เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

เมื่อเช้าบิณฑบาตกลับมาเจอไก่ป่า ไก่ป่าลงมาข้างล่างเลยล่ะ ถ้าป่ามันเล็กมันจะเจอสัตว์เล็ก ถ้าป่ามันใหญ่จะเจอสัตว์ใหญ่

อยู่ที่อุทัยนะ เวลาพระออกบิณฑบาต พระจะเจอเก้ง เจอกวาง เดินสวนเลย แล้วช้างมันลงมาทำลายกุฏิไปหลังหนึ่ง ช้างนี่มันลงมาเลยเห็นไหม เวลาเจอป่าใหญ่ ป่าใหญ่สัตว์ใหญ่อยู่เห็นไหม นี่ป่ามันเล็ก ป่ามันเล็ก สัตว์เล็กเห็นไหม หมาป่าเยอะ.. หมาป่าเยอะ.. หมูป่าเยอะ แล้วก็พวกสัตว์ป่า ไก่ป่า เวลาสัตว์มันอยู่ป่า มันก็ดำรงชีวิตของมัน

ถ้าเราไปอยู่ป่า ป่าเล็ก ! ป่าเล็กมันก็ได้ความสงบสงัดเล็กน้อย ถ้าป่าใหญ่มันได้ความสงบสงัดมาก ในความสงบสงัดมากคนมันอยู่ป่าใหญ่ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งในโลกนี้มันเกิดมา ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีชีวิต .. สิ่งที่มีชีวิตเราไปอยู่ในป่าในเขากัน เพื่ออะไร.. เพื่อรักษาตัวเองไง สัตว์ป่ามันอยู่ในป่านะ มันจะกินอาหารแม้แต่มื้อหนึ่ง มันแลกด้วยชีวิตของมันนะ เพราะมันต้องระวังภัยของมัน

ในห้วยขาแข้ง มันมีสัตว์ มีเสือ มีต่าง ๆ มันต้องหาอาหารของมัน พวกเก้ง พวกกวาง มันจะดำรงชีวิตของมัน มันก็ต้องระวังภัยของมัน เพราะมันต้องใช้ชีวิตมันเข้าแลกกับอาหารมื้อหนึ่ง นี่การดำรงชีวิตของสัตว์ป่า !

แต่เวลาเราเข้าไปอยู่ป่า เราไม่ใช่สัตว์ เราเข้าไปอยู่ป่านะ พอเราเข้าไปเพื่อความสงบสงัด เพื่อความสงบ เป็นสัปปายะ เป็นที่ปฏิบัติ เราอยู่ในเมืองกัน สาธารณูปโภค ไอ้สิ่งอำนวยความสะดวกมันมีมหาศาล เราเกื้อกูลกัน เราสังคมรัฐสวัสดิการต้องดูแลกัน นี่สัตว์มนุษย์ไง สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

แต่สัตว์ป่ามันอยู่ในป่า มันดำรงชีวิตของมัน ด้วยธรรมชาติของมัน ด้วยความเป็นอยู่ของมัน ถ้าเราต้องการความสงบสงัด เพื่อจะรักษาตัวของเรา เราก็เข้าไปอาศัยความสงบสงัดอย่างนั้น อาศัยสิ่งที่ว่าเป็นภัย ถ้าสิ่งที่เป็นภัย เราว่าเราเป็นภัย เช่น ถ้าเราไม่คิดถึงว่าเรากลัวสัตว์ กลัวผี อะไรต่างๆ จิตใจมันจะคิดไปตามธรรมชาติของมัน

แต่มันพอมันกลัวภัยต่าง ๆ มันจะย้อนกลับมา แล้วมันจะว้าเหว่ จะไม่มีที่พึ่ง พอไม่มีที่พึ่ง เรากำหนดพุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ ! ให้มันมีที่พึ่ง ถ้าเรามีที่พึ่งขึ้นมาได้เห็นไหม กำหนดพุทโธ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก” เป็นที่พึ่งของเรา ถ้ามีเรามีที่พึ่งของเรา จิตมันมีที่พึ่งของเรา มันมีที่อยู่อาศัย ทีนี้ถ้าจิตมันดื้อ จิตเวลามันอยู่ในสังคมเห็นไหม มันก็แล้วแต่ไปเป็นอนาถา ไม่มีผู้ดูแลเหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ

เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป แม้แต่อยู่กับเรา แต่มันหาตัวมันเองไม่ได้ เวลาเราเข้าป่าเข้าเขาไปก็เพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เพื่อเป็นประโยชน์กับเรานะ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสมันไม่กล้าทำสิ่งนั้น เพราะมันมองไปว่าเป็นความลำบากลำบน แล้วโลกวิทยาศาสตร์ โลกนี้เจริญ สิ่งที่เจริญเราศึกษาธรรมวินัยเห็นไหม

เวลาเสือ.. เวลาเราอยู่ในป่าในเขา ที่อุทัยนะ เสือมันมาร้อง.. ร้องจริงๆ ! มันร้องหาคู่ของมัน เวลาช้างมันมา มันสนุกสนานของมันนะ กุฏิของพระมันเหยียบเล่นสบายเลย นั่นน่ะมันธรรมชาติของมันเห็นไหม อันนั้นมันสัตว์จริงๆ มันถึงชีวิตนะ ถ้าผิดพลาดขึ้นไปมันก็ทำร้ายถึงชีวิต

แต่เราศึกษาธรรมะใช่ไหม เสือก็เสือกระดาษ ! ช้างก็ช้างในรูปภาพ ! มันเป็นรูปภาพไปหมดเลย แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาของครูบาอาจารย์เห็นไหม ท่านปฏิบัติของท่านมา ท่านเห็นเสือของท่านจริงๆ ท่านเห็นช้างของท่านจริงๆ ท่านเห็นกิเลสของท่านจริงๆ ท่านผจญภัยกับสัตว์ร้ายในวัฏฏะ สัตว์ร้ายนี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจจริงๆ

พวกเราก็ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า พวกเราศึกษาธรรมของครูบาอาจารย์ กิเลสเป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น.. ก็ไปเที่ยวเขาดินกันไง ไปดูสัตว์ในกรง โอ้.. เสืออยู่ในกรง โอ๋ย.. สบาย มันไม่กัดหรอก ช้างก็ช้างเขาผูกเชือกไว้ มันไม่ทำอะไรหรอกเห็นไหม มันไม่เป็นความจริงไง แต่ถ้าเป็นความจริงของเรา มันจะเกิดกับเรา มันจะรู้กับเรา

ถ้าเป็นความจริงของเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาไปอยู่ในป่าในเขา ดูสิ พระเราธุดงค์ไป บางคน.. ด้วยอำนาจวาสนาของคน บางคนก็ไม่เคยเจอสัตว์ใหญ่เลย ไม่เคยเจอสัตว์ที่มันกินมนุษย์เป็นอาหาร มันก็ไม่ตกอกตกใจ

แต่ถ้าสร้างบารมีมา เวลาเสือมันมา เสือโดยเสือ เสือจริงๆ เสือจริงๆ มาก็อย่างหนึ่ง เสือเทพมาก็อย่างหนึ่ง เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีวาสนาบารมี ถ้าเสือเทพ.. เสือเทพตัวมันใหญ่โตผิดธรรมดา แล้วกิริยาท่าทางของมันผิดธรรมดา ถ้าผิดธรรมดาเห็นไหม เพราะอะไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก เวลาเห็นเสือนะ “เสือ !ให้ไปหาอยู่หากิน” เห็นไหม หอนขึ้นมาเลย แต่เราบอกว่า “จะอยู่รักษาก็ได้” นี่ความคิดๆ ในใจ ทำไมมันรู้ล่ะ ทำไมมันสัมผัสได้ ถ้ามันไม่รู้ทำไมกิริยามันตอบรับล่ะ

ดูสิ เวลาเราเลี้ยงสุนัขเห็นไหม สุนัขเราพูดกับมันรู้เรื่อง เรารักษามันได้ นี่ก็เหมือนกัน สัตว์ป่า ! ทำไมเราพูดกับมันรู้เรื่องล่ะ รู้เรื่องเพราะเหตุใด นี่ไง เวลาสัตว์มาเห็นไหม นี่พูดถึงอยู่ป่าอยู่เขา ที่เป็นสัปปายะ !

