เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันแรงงาน เป็นวันสร้างชาติ แรงงานมันเกิดจากกรรมกร การก่อสร้าง การสร้างชาติ แต่แรงงานมันมีค่าแรงงานไง เวลาทางคอมมิวนิสต์นะ เขาบอกว่าเป็นแรงงานทางสมอง ผู้บริหารใช้แรงงานทางสมองจะมีค่าตอบแทนสูงกว่าแรงงานที่ใช้กำลัง เพราะฉะนั้นแรงงานทางสมอง คอมมิวนิสต์เขายังคิดได้เลย
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม วันแรงงาน ทางโลก ทางยูเอ็น เขาพึ่งจะมาตั้งกฎ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม วันโกนวันพระ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้ามองทะลุไง
วันแรงงานเป็นเรื่องของโลก เรื่องของวัตถุ เรื่องของสสาร เรื่องของการจับต้องได้ แต่แรงงานของใจไง ถ้าแรงงานของใจ เห็นไหม ใจมันสร้างและพัฒนาแรงงานของมันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพัฒนามา เห็นไหม พระโพธิสัตว์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้พยากรณ์ ก็เป็นปุถุชน
พระโพธิสัตว์ทำฌานโลกีย์ พยายามสร้างบารมี สร้างการช่วยเหลือการเจือจาน แต่ถ้ายังไม่ได้พยากรณ์ มันก็เป็นโลก เป็นโลกียะ นี้เป็นฌานสมาบัติ มันเจริญแล้วเสื่อม.. เจริญแล้วเสื่อม
ถ้าพระพุทธภูมิ ถ้ายังห่างไกลอยู่ การพยากรณ์ การช่วยเหลือมันจะมีผลน้อย แต่ถ้ายิ่งใกล้ชิดเข้าไป คือการสร้างบุญญาธิการมาก ความแม่นยำของการพยากรณ์ ความแม่นยำของการดูกรรม มันจะละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่คือ พระโพธิสัตว์
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การสร้างแรงงานของใจ เห็นไหม เราทำบุญกุศลมันเป็นการตกผลึกลงที่ใจ นี่มันเป็นแรงงานของใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันโกนวันพระ เห็นไหม
วันโกนวันพระ วันพระเล็กมันเป็นวัน ๘ ค่ำ เวลาผู้ที่จะจำศีล อุโบสถศีล ศีลปกติ ศีล ๘ กับศีลอุโบสถ คือ ศีลอันเดียวกัน แต่ศีล ๘ คือศีลที่เราถือศีล ๘ ศีลอุโบสถ อุโบสถศีลเช้าอุโบสถ ในพระไตรปิฎกถ้าวันพระเล็ก ลูกน้องของพระอินท์จะมาจดชื่อ มาดูการจำศีล แต่ถ้าเป็นวัน ๑๕ ค่ำ พระอินท์มาเอง นี่แม้แต่อุโบสถเล็ก อุโบสถใหญ่มันก็แตกต่างกัน ความแตกต่างกัน มันก็เป็นการพัฒนาการของใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในโลกสาม การเวียนตายเวียนเกิดของจิต มันจะเกี่ยวเนื่องกัน
เราจะบอกว่า วันแรงงาน.. วันแรงงานของโลก เราเห็นว่าเป็นการสร้างวัตถุ การสร้างปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก มันเกิดขึ้นมาจากแรงงานของเรา ทั้งแรงงานใจ แรงงานกายและแรงงานสมอง เวลาแรงงานสมอง เห็นไหม คอมมิวนิสต์เขาปฏิเสธจิต เขาปฏิเสธเรื่องศาสนา เขาจะบอกว่าแรงงานสมอง
แต่แรงงานสมองในพระพุทธศาสนา สมองทำงานได้ไหม นี่เขาทำการวิจัยนะ ว่าสมองคิดได้อย่างไร สมองทำงานได้อย่างไร สมองมันก็เป็นสสารนะ มันต้องมีพลังงานเห็นไหม พลังงานของสมอง แต่พลังงานมันต้องมาจากจิต แต่เขาปฏิเสธเรื่องศาสนา ศาสนาสอนเรื่องความรู้สึก สอนเรื่องของจิต
