เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เสียงโลกมันเป็นไปอย่างหนึ่งนะ เสียงธรรมเป็นไปอย่างหนึ่ง เสียงของธรรมไง ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือพัฒนาการ แต่ถ้าเป็นพราหมณ์ เขาเชื่อกรรม ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม เขาก็สอนเรื่องกรรม แต่กรรมนี้เป็นของจริง กรรมนี้เป็นของที่แปรปรวนไม่ได้ มันถึงต้องการ เป็นการอ้อนวอน เป็นการบูชายัญ เป็นการขอเอา

แต่ศาสนาพุทธเราให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ ศาสนาพุทธสอนเรื่องอนัตตา สิ่งต่าง ๆ นี้แปรสภาพตลอดไป แต่ความแปรสภาพอยู่นี่มันลึกซึ้งกว่า สิ่งที่ว่าเขาก็ว่าเป็นกรรมเหมือนกัน สรรพสิ่งนี้ต้องไปอยู่กับพระเจ้า เสร็จแล้วชีวิตนี้ต้องกลับคืนไปเป็นธรรมชาติของมัน แต่ธรรมชาติอันนั้นเป็นของคงที่ สิ่งนั้นมีอยู่

แต่ในศาสนาพุทธเรา สิ่งนี้มันสามารถชำระล้างได้ สิ่งที่สามารถชำระล้างได้มันติดอยู่ที่การกระทำ มันถึงว่าเป็นการพัฒนาการ ใจนี่ถ้าเป็นพัฒนาการขึ้นมาจะเข้าใจถึงความเป็นจริง แต่มันละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่ละเอียดอ่อนมากเพราะอะไร? เพราะความคิดของเรา เราคิดขนาดไหน เราจินตนาการขนาดไหน มันเป็นเรื่องความคิดของโลก สิ่งที่เป็นความคิดของโลก มันก็หมุนจากความคิดของโลก เหตุผลมันมีเหตุผลของโลก

แต่กิเลสคือความต้องการของเราไม่มีเหตุผล สิ่งที่ความต้องการ สิ่งที่ความปรารถนาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนี้ เราก็คิดว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเบียดเบียนใจ แต่เราก็ไม่สามารถชำระได้ เราไม่สามารถมีอำนาจเหนือมันได้ สิ่งนี้มันมีอำนาจเหนือเรา อำนาจของกรรม อำนาจของมโนกรรม สิ่งที่เป็นมโนกรรม สิ่งที่ความคิดอันนี้มันเป็นมโนกรรม แต่ทำไมอันนี้เราควบคุมมันไม่ได้ล่ะ?

นี่โลกคิดออกมาจากตรงนี้ เราถึงต้องทำความสงบของใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามทำความสงบของใจ คนเราใจนี่สงบขึ้นมา มันแปลกประหลาดมาก มันจะมหัศจรรย์กับความสงบของตัว ถ้าตัวมีความมหัศจรรย์สิ่งนี้ ตัวเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นความลึกซึ้งมาก สิ่งนี้เป็นความสงบของใจ สิ่งนี้ปล่อยภาระสิ่งต่าง ๆ เข้ามา แต่มันเป็นการปล่อยวางชั่วคราว

นี่สิ่งที่ว่าเป็นอัตตา อัตตาอย่างนี้ อัตตาเพราะว่าเราสงบขนาดไหนมันก็เป็นอัตตา มันก็เป็นความที่เกิดขึ้นมา มันมีอยู่ หัวใจนี้ถึงไม่มีใครเคยเผามันได้ไง หัวใจดวงนี้ถึงมีการเกิดการตาย เวียนตายเวียนเกิด การบูชายัญ การอ้อนวอนเอามันก็เป็นสิ่งที่ว่าเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสน่ะเวียนไปตามธรรมชาติ เวียนไปตามวัฏฏะของเขา คนทำดีได้ดี คนทำชั่วได้ชั่ว เป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง

แต่ความดีของใจ ความดีจากภายในนี่ มันไม่มีการพัฒนาการขึ้นมา มันไม่มีการชำระขึ้นมา มันไม่เกิดมรรค ความเป็นมรรคหยาบ ๆ ความคิดเรานี่ความช่วยเหลือเจือจานกันนี่ มันเป็นสิ่งที่ว่ามรรคหยาบ ๆ ถ้ามรรคที่ละเอียดขึ้นมานี่ ถ้าเราติดอยู่สิ่งนั้นเราจะต้องแบกโลกไปจนตาย โลกนี้มีสภาวะเป็นหมุนเวียนไป ผู้ที่บริหารขึ้นมาต้องมีอุเบกขา ถึงที่สุดแล้วต้องอุเบกขาเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อหัวใจของเขาเป็นอย่างนั้น กิเลสของเขาเป็นอย่างนั้น ความอยากของคนเป็นแบบนั้น

คนที่ละเอียดอ่อน คนที่มีความประณีตกว่า เวลาเขาทำขึ้นมานี่ เขาจะโดนเบียดเบียน เขาจะโดนกระทำ สิ่งที่โดนกระทำอันนั้นเป็นกรรมเก่านะ กรรมเก่าคือว่าสิ่งที่โดนกระทำอันนั้นสิ่งนั้นเบียดเบียนมา แต่ถ้าเขาควบคุมใจของเขาได้ จะเป็นวิกฤตขนาดไหนคนก็มีโอกาส ในมีการสงคราม เห็นไหม เกิดสงครามโลกเศรษฐีก็เกิดได้ เกิดการทุกข์ขนาดไหนมันก็มีผู้ที่ได้ประโยชน์อันนั้น ประโยชน์อันนั้นคือการใคร่ครวญสิ่งนั้น จับสิ่งนั้นมาพิจารณา

การเบียดเบียนก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี่ เวลาโดนโลกธรรม ๘ โดนกล่าวโจมตี จนขนาดว่าจ้างผู้หญิงมาด่า ด่าต่าง ๆ ทำทุกอย่าง เพราะว่าอิจฉาตาร้อนในเรื่องของศาสนา ท่านก็ว่าสิ่งนี้เป็นกรรมเก่าของท่าน สิ่งนี้เป็นว่าสิ่งที่กระทบกระเทือนกับท่าน ไม่เข้ามาถึงใจของท่านได้

เปรียบเหมือนอาหาร ถ้าเขาเอาอาหารมาให้เรากิน เราไม่กินอาหารนั้นเขาต้องยกกลับไป เขาจะโจมตีขนาดไหน เขาจะว่าขนาดไหน นั้นเป็นเรื่องของเขา เป็นความเห็นของเขา เป็นทิฏฐิความเห็นของใจ ใจคนพัฒนาขึ้นมานี่ ทำไมเราต้องพยายามของเรา เราต้องพยายามของเรา เราทำของเราขึ้นมานี่ ด้วยความพอใจนะ

ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ความพอใจของเรา เราจะแสวงหา เราจะค้นหา เห็นไหม ทองคำ สมัยเขาตื่นทองกันน่ะ ขนาดไหนเขาก็ต้องวิ่งไปหาเหมือง เขาต้องพยายามตื่นทอง เขาต้องค้นคว้าของเขา เขาพอใจในทองคำนั้น เขายังแสวงหาของเขาได้ แต่อันนี้เป็นอริยทรัพย์ภายใน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ เชื่อในสัจธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมานี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ถ้าเกิดขึ้นมาของเรา นี่พัฒนาการของจิต จิตมีการพัฒนาการตัวนี้ มันจะเห็นการเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตาความยึดมั่นของมันนี่ มันจะปล่อยวางตามความจริงของมันเพราะมีสิ่งที่ชำแรกเข้าไปในหัวใจ คือปัญญาญาณเกิดขึ้นจากการเราใคร่ครวญขึ้นมา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกพุทธะมีอยู่ในทุกหัวใจ พุทโธผู้รู้ ในความรู้สึกของคนมีอยู่ทุกคน