หลวงตาท่านบอกเลย “ถ้ามันมีป่ามีเขาอยู่ พระเราก็ยังมีพระอยู่ ถ้าป่าเขาหมดพระเราก็หมดเหมือนกัน” เพราะเป็นที่ชัยภูมิ เป็นที่ฝึกซ้อม เป็นที่ฝึกหัดตัวเองขึ้นมา นี่ไง เรามาอยู่ป่าอยู่เขากันเพื่ออะไร ก็เพื่อความสงบสงัด ไม่ใช่อยู่ป่าอยู่เขาเพื่อความสะดวกสบายนะ ความสะดวกสบายนี่มันก็สะดวกสบาย แต่กิเลสมันตัวใหญ่ ๆ แต่ถ้ามันตัดทอนมาเห็นไหม ด้วยข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราจะดูแลรักษามัน เราต่อสู้กับมัน เอาชนะความคิดของตัวเห็นไหม

ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ความคิดในหัวใจของเรา เวลาคนอื่นหลอกมันก็หลอกกันได้นะ เวลาคนอื่นหลอกเรา เราเสียอกเสียใจนะ เวลาเราหลอกเราเห็นไหม ดูสิ ทุกคนตั้งใจเวลาประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจทำดีทั้งนั้นน่ะ เราตั้งกติกากันเลย เรามีข้อวัตรปฏิบัติ สัจจะเรามีเลย แล้วมันก็หลอกเราไปนะ

พอคุ้นชินกับมันไปนะ อย่างนั้นก็ได้.. อย่างนี้ก็ได้.. ผ่อนปรนไปเรื่อย.. ผ่อนปรนไปเรื่อยเห็นไหม นี่ไง หนาวนักก็อ้างว่าหนาวนักไม่ทำงาน ! ร้อนนักก็อ้างว่าร้อนนักไม่ทำงาน ! ฝนตกก็อ้างว่าฝนตกไม่ทำงาน ! อ้างเล่ห์ไปหมดเลย !!

นี่ไง อ้างเล่ห์ไปหมดเพราะอะไร เพราะมันเป็นความทุกข์ความลำบากของเราใช่ไหม เวลาคนอื่น คนนั้นผิดอย่างนั้นไม่ได้ คนนี้ผิดอย่างนี้ไม่ได้ แต่เวลาเราก็อ้างเล่ห์ไปเลย ขอออกไปช่องนี้ ขอออกไปช่องนี้ ขอมันไปเรื่อย ๆ เบี่ยงมันไปเรื่อย ๆ เห็นไหม ฉะนั้น ถ้าเราเข้าไปอยู่ป่าอยู่เขามันเบี่ยงไม่ได้ เวลาเราเจอภัยร้ายขึ้นมา มันเจอจริง ๆ นะ ผิดพลาดก็ชีวิตทั้งนั้นล่ะ ผิดพลาดมันก็เอาชีวิตเราไปเลย

เวลาปฏิบัติกัน ครูบาอาจารย์เวลาท่านเข้าป่าเข้าเขาไป ท่านก็บอกว่า “ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันก็เสียสละ.. เสียสละเลย ! ถ้ามันไม่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน มันทำอะไรเราไม่ได้ ! ” แต่คำว่าเสียสละนี่มันเป็นความคิดนะ

แต่ถ้ากิเลสมันจะวิ่งหนี มันจะลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปไกลๆ เลย เสียสละ ! เสียสละ ! ออกป่าไปเลย ถ้าเราบังคับตัวเราได้เห็นไหม ความรู้สึกของเรา ความเห็นของเรา เราไปอยู่ป่าอยู่เขา ป่าใหญ่ ป่าใหญ่หมายถึงว่ามันมีสัตว์ใหญ่ ป่าเล็กก็มีสัตว์เล็ก

เรามาอยู่ในสำนักปฏิบัติก็เหมือนกัน เราก็สมมุติเอา ธรรมวินัยเป็นสมมุติบัญญัติทั้งนั้นน่ะ มันสมมุติเอาเห็นไหม สมมุติว่าเราอยู่ป่า “ธุดงควัตร” อยู่ใน อัพโภกาสิกังคะ อยู่ในที่โล่งแจ้ง อยู่ในที่ต่างๆ เราล้อมด้วยผ้า นี่มันเป็นธุดงค์ข้อหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอากาศมันถ่ายเท ทั้งๆ ที่อากาศมันร้อนใช่ไหม อากาศที่ร้อนที่อื่นเขาจะอบอ้าวมากกว่า แต่อากาศของเรามันจะมีอากาศถ่ายเทได้ดีกว่า มันสมมุติขึ้นมาเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ถ้าเราทำตามธรรมวินัยนั้น ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตนะ ไม่ใช่ด้วยเล่ห์กล กิเลสนะไม่ใช่ด้วยเล่ห์กล ยิ่งศึกษามากยิ่งรู้มาก ยิ่งประพฤติปฏิบัติ ..พระที่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมจะไม่มีปัญญาอำนวยความสะดวกให้ตัวเองมากมายขนาดนั้น