ถ้าเรื่องของจิต เราเกิดมาก็มีหน้าที่การงานของคนที่แตกต่างกันไป ถ้าวันแรงงานเราก็ทำงานของเรา ถ้าคนทำงานนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าคนขยันหมั่นเพียรในทางโลก ถ้าพูดถึงบวชหรือประพฤติปฏิบัติ ความขยันหมั่นเพียรอันนั้น มันเป็นจริตนิสัยขึ้นมา
การประพฤติปฏิบัติ มันก็มีช่อง มีทางขึ้นไป แต่ถ้าทางโลกล้มลุกคลุกคลานนะ เวลาปฏิบัติมันก็ล้มลุกคุกคลาน นี่พูดถึงการพิสูจน์ทางสถิตินะ แต่ถ้าเวลาพูดถึงเรื่องของเวรเรื่องของกรรม มันก็ลึกไปอีกชั้นหนึ่ง
เรื่องของเวรเรื่องของกรรม พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม เตี้ยค่อมก็มี รูปร่างแคระแกรนก็มี สิ่งต่างๆ พูดถึงบุญกุศล ถ้าบุญกุศล ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาการ ๓๒ สิ่งต่างๆที่แสดงออก เรื่องการบุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนันทะเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก นี่พูดถึงเรื่องบุญกุศล บุญกุศลพาเกิดและพาตาย
แรงงานของใจ เราจะสร้างแรงงานของเรา เราจะสร้างบุญกุศลของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา นี้มันเป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะ คือ การเวียนตายเวียนเกิด ผลบุญผลกรรมจะส่งเสริมไป แต่เราเกิดในพระพุทธศาสนา อริยสัจ เห็นไหม
ถ้าแรงงานในปัจจุบันนี้ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา ในปัจจุบัน ถ้ามรรคญาณเข้ามา นี้คือ มรรคญาณ ญาณหยั่งทราบ ญาณหยั่งรู้ของจิต ถ้าญาณหยั่งรู้ของจิต มันชำระล้างของจิต
แรงงานในปัจจุบันนี้เห็นไหม มันได้มาได้อย่างไร มันได้มาด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำนะ นี่งานทางโลก เขาว่าทำงานแล้วอาบเหงื่อต่างน้ำ มันมีความทุกข์ยากมาก
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เวลานั่งสมาธิภาวนา เวลาอากาศมันร้อน อาบเหงื่อต่างน้ำไหม เดินจงกรมทั้งวัน อ่อนเพลียอ่อนล้าไปหมดนะ นี่สิ่งแวดล้อมของกายกับของใจ ในเมื่อมันมีกายกับใจ กายเคลื่อนไหวเพื่อให้จิตมันนิ่ง ถ้ากายเคลื่อนไหวให้จิตมันนิ่ง การเดินจงกรมเห็นไหม กายเคลื่อนไหวไป ถ้ากายเคลื่อนไหวแล้วมันมีสติปัญญาขึ้นมา นี่มันจะย้อนกลับมา
ย้อนกลับมา ในภาคปริยัติ คือการศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แรงงานสมอง แรงงานสมองจำได้หมด พุทธพจน์นี่จำได้หมดเลย แต่พุทธพจน์จำได้หมด มันก็ลังเลสงสัย ยิ่งประพฤติปฏิบัติไปนะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ยิ่งพอลังเลสงสัย เพราะลังเลสงสัยนะ มันจะเป็นอย่างนั้นไหมนะ เพราะอะไร เพราะความรู้สึกอันหนึ่ง
