาเบาะใหญ่ ๆ อะไรมาให้นั่ง สงสารไง เพราะสงสารก็ดึงให้เราต่ำไง ไม่ต้องมาสงสาร เพราะเขาสมัครใจ เขาทำของเขาเอง พระเขาสมัครใจแล้วเขาจึงทำของเขา ไม่ต้องมาสงสาร เราทำของเรากันเอง เราต้องสู้กับเราเอง เราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา ใครจะคิดยังไงมันเรื่องของเขา

หลวงตาพูดบ่อย คนโง่มาก คนฉลาดมาก คนโง่มาเมตตาสงสาร แล้วคนโง่มันจะลากเราไปไหน เวลาครูบาอาจารย์ของเราเนี่ย เป็นผู้มีปัญญาเนี่ย เนี่ยคนฉลาดพูดแล้ว เตือนแล้วต้องฟัง เตือนให้ขยันหมั่นเพียร เตือนให้มีการกระทำ อ้าวก็ขยันหมั่นเพียรมันทุกข์นะ ก็เกิดมามันก็ทุกข์แล้วก็จะมาแก้ไข ก็มานอนสบาย ๆ ไม่ให้ทุกข์ มันก็ตายนะสิ คนเราก็ทุกข์แล้วใช่ไหม

เยอะมากนะมาหาเรา บางทีเราฟังแล้วเราใส่เลย บวชเพื่ออะไรนะ บวชเพื่อมาพักผ่อนนะ พวกราชการอย่างนั้นมาก เยอะ เขาบวชมาเพื่อศึกษา เขาไม่ได้บวชมาเพื่อพักผ่อนอย่างนั้น เพราะโอกาสมันน้อยไง โอกาสมันน้อย แต่บวชอย่างนั้นมันก็บวชทั่ว ๆ ไปใช่ไหม บวชมาก็เหมือนกับเรา เราไปตากอากาศ คิดว่าบวชแล้วไปตากอากาศไง เปลี่ยนบรรยากาศ ก็อย่างพูดเมื่อกี้ เราบวชแล้วแม่ได้บุญแล้ว ก็บวชเปลี่ยนบรรยากาศ แล้วพอสึกไปนะ เวลาบวชแล้วเห็นไหม สึกไปเนี่ยเขาเรียกบัณฑิต ทิดคือบัณฑิต

บัณฑิตคือศึกษา ศึกษาเรื่องธรรมะ เพราะธรรมะเนี่ย เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน เอาธรรมะนี้ออกไปใช้ สมัยโบราณเนี่ยถ้าหนุ่ม ๆ ไม่ได้บวชเนี่ย ไปขอลูกสาวเขาไม่ให้นะ เขากลัว กลัวเป็นคนดิบ กลัวจะใช้อารมณ์เถื่อนกับลูกสาวเขา แต่ถ้าบวชเป็นพระแล้วเนี่ยได้ศึกษา ศึกษาธรรมะแล้วเนี่ยได้ขัดเกลาหัวใจเขาแล้ว นี่โบราณเขาถือกันอย่างนั้นเลย ถ้าพอไปขอลูกสาวเขาเนี่ยบวชหรือยัง อ้อถ้าบวชเรียนแล้ว เป็นทิดแล้ว เป็นบัณฑิตแล้ว ยกลูกสาวให้ไปดูแลเลย อย่าซ้อมนะ อย่าซ้อมนะ โบราณเขาถือกันเห็นไหม

เนี่ยเรามาศึกษา ศึกษาจากข้างนอกศึกษาจากข้างใน ถ้าเราศึกษาแล้วนะ นี่ไม่อย่างนั้นเรามาบวชไม่ได้ศึกษา แล้วไม่ได้ศึกษาเลย พอสึกไปแล้วเราจะเสียดายโอกาสนี้เลย แล้วไหนธรรมะที่จะกล่อมเกลาจิตใจให้เราดีขึ้น ธรรมะที่จะทำให้เราเป็นบัณฑิตเนี่ย มันจะทำให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้ มันจะเป็นประโยชน์ได้ ใครไม่มีอะไรเราจะจบนะ ใครไม่มีอะไรเราจะเลิก

ถาม : การปฏิบัติเนสัชชิกมีอานิสงส์อย่างไร

หลวงพ่อ : เนสัชชิก ธุดงค์ ธุดงควัตร ๑๓ มีอานิสงส์หมด อดอาหารนี่จะเห็นทันทีเลย อดอาหารนี่หิวมากเลย อดอาหารนี่หิวมาก อดอาหารได้ประโยชน์อะไร อดอาหารมันหิวมันได้ประโยชน์อะไร อดอาหารมันได้ประโยชน์มาก มันได้ประโยชน์เพราะคนเราเนี่ยเวลาปฏิบัติ ทุกคนอยากได้สมาธิ ทุกคนอยากได้หมดเลย แต่เพราะกินอิ่มนอนอุ่น ธาตุขันธ์ทับจิต คนเราเนี่ยกิน กินแล้วพลังงานมันเหลือใช้ พอพลังงานเหลือใช้มันมีกำลังมาก มันเลยทำให้จิตนี้โงกง่วง พออดอาหาร ผ่อนอาหารเนี่ย พลังงานมันเริ่ม ไอ้ธรรมชาติของร่างกายเนี่ยมันจะดึงพลังงานที่สะสม พวกไขมันมาใช้ มาใช้ มาใช้จนพวกไขมันสะสมเนี่ยมันน้อยลง ๆ ถ้าเกิดอดอาหารเนี่ย พอน้อยลงร่างกายมันจะเบา ธาตุจะเบาทันที ความคิดจะเบานี่พูดถึงเห็นไหม อดอาหารมีประโยชน์อยู่ตรงนี้

การอดอาหารกับอดนอนไม่ได้แก้กิเลสหรอก แก้กิเลสไม่ได้แต่เป็นอุบายเป็นการเสริม เป็นการกระทำให้การนั่งสมาธิภาวนาได้ง่ายขึ้น ไอ้ที่ปวด ๆ เนี่ยเพราะอะไรเพราะพลังงานไขมันเนี่ยมันเยอะมากเลย ผ่อนอาหารอดอาหารต่าง ๆ นี้การอดนอนเหมือนกันเลย นั่งโงกง่วงนั่งสัปหงก แล้วอดนอนมาเนี่ยหายง่วงได้ไง อดนอนใหม่ ๆ โหย..ง่วงฉิบหายเลย หิวนอนเนี่ยเพราะถือเนสัชชิกเนี่ยง่วงมาก หิวข้าวไม่เท่ากับหิวนอนนะ หิวข้าวไม่เท่าทรมานกับหิวนอน คนไม่นอนแล้วบังคับตัวเองไม่ให้นอนนะ โคตรทรมานเลย หิวข้าวเนี่ยมันยังไม่เท่ากับหิวนอน

