เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ส.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความทุกข์กับความสุขมันต่างกันนะ ทุกคนต้องปรารถนาแต่ความสุข แต่ความสุขมันหาได้ที่ไหน ต่างคนต่างแสวงหากันน่ะ หาแล้วไม่สมหวัง ความสมหวังของใจ ถ้าใจสมหวังมันจะมีความสุข แล้วความปรารถนาของใจมันก็ต่างกัน

ถ้าใจของเด็กๆ ก็ปรารถนาแต่ความว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันพอใจเท่านั้นน่ะ ปรารถนาของความเป็นผู้ใหญ่ เห็นไหม การเป็นผู้ใหญ่ก็ปรารถนาแต่ความสุขที่ว่าความพอใจ ปรารถนาความสุขมันก็แล้วแต่ความชอบของใจ นี่ความชอบของใจ ใจไม่เหมือนกันถึงปรารถนาไม่เหมือนกัน ความปรารถนาไม่เหมือนกัน มันต้องดัดแปลงใจ ดัดแปลงตน

ถ้าดัดแปลงตน มันเข้าถึงความสุขของมันได้ ถ้าเข้าถึงความสุขความอันละเอียด เราไม่เข้าใจ เราแสวงหาไม่เจอ นี่ที่เราแสวงหากันอย่างนั้นเพราะเราเชื่อไง เราเชื่อธรรม ถ้าเราไม่เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราจะทำตามใจของตัวเราเอง แต่พอเราเชื่อว่าคุณงามความดีมีอยู่ นรกสวรรค์มีอยู่ สิ่งที่ความปรารถนาของเรามีอยู่ เราถึงต้องดัดแปลงตนด้วยศีลไง

ถ้ามีศีล เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีลขึ้นมาก็ดัดแปลงใจของเรา เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อธรรมที่ท่านวางไว้ แล้วเราจะเดินตามนั้น ถ้าเราเดินตามนั้น ศรัทธาความเชื่อของเรา ศรัทธาของเราเกิดขึ้นมา ถ้าศรัทธาความเชื่อของเราไม่เกิดขึ้นมา เราก็จะทำตามใจตัวของเรา แต่ทำตามใจตัวของเรามันทำถูกก็ได้ ทำผิดก็ได้ แล้วแต่อำนาจวาสนาของใจนะ ถ้าใจมันไม่ชอบมันก็ไม่ชอบอยู่อย่างนั้น มันไม่ชอบสิ่งที่ว่ามันเป็นความผิดพลาด มันก็ไม่ชอบอย่างนั้น

ศาสนามีหรือไม่มี เวลาพูดกันว่าศาสนามีหรือไม่มี เราทำความดีแล้วมันก็สมกับความจริง ถูกต้อง ทำความดีแล้วมันเป็นความดีแน่นอน ศาสนามีหรือไม่มีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ทำความดีแล้วที่ว่าเวลาไปเกิดบนสวรรค์เห็นไหม เขาไม่มีรัตนตรัย ถ้ามีรัตนตรัย มีแก้วสารพัดนึก อย่างเทวดาของเราเทวดาเลื่อนชั้นได้ เพราะอะไร? เพราะธรรมะคำสั่งสอนไง คุณงามความดีแล้วสั่งสอน

สัจธรรม เห็นไหม สัจธรรมเวลาประพฤติปฏิบัติแล้วมันได้ผลขึ้นไปตลอดไป สัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น ปัญญามันใคร่ครวญ มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ปัญญาที่ว่าเราทำตามความถูกต้องของใจจะเป็นความดี แต่ความดีของใคร? ความดีของเด็ก เห็นไหม เด็กเวลามันเล่นของมัน มันว่ามันทำถูกต้องของมัน ผู้ใหญ่นี้โมโหน่าดูเลยนะว่าเด็กมันไม่ช่วยงานไม่ช่วยการ เห็นไหม ของเขาก็ทำความดีของเขา

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นความดีของเรา เราสร้างคุณงามความดีของเรา ความดีของเรามันเป็นความดีของเราความเห็นของเรา แต่ความเห็นของเรามันจะมัชฌิมาปฏิปทาหรือไม่ นั่นน่ะเวลามันปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันจะรู้ว่า ความดีของเราถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ความดีของเรามันเข้าข้างตัวเอง ความเห็นเข้าข้างตัวเอง ถ้าเราเห็นสิ่งใดที่พอใจมันก็ว่าดี สิ่งใดไม่พอใจมันก็ว่าไม่ดี ถ้าไม่พอใจสิ่งนั้นไม่ดี