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติบอกว่า เขาว่ามีความสุข... ความสุข... ความสุขมันเป็นอย่างไรหนอ... เพราะว่าเขายังไม่เข้าถึงตัวจิต พอเวลาคนที่เข้าถึงตัวจิต มันมีความสุขมาก พอมันมีความสุขมาก แล้วเวลามันเสื่อมไป ความสุขนี้มันเจือจางไป... เจือจางไป... มันเจือจางไปตลอดเวลา ความสุขทำไมมันค่อยเจือจางไปล่ะ มันก็เหมือนกับการที่เราพบเห็นสิ่งใดทีแรก มันก็จะดูดดื่มฝังใจ แต่มันจะเจือจางไปเห็นไหม เช่น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์
เวลามันเกิดปีติ มีความสุขของมันเห็นไหม ความสุขอันนั้น ปีติมันเกิดบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถ้าบ่อยครั้งเข้า ถ้าเราตั้งสติของเรา แล้วเรารักษาของเรา ปีติเห็นไหม ขนาดรู้วาระจิตก็เป็นปีตินะ เวลารู้วาระจิตต่างๆ รู้เรื่องต่างๆ มันเป็นเรื่องของปีตินะ ปีติมันกว้างขวางมาก ปีติของคนเล็กน้อย ปีติของคนกระทบมาก มันก็เหมือนกับคนเรานี่มีสมบัติมากหรือมีสมบัติน้อย คำว่าสมบัตินี้ เราวัดได้ด้วยทางสถิติ ด้วยการคำนวณ
แต่เวลาบุญกุศล มันวัดได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ วัดได้ด้วยความรู้ฟังหยั่งทราบของจิตแต่ละดวงที่ต่างกัน เวลาเกิดอภิญญา เวลารู้ ฟังเสียง ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ คำว่า ทิพย์ มันมองได้ใกล้ได้ไกลแตกต่างกันอย่างไร มันก็มีระดับของมัน
เอตทัคคะ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่เลิศทางนั้น แต่ผู้ที่ไม่เลิศล่ะ ผู้ที่ปานกลางล่ะ ผู้ที่มีน้อยกว่าล่ะ มันก็มีได้เหมือนกัน เห็นไหม นี่การมีอย่างนี้มันก็มีแตกต่างกันไป แตกต่างกันแล้วเกิดจากอะไร เกิดจากการกระทำของเรานี่
ทีนี้พอเวลาเราทำจิตสงบขึ้นมาแล้ว มันเกิดปีตินะ ปีติสุข ปีติสุขนี้เรารักษาของเรา รักษาของเราเพื่อเรานะ รักษาเราเพื่อเรา เพราะรักษาไว้ การชำนาญในวสี ในการกระทำ เราทำบุญกุศล นี่บุญกุศลเกิดมาอย่างไร บุญกุศลเกิดจากการนึกเอาได้ไหม การนึกเอามันเป็นตัณหาความทะยานอยากนะ
แต่เวลาเดินจงกรม ถ้าจิตมันสงบ ไม่ใช่เป็นการนึกเอา มันเป็นของมันเอง แต่การนึกเอาไม่ได้ แม้แต่การทำทาน เรานึกว่าจะเสียสละทานได้ไหม ถ้าเราไม่ได้เสียสละให้เขา เห็นไหม การทำทาน แม้แต่การหลีกทางให้ การให้ทางกันนี่ก็เป็นบุญนะ นี่เดินสวนกัน แล้วหลบให้เขานี่บุญเกิดแล้ว เพราะเราให้โอกาสให้ความสะดวกแก่เขา นี้เป็นบุญถ้าเราฉลาดเรารู้ของเรานะ มันจะเกิดตลอดเวลา
ดูสิ คนโบราณเขาตั้งโถน้ำไว้หน้าบ้าน เพื่อให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเขาได้ดื่มน้ำของเขา นี่บุญกุศลเกิดได้ทั้งนั้นนะ ในปัจจุบันนี้ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา มีการเสียสละ มีการอำนวยความสะดวก มีการเสียสละต่อกัน
การสละเพื่ออะไร เพื่อประโยชน์กับเราทั้งนั้นล่ะ เขาได้อาศัยวัตถุปัจจัยสิ่งนั้น แต่เราได้บุญกุศลของเรา เราได้ความชุ่มชื่น เวลาเราหิวกระหาย เราได้ดื่มน้ำขึ้นมานี้ เรามีความสดชื่นขึ้นมา อันนั้น มันเป็นความสุขไหม นี่มันเป็นความสุข เราเปรียบเทียบได้ไง ถ้าเราให้ความสุขคนอื่น เห็นไหม เราเป็นผู้ให้