นี่ภาษาไทยแท้ หิวนอน หิวนอนนี่ภาษาไทยแท้นะโว้ย เนี่ยหิวนอนเนี่ยสำคัญมาก ทีนี้พอหิวนอน หิวนอน หิวนอน หิวไปหิวจนหายเลย เหมือนอดอาหารเนี่ย อดอาหารอด ๆ ไปเนี่ยสุดท้ายแล้ว อดไป ๆ เนี่ยมันจะว่า.. ใหม่ ๆ ทรมานมาก แต่การหิวนอนเนี่ย การไม่นอนเนี่ยนอนไปเพราะมีหลายคนมากสายหลวงปู่เปลื้องเนี่ย ท่านจะถือเนสัชชิกตลอดชีวิตเลย คือไม่นอนตลอดชีวิตเลย ลูกศิษย์นี่จะเบ้าตานี่ดำหมดเลย เขาไม่นอนทั้งกลางวันกลางคืน ไม่นอนทั้งชีวิตเลยนะ ทำไมเขาอยู่ได้ แล้วเขาภาวนาได้ด้วยเพราะอะไร เพราะเขาเริ่มต้นที่เข้มแข็ง

อย่างนักกีฬาเนี่ยเราคัดเลย เราคัดนักกีฬาเสร็จร่างกายสมบูรณ์มาก คัดทหารเนี่ย ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง เอาเฉพาะดีหนึ่งประเภทหนึ่งมาล้วงเบอร์ นี้คนมันร่างกายแข็งแรงมาล้วงเบอร์ใช่ไหม ล้วงเบอร์ เอ้าแดงมึงมา ไอ้ดำนี่อยู่ที่ดวง ทีนี่เราคัดคนที่แข็งแรงมาแล้ว เอาแข็งแรงแล้ว มาฝึกมันก็ง่ายขึ้นใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน จิตที่เขาที่เข้มแข็งของเขา จิตที่เขาไม่นอนของเขาตลอดเวลา เขามาคุยกับเราอยู่เหมือนกัน เขาก็มีธรรมะกัน มีคุณธรรมกัน ง่วงนอนมาก มันเป็นการต่อสู้ไง การถือเนสัชชิกเนี่ย เราถือมาแล้ว เราไม่นอนมาหลายเดือน แล้วไม่นอนบ่อยมาก

เมื่อก่อนเรื่องไม่นอนตอนเราปฏิบัติ คุยหน่อยหนึ่ง ตอนเราเป็นวัยรุ่นเนี่ย ยังเป็นใหม่ ๆ เนี่ยไอ้เรื่องไม่นอนเพราะเราบังเอิญเนี่ย บังเอิญจริง ๆ นะเป็นความคิดเอง บังเอิญเนี่ย พอบวชพรรษาแรกมันเพิ่งบวช มันยังไม่มีครูบาอาจารย์ คิดเอาเองถือเนสัชชิกเลย คิดเองหาทางออก อด ถือธุดงค์ด้วย ถือเนสัชชิกด้วย โห ทรมาน ทรมานสุด ๆ เลยเพราะมันไม่มีใครบอก มันทำไปโดยแบบว่าครูพักลักจำ อัดไปเองนะ โอ้โฮ.. ทรมานมาก แต่ทรมานมันก็สู้ สู้กับมันไปเรื่อย ๆ

แต่พอมาศึกษาทีหลังเนี่ย เพราะเราทรมานอย่างนั้น เราถึงมีพื้นฐานมาไง มันทำให้เราเข้มแข็งไง มันทำให้เข้มแข็ง มันทำให้เราจริงจัง นี้พอมันอดนอนไป นี้มันอยู่ที่ว่าเราจะเอาแค่ไหนไง มันอดนอนพออดนอนไปเนี่ย มันต้องหาทางต่อสู้ หนึ่งจิตใจมันต้องเข้มแข็งขึ้นมา สองพอมันอดนอนจนมีปัญญาใคร่ครวญเข้าไปเนี่ย เนสัชชิกเนี่ยมันทำให้แก้ไม่ง่วงเหงาหาวนอน โธ่ ตอนที่เราเนสัชชิกนะ เรานั่งอย่างนี้ สติมันขาด ล้มเนี่ยหงายหลังตึง หัวฟาดพื้น ตึ้ม.. กลางคืนตี ๔ ตี ๕ เจอระเบิดลงเลย รีบลุกขึ้นมานั่งเลยนะ เนสัชชิก

เพราะเนสัชชิกมันขาดเพราะหลังติดพื้นไง แต่ถ้าธรรมดาเขาบอกถ้าเนสัชชิกแล้วเนี่ย พอดีมันนั่งจนหัวติดพื้นเป็นไรไหม ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะมึงนั่งหลับ มึงจะรู้ได้ไง แต่ถ้าหลังติดพื้นเนี่ยเสร็จ เนสัชชิกมันขาด เนสัชชิกคือหลังเนี่ยติดพื้นคือนอน แต่ล้มไปนี้ถือว่าหลังติดพื้นไหม ติดพื้นอยู่แต่มันสุดวิสัยใช่ไหม มันเหตุสุดวิสัยเพราะว่ามันวูบ นั่ง ๆ เนี่ย มันเหมือนมันวูบเลย ตึ้ง หัวเนี่ยฟาดพื้นเลย เราเป็นมาหมด เราทำมาแล้ว

มันเหมือนกับอะไรนะเหมือนอาวุธ เหมือนอาวุธที่จะต่อสู้กับกิเลส มันมีอะไรที่พระพุทธเจ้ามอบอาวุธไว้ให้นะ เอ็ม ๑๖ อาก้า กูต้องสู้เอามายิงแม่งทั้งนั้นนะ ยิงกับกิเลส ทีนี้ ไอ้อดนอนผ่อนอาหารทั้งนั้นนะ นี่คืออาวุธนะ ไอ้นี่แหละที่จะไปทิ่มตำกับจิตใจเรา นี่แหละคืออาวุธ พุทธเจ้ามอบไว้ให้หมดแล้ว แต่คนไม่กล้าจับ ไม่กล้าจับอาวุธนี้เลย บอกอาวุธนี้จับแล้วมือจะพอง จับแล้วเดี๋ยวมันจะสู้ไม่ไหว นี่ละอาวุธนะ อาวุธที่จะสู้