การเกิดนี้ความรู้สึกเป็นตัวเกิด จิตปฏิสนธิตัวนี้ไม่มีใครเคยเห็นมัน “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” เราเข้าถึงแค่เปลือกส้ม เปลือกของส้มเราจับได้เปลือกส้ม ดูอย่างผลของมะพร้าวสิ เราจับได้แต่ลูกของมะพร้าว มะพร้าวเราจะปอกเปลือกเข้าไปแล้วยังไปเจอกะลาข้างในอีก

หัวใจของสัตว์ก็เป็นแบบนั้น ความคิดของเราที่ว่าเป็นความคิดของเรานี่ออกมาจากตรงนี้ ออกมาจากพลังงานของใจ เราไม่เคยเห็นพลังงานของใจ ถ้าเราทำความสงบเข้าไปนี่ เราจะเห็นพลังงานเฉย ๆ ความพลังงานเฉย ๆ เป็นพลังงาน เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามีความละเอียด เห็นไหม “น้ำใสต้องเห็นตัวปลา” จิตถ้าสงบขึ้นมานี่เราจะเห็นกิเลสของเรา

สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่เราทำตามกิเลสนะ ความอยากก็อยากกิเลส การประพฤติปฏิบัติเราว่าเป็นธรรม มันปล่อยว่างมันวางขนาดไหน สิ่งนี้มันเป็นกิเลสเจือไปตลอดเลย สิ่งที่กิเลสเจือไปตลอดมันถึงไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันต้องตกไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายของกิเลสมันก็ทำให้เราทุกข์ร้อนไป ฝ่ายของความสุข ฝ่ายของธรรม สิ่งที่เป็นฝ่ายของธรรม แต่ฝ่ายของธรรมต้องก้าวดำเนินไป ดำเนินไปคือการวิปัสสนา คือการใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ ใคร่ครวญด้วยปัญญาของเราเข้ามา

สิ่งที่ใคร่ครวญเข้ามา นี่พลังงานอันที่ว่าเราเห็นนั้นมันเป็นสุขขนาดไหนนี่ มันจะเกิดอันนี้ มันถึงจะแปลกประหลาดกับภาวนามยปัญญา มันจะเกิดถึงปัญญาภายใน แล้วบอกใครใครก็ไม่เข้าใจ จะชี้นำขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ ดูสิ อย่างว่าวิมุตติน่ะ วิมุตติเป็นสุขอันประเสริฐ เวลาเราคาดหมายกันนี่ไม่ใช่สุขเวทนา เราก็ยังคาดหมายไม่ได้

แต่พระอรหันต์นี่มีความสุข สุขหัวใจอย่างไรมันสุขอันละเอียด คนไม่เข้าใจว่ามันจะมีความสุขได้อย่างไร ถึงไม่ยอมไปนิพพานไง จะไปสวรรค์ จะไปสิ่งที่มีความสุข ไปเสพกามกัน นี่กามภพ อยู่ในกามนี่มันเป็นกาม เป็นทิพย์ขนาดไหนก็เป็นกาม พอใจกับสิ่งนี้เพราะมันจับต้องได้

นี่เปลือกของใจเป็นได้ขนาดนั้น เปลือกของใจคือกามไง คือความเห็นของใจ คือเกิด เห็นไหม ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ แล้วขันธ์เกิดขึ้นมาแล้วนี่ยังมีอวิชชา เห็นไหม ขันธ์นี้เป็นความรู้สึก เป็นการบัญญัติ สิ่งที่บัญญัติขึ้นมานี่เราสื่อกัน แต่ความผูกพันของมันมันออกไปที่เปลือก สิ่งที่เปลือกเป็นเรื่องของกามไป เป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นนี่เวียนออกไปอย่างนั้น แล้วก็พอใจสิ่งนั้น ว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข สิ่งนี้สื่อกันได้เป็นความสุข เพราะอะไร? เพราะสัตว์โลกเข้าถึงสิ่งนี้ได้ เข้าถึงตรงนี้ได้มันก็เป็นไป