แต่หน้าที่การงานของเขา วิชาชีพของเขา คนเราแต่ละวิชาชีพความเห็นมันก็ต่างกันไป ความปรารถนาก็ต่างกันไป การสะสมของใจก็ต่างกันไป ใจในเมื่อมันต่างกันแล้ว มันจะให้เป็นความดีอันเดียวกันเป็นไปไม่ได้...หนึ่ง สอง...ความดีที่ว่าเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของใจ ใจภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานี่ ความดีมันต้องให้มัชฌิมาปฏิปทา ความดีต้องเป็นกลางไง กลางคือสิ่งที่มันเป็นกลางอยู่โดยธรรมชาติของมัน แล้วเราจะตะล่อมใจของเราให้เข้าถึงสิ่งนั้น เราต้องก้าวเดินของใจ ฝึกฝนใจตั้งแต่ตอนนี้

ฝึกฝนใจตั้งแต่ทาน ให้ทานขึ้นไปเพื่อฝึกฝนใจ ฝึกฝนใจเท่ากับนวดดิน นวดดินคือปั้นใจของเรา ใจของเรานี่ขยำให้มันพอดี ถ้าใจมันแข็งมันกระด้าง แข็งกระด้างด้วยความคิด ความคิดความอ่านของเรานี่แข็งกระด้าง มันขึ้นรูปของใจ ใจมันขึ้นรูป แขกมันจรมา มันมาชั่วครั้งชั่วคราวมันก็จรของมันมา แล้วก็สะสมลงที่ใจ จนเป็นจริตนิสัย แล้วมันเป็นความเคยใจ เพราะเราไม่เคยดัดแปลงตน

เราดัดแปลงตนคือดัดแปลงกิเลส เราจะหากิเลส เวลาเราว่ากิเลสมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีในหัวใจของเรา มันเป็นสิ่งที่ว่ามันทำให้เราเกิดเราตาย เราจะหาหน้ากิเลส เรามองไม่เห็นหน้ากิเลส เห็นไหม คนถ้ายังไม่เห็นหน้ากิเลสจะวิปัสสนาได้อย่างไร? จะใคร่ครวญได้อย่างไร? ในเมื่อเรายังจับโจรยังไม่ได้ เราจะไต่สวนว่าผิดหรือถูกได้อย่างไร? ถ้าเราจับโจรได้ เราจับผู้ผิดได้ มันถึงจะไต่สวนได้

ความเห็นกิเลส เห็นไหม ต้องทำความสงบของใจเข้าไป ใจมันสงบเข้าไปขนาดไหน มันถึงจะเห็นกิเลสของตัวเอง เห็นกิเลสเพราะว่าเวลามันทำ สิ่งใดที่เป็นความดี เราทำคุณงามความดีมันทำได้ง่ายๆ แต่เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นคุณงามความดี ทำไมเราทำของเราไม่ได้ ทำไมเราฝืนใจของเราไม่ได้

ฝืนใจตน ฝืนใจกิเลสไปก่อน ต้องฝืนกิเลสขึ้นไป ให้กิเลสมันแสดงตัวออกมา พอเห็นหน้ากิเลสขึ้นมานี่กิเลสมันอาย สิ่งที่กิเลสมันเกิดขึ้น ดับในหัวใจ มันจะอาย มันจะไม่กล้าแสดงตัวในหัวใจของเรา เพราะมันไม่กล้าแสดงตัวในหัวใจของเรา มันก็จะมีความสงบของมัน มันหลบซ่อนตัวเฉยๆ ความหลบซ่อนตัวของกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก มันหลบซ่อนตัวเพื่อมันมีอำนาจเหนือเรา นี่มันหลบซ่อนได้สองชั้น เห็นไหม ชั้นหนึ่งคือความคิดของเรา เราคิดไม่เห็น เรามองไม่เห็น เหมือนเชื้อโรค เชื้อโรคบางอย่างต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่อง

อันนี้ก็เหมือนกัน หน้าของกิเลสมันต้องใช้สัมมาสมาธิ ต้องใช้ใจเท่านั้นเข้าไปเห็นตัวมัน ถ้าใจเข้าไปเห็นตัวมัน มันจะแก้ไขดัดแปลงสิ่งตรงนั้นได้ ถ้าดัดแปลงสิ่งตรงนั้นได้ ความทุกข์มันก็จะเบาบางลงไป ความทุกข์จะเบาบางลงไปจนถึงที่สุด นี่ความสุขความปรารถนาของเราต้องปรารถนาสิ่งตรงนั้น แต่ความก้าวเดินของใจ การฝึกฝนของใจ มันถึงต้องทำลำบากลำบน มันถึงต้องมีทาน มีศีล มีภาวนาไง

