เทศน์เช้า วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ดูเวลาเขาเคลื่อนย้าย
แล้วเวลาเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี่ ดูสมัยแอฟริกาลงมาขนมาครึ่งประเทศอเมริกา เคลื่อนย้ายคนมาแล้วมันก็จะมีความเป็นไป เวลากองทัพเวลารบกันเป็นแสนๆ คนเขาเคลื่อนย้ายภายในสองเดือนสามเดือน ต้องเคลื่อนย้ายให้ได้เพื่อเป็นกองทัพ แต่ผลพวงของมัน เวลามีสงครามที่ไหนก็แล้วแต่สังคมเขาต้องแปรไป แปรสภาพไปตามสภาวะแบบนั้น นั่นเรื่องของโลกนะ
แต่การเคลื่อนไปของจิต เวลาคนเราตายไปคือ การเคลื่อนไปของจิต จิตนี้ต้องเคลื่อนไปโดยธรรมชาติของมัน แต่เดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาว่านะ เวลาเขาพูดกันทางยุโรปว่า เวลาเอาลูกมาเกิดลูกมันต้องการเกิดหรือเปล่า เวลาเราเอาลูกมานี่มันจำเป็นต้องมาเกิดไหม? ถ้ามันไม่จำเป็นต้องมาเกิด เราทำให้เขามาเกิดเป็นความรับผิดชอบของเรา แต่เขาไม่เข้าใจเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องของกรรม มันต้องมีสภาวะกรรมของกันมันถึงจะเกิดร่วมกัน ถ้ามันเกิดร่วมกันมันมีกรรมสภาวะแบบนั้นนะ ถ้ากรรมดีลูกเกิดมาดีทำให้พ่อแม่ในวงศ์ตระกูลนั้นมีความสุขมาก แต่ถ้ากรรม เคยทำกรรมสิ่งใดกันไว้ ลูกเกิดมาจะทำให้มีปัญหากันมีความทุกข์กัน อันนี้เป็นสภาวะของกรรม นี่การเคลื่อนไปของจิต เวลามีมลภาวะเห็นปลามันตายเป็นแพ การเคลื่อนไปของเขา คนโบราณเวลาห่าลงตายพร้อมๆ กัน การเคลื่อนไปของจิตมันแล้วแต่สภาวะกรรม
แต่มันการเคลื่อนไปที่จะพร้อมกันนะ มันมีน้อยมาก เพราะอะไร? เพราะการทำบุญทำกรรมมันมาไม่เสมอกัน สิ่งที่มาไม่เสมอกันความเกิดความตายถึงไม่เสมอกัน ความเคลื่อนไปของจิต เราถึงต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อเรื่องของกรรม เพราะการเคลื่อนไปของจิตนี้มันมีพลังงานของบุญ บุญหรืออกุศล บุญหรือบาป บาปนั้นทำให้เคลื่อนไป พระเทวทัตเวลาก่อนที่ประพฤติปฏิบัติ เหาะได้นะ แปลงตัวก็ได้ ทำเคลื่อนไปก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แต่เพราะอะไร? เพราะอกุศลทำไว้ พระเทวทัตจะทำลายพระพุทธเจ้า ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน กรรมหนักมาก เวลาตายไปตกนรกทันที อกุศลทำให้ตกนรกทันที แต่เคยทำคุณงามความดีไว้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ถ้าเทวทัตพ้นขึ้นมาจากนรกจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ฟังสิ! ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จิตนั้นก็ต้องสิ้นกิเลสไป จิตนั้นก็จะไม่เคลื่อนไปตามอำนาจของกรรม จิตนั้นเคลื่อนไปตามอำนาจของกรรม การเกิดนี้กรรมพาเกิด แต่เราทำคุณงามความดีสร้างบุญกุศล กุศลพาเกิดทำให้คุณงามความดีพาเกิด อกุศลพาเกิด อะไรเกิดก่อน? เกิดก่อน ถ้าเข้าใจเรื่องของธรรม เวลาคนจะตายทำไมเขาให้คิดถึงพระล่ะ เพราะให้เสวยอารมณ์นั้นก่อน ให้กุศลพาเกิด ถ้ากุศลพาเกิดๆ ดีขึ้นไปตลอดๆ