นี่ปัญญาของเราหมุนไปขนาดนั้น มันถึงพยายามต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องของโลกนะ ปฏิบัติโลกกับธรรม ถ้าเป็นเรื่องของโลกมันจะหมุนออกไปด้วยความเห็นของเรา เป็นความเห็นออกมาจากพลังงานของเรา เพราะเราเกิดมาจากโลก ใจนี้เกิดมาจากโลก จิตปฏิสนธินี่เกิดขึ้นมา จะเกิดที่ไหนปฏิสนธิจิตนี้จะเวียนไปสถานะนั้น แล้วก็เป็นอนัตตา สรรพสิ่งโลกนี้แปรสภาพทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดคงที่ จะสถานะไหนก็ไม่คงที่ แล้วแต่อายุ แล้วแต่วาระของเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงไป

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติอันนี้ ถ้ามีทางเดิน เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธนี่ เราทำบุญทำกุศลอยู่นี่ เราแสวงหาสิ่งนี้เพราะเป็นบารมี คนเราเกิดมาอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ความเชื่อก็ไม่เหมือนกัน ความละเอียดความหยาบในหัวใจก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันนี่จะเอามาตรฐานใด ๆ ไปวัดไม่ได้ มาตรฐานของใครก็เป็นมาตรฐานของมัน ความสุขความทุกข์ก็เป็นมาตรฐานของใจดวงนั้นที่จะพอใจดวงนั้น

สิ่งนี้มันเป็นมาตรฐานนี้ มันเป็นจริตนิสัยที่มันสะสมมาจากที่ว่าเราทำบุญกุศลกันอยู่อย่างนี้ นี่มรรคหยาบ ๆ เราถึงต้องพยายามขวนขวาย ถึงที่สุดแล้วเวลาเราเข้าห้องพระขึ้นมานี่ เราประพฤติปฏิบัติอยู่ที่อยู่ของเรา เรากำหนดภาวนา นั่งเฉย ๆ นี่เป็นงานอันประเสริฐเพราะพยายามบังคับใจให้ได้

ถ้าเรานั่งแล้วบังคับใจของเราได้ สิ่งที่เราดึงใจของเราได้ สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้น เราจะเห็นมรรคความละเอียดของเราเกิดขึ้นมา แล้วพลิกขึ้นการงานได้ไม่ได้ ถ้าพลิกเป็นการงานได้ พลิกเป็นวิปัสสนาได้ มันถึงจะเป็นพุทธะไง ศาสนาพุทธเกิดจากปัญญา คำว่า “ปัญญา ๆ” นี่เราก็ว่าเราศึกษากัน การพัฒนาของใจ ครูที่เขาสอนนักเรียนน่ะ เขารู้หมดแล้ว เขาสอนทุกปี ปีนี้ชั้นนี้สอนจบไปก็ผ่านไป ครูก็ต้องสอนอยู่อย่างนั้นตลอดไป

นี่พัฒนาการของเด็ก พัฒนาของร่างกาย ร่างกายพัฒนาจากเด็กขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ แล้วพัฒนาจากพื้นฐานที่เรียนขึ้นมา วุฒิภาวะของใจมันจะพัฒนาขึ้นไป แต่ครูสอนรู้อยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รู้ธรรมอันนี้ มันก็เป็นสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว แต่พัฒนาการของเรา ถ้าเราทำบุญกุศล เราสร้างบุญกุศลของเรา ก็พัฒนาการส่วนหนึ่ง