หลวงตาพูดบ่อยสู้เสือมือเปล่ายังไง เราไม่มีอะไรจะไปสู้เสือ เสือคือกิเลสไง เสือคือความโลภ ความโกรธเอาอะไรไปสู้มัน มึงไม่มีสติ มึงไม่มีอาวุธอะไรไปสู้มันเลยหรือ แล้วครูบาอาจารย์ท่านวางไว้ แต่เราไม่กล้า แม้แต่อาวุธยังไม่กล้าหยิบเลย เห็นว่าอาวุธเป็นเรื่องทุกข์ แล้วมึงจะเอาอาวุธอะไรไปสู้กับมันละ กิเลสมึง ใหม่ ๆ อดนี้พอเราอดขึ้นแล้วเนี่ย พออดนอนเนี่ย เวลามันเหลือเฟือ เพราะเราคิดดูเราไม่นอนสามเดือนนะ กลางคืนเนี่ยเขานอนกันครอก ๆ เลย

ไอ้กูต้องนั่งเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่เนี่ย เวลากูเยอะแยะ แล้วมันเห็นหมดนะ แล้วบางทีจิตมันลง โอ้โฮ ลงเพราะเราทำอย่างนั้นนะ ตอนนั้นมันไม่มีครูบาอาจารย์ จิตมันลงนั่งสมาธิ จิตมันลงเห็นเป็นก้อน ที่ว่าเห็นเป็นก้อนเนื้อหมุนเข้ามาทับเรา แตกจากสมาธิเลย ตกใจ ตกใจขนาดนั่งเป็นสมาธิอยู่นะ มันเห็นเป็นก้อนเนื้อหมุนเข้ามาเลยนะ หมุนเข้ามา คิดดูสิว่าก้อนเนื้อเหมือนกับรถบดถนนนั่นนะ ก้อนเนื้อใหญ่ แล้วมันกลิ้งมาทับเราเนี่ย เอ็งตกใจไหม ก็เหมือนกับนั่งโดนรถชน รถมันวิ่งมาพุ่งเข้าชนเราเนี่ยพุ่งมาใส่ตายห่าเลย นี้มันเป็นความเห็น จิตมันลงแล้วมันเห็น

ถ้าเห็นอย่างนั้น เรามาทบทวนทีหลังไง พอเราปฏิบัติได้มีหลักมีเกณฑ์แล้วเรามาทบทวน ว่าถ้ามันเห็นอย่างนั้นได้ จิตมันต้องมีสมาธิ ขนาดในสมาธิเนี่ยยังผงะจนสมาธิแตกเลย มันผงะออกมาเลย ผงะเลย เพราะมัน โห แหมก็ของมันจะกลิ้งมาทับ แล้วมันเป็นก้อนเนื้อสด ๆ มันกลิ้งมาทับเราเลยเนี่ย ผงะเลย เป็นอย่างนั้นสองที ก็เลยมั่นใจว่าตัวเองต้องพิจารณากาย ปฏิบัติไปสองสามปีไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ เอ้.. กูมันคนจนตรอกวะ มันไปไหนไม่รอดล่ะ จนตรอกเต็มที ก็กลับมาพิจารณาจิตนะ

ในปลูกดอกบัวที่ใจนะ การพิจารณาจิต พอพิจารณาจิตแล้ว โอ้โฮ มันไปพรวด พิจารณาจิตไม่ใช่ดูจิต พิจารณาจิต พิจารณาด้วยปัญญาค้นคว้า ปลูกดอกบัวที่ใจนะ ใครไม่ได้ไปหยิบเอา ปลูกดอกบัวที่ใจ เราเทศน์ไว้นะตั้งแต่ปี ๓๘ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มอัดเทปแล้ว การพิจารณาจิตนั่นนะ วิทยานิพนธ์ของเราเลยละ ออกมาทำนองนั้นเลย ปั๊บ ๆ ๆ ตั้งแต่ดูจิตไป ด้านการพิจารณาจิตค้นคว้าจิต

ดูจิตเฉย ๆ มันเป็นการเพ่งแต่มันต้องมีปัญญา แต่ถ้ามีปัญญา ถ้ามีปัญญาเนี่ยเขาต้องพูดอธิบาย เหมือนเราจะสอนเด็กนะ ก.ไก่นี่เป็นตัวอักษรนะ ก.ไก่มันต้องสมาส มันต้องผสมมันถึงจะเป็นคำพูดขึ้นมา ก.ไก่ตัวเดียวเนี่ยมันจะเป็นคำพูดขึ้นมาได้ยังไง ก็ได้ ก.เอ๋ย ก.ไก่ มันก็ได้ เป็นคำพูดขึ้นมาเป็นเฉพาะก.ไก่ แต่ก.ไก่ เนี่ยมันต้องมีเห็นไหม มันต้องมีผสม ฉะนั้นถ้าคนภาวนาเป็นเนี่ย การพิจารณาจิตเนี่ยมันมีปัญญาอะไรผสม มันต้องมีปัญญา มันต้องมีสติ มันต้องมีสมาธิ ถ้าคนผสมเป็น คนทำเป็นจะพูดอย่างนั้นได้ไหม

ฉะนั้นคำพูดออกมาตั้งแต่ทีแรก เราฟังแล้วมันแปลก หลวงปู่ดูลย์ท่านก็ไม่สอนอย่างนั้น ท่านสอนบอกว่า ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิตแล้วพิจารณามัน หลวงปู่ดูลย์ใช้คำว่าพิจารณาบ่อยมากนะ ในคำเทศน์หลวงปู่ดูลย์นะ ท่านมีคำว่าพิจารณาบ่อย ๆ ท่านไม่ใช่ท่านก็พูดดูจิตนี่แหละ แต่ดูจิตแล้วจะมีพิจารณาจิตอีก หลวงปู่ดูลย์เนี่ยพูดถึงเรื่องการพิจารณาอยู่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เลย

ถ้าคนทำเป็นเนี่ยส่วนผสมเนี่ย กรรม นี่ยังไงกรรมก็มี ก.ไก่ ร.เรือ ร.เรือ เห็นไหม ม.ม้า แล้วมีกรรม ก.ไก่ มันจะกรรมได้ยังไง ก.ไก่ ก็ ก.ไก่ มันจะเป็นกรรมได้ยังไง อ้าวกรรมนะ กรรมก็ต้องมี ก.ไก่ ก็ต้องมี ร.เรือ อ้าวมึงไม่มี ร.เรือ มึงจะเป็นกรรมได้ยังไง ก็เป็นก.ไก่ มันไม่เป็นกรรม อ้าว ก.ไก่ มันก็ต้องมี ก.ไก่ ต้องมี ร.เรือ แล้วก็มี ม.ม้า อ้าวแล้วมึงภาวนาไป แล้วมึงบอกว่า ก.ไก่ ก.ไก่คือกรรม กรรมคือ ก.ไก่