แต่ในปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ว่า บอกให้ปฏิบัติบูชา เราจะทำบุญกุศลขนาดไหน เราจะทำคุณงามความดีขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วต้องมาประพฤติปฏิบัติ ต้องมาภาวนาทั้งหมด เพราะการภาวนานี้เป็นสุดยอด เป็นจุดรวม เราสร้างบุญกุศลมันเป็นบารมีสร้างสม ภาวนาง่าย ภาวนายาก เราเจอหมู่คณะที่เป็นสัปปายะ ถ้าเราเจอหมู่คณะที่เป็นสัปปายะจะเป็นอำนาจวาสนาของบุคคลคนนั้นเลย
ถ้าเราไปเจอหมู่ที่ไม่เป็นสัปปายะ เราตั้งใจเราอยากประพฤติปฏิบัติ แต่หมู่คณะไม่เป็นไปนี่ความประพฤติปฏิบัติเราก็เป็นไปได้ยาก ทั้งๆ ที่กิเลสเราก็มีในหัวใจของเรา มันก็ต้องดิ้นรนตามธรรมชาติของมันแล้ว มันจะอ้างตลอด หนาวนักก็ไม่อยากทำงาน ร้อนนักก็ไม่อยากทำงาน มีสภาวะมีงานมีการเราต้องไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำงานภายในไง งานของโลกเขางานแบกหามงาน การทำงานของเขาต้องใช้แรงของเขา
การประพฤติปฏิบัติของเรานั่งสมาธินั่งเฉยๆ นี่เป็นงานของนักบวช งานของนักบวช งานของผู้ที่จะเอาชนะตนเอง ไม่ต้องแบกหามไม่ต้องทำสิ่งใดเลย นั่งเฉยๆ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ เวลาเรานั่งเฉยๆ นั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่งสองชั่วโมงนั่งได้ไหม? งานอันละเอียด สิ่งที่งานละเอียดแล้วเกิดเข้าไปภายใน จิตมันสงบเข้ามาจากภายใน งานภาวนาอันนี้จะไปแก้ไข แก้ไขตัวที่ว่าพลังเคลื่อนไป จิตนี้เคลื่อนไป จิตนี้ตายไป
เวลาจิตนี้หมดสภาวะต่างหนึ่งก็เคลื่อนไปสภาวะต่างหนึ่ง บุญกุศลจะแปรสภาวะไป แปรสภาวะไปนะ อารมณ์เกิดดับๆ นี่มันเกิดดับตลอดไป แต่เราเกิดเป็นเทวดานี่เราก็ต้องอายุขัยของเทวดา เราเกิดเป็นมนุษย์เราก็ต้องอายุขัยของมนุษย์ เราจะเป็นมนุษย์ไปจนกว่าเราจะสิ้นชีวิตไป พอสิ้นชีวิตไปเราก็ไปเกิดในสถานะใหม่ ถ้าเรามีบุญกุศลเรามีบาปอกุศลเราก็เกิดสถานะของกรรมของการเคลื่อนไปของจิตนั้น
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปนี่ เราเข้าไปเห็นการเกิดดับของใจ มันเกิดดับเดี๋ยวนั้นนะ เราคิดดี เราคิดถึงการประพฤติปฏิบัติ เรามีการความสุขเกิดจากสัมมาสมาธิ เราเกิดดี แต่เกิดดีนี้ก็เป็นอนิจจัง สภาวะนี้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมนี้เกิดดับตลอดไป ถ้าเกิดดับตลอดไป การเกิดตายของอารมณ์ การเกิดตายของสภาวะในใจเกิดตายมหาศาลไป จิตเคลื่อนไปเรามองสภาวะเคลื่อนไปของสถานะ ของภพของชาติ จิตนี้เคลื่อนไปในอำนาจบุญกุศลและบาปอกุศล อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง
แต่ขณะเกิดประพฤติปฏิบัตินี้มันจะเกิดดับตลอดไป เราจะพิจารณาการเกิดดับนี้แล้วพอการเกิดดับนี้เราควบคุมได้ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่นปล่อยวางเข้ามานะ มีความสุขส่วนหนึ่ง นี่คืออะไร? เอกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นกลาง จิตนี้เป็นกลางเราเข้าสมาบัติ จิตนี้ปล่อยวางต่างๆ เข้ามาหมดเลย แล้วเราเข้าออกสมาบัตินั้นมีพลังงานมาก มิติต่างๆ ในสภาวะของในสามโลกธาตุตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ลงมานี่ มิติอันนี้มันไม่มี ในกาลอันนี้มันไม่มี จิตนี้มันสามารถสื่อได้หมดเลย ถ้าสื่อได้หมดมันสื่อเป็นกลาง สิ่งที่เป็นกลางอันนั้นมันสื่อออกไปมันก็เป็นการส่งออก
เราต้องย้อนกลับ สัมมาสมาธิจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ พลังงานตัวนี้เกิดขึ้นมา เวลาเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าไม่มีไฟฟ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างจะสงบตัว จะนิ่งหมด จะทำงานไม่ได้ เพราะมันไม่มีพลังงาน ไม่มีไฟฟ้าเข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น เครื่องไฟฟ้านั้นก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ไม่เป็นประโยชน์
ใจก็เหมือนกัน สภาวะการเกิดดับมันเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า ขันธ์ ๕ สัญญาคือ ความจำได้หมายรู้ ถ้าพอใจสิ่งใด เขาชื่นชมเรามา เขาบอกคนๆ นี้เป็นคนดี เราจะมีความสุขความพอใจมาก เขาติฉินนินทาขึ้นมาจะมีความเจ็บปวดแสบร้อนมาก อาการอย่างนี้เป็นอาการของขันธ์ เป็นอาการเกิดดับ อันนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากพลังงานตัวที่ไปรับรู้ตัวนั้นนะ ตัวที่เป็นพลังงานคือตัวของใจ ธาตุรู้ไม่ใช่ขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ เป็นสัญญา เป็นเวทนา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ เป็นสิ่งที่รับรู้ มันเกิดดับตลอดไป พอมันปล่อยสิ่งนี้เข้ามา มันก็เป็นพลังงานเฉยๆ มันก็เป็นธาตุรู้ ตัวธาตุรู้คือตัวอวิชชา ตัวธาตุรู้คือตัวตัณหาความทะยานอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันซุกตัวอยู่ในนั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง อาศัยความพอใจของเรา อาศัยเวทนา อาศัยความพอใจอันนั้นเป็นขันธ์ ๕ อันนั้นเป็นส่วนออกไป แต่พลังงานนี้เป็นตัวอวิชชา ตัวพลังงานเป็นตัวอวิชชา เราถึงต้องเข้าไปทำลายตัวอวิชชา ต้องทำลายตัวนี้ ต้องใช้วิปัสสนาเข้าไป
ถ้าเรามีวิปัสสนา ปัญญา เห็นไหม ภาวนามยปัญญา เราก็ว่าปัญญานี่ การท่องจำนะว่าปัญญา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันอยู่ในพระไตรปิฎกใครก็คาดหมายได้ แล้วเราคาดหมายไป ดูผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แม้แต่เกิดปัญญาขึ้นมานี่ ไล่ความคิดไล่ขันธ์ ๕ มันสงบตัวลง มันทะลุขันธ์ ๕ เข้าไปมันถึงเป็นตัวพลังงานนั้น นี่จิตมีสมาธิขึ้นมา อันนี้ว่าเป็นปัญญามหาศาลแล้วนะ สิ่งที่มหาศาลเวลาเราพิจารณาเข้าไป มันจะพิจารณาเข้าไป ปัญญามันก้าวเดินไปมันยิ่งละเอียดอ่อนเข้าไป ความเห็นมหาศาลเข้าไป