ทานขึ้นมาเพื่อเรา เพื่อความฉลาดของใจ ใจมันฉลาดนะ มันยุแหย่ตลอดไป ใจของเรานี่มันจะยุแหย่ มันขี้เกียจไป มันไม่อยากทำ ถ้าสร้างคุณงามความดีมันไม่อยากทำ แต่ถ้าคิดตามใจของมันเองมันจะไปตามประสาของมัน เวลาเราทำบุญกุศล บุญกุศลสะสมมาเป็นบุญกุศลของเรานะ

แต่ทางโลกของเรา ไปเที่ยวเตร่เฮฮาตามประสาของเขานั้นเป็นความสุขของเขา ความเที่ยวเตร่เฮฮา เห็นไหม มันจะไม่ได้อะไรเลย มันจะได้แต่ความเหนื่อยยากออกไป มันได้ประสบการณ์ของใจ ไปเห็นสิ่งต่างๆ เป็นความสุขของมันพอใจของมันเท่านั้น ความเที่ยวเตร่ออกไปในโลกว่าอันนั้นเป็นสมบัติ ใจอันนั้นได้ประโยชน์ ได้พักผ่อน ความพักผ่อนของเขา

แต่ความพักผ่อนของศาสนาพุทธ ถ้าใจเราพักได้ ถ้าใจเราทำสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราได้ เราจะไม่ต้องไปหาสิ่งใดเลย แล้วมันจะแสวงหา ไม่อย่างนั้นคนบวชพระได้อย่างไร? คนจะออกประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร? เพราะเขาได้ความสุขของเขานะ ถ้าเขาได้ความสุขของเขา เขาจะมีความเจตนาอยากกระทำของเขามาก แต่ทำของเขาไปน่ะ ตัณหาความทะยานอยากมันซ้อนขึ้นไป มันก็ไม่ได้ผลของมัน ก็เบื่อหน่ายไปทีนึง เบื่อหน่ายไปทีนึง นี่มันทำยากยากอย่างนั้น ยากเพราะเป็นการคาดหมาย

นี่ความคาดหมายที่ว่าเป็นความดีๆ ไง แม้แต่จะไปเจอความดีแล้วก็ยังยึดติดความดี เห็นไหม แล้วคาดหมายความดีนั้น มันถึงไม่ได้ดีไง ถ้าทำความดีเพื่อดี ทำดีไม่ใช่ดีของเรา ความดีเพื่อดี ดีมันคือดีในตัวมันเอง มันดีในตัวมันเอง เห็นไหม เราต้องสร้างเหตุ เหตุของเราคือทำหน้าที่ของเรา การงานของเราความดีมันไปเอง กลิ่นของความดี กลิ่นของศีลมันทวนลม สิ่งที่ทวนลมไป มันทวนไปในกระแสของลมนี่ มันขจรขจายไป เห็นไหม

แม้แต่คนดีนี่ผีคุ้ม คนดีนี่เทวดาคุ้มครอง การทำสมาธิความสงบของใจ เทวดาจะคุ้มครอง เทวดาจะรู้วาระจิตของสัตว์โลกนะ ว่าจิตดวงนั้นหยาบหรือละเอียด ความคิดอันนั้นดีหรือไม่ดี เพราะมันเรื่องของใจ ภาวะของใจ ใจจะเห็นใจทั้งหมด ใจจะเข้าใจเรื่องของใจ ใจมันซุกอยู่ในร่างกายของเรา เราจะเห็นกิริยาท่าทางเท่านั้น พวกเราเห็นกิริยาท่าทางเท่านั้น แล้วก็คิดอ่านกันไปว่ามันจะเป็นความจริงที่เราคิดหรือไม่เป็นความคิด อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องหนึ่งนี่ ตาของเรามันไม่เหมือนของผู้ที่ว่าอยู่ในภพชาติต่างๆ นั้นตาใส ตาของเขาเห็นของเขาในภาวะของใจอย่างหนึ่ง แล้วตาของผู้ที่สิ้นกิเลสในหัวใจนั่น เห็นไหม ถ้าในหัวใจมันพลิกแพลงอย่างไร มันจะพลิกแพลงไปในทางของกิเลสอย่างหนึ่ง ถ้ามันพลิกแพลง ครูบาอาจารย์พลิกแพลงไปตามธรรม ถ้าพลิกแพลงไปตามธรรม มันจะเป็นไปตามธรรมของมันไป ตามธรรมมันต้องดัดแปลง ดัดแปลงจนถึงตรงนั้นได้ ถ้าเราดัดแปลงไม่ถึงตรงนั้นได้ เราต้องพยายามทำ