ถ้าเราพัฒนาการของจิตขึ้นมานี่ เราศรัทธาขึ้นมานี่ เรามีความบังคับใจของเรา ถ้าเราไม่บังคับใจของเรา เราจะนั่งอยู่ที่ไหน เราจะให้กายอยู่ที่ไหนแต่หัวใจมันก็คิดออกไป หัวใจมันต้องฟุ้งออกไปตามธรรมชาติของมัน สิ่งที่ธรรมชาติของมันมันฟุ้งขนาดนั้นนี่ การปฏิบัติมันถึงดูใจไง การพัฒนาใจของเรา ดึงใจของเราเข้ามา ให้มันหยุดนิ่งให้ได้ พลังงานที่หยุดนิ่งขึ้นมาได้นี่

แล้วพอน้ำใสแล้วเห็นตัวปลานี่ เวลาสงบแล้วมันจะติดในความสงบติดในความสุขอันนี้มาก ผู้ที่มีครูบาอาจารย์มีปัญญานี่มันจะชี้เข้ามา สุขสงบอนันต์ขนาดไหนนี่ อันนี้มันแปรสภาพนะ ไม่มีสิ่งใดคงที่แน่นอน สิ่งที่สงบมันต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา พลังงานเราจะสะสมไว้ขนาดไหน พลังงานนี้ต้องแปรสภาพไป จนถึงว่ามันเป็นวิมุตติ วิมุตตินี่มันตัดออกไปเพราะสิ่งที่เสื่อมค่าไง

สิ่งที่เสื่อมค่าคือความไม่รู้ในตัวมันเอง มันไม่รักษาตัวมันเอง “อวิชชา” รู้ต่าง ๆ ทั้งหมดเลย รู้แล้วปล่อยวางขันธ์อย่างหยาบ ๆ เข้ามา รู้แล้วปล่อยวาง เห็นไหม โลกนี้เราเห็นเชื้อโรค เราเห็นอาหารที่เป็นพิษนี่เราไม่สามารถเอาเข้าร่างกายเราได้ แล้วไม่สามารถกินได้ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นโรค ความคิดที่เกาะเกี่ยวของใจเราคิดว่าเป็นงาน นี่ติดดีและชั่ว ความที่คิดเป็นความดีจิตมันกระเพื่อมออกมา สิ่งที่กระเพื่อมออกมาสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของความเวียนไป มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของโลกอยู่แล้ว

แต่ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาล่ะ สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามานี่พลังอันนี้มันประเสริฐที่สุด ถ้าประเสริฐที่สุดเข้าถึงพุทธะ เห็นไหม สิ่งที่เข้าถึงพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นต้องคว่ำทิ้งเสีย ถ้าคว่ำทิ้งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี่มันไม่มีฐานไง ฐานของผู้รู้มันก็ไม่มี ฐานของความรู้สึกต่าง ๆ มันก็มี มันเกิดที่ไหน? มันอยู่ที่ใจ

นี่พัฒนาการของจิต ถ้ามันพัฒนาการเป็นภพเป็นชาติมานะ พัฒนาการเป็นภพเป็นชาติเพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สร้างสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มา สิ่งนี้สร้างสมขึ้นมาขนาดไหน ถ้าสร้างสมขึ้นมาถึงที่สุดบารมีเต็มนี่มันจะเป็นไปได้ ถ้าบารมีไม่เต็มการประพฤติปฏิบัติมันก็ถึงไป คนเรานี่ก้าวถึงยากก้าวถึงง่าย เราเดินเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางของเรานี่ เกือบถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เราไม่เข้าจุดหมายปลายทางนั้น เราไพล่ออกไปทางอื่นเสีย นี่แล้วมันจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร

การประพฤติปฏิบัติที่ว่าเราไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีบารมี นี่ใจมันพลิกออก สิ่งที่มันพลิกออกมันพลิกออกเพราะว่าอวิชชาไม่ต้องการให้เราเข้าถึงจุดสำคัญของใจเรา จุดสำคัญของใจเพราะใจนี้หมุนไปในวัฏฏะ ในวัฏฏะในจักรวาลนี้มันเป็นไป ในจักรวาลของโลกเขา เขาว่าพระอาทิตย์นี้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