มันจะเกิดว่าภาวนามยปัญญามันก็มีอย่างหยาบ มีอย่างกลาง มีอย่างละเอียด มีอย่างละเอียดสุด มรรคหยาบมรรคละเอียดในหัวใจ ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นสภาวะแบบนั้น ถ้าคนเห็นจะเข้าใจสิ่งนี้ ถ้าคนไม่เห็นก็ว่าความคิดของเราเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่สุดยอด สิ่งที่สุดยอดคือเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมามันเป็นปัญญาโลกียะทั้งหมดเพราะอะไร? เพราะมีเรา มีตัวตน มีความเห็นของเรา เกิดขึ้นมาจากฐานของเรา เกิดจากฐีติจิต เกิดขึ้นจากความเห็น สิ่งที่เป็นภวาสวะอันนี้มันเกิดขึ้นมา มันออกมาจากส่วนนั้น เราว่ามันเป็นภาวนามยปัญญา
ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา แล้วมันเคลื่อนตัวออกไปมันจะเป็นมรรคสามัคคี สิ่งที่มรรคสามัคคีสมุจเฉทปหาน จิตมันเคลื่อนไป สิ่งที่เคลื่อนไปเคลื่อนไปตามสภาวะของกรรม กรรมนี้ต้องทำให้จิตนี้เคลื่อนไปเกิดตายๆ ไปตามสภาวะของสามโลกธาตุ จะมีความทุกข์มาก ความทุกข์นะ มีความทุกข์ในสภาวะแบบนั้น เราจะมีความสุขถ้าเรามีทรัพย์สินเงินทอง มีบุญกุศลที่เราสร้างขึ้นมานี่ เราติดขึ้นมาในชาตินี้เรามีความสุขมาก
เราว่าเป็นความสุขนะ เทวดา อินทร์ พรหม เขามองอยู่ เขาบอกพวกนี้ติด ติดอยู่สิ่งนี้ เขาเห็นแล้วสลดสังเวชมาก เขาสลดสังเวชกับผู้ที่เกิดมาในเมืองมนุษย์นี่ เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ยมทูตเตือนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เข้าใจ ไม่มีดวงตา ไม่เปิดตาขึ้นมาให้เห็นสภาวะสิ่งที่เป็นไท กลับไปหลงความพอใจของตัว ทุกข์มันดับลง ทุกข์มันยอบตัวลง การเป็นไป เห็นไหม
เราไปเที่ยว เราไปทัศนาจร เราไปเห็นต่างๆ เราไปพักผ่อนที่ไหนก็แล้วแต่ เราเป็นที่ว่าเราไปเห็นครั้งแรกเราจะตื่นเต้นมาก เราจะมีความสุขมาก เพราะอะไร? เพราะเราเสพใหม่ แต่ผู้ที่เขามีอาชีพในการทำมาหากินอยู่ตรงนั้นเขาเห็นทุกวัน เขาไม่เห็นมีความสุขของเขาเลย นี่ความเคยชินของใจมันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเทวดาอินทร์พรหมที่มองลงมา มองเห็นผู้ที่มีความสุข เราว่าเป็นความสุขเพราะเรามาเพลินในชีวิต ถ้าเราเพลินชีวิตเราไม่เข้าใจ เราไม่มีสิ่งที่มียมทูตมาเตือนใจของเรา ถ้าไม่เตือนใจของเราชีวิตเราก็ต้องหมดไป จิตก็ต้องเคลื่อนไป เคลื่อนไปโดยที่ว่าเราใช้บุญกุศลนะ
การเกิดเป็นมนุษย์มีบุญกุศลมาก เพราะอะไร? เพราะสัตว์โลกเกิด เห็นไหม สัตว์เกิดขึ้นมาเป็นล้านๆ เป็นร้อยๆ ล้าน เป็นพันๆ ล้าน อยู่ในโลกนี้เราเห็นอยู่ แล้วจิตที่ยังไม่ได้เกิดจะต้องมาเกิดอยู่ มันเป็นธรรมชาติของกรรมดวงนั้น มันเป็นธรรมชาติของกรรมอันนั้นนะ มันเป็นสิ่งที่ว่ามีอวิชชา มีพญามาร มีมารอยู่ในใจดวงนั้น มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันต้องขับไสไป ไม่ว่ามันจะพอใจเกิดไม่พอใจเกิด ไม่ใช่ มันจะต้องเกิดตามข้อเท็จจริงของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นสภาวะที่เคลื่อนไปนี้ ทุกดวงใจต้องเคลื่อนไปตามสภาวะอย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดคงที่ แปรสภาพตลอด