เพราะว่าเราเป็นโรคขึ้นมาในหัวใจน่ะ เราไปหาหมอ หมอรักษาเราได้ นี่โรคของกาย แต่โรคของใจ เห็นไหม ยาอะไรมันจะเข้าไปรักษาได้ ธรรมโอสถจะเกิดขึ้นมาจากเรา โอสถคือยา คือธรรมจะเกิดขึ้นจากการภาวนา เห็นไหม ใจสงบขึ้นมานี่มันมีอุปกรณ์ มียาส่วนหนึ่ง มียาอย่างหยาบๆ แล้วยาอย่างภาวนามยปัญญา ยาอย่างละเอียดมันจะแก้ไขใจ

เวลามันทุกข์ร้อน เวลามันเบื่อหน่าย เวลามันสมความปรารถนามันก็เบื่อหน่าย ความเบื่อหน่าย เห็นไหม ความชินชา ถ้าชินชากับสิ่งใดมันก็เบื่อหน่ายสิ่งนั้น สิ่งที่เบื่อหน่ายมันก็ไม่ต้องการ ความเบื่อหน่ายของใจ แล้วมันก็เบื่อหน่ายเรานะ จะไปข้างหน้าก็วิตกกังวลว่าข้างหน้าตายไปแล้วจะไปอย่างไร? จะไปสมความปรารถนาไหม? มันถึงต้องสะสมบุญกุศล เพื่อไปข้างหน้าให้มันมีบุญกุศล ให้มันมีหลักการของใจ ใจมันตั้งมั่นขึ้นมา

นี่บ่วงของโลกเขา เห็นไหม ในโลกของเรานี่ ในวัฏวนมันเป็นไปอย่างนั้น แล้วเราก็ไปตามวัฏวนอย่างนั้น กติกาของสังคม กติกาของอะไรนี่มันสร้างสมขึ้นมา เราจะแหกกติกาของสังคมออกไป แหกไปด้วยคุณงามความดีไง แหกออกไปด้วยความรู้สึกรู้เท่าทัน วางไว้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น กติกาสังคมของโลกเขาเป็นไป เราอยู่เฉยๆ เราไม่ใช่ไปทำลายกติกาสังคม เราทำลายความติดข้องของใจในกติกาสังคมนั้น

ถ้าเราติดข้องในกติกาสังคมนั้นนะ พระพุทธเจ้าบอกไว้ เห็นไหม สัตว์โลก สัตว์มนุษย์นึกว่าฉลาดมาก แต่เวลาสร้างขึ้นมาอยู่เป็นสังคมขึ้นมาก็ต้องสร้างกติกาขึ้นมา ไม่อิสรเสรีเหมือนสัตว์ เหมือนนกเหมือนกาเขาจะบินไปตามอำนาจของเขา เขาพอใจเขาก็จะบินไปตามประสาของเขา เขายังมีอิสระมากกว่ามนุษย์อีก แต่มนุษย์ก็ต้องใช้กติกาของสังคมเป็นเครื่องอยู่ เราอยู่กับเขาเราเข้าใจ เราไม่ทำความผิดกติกานั้น เราอยู่เฉยๆ แต่เราไม่ทำลายกติกานั้น ทำลายความติดข้องของใจ ถ้าใจไม่ติดข้องกติกาของเขา เราสร้างของเขา เราดีกว่าเขา

โลกจะตื่นไป เห็นไหม เห็นมโหรสพที่ไหน เราไปที่นั้น นี่ในนวโกวาทบอกไว้ ในเรื่องของธรรมไง ในเรื่องของธรรมคือว่าเสียงที่ไหน คือไปเราติดพันกับเขา เราติดในกติกาของสังคม เราก็ต้องโดนสังคมลากไป เราต้องอยู่กับเขาแต่เราไม่ติดกติกาของสังคม เราอยู่กับเขาแต่เราไม่เข้าไปยุ่งกับเขา นั่นน่ะเราทำลายกติกาสังคมในหัวใจ เหมือนกับเราทำลายภพชาติ ทำลายความคิดของเรา