นี่ก็เหมือนกัน การเสียสละทาน เราต้องมีการกระทำเห็นไหม ทานมันจะเกิดขึ้นมาจากเรานึกคิดได้ไหม เรานึกคิดสิ่งนี้ไม่ได้เลย การนึกคิดมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ มันเป็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันมีธรรมชาติของมัน
แต่คิดแต่งเรื่องอะไร คิดแต่งนี่ มันสถานะที่เราได้มา เช่น เราได้มือมา มนุษย์มีแขนมา แขนทำอะไรก็ได้ ถ้าแขนมันไม่ทำอะไร แขนมันก็เป็นแขนของมันอยู่อย่างนั้นนะ แขนของเรา เห็นไหม เท้าเราเดินไป แขนของเราทำงานเป็นประโยชน์ขึ้นมา
จิตมันก็เหมือนมือนี่ล่ะ มันไม่ทำงานอะไรเลย มันนึกเอาเฉยๆ แต่มันไม่แสดงออกสิ่งใด มันจะเป็นประโยชน์สิ่งใดกับมัน ฉะนั้นเวลาเราเริ่มภาวนาขึ้นมา เราตั้งสติขึ้นมานี่ เราบังคับนะ มือนี้เราสั่งให้มือหยิบของ มือหยิบอะไรก็ได้ เราสั่งให้มันหยิบ
นี่ก็เหมือนกัน สติสั่งให้จิตไม่ให้คิด ! สติสั่งให้จิตตั้งมั่น ! แล้วมันเป็นอย่างนั้นไหม มันไม่เป็นเพราะอะไร เพราะมือนี่ มันโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ เส้นประสาทต่างๆ มันสั่งได้ สมองมันสั่ง ซีกซ้าย ซีกขวา มันสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวไป มันมีความคิดขึ้นมา สมองซีกไหนมันจะใช้ของมัน สติมันบังคับให้จิตหยุดนี่ มันหยุดไหม แล้วเวลาปัญญาที่จะเกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้ามันไม่ออกฝึกฝนขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เห็นไหม นี่มันไม่ใช่นึกเอา มันต้องมีการกระทำ มรรคญาณมันจะเกิดขึ้นมา สติปัญญามันเกิดขึ้นมานี่
สติไม่ใช่จิต สมาธิไม่ใช่จิต ปัญญาไม่ใช่จิต แต่มันเกิดจากจิตทั้งนั้น จิตเป็นภวาสวะ เป็นภพ เป็นสถานที่ตั้ง เป็นที่รองรับบุญกุศล ที่รองรับตกผลึกในใจ ตกผลึกลงภวาสวะเห็นไหม แล้วอวิชชาสวะ เราเก็บอวิชชาความไม่รู้นี้ เราบอกว่าอันนี้เป็นอวิชชา แต่ภวาสวะเห็นไหม นี่กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ นี่อาสวะ ๓ นี่มันเกิดมา มันเกี่ยวเนื่องกันในหัวใจ ถ้ามันเกี่ยวเนื่องกันในหัวใจ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันจะเข้ามาสู่ที่นี่ แล้วบุญกุศล บาปอกุศลมันตกลงที่นี่หมด มันตกผลึกลงที่ใจหมดเห็นไหม
โลกนี้มี เพราะมีเรา โลกมันเป็นสภาวะของมันอย่างนี้ กามภพ-อรูปภพ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น จิตนี้ไปเกิดต่างหาก จิตนี้เป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันเวียนตายเวียนเกิดไปตามวัฏฏะเห็นไหม นี่แรงงานของใจ แรงงานของบุญ แรงงานของบาป ถ้าแรงงานของบุญแรงงานของบาป มันขับเคลื่อนจิตนี้ไป ถ้าจิตนี้ไป มันก็เคลื่อนตามแรงบุญบาปนี้ไป
นี้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาศัยแรงงานบุญ แรงงานที่ดี แรงงานที่มีสติปัญญาขึ้นมา แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ถ้าเราติดความดีของเรา ติดแรงงานที่ดีของเรา มันจะติดของมัน พอติดมันก็ติดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะบุญกุศลเวลาหมดวาระ มันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา บุญกุศลมันก็มีวาระของมัน บาปมันก็มีวาระของมัน กุศล-อกุศล มันก็มีวาระของมันทั้งนั้น มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง มันเป็นอนิจจังทั้งหมดเลย มันเป็นอนิจจังอยู่แล้วใช่ไหม แต่สิ่งที่เป็นอนัตตาความเป็นอนิจจัง อนิจจังกับอนัตตา มันแตกต่างกันอย่างไร อนิจจังเป็นสภาวะโลกที่มันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอนิจจังอยู่แล้ว อนัตตามันเกิดเพราะจิตมันเห็นในปัจจุบัน
ดูฟ้าแลบสิ แพ็บๆๆ นี่ แต่ถ้าเวลาใจมันเปลี่ยนมันเร็วมาก พอมันเร็วมาก พอมันเปลี่ยนแปลงเราก็ทึ่ง งงไปหมดเลยนะ พอมันเปลี่ยนแปลง มันงง งงเพราะมันตทังคปหาน มันเปลี่ยนแปลงให้เห็น สภาวธรรมมันเปลี่ยนแปลง
แต่ความสมดุล เหมือนกับเรา เรายืนด้วยความไม่มั่นคง เราโยกของสิ่งใด เราจับต้องสิ่งใด ถ้าตัวเราไม่มั่นคงมันก็เซซวนอยู่แล้ว นี้เราต้องรักษาตัวเราด้วย แล้วเราเห็นสิ่งนั้นด้วย มันไม่ชัดเจนเห็นไหม แต่ถ้าตัวเรายืนด้วยความมั่นคง จิตเรายืนด้วยความมั่นคง เราเห็นสภาวะสิ่งใด เราเห็นด้วยความชัดเจน จิตที่มันมีสติปัญญาของมัน มันมีสมาธิของมัน มันมีความมั่นคงของมัน ความมั่นคงของมันสิ่งนั้นเห็นอนัตตา มันเป็นสภาวะนั้น แล้วมันสะท้อนใจ
มันสะท้อนใจแล้วเข้ามาถอดถอนนะ มันมาคลายความกำหนัด คลายความไม่รู้ของมัน แล้วปัญญามันเกิด มันต้องมีความมั่นคงของจิต ถ้าจิตมันมีความมั่นคงของมัน เห็นไหม สิ่งนี้มันตกผลึกในใจนั่นล่ะ มันเกิดขึ้นในสภาวะของมัน สภาวะที่เราฝึกฝนของเรา เราสร้างของเรา เราชำนาญของเรา เราทำของเราได้ พอทำของเราได้ มันทำบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า
การทำบ่อยครั้งเข้า เวลาไปถามครูบาอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติถูกไหม ? ... ถูก เวลาปฏิบัติมาถูกทั้งนั้นนะ การฝึกฝนตั้งแต่เด็กมาเห็นไหม เด็กก็ต้องฝึกให้มันทำงาน ผู้ใหญ่ก็ต้องฝึกทำงาน ถูกต้องทั้งนั้นนะ ถูกต้องตามภาวะหน้าที่ของคนๆ นั้น ถูกต้องตามภาวะของจิตที่มันอ่อนแอ จิตมันเข้มแข็ง จิตมันเจริญขนาดไหน มันถูกต้องทั้งนั้น แต่มันต้องพัฒนาของมันขึ้นไปเรื่อยๆ การพัฒนาอันนี้ จิตมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้าพัฒนาไป มันถูกต้องแล้วต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าไง
อย่างที่เราปฏิบัตินี่ถูกไหม.. ถ้าไม่ถูกมันจะมีสภาวะให้เรารับรู้ไหม ให้เรามีความสุข ให้เรามีความพอใจนี่มันถูกทั้งนั้นน่ะ แต่ถูกอย่างนี้มันถูกแล้วใช่ไหม พอคำว่าถูกเราก็รับรู้ผลของมันแล้วว่าถูกได้แค่นี้ ถ้าถูกได้แค่นี้ล่ะ แล้วสิ่งที่มันพัฒนากว่านี้ มันจะมีไปมากกว่านี้อีกไหม