เว้นไว้แต่นิพพาน นิพพานนี้เป็นสิ่งคงที่ เป็นวิมุตติสุข อันนี้หมดออกไป แต่ก็มีธาตุรู้อันนี้อยู่ สิ่งนั้นอยู่เพราะทำลายเชื้ออันนี้หมดไปแล้วมันไม่เคลื่อนไป สิ่งที่ไม่เคลื่อนไปพอตัวอยู่อย่างนั้น นั่นคือความสิ้นสุดของกระบวนการการเคลื่อนไปของจิต ถ้าจิตยังเคลื่อนไป การเกิดตายจากภายนอกคือ การเกิดการตายจากภพชาติของมนุษย์ การเกิดตายของสภาวะความทุกข์ความยากในหัวใจ
การเกิดการตาย เห็นไหม การเกิดการตายของจิตดวงที่เกิดขึ้นมา แล้วเราสร้างขึ้นมาเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคคือภาวนามยปัญญา อันนี้เคลื่อนไป สิ่งนี้เราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเราสร้างขึ้นมา เรามีเหตุ เรามียาธรรมโอสถเกิดขึ้นมานี่ มันจะหมุนเข้าไปในหัวใจ แล้วทำลายเชื้อ ทำลายตัวธาตุนะ ทำลายเชื้อตัวธาตุตัวพลังงานตัวนั้นนะ จะต้องสงบจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามา จะต้องสงบจากขันธ์ ๕ เข้ามา พอสงบจากขันธ์ ๕ เข้ามาเราจะไปเห็นเชื้อของมัน
ถ้าเห็นเชื้อของมัน คือจับยกขึ้นมาวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพราะสิ่งนี้มันเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น อาศัยสิ่งนี้เป็นฐานออกไป ถ้าเป็นสิ่งหยาบๆ ก็ไปติดรูปรสกลิ่นเสียงภายนอก แล้วอยากได้ความเป็นไป แต่ถ้าจิตเราสูงขึ้นมาเราพัฒนาขึ้นไปนี่มันก็มาติดในตัวมันเอง เราปล่อยวางมันทั้งหมด เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ทั้งหมด เรามีความสุขทั้งหมด เราเป็นนักปฏิบัติทั้งหมด
เราเป็นผู้มีธรรมในหัวใจ มีธรรมเกาะอยู่นั้นเป็นอัตตา สิ่งที่เกาะอยู่เกาะที่ตัวตนอยู่ มีตัวตนอยู่มีความหมายอยู่ตรงนั้นเป็นตัวภวาสวะ ตัวนั้นเป็นตัวฐานของจิต ตัวนี้คือ ตัวอันตราย ตัวนี้คือตัวอวิชชา สิ่งที่ว่าเรายอดเยี่ยมเราสูงกว่าทุกคน เราดีกว่าทุกคน มานะ ๙ สูงกว่าเขาสำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญ เห็นไหม สูงกว่าเขาก็สำคัญไม่ได้ มันสูงกว่าเขาในการประพฤติปฏิบัติ สูงกว่าเขาเพราะเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราเอาตัวเราออกมาประพฤติปฏิบัติ เราสูงกว่าเขา แต่การสูงกว่าเขานี้มันก็เป็นอัตตา สิ่งที่เป็นอัตตาต้องย้อนกลับเข้ามาทำลายมัน ถ้าทำลายขึ้นมาถึงที่สุด
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอนัตตา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอนัตตา มันทำลายสิ่งนี้ อัตตาและอนัตตาจะต้องกลืนตัวและทำลายกันไปเอง จนจิตนั้นพ้นออกไป พูดถึงสิ่งนั้นไม่ได้เพราะมันเป็นวิมุตติ สิ่งที่เป็นวิมุตติเหนือสมมุติทั้งหมด เหนือสิ่งต่างๆ
โลกนี้เป็นโลกสมมุตินะ สิ่งต่างๆ สมมุติว่าเงินทองนี่ก็สมมุติขึ้นมา แบงก์พิมพ์ขึ้นมาก็เป็นเงินขึ้นมา ประกาศเลิกใช้ก็เป็นไป เราติดเกี่ยวมันติดข้องกับสมมุติ สภาวะสมมุติ ร่างกายก็สมมุติ ความเป็นไปก็สมมุติ แต่สมมุตินี้เอาเป็นพื้นฐานแล้วทำให้เกิดวิมุตติขึ้นมาได้ ถ้าสมมุตินี้ไม่เป็นพื้นฐานเราว่าสมมุตินี้ไม่เป็นประโยชน์เลย ก็เราเกิดด้วยบุญกุศล เห็นไหม
มนุษย์สมบัตินี้เป็นบุญกุศลมาก กฎหมายรองรับ มีกฎหมายคุ้มครอง การทำลายกันก็มีกฎหมายคุ้มครอง สัตว์เวลาเขาฆ่ากันตายไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เขาตายฟรีๆ แต่ของเรานี้ตายด้วยกรรม คนทำลายกันต้องมีกรรมแน่นอน แต่กฎหมายก็รองรับ กฎหมายมีโทษขึ้นมาทำให้มนุษย์เราอยู่ด้วยความคุ้มภัยบ้าง
แต่ถ้าสัตว์มันไม่มีสภาวะแบบนั้น แล้วก็เข้าใจกันนะ สัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ ไม่ใช่หรอก สัตว์เกิดมาตามสภาวะกรรม แต่เพราะเราไปเอาเขามาเป็นอาหารเองต่างหาก เพราะใจของเราไม่เป็นธรรม ถ้าใจของเราเป็นธรรมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะเราเห็นว่าสรรพสิ่งเกิดมาทุกคนทุกดวงใจต้องการความสุขเกลียดความทุกข์ทั้งหมด แต่ในเมื่ออาชีพของเขา เขาต้องการอย่างนั้น เขาเห็นเงินทองมากกว่าศีลธรรมมากกว่าชีวิตของเขา นั้นเป็นผู้ที่แสวงหาความเป็นอยู่ของเขา
ถ้าเราสละอย่างนั้น เรามีศีล ๕ ปาณาติปาตา เราไม่ทำลายสัตว์ ไม่ทำลายสัตว์ ไม่ทำลายของเรา ไม่ทำลายหัวใจของเรา ไม่คิดไม่ทำลายของเรา เราอาศัยโลกเขาอยู่เพราะโลกนี้เป็นสมมุติ เขาต้องการอย่างนั้นเราก็จ่ายเอาในตลาด เราจ่ายเอาในตลาด เขาว่าถ้ามีคนกินก็มีการกระทำ บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน ไม่ใช่หรอก เพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้เจตนา มันจะเป็นบาปขึ้นมาต่อเมื่อเราเข้าไปในร้านซีฟู้ด ชี้เลยว่าเอาสัตว์ตัวนี้เป็นตัวนี้ เจตนาของเราเราสั่งให้เขาฆ่า อันนี้บาปอยู่ที่คนกิน บาปอยู่ที่คนกิน กรรมอยู่ที่คนทำ อันนี้แน่นอน
แต่นี้ไม่ใช่ เรามาจากไหนก็ไม่รู้ เราผ่านไปนี่เขาฆ่ามาจากไหนก็ไม่รู้ เราไม่รู้ไม่เห็นนี่เป็นสภาวะของโลก เป็นสมมุติอันหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจสมมุติเราจะอยู่สมมุติได้ด้วยความพอดี ถ้าเราไม่เข้าใจสมมุติเราถือว่าสิ่งนั้นเขาทำขึ้นมา เราจะปฏิเสธทั้งหมด โลกเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งเขามีกรรมของเขา เราก็มีกรรมของเรา เราจะทำอย่างไร? อาศัยสิ่งที่เป็นกรรมนี้ อาศัยสิ่งที่สมมุตินี้ก้าวเดินไปให้จิตนี้หยุดกับที่ ไม่เคลื่อนไป จิตนี้ต้องเคลื่อนไปตามสภาวะบุญกุศลและบาปอกุศลโดยธรรมชาติของมัน
แต่เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ทำให้จิตนี้ไม่เคลื่อนไป ถ้าจิตนี้ไม่เคลื่อนไปเราจะเห็นคุณประโยชน์ของศาสนา ศาสนาจะกังวานจากใจของเรา เราจะพอใจในใจของเราว่า ศาสนาพุทธประเสริฐที่สุด เอวัง