ถ้าทำลายความคิดของเรา ความคิดมันว่างเปล่า แล้วมันจะคิดขึ้นมาใหม่ คิดขึ้นมาใหม่ด้วยสติสัมปชัญญะ ทำไมเมื่อก่อนเราไม่คิดอย่างนี้? ทำไมเดี๋ยวนี้เราคิดอย่างนี้? นี่ความคิดมันพัฒนาขึ้นไปได้ ใจของคนถึงพัฒนาขึ้นไปได้ เห็นไหม จนเป็นปุถุชน คนปุถุชนนี้คนหนาไปด้วยกิเลส คนที่ติดไปทุกอย่าง เหมือนกับสิ่งที่มันติดข้องไป เหมือนกาวมันติดข้องทุกอย่าง

เราทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้ามาจนเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นปุถุชนเหมือนกันแต่เป็นกัลยาผู้ที่พร้อมที่จะทำการงาน นี่กัลยาณปุถุชน จิตมันพัฒนาขึ้นไป แล้วจิตของเรานี่มันพัฒนาขึ้นไปจนถึงว่ามันชำระกิเลสได้ มันต้องชำระกิเลสได้เห็นไหม ชำระความเห็นผิดของใจนี้ได้ เพราะใจดวงนี้มันติดข้องได้ มันต้องชำระได้ ชำระได้ด้วยอำนาจของใจ ด้วยธรรมโอสถที่เกิดขึ้นมาจากใจ ใจมันพัฒนาขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา ธรรมโอสถมันเกิดขึ้นมา มันหาขึ้นมา มันถึงต้องสัมมาสมาธิ มันยากมันยากอย่างนั้น ยากจนเส้นผมบังภูเขา ยากจนผ้าขาวม้าโพกหัวแล้วหาไม่เจอ มันยากจนหาใจของตัวเองไม่เจอ ถ้ามันทำความสงบของใจขึ้นมามันจะหาใจของตัวเจอ ถ้าหาใจของตัวเจองานจะเกิดขึ้นมา เห็นไหม

ถ้าหาใจของตัวเองไม่เจอ มันเป็นสิ่งที่ว่าสมบัติยืม มันก็มีความสุขเหมือนกัน ความสุขที่ว่าเรารู้ว่ามียา เรารู้ว่าสิ่งนั้นมีที่แก้ไข กับคนที่เป็นโรคเป็นภัยไข้เจ็บแล้วรักษาไม่ได้ มันจะมีความทุกข์มาก แต่ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บมันก็มีความทุกข์อย่างหนึ่ง โรคหนัก โรคเบานั้นมียาแก้ไขนั้นส่วนอย่างหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราศึกษาเล่าเรียนมา เหมือนกับเรามันมียาแก้ไขอยู่ แต่ทำไมเราเอายาแก้ไขใจเราไม่ได้ นี่มันอยู่ที่วิธีการประพฤติปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ยามีอยู่ การเกิดและการตาย เกิดขึ้นมาแล้วมันต้องเกิด เกิดแล้วมันต้องตายทั้งหมด แต่ถ้าเกิดแล้วมันตายขึ้นมานี่ ไม่เกิดมันต้องมีคู่กับมันไป เห็นไหม

ยามันอยู่ตรงนี้ไง อยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่เราศึกษาเราเข้าใจแล้วมันมีอยู่ มันเป็นไปได้ สิ่งนี้เป็นไปได้เราต้องรักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเราขึ้นมานี่ เราพยายามประพฤติปฏิบัติ นี่ธรรมโอสถจะเกิดขึ้นมา มันถึงเป็นปัจจัตตังไง สิ่งนี้เกิดขึ้นจากใจ ใจนั้นพัฒนาขึ้นมาของใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นก็ใช้สิ่งนั้นชำระกิเลสของใจดวงนั้นไป มรรค ๔ ถึงเป็นผล ๔ มรรคจะมีหนึ่งเดียว