แต่จักรวาลของเรานี่ หัวใจของเรานี่มันหมุนออกไป มันเป็นสภาวะไป สิ่งนั้นมีอยู่ มันถึงเป็นวัฏฏะ มีอยู่อย่างนั้น เวลานรกเปิด คนทำบาปอกุศลไว้ นรกเปิดขึ้นมา แล้วเวลาเราทำคุณงามความดีเราพ้นจากนรกไป นรกนั้นอยู่อย่างไรล่ะ? นรกมันก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจผิด เราเข้าใจว่าสิ่งความเห็นที่ถูกต้องเป็นความผิดพลาด เราทำขนาดไหนนี่นรกเปิดตลอดเลย

แต่ถ้าเราความเห็นถูกต้อง เราพยายามเข้ามาในศีลในธรรม ถือศีลถือธรรม ถ้าถือศีลแล้วบังคับตนเองขึ้นมา ทำถึงที่สุดเข้าไปถึงกับปิดอบาย ใจดวงนี้ ศูนย์กลางจักรวาลนี้จะไม่ตกไปสิ่งนั้นเลย นี่มันหักวัฏฏะมาอย่างนั้น ปิดอบายภูมิหมายถึงว่าเข้าเห็นสลัดธรรมสักกายทิฏฐิความเห็นผิดออกไป แล้วสลัดขึ้นมาจาก ๗ ชาติ ๓ ชาติขึ้นมา จนถึงที่สุดชาตินี้ก็ต้องทำลายไป

ถ้าชาตินี้ทำลายไปนี่ทำลายศูนย์กลางของจักรวาล ศูนย์กลางของจักรวาลที่ดวงอาทิตย์นี้มันเป็นศูนย์กลางจักรวาลของพลังงานของจักรวาล แต่ศูนย์กลางของวัฏฏะมันอยู่ที่ใจของเรา วัฏฏะเป็นแบบนั้น สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิมและเป็นสภาวะของเขาแบบนั้น ถ้าเราทำลายวัฏฏะของเราแล้ว เราทำลายศูนย์กลางของเราแล้ว สิ่งนั้นจะไม่เป็นไป แล้วมันจะรู้สิ่งนั้นไปหมด มันจะกว้างขวางไปหมดสิ่งต่าง ๆ เพราะใจดวงนี้เคยเกิดเคยเห็น

เราเคยเข้าบ้านของเรา เราเคยผ่านจังหวัด ผ่านอำเภออะไรมานี่ เราจะรู้ว่าจังหวัดอำเภออยู่ที่ไหน ใจดวงนี้มันก็เคยผ่านมา แต่เราไม่เคยสามารถเข้าถึงจุดหรือข้อมูลเดิมของใจนั้น ถ้าใจเข้าถึง “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” นี่ มันจะเข้าข้อมูลเดิมของใจ มันจะไปเห็นข้อมูลเดิมของใจว่าใจดวงนี้เคยผ่านภพชาติใดมา

นี่มันเห็นสภาวะแบบนั้นแล้วมันตัดออกๆๆ มันถึงว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้าย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด จุตูปปาตญาณใจนี้ก็เกิดตายตลอดไป แล้วถึงที่สุดแล้วอาสวักขยญาณจะทำลายใจดวงนี้ ถ้าทำลายใจดวงนี้ นี่พัฒนาการของใจ พัฒนาการของเด็กจนจบ เห็นไหม เรียนจนจบแล้วก็ต้องหางานหาการทำเพื่อดำรงชีวิต

นี้ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมขนาดไหน จบตู้พระไตรปิฎกมา นั้นก็เป็นพัฒนาการของการศึกษามา แต่การประพฤติปฏิบัติ การฝึกงานฝึกของเราขึ้นมา จนเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจบจากการศึกษาแล้วเราทำการทำงานขึ้นมา ชีวิตทั้งชีวิตนะ ทำไมการประพฤติปฏิบัติเราถึงจะอยู่ในสมณเพศได้ ดูอย่างคฤหัสถ์ญาติโยมสิ ชีวิตนี้ก็ต้องเป็นไป ชีวิตนี้ยาวไกลมาก เราว่ายาวไกลมาก

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะเห็นเลยชีวิตนี้ยาวไกลขนาดไหน แล้วทั้งชีวิตนี่เราจะค้นคว้าของเราเจอไหม ถ้าเราค้นคว้าของเราเจอขึ้นมา ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ถึงจุดที่ประเสริฐจะเห็นว่าใจนี้พัฒนาไปถึงที่สุดแล้วมันจะไม่พัฒนาอีกเลย ถึงที่สุดแล้วอิ่มตัวไม่มีการพัฒนาอีกใจดวงนั้นคงที่ สิ่งที่คงที่นี่พอใจ โลกนี้พัฒนาไปเพราะมันยังเป็นความเห็นจากเปลือก

สิ่งที่เป็นเปลือกมันก็หมุนไปตามกระแสโลกนั้น มันเป็นไปอยู่แล้วเพราะมันเป็นพลังงานที่มีความว่าง มีจุดและต่อม การเคลื่อนไปของผู้รู้ ถ้าผู้รู้มีอยู่ มีความว่างไปมันเคลื่อนไป นั้นวัฏฏะเกิดจากตรงนั้น ตรงนั้นจะหมุนเวียนออกไป แต่เราย้อนกลับขึ้นมานี่ เราทำลายผู้รู้ เห็นไหม ไม่มีความว่าง ไม่มีสิ่งช่องว่างของใจที่เคลื่อนไหวไป สิ่งของใจไม่มีเคลื่อนไหวไปเพราะมันทำลายความว่าง ว่างจนถึงที่สุดแล้วมันไม่มีสิ่งต่าง ๆ ในหัวใจนั้น มันจะไม่เคลื่อนไป

นี่วัฏฏะดับตรงนี้ไง จุดของจักรวาลจะดับตรงนี้ ดับตรงในหัวใจของเรา แล้วเข้าใจ นี่การประพฤติปฏิบัติถึงว่าเป็นอนัตตา ถึงที่สุดเป็นอนัตตา การที่พัฒนาใจถึงที่สุดไม่ใช่เป็นอัตตานะ ถ้ากรรมแบบฮินดูนี่ถือเป็นสิ่งนั้นคงที่ ชีวิตนี้โดยบัญญัติมาแล้ว ชีวิตนี้ขีดเส้นมาแล้ว ของเราก็เหมือนกัน นี่กรรมให้สภาพนี้มา แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราสามารถพลิกแพลงได้ ถ้าสิ่งนั้นคงที่นี่พระอรหันต์เกิดไม่ได้หรอก เพราะใจเกิดมาจากอวิชชา แล้วจะชำระอวิชชาออกไปจากใจ มันจะเป็นไปได้อย่างไร สิ่งนี้ถ้าบัญญัติมาแล้ว

แต่ถ้าเป็นอำนาจวาสนาเต็ม นั้นเป็นบุญญาบารมี สิ่งนี้สร้างสมมานี่ สิ่งนี้ออกมาเป็นอย่างนี้เราก็ต้องทำตามอำนาจวาสนาไป แล้วเรายังมีอำนาจวาสนาเกิดมาพบพุทธศาสนา สิ่งนี้ที่เราศึกษาเราค้นคว้าไป เราจะถึงที่สุดของเราได้ ถึงที่สุดแล้วใจพัฒนาไปถึงที่สุด โลกเป็นการพัฒนาการไปของโลก ถ้าใจเราพัฒนาการของเราขึ้นมานี่ เข้าป่าเข้าเขาพยายามหาใจของเรา แล้วพัฒนาถึงที่สุด พัฒนาถึงปล่อยวางหมดสิ่งต่าง ๆ นี้ถึงเป้าหมาย เอวัง