กูก็ฟังอยู่ กูว่าไม่มึงบ้าก็กูบ้าวะ ถ้าไม่มึงบ้า ก็กูบ้า แต่ถ้ากูเอามาผสมนะ เออ มีจิตมีปัญญามีสติ มี เออมึงเข้ามรรค ๘ ไง มรรค ๘ ยังไม่มี หน่วยกิต หน่วยกิตมึงส่งหน่วยกิตไม่ครบ อาจารย์อะไรให้มึงผ่านวะ แต่เดี๋ยวนี้พยายามจะไปเติมหน่วยกิตนะ เดี๋ยวนี้นะปัญญาก็ต้องใช้ สมาธิก็ต้องมี มึงสอบผ่านไปแล้วมึงมาส่งย้อนหลังได้ยังไงวะ มึงสอบจนมึงจบไปแล้ว เสร็จแล้วมึงค่อยเอาข้อสอบมาส่ง คนไม่คิด นี่ไงเดี๋ยวเถอะคลื่นมันจะพัดซากศพเข้าฝั่ง

ทำไปเนสัชชิก แล้วเราจะเห็นผลของมัน แล้วมันอยู่ที่คนเข้มแข็งยังไง หลวงตาท่านพูดอยู่ ท่านถนัดอดอาหาร ท่านไม่ถนัดอดนอน ถ้าอดนอนแล้วท่านบอกหัวท่านเบลอหมดเลย แต่สมัยหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเล่าให้ฟังวัดป่าคลองกุ้งเนี่ย อดอาหารหรืออดนอนจำไม่ได้สองวัดนี้ วัดป่าคลองกุ้ง หลวงปู่ลีวัดอโศการามเป็นผู้เป็นหัวหน้า วัดไทรงามหลวงปู่กงมาเป็นหัวหน้า สองวัดนี้ภาวนาแข่งกัน ตอนที่หลวงปู่กงมากับหลวงปู่ลีไปอยู่ที่เมืองจันทน์นะ คนเข้าไปภาวนาเยอะมาก วัดหนึ่งอดอาหาร วัดหนึ่งอดนอน นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟัง

โอ้ย แข่งกันทำความดี เพราะว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วยกัน หลวงปู่กงมาอยู่วัดไทรงาม หลวงปู่ลีอยู่วัดป่าคลองกุ้ง อดนอนกับอดอาหาร คนละวัดเพราะความถนัดของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน แข่งกัน หลวงปู่เจี๊ยะอยู่กับหลวงปู่กงมา หลวงปู่เจี๊ยะก็ได้มาเยอะ หลวงปู่กงมาอดนอนเพราะหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟัง หลวงปู่เจี๊ยะท่านถือเนสัชชิก ท่านบอกว่ากลางคืนง่วงฉิบหายเลย หลวงปู่เจี๊ยะทำเอง กลางคืนบางทีเดินจงกรมมันง่วงฉิบหายเลย ไม่มีใครเห็นนะ เราก็ไปยืนไปพิงเสาไว้สักพักหนึ่ง

หลวงปู่เจี๊ยะเล่า เราก็ไปยืนพิงเสาไว้สักพักหนึ่ง เฮ้อ สดชื่นขึ้นก็ออกมาใหม่ หลวงปู่เจี๊ยะเนี่ย หลวงปู่กงมาอดนอน วัดไทรงามอดนอน วัดป่าคลองกุ้งอดอาหาร สองวัดแข่งกัน เนี่ยหลวงปู่เจี๊ยะเล่า หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเยอะ เนี่ยครูบาอาจารย์ที่ดีพาลูกศิษย์ลูกหาไปในทางที่ดี ๆ แล้วได้ประสบความสำเร็จมาเยอะ คือว่ามีลูกศิษย์ลูกหาสืบทอดศาสนากันมา เป็นศาสนทายาทให้พวกเราได้มีครูบาอาจารย์ไว้กราบไหว้

ได้.. อดอาหาร อดอาหารมันมีประโยชน์อะไร แต่อย่างคนไม่ภาวนาเนี่ยหลวงตาพูดบ่อย ๓ วัน ๔ วันนี่นั่งตัวตรงเลย แต่ถ้า ๒-๓ วันแรกยังง่วง ๆ อยู่ อดนอนก็เหมือนกัน อดเหมือนกับอะไรนะ หนามยอกเอาหนามบ่ง ง่วงนอนก็อดนอน อย่างเช่นหลวงตาเนี่ยท่านบอกท่านไม่ตั้งใจอดอาหารหรอก แต่พอฉันข้าวเข้าไปแล้ววัยรุ่นน่ะ ฉันเข้าไปแล้วมันก็ยังอยากฉัน ๆ อย่างนี้ไม่กินเลย นั่งตลอดรุ่งก็เหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจหรอกแต่พอนั่งไปแล้วมันโลเลไง ถ้าอย่างนี้ตลอดรุ่ง อัดเลย คือมันมาโดยเหตุการณ์เฉพาะหน้าแล้วท่านเอาเลยไง

ไม่ได้อย่างนี้หรอก ทำวิทยานิพนธ์ก่อนกูจะนั่งตลอดรุ่ง เขียนหนังสือเขียนวิทยานิพนธ์ก่อนนะ ทำวิทยานิพนธ์เสร็จกูไม่กล้าทำ เพราะมันโหดเกินไปกูกลัวฉิบหายเลย จะอดอาหารนะ จะอดอาหารนะ ชาติหน้ากูจะอดอาหาร โอ้..อดอาหารแล้วมันจะมีโรคกระเพาะ จะเกิดอย่างนั้น ๆ ทำวิทยานิพนธ์ไว้เลยนะเสร็จแล้วไม่กล้าทำ ฉะนั้นเหตุการณ์เฉพาะหน้าไง ถึงเวลา พั้วะ เอาเลย ถ้าเราไปคิดก่อนนะ แหม เราจะมีอย่างนี้อย่างนั้นนะ ขาอ่อนเลยนะ คลานไปคลานไปนั่ง ถึงทีแล้วเอาเลย เอาเลย

กรณีเนสัชชิกก็เหมือนกัน เราเอาเลย มันทุกข์ มันคุมใจตัวเองไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ไม่นอน ไม่นอน มันทุกข์เอาทุกข์แก้แม่งเลย ซัดกันมาตลอด แต่ตอนนั้นมันประสาเรา ประสาเราหมายถึงว่าพระใหม่เพิ่งบวชพรรษาแรกมันก็จับพลัดจับผลูนั่นแหละ มันก็ทำด้วยความจริงจัง แต่มัน แต่มันแบบว่า เขาเรียกว่ามรรคมันไม่สามัคคีคือว่ามัน ๆ ไม่สมดุลนะ มันก็หนักไปข้างใดข้างหนึ่งนะ จริงจังขนาดไหนมันก็หนักไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่มันก็ต้องทุกคนมันก็ผิดมาด้วยกันทั้งนั้นนะ