ถ้าสิ่งที่ทำไปมากกว่านี้ สิ่งที่ทำว่าถูกมานี่ เราลงทุนไปขนาดไหน เราตั้งสติขนาดไหน เราทำสมาธิขนาดไหน แล้วใช้ปัญญาขนาดไหน มันถึงมีความรู้ความเห็นอย่างนี้ ถ้าถูกแล้วมีแค่นี้ ถ้าแค่นี้มันชำระกิเลสไหมล่ะ เราก็เลยสงสัยว่าไม่ใช่ชำระกิเลสใช่ไหม
เราก็รู้อยู่ เรามีความสุขไหม ....... มี
แต่มันจะสำรอกคลายออกไปไหม........ ไม่
พอไม่ แล้วเราถูกไหม....... ถูก ถูกแล้วทำอย่างไรต่อไป ก็ทำให้มันพัฒนาขึ้นไป ซ้ำให้มันแรงขึ้นไป ทำให้มีคุณงามความดีขึ้นไป สูงกว่านี้ขึ้นไป มันจะพัฒนาของมันขึ้นไปเรื่อยๆๆ จนถึงที่สุดเห็นไหม
เราตักน้ำใส่ตุ่ม น้ำต้องเต็มตุ่มแน่นอน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป จิตมันต้องพัฒนาของมันขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง นี่ไง สันทิฏฐิโก มันล้นของมัน จนเข้าใจของมัน มันปล่อยวางของมัน จนมันขาดออกไปของมัน เห็นไหม
แรงงานใจอย่างนี้ มันแรงงานที่ปัจจุบันนะ บุญกุศล การตกผลึกมาในใจ พระโพธิสัตว์ต่างๆเป็นเรื่องของบุญกุศลขับเคลื่อนไป มันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะเป็นพันธุกรรมจิต จิตนั้นเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา เห็นไหม จิตเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา จนมาเกิดเป็นเราในปัจจุบันนี้
พระพุทธศาสนาเห็นไหม การเปลี่ยนแปลงโดยผลของวัฏฏะ การเปลี่ยนแปลงผลของ อริยมรรค การเปลี่ยนแปลงโดยจิตในปัจจุบันนี้ไง ถ้าการเปลี่ยนแปลงแบบวัฏฏะ มันเปลี่ยนแปลงไปด้วยผลบุญผลกรรมนะ แต่การเปลี่ยนแปลงของจิตเดี๋ยวนี้นะเป็นปุถุชน เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันเห็นชัดเจน มันจับต้องได้นะ
ดูเรามีการศึกษาสิ เราศึกษาขึ้นมาเรามีความรู้ขนาดไหน เราทำวิจัยขนาดไหน เรารู้ เรามีผลงานขึ้นมา เรารู้ของเราขึ้นมา จิตมันพัฒนาของมัน มันรู้ของมัน มันสำรอกของมัน แล้วมันคายของมันออกมา แล้วถ้ามันขาดออกไป มันสมุจเฉทปหานออกไป มันชัดเจนขนาดไหน มันทำได้ขนาดไหน
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สำรอก ได้คายกิเลสออกหมดแล้ว เป็นครูของเทวดา เป็นครูของพรหม เป็นครูของมนุษย์ ผลของวัฏฏะไง นี้เป็นวันโกนวันพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเกี่ยวเนื่องกับวัฏฏะ มันเกี่ยวเนื่องกับภพชาติต่างๆ
แต่ถ้ามันเป็นวันแรงงานของเรา มันเกี่ยวเนื่องกับภพ เราจะบอกว่าแรงงานของเรามันเกี่ยวกับเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของโลกียปัญญา เป็นเรื่องของโลก เป็นผลประโยชน์กับโลก เป็นผลประโยชน์กับการดำรงชีวิต