ครูบาอาจารย์ของเรานะ โธ่ ! บาตรทองคำยังเอาได้เลย ! จะเอาอะไรก็ได้ถ้ามีคนเชื่อถือศรัทธา จะเอาอะไรก็ได้ แต่ทำไมไม่เอา ! มันเอาขึ้นมา มันเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม ถ้ามันเอาขึ้นมา มันเหยียบย่ำจิตใจของเราเอง มันได้วัตถุขึ้นมา ก็เหยียบย่ำหัวใจให้เราต่ำต้อยลงไป

แต่ถ้าเราเสียสละมันขึ้นมาเห็นไหม เราเสียสละธรรม เราได้ธรรมะ ได้ข้อปฏิบัติ ได้ศีลได้ธรรมขึ้นมา เราเสียสละมันออกไป แต่หัวใจเราประเสริฐขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ เวลาโยมมาถวายทาน สิ่งที่เอามานี่มันของไม่ดีใช่ไหม ? มันก็ของดีทั้งนั้นน่ะ

ทำไมเขาเสียสละได้ หัวดำๆ เขายังสละได้ ไอ้หัวโล้นๆ ไปติดอะไร ! ไอ้หัวโล้นๆ หัวที่ผู้เสียสละ คือเสียสละกิเลสในหัวใจ ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งต่างๆ มันจะเสียสละอะไรขึ้นมา

ถ้าเสียสละขึ้นมา สิ่งนั้นมันก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น ถ้าเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น ใช่ ! ผู้ที่มีศรัทธามีความเชื่อใช่ไหม เขามีความเชื่อศรัทธาในครูบาอาจารย์ เวลาเสียสละสิ่งใดก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีเลิศกับเราเท่านั้น เพื่อเสียสละให้ครูบาอาจารย์ สิ่งต่างๆ เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นเพื่อเป็นบุญกุศลของเขา

เวลาพระผู้ที่มีเมตตาธรรม.. เมตตาธรรม.. เวลาฉลองศรัทธาเขา ศรัทธาเขามีขนาดไหน เราก็ฉลองศรัทธาเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะฉลองให้ได้ทั้งหมดเห็นไหม มันก็จะแล้วแต่กาลเทศะ สมควรและไม่สมควรแค่ใด ถ้าความสมควรเห็นไหม มันต้องฝึกขึ้นมาไง ครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำนะ “พระก็ต้องได้ของพระ ! โยมก็ต้องได้ของโยม ! ผู้ปฏิบัติก็ต้องได้ของผู้ปฏิบัติ ! ” ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกัน เป้าหมายให้ไปถึงที่สุดแห่งทุกข์เหมือนกัน

ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ ทางของภิกษุ ทางของนักรบ ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง กว้างขวางเพราะเหตุใด พอฉันข้าวเสร็จแล้ว หัวหน้าก็รับหน้าที่ไป ไอ้พระที่ปฏิบัติมีโอกาสแล้ว ๒๔ ชั่วโมงกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงมีโอกาสตลอด ภาวนา ๒๔ ชั่วโมงเลย

อย่างเราคฤหัสถ์มีโอกาสไหม ? เราก็มีหน้าที่การงานของเราใช่ไหม ? เวลาหัวค่ำขึ้นมาก็จะนั่งสมาธิ พรุ่งนี้ตี ๔ ก็จะนั่งอีกหน่อยหนึ่ง แล้วกลางวันก็ไปทำของเรา คับแคบเพราะความรับผิดชอบของเราเองไง

เพราะหน้าที่รับผิดชอบของเราเองมาดึงเวลาของเราไป มันไม่ได้คับแคบ เพราะ โอ้โหย.. พระพุทธเจ้าหรือสัจธรรมมันรังแก.. แบ่งแยก.. ให้ลำเอียงเข้าข้างโน้นข้างนี้ ไม่ใช่ ! มันเป็นหน้าที่ของคน มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละชีวิต ถ้าชีวิตเขามีรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากน้อยแค่ไหน เราก็ทำของเรามากน้อยแค่นั้น