ถ้าทั่วไปเรามีมีดอยู่เล่มเดียว เราทำครัวตลอดไป จนมีดนั้นทำครัวได้กี่มื้อกี่ปี จนมีดนั้นสึกกร่อนไป นี่มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น นั่นมีดในครัวมันจะเป็นอย่างนั้น แต่ในธรรมโอสถ ในสมุจเฉทปหาน มีดในใจเวลามันทำลายตัวมันเอง มันทำลาย อย่างโสดาปัตติมรรค เห็นไหม พอมันสมุจเฉทปหานมันทำลายตัวมันเอง มีดนั้นมันก็กลืนตัวทำลายตัวมันเอง ทำลายไปพร้อมกับกิเลส มันหมดสิ้นไป ถึงต้องสร้างมรรคใหม่ขึ้นมา มรรคใหม่เกิดขึ้นมา ธรรมโอสถเกิดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เราต้องพยายามสร้างของเราขึ้นมา มันถึงเป็นการชำระใจของเรา

นี่ความสุขอย่างนี้เป็นความปรารถนาของสัตว์โลก สัตว์โลกปรารถนาสิ่งที่ยังไม่อยากพ้นจากทุกข์ ไม่ให้มันพ้นไปจากทุกข์ ไม่ให้ทุกข์ในหัวใจเลย มันต้องแก้ไขตรงนี้ ไม่อย่างนั้นจะมีทุกข์อย่างหยาบ ทุกข์อย่างกลาง ทุกข์อย่างละเอียด มันสุมขอนนะ มันสุมขอน มันเหมือนกับผู้เฒ่าผู้แก่มีความอาลัยอาวรณ์ มีความทุกข์อยู่อย่างนั้น นั่นน่ะทุกข์อย่างละเอียด

ผู้เฒ่าผู้แก่พอทำงานมาทั้งชีวิต เห็นไหม สะสมการทำงาน ชีวิต...ปัจจัยสี่เครื่องอาศัยพออาศัยอยู่ได้ แต่ทำไมหัวใจมันว้าเหว่ หัวใจมันเฉามันเศร้าหมองอยู่ในหัวใจ มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันไม่มีหลักใจ ถ้ามีหลักใจขึ้นมาแล้วหัวใจจะไม่เศร้าหมอง หัวใจจะไม่ว้าเหว่ มีธรรมโอสถเป็นเครื่องดื่มกินตลอดไป เราต้องสะสมอย่างนั้น

นี่ทาน ศีล ภาวนา เพื่อเรา ถ้ารักตัวเอง รักใจของเรา ก็ต้องสร้างคุณงามความดีของเรา เรื่องการพักผ่อนของโลกเขาเป็นพักผ่อนของโลกเขา เรื่องการพักผ่อนของใจ ใจมีเครื่องพักผ่อน แล้วมีความเป็นปัจจัตตัง รู้จากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเข้าใจตามหลักความเป็นจริง ใจดวงนั้นจะมีความสุขของใจดวงนั้นตามอัตภาพ ตามความสงบมากสงบน้อยของใจดวงนั้น แล้วก็ความสงบนั้นแก้ไขปลดเปลื้องใจได้มากได้น้อยตามแต่วุฒิภาวะของใจที่มันจะยกขึ้นได้สูงมากหรือสูงน้อย ตามแต่ใจดวงนั้น จนถึงที่สุดได้ พอถึงที่สุดได้ ตามถึงพระพุทธเจ้า ตามทันพระพุทธเจ้าไง เป็นพยานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกันหมดเลย

นั่นน่ะหัวใจที่มันหยาบๆ อย่างเรานี่มันแก้ไขได้ ไม่ใช่เรานี้ไม่มีอำนาจวาสนา ศาสนานี้ฝากเอาไว้กับพระ เรามีหน้าที่ทำบุญกุศลก็เหมือนกัน แต่เวลาเงิน เวลากองใหญ่จะเอากองใหญ่ก่อน เงินกองเล็กไม่ต้องการ ต้องเอากองใหญ่ก่อน

นี้เหมือนกัน ความสุขอันละเอียด ความสุขที่เป็นมรรคในหัวใจของเรา เราต้องปรารถนา เราต้องทำขึ้นมา ทำขึ้นมามันจะเป็นสมบัติของเราขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำขึ้นมา มันจะไม่เกิดจากเรา เกิดจากเรา อยู่กับเรา เป็นสมบัติของเรา ติดตัวเราไปตลอด ไม่ต้องตายไปแล้วให้คนอุทิศส่วนบุญกุศลให้ เราเอาของเราไปเอง เราทำของเราเองจนปัจจุบันนี้ เพราะเราเข้าใจ เราศึกษาธรรม ถึงว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิด เกิดมาในพระพุทธศาสนาแล้วได้สมกับความปรารถนาของเรา ได้บุญกุศลในศาสนานี้ เอวัง