เราถึงบอกว่าสติปัฏฐาน ๔ พวกมึงปลอมหมด ขนาดกูอดนอนเท่าไร กูยังปลอมเลย หัวฟาดพื้นน่ะ แต่ทำไป ทำไปมันจะดีเองเรื่อย ๆ เพราะประสบการณ์ เพราะครูบาอาจารย์คอยแนะคอยบอก เดี๋ยวสติปัฏฐาน ๔ เราจะสมบูรณ์ เราจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จะถูกต้องดีงามขึ้นมา ทำทีแรกมันจะให้ถูก ใครมันจะทำให้ถูกได้วะ ทำไป ๆ ของมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่มีศาสดา ไม่มีคนสอน

หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เนี่ย มีแต่ตำรา ไม่มีใครมามีคนสอน ก็ต้องดึงดันกันเอามาจนได้ เราเนี่ยครูบาอาจารย์ เอาปฏักคอยทิ่มเลย ทำไมเรา โอกาสเราดีทั้งนั้นเลย โอกาสเราก็ดี คนบอกเราก็มี ทุกอย่างมีพร้อมเลย ทำไมเราไม่จริง ทำขึ้นมา เรียนก็เรียน เรียนมาเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน ปฏิบัติเราก็เอาให้ได้ เอาให้ได้จนเป็นประโยชน์กับเรา เอ้ามีอีกไหม

ถาม : ……….. …….. (เสียงผู้ถาม เบามาก)

หลวงพ่อ : ใช้ได้ ต้องมีพัฒนาสิ พัฒนาคือที่ใจ การปฏิบัติอยู่ที่ใจหมด การพัฒนาหมายถึงว่าใจมันจะนิ่งขึ้นดีขึ้นว่างขึ้น แล้วบางทีระยะสั้น พัฒนาก็ได้ เสื่อมก็ได้ ถ้าเสื่อมนะ ใจมันพัฒนาขึ้น ใจมันเสื่อมลง วันนี้นั่งครึ่งชั่วโมงได้ดีมากเลย พรุ่งนี้แค่สิบนาทีจะเป็นจะตายแล้ว ถ้ามันเสื่อมนะ ถ้ามันเสื่อมหมายถึงว่ากิเลสเนี่ย มันจะเอาเล่ห์เหลี่ยมของมันมาโต้แย้งกับเรา พอเรานั่งไปนะ เรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องนี้ มันจะเก็บไง กิเลสของเราเนี่ย ตัณหาทะยานอยากกิเลสมันยางเหนียว อารมณ์อะไรกระทบความความเห็นความรู้สึก มันจะซับไว้หมดเลย

พอเรานั่งสมาธิเนี่ย ถ้าวันนี้เหตุการณ์มันปกติไม่มีใครมายุ่งอะไรกับเรา เรานั่งสมาธิจะแจ่มใสมาก วันนี้ขึ้นมาเนี่ย ตอนเช้าขึ้นมาเราได้กระทบกระเทือนกับใครบ้าง มันมีอารมณ์อะไรที่มันกระทบรุนแรงบ้าง พอมานั่งสมาธินะ โห มันคิดแต่เรื่องนั้นนะ นี่ถ้ามันเสื่อมลงเห็นไหม มันมีทั้งดีขึ้นและเสื่อมลงเพราะมันเป็นอนิจจังทั้งหมด ดีขึ้นมันก็พัฒนาขึ้น แต่คำว่านั่งได้ครึ่งชั่วโมงแล้วนั่งได้มากแล้วเนี่ย สิ่งนี้มันบอกเราแล้วเหมือนกับที่ว่าเราไม่เคยไปที่เป้าหมาย

ถึงเป้าหมายเราถึงทำได้หมดเห็นไหม เราเคยนั่งได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไงถ้านั่งอีกสิบยี่สิบนาที มันจะเจ็บปวดมากขนาดไหน กูเคยทำได้ครึ่งชั่วโมง กูจะเอาชั่วโมงหนึ่ง ไอ้เหี้ยมันจะมาต่อล้อต่อเถียง กิเลสนะมันจะมาต่อล้อต่อเถียง มันจะมาต่อรองเอาแค่นี้ก็พอ เอาอย่างนี้ก่อนได้ไหม เดี๋ยวค่อยทำไม่ดีหรือเห็นไหม ถ้าเราบอกว่ากูจะเอาชั่วโมงหนึ่ง มึงหลบหน้ากูไป มันไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงเห็นไหม ถ้าเราเข้มแข็ง แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งนะ พอน่า หยุดก่อนเถอะ หยุดก่อนเถอะ ขาอ่อนเลยเห็นไหม

ถ้าเราเข้มแข็งเพราะเราเคยถึงเป้าหมายแล้ว ครึ่งชั่วโมงเคยทำได้ แล้วกูไม่กลัวมึง กูไม่กลัวมึง กูไม่กลัวมึง อัดเข้าไป ไอ้อย่างนี้ บางทีทางวิทยาศาสตร์เขาจะบอกว่าอันนี้เป็นทุกข์นิยมหรือเปล่า ไม่ใช่ สัจจะนิยม การนั่งอยู่เนี่ยความเจ็บปวดเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นน่ะ เราอยากได้อยากเป็นกันเหรอ แต่เป็นความจริงใช่ไหม เนี่ยอากาศร้อนมันโบกขึ้นที่สูง เนี่ยอากาศเย็นที่มันหนักอยู่มันก็จะหมุนเข้ามา ลมมันเกิดจากธรรมชาติของมัน ลมมันจะเกิดมันมีเหตุมีผลของมัน

ขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนาของเรา เราจะต่อสู้ความจริงของเรา ความทุกข์ ความจริง มันเป็นสัจจะอันหนึ่ง มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง เราจะเผชิญกับความจริง เราจะต่อสู้กับสัจจะความจริง เราต้องเข้าไปต่อสู้กับความจริง เราจะเห็นความจริง ถึงเป็นสัจจะนิยมไม่ใช่ทุกข์นิยม เนี่ยที่เขาเห็นพวกเรา เขาสงสารพวกเราเขาบอกว่า ไอ้พวกนี้พวกทุกข์นิยมไง ทางว่าง ๆ ทางสบาย ๆ ก็มีทำไมไม่ไป ทำไมมันต้องไปทำให้ตัวลำบาก ทำไมต้องไปทำให้ตัวเองทุกข์วะ ไอ้พวกนี้ทำไมมันโง่ขนาดนี้วะ ถ้ามึงไม่เข้าช่องนี้ มึงไม่ทำอย่างนี้มึงจะไม่เห็นปากคือไม่เปิดจิตได้ ไม่เปิดปากที่จิตได้คือเอาอาหารเข้าปากไม่ได้ ก็เอาธรรมะเข้าใจไม่ได้

ฉะนั้นเราต้องต่อสู้กับสัจจะความจริงคือสัจธรรมไง อริยสัจจ์ ต้องต่อสู้ความจริง เนี่ยเวลาเขาพูดให้ขาอ่อน เขาจะบอกเลยบอกว่า ไอ้นี่มันอัตตกิลมถานุโยค อันนี้คือลำบาก มาสบาย ๆ เถิด สบาย ธรรมะคือความสบาย สบายคือธรรมดา ธรรมดาคือธรรมชาติ แล้วทุกข์กูมันก็ธรรมดามันก็เกิดขึ้นมาเอง ใครไปให้มันมา มันก็มาเอง มันธรรมดาอยู่เนี่ย เอ้า เวลานั่งขึ้นไปมันก็ปวดเป็นธรรมดา ใครเอามันมา มันก็ธรรมดาเนี่ย ก็กูทำเป็นธรรมดาอยู่เนี่ย มันก็ปวดอยู่เป็นธรรมดาเนี่ย แล้วจะทำไง ธรรมดานี่เป็นธรรมะ กูก็กราบแม่งเลย ตัวปวดนี้เป็นนิพพานเนาะ อ้าวกูกราบมึงล่ะ มึงเป็นธรรมดา

มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง เราถึงต้องต่อสู้เพื่อจะให้รู้สัจจะความจริงนั้น เข้าใจสัจจะความจริงนั้นทั้งหมด กิเลสมึงจะเอาอะไรมาหลอกกูวะ กิเลส มึงจะเอาอะไรหลอกกู ตอนนี้มันก็เอาปวดนี้มาหลอกมึงก่อน ปวดนะ ตายนะ ตายนะ ตายนะ กิเลสเนี่ย ตัวสุดท้ายคือเอาความตายเข้ามาต่อรองกับเรา เราเจอมาเยอะมากเดี๋ยวตาย เดี๋ยวตายเนี่ยพอมันจะตายนะ กูขอดูสิอะไรตายก่อน เราพูดกับมันอย่างนี้เลยนะ กูขอดูว่าอะไรตายก่อน เวลาตายเนี่ยจิตมันจะออกจากร่างยังไง กูขอดูมึงหน่อย ไม่มี

มันต่อรองเลยอดอาหารมาก ๆ เนี่ย ตายแน่นอนเลย ตายชัด ๆ คราวนี้ตายแน่ ๆ ตายแน่ ๆ โอ.. มันกระซิบเลย ตาย ตายแน่ ๆ ปัญญามันหมุนเลย อะไรตาย กูขอดูสิ อะไรตายก่อน กูจะอดต่อไป ถึงที่สุดแล้วมันตีกลับเลย อดอาหารแล้วออกไปกินข้าวไม่ได้เลย มันจะอดให้ตายไปเลย โอ้โฮ อย่างนี้ตายจริง ๆ โว้ย คิดกินข้าวไม่ได้เลย วันไหนคิดจะออกไปบิณฑบาตมันจะอาเจียน มันจะพุ่งออกมาเลยล่ะ โอ.. ฉิบหายอย่างนี้ แล้วมันพุ่งออกมา มันไม่กินข้าว มันจะมีอะไรพุ่ง มันก็มีน้ำเปรี้ยว ๆ นะ น้ำหมักพุ่งออกมาเพราะกินแต่น้ำ โห อย่างนี้ตายจริง ๆโว้ย

เดินจงกรมนะ มึงรังเกียจอะไร มึงรังเกียจอาหารเหรอ อาหารสกปรกเหรอ มึงรังเกียจอาหารอะไรบ้าง เดินจงกรมเนี่ยสามวันนะ ไล่เข้ามาอยู่เนี่ย ความคิดไล่กับมัน ปัญญาเนี่ยไล่กับมัน สุดท้ายมึงรังเกียจอะไร มึงจะไม่กินเพราะเหตุใด ร่างกายไม่กินข้าวมันจะอยู่ได้ยังไง แล้วมึงตายไปแล้วกิเลสในหัวใจของมึงอย่างนี้ มึงจะตายไปทำห่าอะไร ตายไปแล้วเกิดใหม่ เกิดใหม่ก็ทุกข์อีก แล้วมึงทำไมจะกินข้าวไม่ได้ เดินเนี่ยปัญญา ความคิดกับความคิดมันสู้กันนะ

จนถึงที่สุด อ้อ ถ้ามึงรังเกียจอย่างนั้นใช่ไหม มันสกปรกอย่างนั้นใช่ไหม มันก็ต่อรองไง อย่างงั้นถ้ากินข้าวเปล่า ๆ ได้ไหม แน่..มันถามนะ กินที่มันไม่ค่อยสกปรกนี้ได้ไหม จนมันจน..น่าจะได้ ทีแรก มันน่าจะได้ ไม่ยอมนะ น่าจะได้ ก็ไล่ปัญญาไล่เข้าไปอีก ไล่เข้าไป สุดท้ายถ้าน่าจะได้เนี่ย ถ้าตายไปกิเลสยังอยู่ในหัวใจไปเกิดอีกเนี่ย กับรักษาชีวิตไว้เพื่อปฏิบัติอันไหนจะมีคุณค่ากว่ากัน เราต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนเนาะ เราพูดกับตัวเองนะ รักษาชีวิตไว้ก่อนเนาะ พรุ่งนี้ไปกินข้าวเนาะ

เราต้องออกบิณฑบาตไงอยู่บ้านตาด อยู่ในร้านน่ะ พรุ่งนี้บิณฑบาตเนาะ ถ้าคิดงั้นปั๊บ ถ้าพรุ่งนี้บิณฑบาตมันจะเตรียมตัว จะบิณฑบาตเราต้องออกมาจัดอาสนะไง เราต้องมาจัดอาสนะ เอาบาตรมาตั้งเราถึงออกบิณฑบาตได้ ถ้างั้นจะเอาบาตรออกมามันอาเจียนเลย เพราะความคิดมันไปก่อน พอตกลงคุยกับมันจนจบจนเข้าใจแล้ว รุ่งขึ้นเตรียมบาตร เราจะเอาออกมาตั้งบิณฑบาต ฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ พอมันฉันได้ อะไรได้มันก็พอมาได้ เนี่ยเราโดนต่อรองมาเยอะ เรื่องกิเลสเนี่ยมันหักขามึงตลอด