แต่นี้เวลาบวชเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติแล้ว ๒๔ ชั่วโมงแล้วทำได้ไหม ๒๔ ชั่วโมงทำอะไรก็ “โอ้โฮ.. ที่นี่ดี ทุกอย่างดีไปหมดเลย เสียอย่างเดียวน่ะ เวลาเหลือมากเกินไป” เวลาเราไปวัดที่เขามีการมีงานขึ้นไป เราก็ว่า “โอ๋ย.. ที่นี่วัดนี้ไม่ดีเลย ทำแต่งาน ไม่มีอะไรให้ปฏิบัติเลย”

มันไม่พอดีกับตัวเองเลย จิตของเรามันไม่พอดีกับเราเองทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยาก คำว่าตัณหามันล้นฝั่ง มันล้นฝั่ง มันทุกอย่าง “ตัณหา” คือ ความอยาก แล้วมันอยากในอะไรล่ะ มันต้องการในอะไร มันก็ต้องการโดยตามกิเลสของมัน อะไรที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติ อะไรที่เป็นสัจธรรม อะไรที่เราจะแลกเปลี่ยนกับมัน “แลกเปลี่ยน” หมายถึงว่าต่อสู้เพื่อด้วยสัจจะ ด้วยปัญญา ด้วยหาเหตุหาผลที่เหนือความต้องการของมัน สิ่งนี้คือข้อวัตรปฏิบัติ

แต่เวลาตัณหาล้นฝั่ง มันอ้างไปหมด อ้างเล่ห์ไปหมด อ้างทุกๆ อย่าง ทุกๆ อย่างที่ว่าเป็นประโยชน์กับสัจธรรม แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับกิเลส กิเลสมันอ้างเล่ห์ไปหมดเห็นไหม ถึงบอกว่าถ้ามันขัดข้องใจทุกเรื่อง ! ทุกเรื่องที่มันมีปัญหาใจ มันก็ขัดแย้งไปหมดล่ะ

แต่ถ้าเรามีสัจจะความจริงต่อสู้กับมัน ถ้ามันสงบได้ ทุกเรื่องก็สงบหมดเหมือนกัน ทุกเรื่องมันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของจิต จิตไม่ได้ต้องการอะไร จิตต้องการความสงบเท่านั้น จิตมันต้องการความสงบ แต่ความสงบนี่หามาได้จากไหน มันจะหามาไม่ได้ เราถึงต้องอาศัยสัปปายะ

ดูสิ อยู่ป่าอยู่เขาขึ้นมา เขาบอกว่า “ปฏิบัติทำไมต้องมาอยู่ป่าอยู่เขาล่ะ ที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ปฏิบัติได้” ใช่ ! มันปฏิบัติได้ แต่เหมือนคนเป็นเชื้อโรค เรานี่เป็นโรคมากเลย เราต้องการทำการผ่าตัด เราจะผ่าตัดท่ามกลางตรงนี้ เพราะตรงนี้มันผ่าตัด ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องเป็นห้องที่เขาต้องฆ่าเชื้อ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเราผ่าตัดที่ไหน ถ้าเครื่องมือผ่าตัดมันไม่ได้อบ ไม่ได้ทำความสะอาด มันก็ติดเชื้อไปหมด นี่เหมือนกัน เราไปปฏิบัติในที่ไหนก็ปฏิบัติได้ รูป รส กลิ่น เสียง มันกระทบไปหมด มันมีแต่เชื้อ มันมีแต่สิ่งเร้า มันมีแต่สิ่งที่เป็นของแสลงกับธรรมทั้งนั้นเลย แต่ไปถูกกับกิเลสหมดเลย แล้วบอกเราก็ปฏิบัติได้ ! เราก็ปฏิบัติได้ ! ทั้งที่เราไปเข้าห้องผ่าตัด เขาฆ่าเชื้อโรคแล้วนะ มันยังติดเชื้ออีก

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าป่าเข้าเขา เราก็จะฆ่าเชื้อ ฆ่าสิ่งที่มันสิ่งเร้าไง สิ่งที่มันเร้าหัวใจเรา เราจะแยกออกจากมันไป แต่พอแยกออกจากมันไป โอ๋ย.. ไม่สู้โรค.. ต้องปฏิบัติ.. ทำไมไม่อยู่.. ไอ้ปฏิบัติอย่างนั้นมันปฏิบัติเป็นพิธี ปฏิบัติพอเอาศักยภาพว่าได้ปฏิบัติเท่านั้นล่ะ