แต่ถ้าแรงงานบุญแรงงานบาป มันเป็นผลของใจ ใจนี้มันพัฒนาของมันจนการกระทำถึงที่สุด มันพ้นจากการบังคับบัญชาของอวิชชา ของกิเลส ของมาร ของทุกๆ อย่างได้เลย มันเป็นอิสรภาพนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ก็เป็นมนุษย์นั่นล่ะ แต่ใจของท่านพ้นจากกิเลสไป
ของครูบาอาจารย์เป็นมนุษย์เหมือนเรา เราก็เป็นมนุษย์ เราก็มีกายกับใจเหมือนกัน เราก็ค้นหา เราก็รื้นค้นของเราอยู่นี่ แต่เวลาพอสิ้นกิเลสไปนะ มันก็มนุษย์นี่ล่ะ แต่ใจหลุดพ้นเพราะมีการกระทำมีมรรคญาณ มีแรงงานภายในที่มันกระทำของมัน เห็นไหม มันเห็นชัดเจนมาก
ฉะนั้นเราก็ใฝ่ฝัน เราก็อยากจะพ้นจากทุกข์ เราก็อยากจะมีที่พึ่งที่อาศัย ถ้าทางโลกเราก็ต้องทำหน้าที่การงานของเราไป แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราต้องมีการกระทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา ไม่ใช่ศึกษาไว้เฉยๆ ศึกษาเอาไว้เพื่อมีความรู้ เอาไว้โต้เถียงกัน เอาไว้ว่าใครมีวุฒิภาวะใครฉลาดกว่ากัน คนฉลาดก็ตาย คนโง่ก็ตาย คนฉลาดก็เอาตัวไม่รอด คนโง่ก็เอาตัวไม่รอด
แต่ถ้าคนเข้าไปเจอความจริง มันเข้าไปเจอความจริง ถ้ามันไม่ฉลาด ไม่มีความมุมานะ มันจะเข้าไปรู้เห็นได้อย่างไร พอมันเข้าไปรู้เห็น เราปล่อยวางของเราเอง เราชำระของเราเอง อันนี้ฉลาดแท้ ฉลาดแท้ คือ เอาใจของเราพ้นจากอำนาจของเรา การช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือจิตนะ เวลานี้กิเลสมันหลอกเรา มันหลอกใจของเรา ถ้ากิเลสมันหลอกเรา เราพยามแก้ไขของเรา ให้เรารู้เท่าทันมัน
รู้เท่าทันมันก็กลับมาสัมมาสมาธิ เข้ามาสู่ที่ตั้ง แล้วถ้ามีปัญญาไล่ต้อนเข้าไป ปัญญาใคร่ครวญเข้าไป มันจะเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเป็นปัญญาชำระกิเลส แล้วถ้าชำระกิเลสขึ้นมา เราจะรู้จะเห็นของเรา แล้วมันรู้เห็นแล้วมันจะละเอียดลึกซึ้งขึ้นมา
ทางโลกเขามีวันสำคัญของเขา ทางธรรมของเราก็ต้องมีวันสำคัญของเรา แล้วถ้าวันสำคัญของเรามันสำคัญทุกวัน สำคัญทุกวันเพราะวันเวลามันกลืนกินชีวิตของเราไป ถ้าสำคัญทุกวันตั้งสติทุกวัน เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม วันสำคัญของศาสนา
ถ้าครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดบ่อย ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ท่านจำของท่านได้ วันสำคัญของศาสนา คือ วันสำคัญที่เราพ้นจากมันไป พ้นจากความครอบงำของอวิชชา
ถ้าเราพ้นจากมันไปนะ สิ้นสุดแล้วทิ้งมันไว้ เศษเหลือสิ่งที่ทิ้งไว้ในชีวิตนี้เอาไว้กับโลก แต่จิตใจของเราถ้าไม่มีการชำระ มันจะเวียนไปในวัฏฏะ สิ่งที่ร่างกายทิ้งเอาไว้กับโลกนะ จิตมันจะเวียนในวัฏฏะ เพราะมันยังมีภวาสวะ มีภพ มีสิ่งที่มารมันบังคับบัญชาได้ สิ่งที่มันเห็นได้ แต่ถ้าเราทำสิ้นไปแล้วนะ ไม่มีใครเห็นได้ เว้นไว้แต่บุคคลคนนั้นเห็นของบุคคลคนนั้นเอง เข้าใจคนๆ นั้นเอง นี่วิมุตติสุข สุขด้วยความชอบธรรม การประพฤติปฏิบัติด้วยความชอบธรรม จะเป็นความชอบธรรมของใจดวงนั้น เอวัง