ฉะนั้นอย่างที่ว่าเนี่ยมันเจริญก็ได้ มันก็เสื่อมก็ได้ แต่นี่บอกว่านั่งครึ่งชั่วโมงมันจะพัฒนาต่อไปยังไง มันจะพัฒนาต่อไป มันจะพัฒนาที่นี่ คือนั่งสักสิบนาทียี่สิบนาทีมันจะสงบเร็วขึ้น มันจะดีขึ้นแล้ว ถ้านั่งแล้วอารมณ์เราสัมผัสเราจะดีขึ้น นี่ไงปัจจัตตังรู้เฉพาะตน จิตมันดีขึ้นได้สัมผัสขึ้นได้รับรู้ขึ้น อาจจะนั่งเวลาน้อยแต่จิตมันสงบได้มากขึ้น หรือเราสงบได้ลึกกว่านั้นคือสงบไปแล้วนะ ถ้าจิตมันสงบจริง ๆ นะ อื้อหือ ๆ มันจะรับรู้ไง รับรู้ความรับรู้สิ่งที่พูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ไง

มันจะรับรู้นะว่าจิตมันนิ่ง ๆ ความนิ่งอันนั้นพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย นั่นล่ะขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาเนี่ย มันจะลึกเข้าไปไง สัมผัสอันนั้นของจริงนะ เราสัมผัสได้เองเลย แต่เราจะพูดออกมาเป็นคำพูดแทบไม่ได้เลย นี่คือพัฒนาการของมันสิ่งที่จะได้ต่อไป แล้วพอถ้าจิตสงบแล้วก็ออกมาใช้ปัญญาบ้าง ออกมาตรึกในธรรมะบ้าง เพื่อจะสนองกลับไปให้จิตมันสงบได้ง่ายขึ้น เห็นนั้น มัน ๆ ไอ้เห็นนั้น มันอยู่ที่วาสนาของคนไง วาสนาของคนนะเขาเรียกจริตนิสัย

อย่างเช่นเราเนี่ย เราปลูกทุเรียนใช่ไหม อย่างของท่านปลูกส้ม แล้วเราปลูกทุเรียนหมายถึงว่าจริตเราปลูกทุเรียน ต้นไม้เรา จิตเราเป็นทุเรียนออกผลมาเป็นทุเรียน อย่างของท่านออกผลมาเป็นส้มใช่ไหม จิตเห็นเหมือนทุเรียนเนี่ยมันเห็น มันเห็นของมัน มันก็รับรู้คือนิมิตเนี่ยไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเห็น มันจะเห็นแต่บางคน บางคนสงบเฉย ๆ ไง อย่างส้มเนี่ยออกมาก็คือส้ม อย่างคนที่ปลูกเป็นข้าวโพดก็คือข้าวโพด ข้าวโพดอายุสั้น จิตเขาจะแบบว่าตั้งสมาธิได้ไม่มั่นคงเท่าไหร่เพราะอายุมันสั้น ข้าวโพดเห็นไหมอายุ ๔๕ วันเอง

นี่ไงเนี่ย เห็นไม่เห็นเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราจะต้องการให้เห็นหรือไม่ต้องการให้เห็น มันอยู่ที่คุณภาพของจิตนั้นมันจะเห็นหรือไม่เห็น เหมือนพระพุทธเจ้าเนี่ยย้อนอดีตชาติไปเนี่ยเห็นไหม เป็นพระเวสสันดรเป็นอะไรต่าง ๆ นี่คือข้อมูลเดิมใช่ไหม พระพุทธเจ้าเคยเป็นพระเวสสันดรมา แล้วมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม เนี่ยพระพุทธเจ้าก็รู้เห็นเป็นอย่างนั้นไป แต่ข้อมูลของเราเนี่ย ถ้าเราเข้าไปแล้วเนี่ย เราจะเห็นหรือไม่เห็นมันอีกกรณีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจิตสงบแล้วต้องเห็นสมาธิ ไม่ใช่ ไม่ใช่ จิตสงบคือจิตสงบ เห็นนิมิตเห็นอะไรมันคนละเรื่อง คนละเรื่องเดียวกัน

กินข้าวเนี่ย เรากินข้าวเนี่ย เรากินรสรึเปล่า เรากินข้าวเพื่ออาหารให้ร่างกายใช่ไหม แต่ทำไมอร่อยล่ะ ทำไมมันอร่อย อร่อยนั้นมันเป็นรส แต่เรากินอาหาร จิตสงบนั้นคืออาหาร แล้วรสมันหลากหลาย แกงเผ็ด แกงส้ม สเต็ก มันคนละรสชาติทั้งนั้นน่ะ จิตที่มันมีรสชาตินั้นมันเห็นอย่างนั้น นี่นิมิตมันจะเห็นต่อเมื่อ ต่อเมื่อจิตมันมีข้อมูลมันเห็นต่าง ๆ นี่ นี่ตามข้อเท็จจริงนะ แต่ตามกิเลสที่บอกว่าเห็นนิมิตแล้วหลง เห็นนิมิตแล้วกลัวนั่น กิเลสมันหลอก นิมิตเข้าไปแล้วยังต้องไปพิจารณาความเห็นอันนี้ถูกไหม ความเห็นอันนี้ผิดไหม

แล้วถ้าจิตสงบแล้วเห็นกายเป็นวิปัสสนานะ เป็นวิปัสสนา เห็นกายนั้นอีกกรณีหนึ่ง ถ้าจิตสงบแล้วนะ จิตสงบจริง ๆ ถ้าคนเราเนี่ย อย่างคนเราเนี่ย แหม ยกตัวอย่างบ่อยเลย อย่างเราเนี่ยเราสร้างบุญมาเยอะพอจิตเราสงบปั๊บ โอโฮ กายมันจะลอยมาเลย มันลอยมาเลยนะ เห็นทันทีเลย นี่เพราะเราสร้างบุญมามาก อย่างเราเนี่ยคนขี้ทุกข์ขี้ยากไม่เคยทำอะไรเลย แต่ดันทำจิตสงบเข้ามาได้นะ พอสงบแล้วสงบเฉย ๆเนี่ย กายก็ไม่มา อะไรก็ไม่เห็นแล้วทำไง

ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์บอกว่าให้รำพึงขึ้นมา รำพึงขึ้นที่จิตเนี่ย ในสมาธิรำพึงคือคิดในสมาธิ สมาธินี้คิดได้ ในสมาธินี้คิดบอก คิดถึงกาย ถ้ามันมีวาสนามันจะมาเลย ถ้าไม่มานะ ไม่มาแสดงว่าเรา เราไม่มี ไม่มี ไม่มีความถนัดทางนี้ เราจะพิจารณาเวทนาก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาธรรมะก็ได้ ธรรมมารมณ์ความคิด ถ้าจิตสงบแล้วคิดถึงธรรมนั่นคือธรรมารมณ์ มันยังต้องออกไปขยายนี่ไงจะบอกว่างานข้างหน้าเรายังอีกเยอะ

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานจะเกิดต่อเมื่อจิตรู้ จิตเห็น จิตเราไม่เคยสงบ ไม่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยความเป็นจริง วิปัสสนาไม่เกิด สติปัฏฐาน ๔ไม่เกิด สิ่งที่มันบอกมันเป็นไปนั้นโกหกหมด เป็นสัญญาอารมณ์เป็นความรู้สึกเป็นความคิด แล้วมันจินตนาการจิตว่างได้ไหม ว่าง ไม่ใช่ตัวกูไม่ใช่ของกูคือกูไง บอกว่ากูก็ไม่มี ทุกอย่างก็ไม่มีแล้วใครพูดล่ะ ใครพูด ใครพูด พูดกันไปเอง ไอ้ที่พูด ๆ อยู่นั่นนะ สัญญาอารมณ์ทั้งหมด มันบอกเลย พุทโธ พุทโธ กรรมฐานพระป่าเนี่ย จะติดในนิมิต มึงมีนิมิตหรือปล่าว มึงมีไหม มึงรู้จักนิมิตหรือเปล่า มึงรู้จักนิมิตไหม เพราะจิตมันสงบแล้วเห็นกายก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง อุคคหนิมิต วิภาคนิมิต นั่นนะวิปัสสนาจะเกิดตรงนั้น

ตอนนี้ที่ปฏิบัติกันเนี่ยต้องจิตสงบ แล้วจิตสงบยกขึ้นวิปัสสนายังไง ครูบาอาจารย์ของเราเนี่ย จะประคองกันจะคอยบอกกัน มันเหมือนกับเรียนจบอนุบาลจะเข้าประถมยังไง เรียนจบอนุบาลนี้จะเข้าสาธิต ไปวิ่งเต้นอีกโรงเรียนหนึ่ง จิตมันสงบแล้วเนี่ยจะยกขึ้นวิปัสสนายังไง มันมีงานของมันอีกนะ ไม่ใช่ว่าจบอนุบาลแล้วนะจะจบด็อกเตอร์ มึงบ้าเหรอ มึงยังต้องมีโรงเรียนเข้าไปต่ออีกเยอะแยะ จิตสงบเนี่ยอนุบาล รักษาหลักเกณฑ์ไว้ จะมีงานไปข้างหน้าอีกเยอะแยะ

ค่อย ๆ ทำไปมันไม่ใช่หนัง ใส่ฟิล์มเรื่องแล้วก็ฉายจบเรื่อง ไอ้นี่ก็เหมือนกันพอปฏิบัติแล้วมันจะจบขบวนการเลยเป็นพระอรหันต์เลย ไม่ใช่ กิเลสมันคอยทิ่มมึงอีกเยอะนัก เดี๋ยวจะไฟดับ เดี๋ยวหนังมึงจะขาด เดี๋ยวหนังมันจะปีนเกลียว โอ้ ยังจะต้องไปซ่อมเครื่องฉายอีกหลายรอบเลย นี่ไงถึงต้องมีครูมีอาจารย์ไง ถึงต้องมีครูมีอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ที่ปฏิบัติไปแล้วเนี่ย มันจะปฏิบัติมันจะดีมาก ๆ จบเน๊าะ เอวัง

ถาม : คือผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ครับ ได้ยินมาว่าการปฏิบัติมีแต่สิ่งดี สามารถทำจิตใจให้สงบได้ แต่ถ้าสมมุติเราไม่สามารถทำจิตใจเราให้สงบได้ มันจะส่งผลเสียอย่างไร

หลวงพ่อ : ไม่มีเสียมีแต่ได้ ไม่มีเสีย ถ้าทำใจให้สงบได้ สงบมันจะดีมาก แต่นี้เพราะตรงนี้เพราะทุกคนอยากให้สงบใช่ไหม แล้วเขาบอกที่ดูจิต ๆ กันเนี่ย เขาบอกว่าดูจิตมันมีจุดขายตรงนี้ ตรงที่เมื่อก่อนนะฟุ้งซ่านมาก แล้วพอมาเดี๋ยวนี้มันว่างมันสบายเนี่ย มันว่างมันสบายมันก็แบบว่าหลักลอย แต่ถ้าคำว่าสงบคำว่าจิตสงบของครูบาอาจารย์เราเนี่ย มันเป็นความจริงไง คือสงบมันต้องเป็นสมาธิ ต้องเป็นสมาธิจริง ๆ ไอ้นี่เป็นสมาธิก็ไม่รู้จักสมาธิ ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย เดี๋ยวนี้สมาธิก็ไม่รู้จักกันแล้ว ทีนี่แบบว่าถ้าเราทำให้จิตสงบใช่ไหม จิตเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าจิตมันมีความร่มเย็นเป็นสุขเนี่ย มันจะมีแต่ของดี

ถ้ามันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ การกระทำนั้นก็เป็นบุญกุศลแล้ว คือประสาเรานะ คนที่จะทำได้นี้ต้องสำนึกตัวก่อนใช่ไหม ต้องรู้จักตัวเราเองก่อนใช่ไหม เพราะเราทุกข์เราอยากสงบ แค่นี้นะก็มีสติแล้ว นี้จะได้ไม่ได้เนี่ย เราอยากจะได้ ถ้าได้เราอยากให้มันได้ตามเนื้อหาสาระคือความเป็นจริงไง ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่บอกว่าว่าง ๆ ว่างเนี่ย ว่าง ๆ เนี่ย ไม่อยากจะพูดนะ โรงพยาบาลศรีธัญญาเนี่ยมันว่าง ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้าว่าง ๆ นะโรงพยาบาลศรีธัญญาเนี่ยว่าง ว่างกันทั้งนั้นเลยนะ คือว่างอย่างนั้นมันมีอะไร ถ้าว่างนะมันมี มันมีสตินะมีรับรู้ คือมันเหมือนกับเวลาเราว่างแล้วเนี่ย เราทำงานต่อไปกันได้เนี่ย ถ้ามันว่างอย่างนั้น แล้วเขาทำได้แต่เราฟังมาหมดแล้วแหละ จินตมยปัญญาคือจินตนาการกันไป เราเชื่อมั่นมากเนาะ ไปจบแล้ว