พอปฏิบัติแล้วก็ “ฉันเป็นคนดี ! ฉันเป็นคนดี ! ” ถามใจตัวเองว่า “ดีจริงหรือเปล่า ! ในหัวใจมันเป็นจริงไหม” ถ้ามันไม่เป็นจริง ไม่เป็นจริงเพราะเหตุใด เพราะเสือก็เป็นเสือกระดาษ ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ในกระดาษ ถ้าเป็นสัตว์ก็สัตว์ในกรง

ถ้าไปเห็นของครูบาอาจารย์ ก็ของตัวเองมันไม่เห็น ถ้าของตัวเห็นเห็นไหม เราเข้าป่าเข้าเขา มันไม่มีสิ่งใดบังไว้เลยนะ เสือมันเจอหน้ามันตะปบเลย ! มันเอาเป็นเหยื่อเลย ! ถ้ามันเจอมันเจออย่างนั้น

นี่เหมือนกัน ถ้าเราไปเจอกิเลสเราเอง แล้วเจอในสภาพแบบนั้น ถ้าเจอสภาพแบบนั้นนี่ “ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” มันจะเจอของมันเอง มันจะต่อสู้กับมันเองนะ มันจะเป็นความจริงของมันเอง แล้วมันจะเห็นโทษจริงๆ !! พอเห็นโทษจริงๆ มันก็เห็น..

หลวงตาท่านพูดเลย “เวลาเราปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ใครจะรู้ได้หนอ..” ก็เรามาจากข้อวัตรไง พอเห็นโทษจริงๆ เราจับมันได้ เราฆ่ามันได้ มันได้เพราะเหตุใด มันได้เพราะเรามีสติของเรา มีความจริงจังของเรา

ไอ้ที่เด็กมันเล่นขายของนั้นน่ะ มันเรื่องเด็กเล่นขายของ มันเป็นเรื่องมารยาสาไถย ไอ้เรื่องความจริงที่เราประสบมาแล้ว มันต้องประสบอย่างนี้ แล้วคนอื่นจะประสบต้องประสบอย่างนี้ !! ถ้าประสบอย่างนี้เห็นไหม มันก็จะพยายามชี้นำเข้ามา ครูบาอาจารย์ถึงชี้นำเรามาเพื่อเป็นประโยชน์กับเรานะ

มันไปเห็นน่ะ เดินกลับมาเห็นไก่ โอ้โฮ.. ไก่ป่าเห็นไหม เราไม่ต้องการแต่มันลงมา เพราะมันมาก มันต้องแย่งที่อาศัยกัน มันลงมาถึงกลางวัดเลย มาหาอาหารของมัน เราบอก “เห็นไหม ขนาดไม่ต้องการ” เพราะเขาจะเอาไก่ เอานกยูง อะไรมาปล่อยเยอะแยะเลย เราบอก “ไม่เอา ! มันเป็นภาระกับพระ”

แต่นี่มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะมันเข้ามาอยู่เอง มันปฏิเสธไม่ได้ ไก่ป่ามันไม่อยากให้คนเห็นหลอก แต่เพราะที่อยู่ของมันน้อยเข้ามา มันก็ต้องขยายออกมา สัตว์ป่าก็เหมือนกัน สัตว์ป่าเห็นไหม เวลามันปลอดภัยขึ้นมา มันอาศัยวัด อาศัยต่าง ๆ ทั้งช้าง ทั้งเสือ ทั้งเก้ง ทั้งกวาง เต็มไปหมดนะ เพราะมันไว้ใจคนได้

แต่ถ้าเป็นฆราวาสล่ะ.. ถ้าเป็นนายพรานมันกล้ามาไหม.. ชีวิตมันทั้งนั้นนะ มันเสียหายหมดนะ เห็นไหม จิตใจของสัตว์โลก มันรู้ของมัน อะไรเป็นภัยและไม่เป็นภัย แล้วเราย้อนกลับมาเรา

เราเป็นมนุษย์นะ เราควรรู้อะไรเป็นภัยและไม่เป็นภัย อะไรเป็นคุณงามความดีของเรา สัตว์ยังมีความคิด สัตว์ยังเอาชีวิตรอดของมัน แล้วเราเป็นมนุษย์แท้ ๆ ทำไมไม่เอาชีวิตเรารอด ทำไมไม่เอาสิ่งความดีกับเรา เราต้องตั้งใจกับเรา จะทุกข์ยากขนาดไหน ก็ต้องสู้เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง