เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ม.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนาพุทธสอนให้ปล่อยวางทั้งหมด คำว่าปล่อยวาง... ศาสนาสอนให้ปล่อยวางความทุกข์ต่างหาก ปล่อยวางความผิดทั้งหมด ให้เดินในทางที่ถูก ไม่ใช่ให้ปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยวางบางอย่าง ปล่อยวางในสิ่งที่เป็นโทษ แต่ต้องเดินในสิ่งที่เป็นคุณ

สิ่งที่เป็นคุณนี้ต้องสะสม ต้องเพิ่มเติม ไม่ใช่ปล่อยวางทั้งหมด ถ้าเราคิดว่าศาสนาบอกให้ปล่อยวาง แล้วเราปล่อยวาง ศาสนาสอนเรื่องนามธรรม ศาสนาสอนเรื่องหัวใจ ถ้าหัวใจมีความทุกข์ เราปล่อยวางไม่ได้ พอมันปล่อยวางไม่ได้ แต่จะทำคุณงามความดี จะสร้างสมคุณงามความดี มันบอกให้ปล่อยวาง นี่กิเลสมันหลอก ! กิเลสมันหลอกในศาสนา กิเลสมันหลอกในความเห็นของเรา ความเห็นของเรามันเรื่องกิเลสปกคลุม แล้วมันหลอกกันไป

แต่ในเรื่องของธรรมแล้ว ไม่ใช่ปล่อยอย่างนั้น การปล่อยวางทั้งหมดนี้เป็นถึงพระอรหันต์นะ พระอรหันต์สิ้นกิเลสทั้งหมด จึงจะปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง

แต่ของเราส่วนมากปล่อยวางไม่ได้หรอก เพียงแต่มีสติสัมปชัญญะแล้วกดไว้ ถ้าบอกว่ากดไว้ เราบังคับไว้ ถูกต้อง ! บางอย่างมันเกิดขึ้นในหัวใจของเรา แล้วเราไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ เราต้องข่มมันไว้ การข่มมันไว้มันก็ต้องมีหลักการ

ถ้าเราเชื่อศาสนา ศาสนาสอนอย่างนั้น แล้วเราเชื่อ เราทำตามไป แล้วมันจะละเอียดเข้าไป คือว่ามันจะพัฒนาตัวมันเองขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเรื่องหยาบๆ เรื่องหยาบๆ มันก็เป็นความหยาบๆ ของเรา เราสามารถกลบเกลื่อนได้

แต่ความคิดในหัวใจของเรามันเผารนเราเอง โดยที่เราจะกลบเกลื่อนความคิด ความเผารนของเราไม่ได้เลย ความเผารนของใจอันนั้น มันจะเผาหัวใจของสัตว์โลก เผาหัวใจของผู้ที่มีกิเลสทั้งหมดในหัวใจ แล้วมันปล่อยวางได้จริงไหม… มันปล่อยวางไม่ได้

แต่เวลาสอนเรื่องนามธรรม เห็นไหม ศาสนานี้สอนเรื่องหัวใจ เรื่องนามธรรมจริงๆ นะ เพราะอะไร เพราะความจริงแล้ว ทุกข์มันคือหัวใจทุกข์ อย่างอื่นไม่มีความทุกข์กับเราหรอก เครื่องอยู่อาศัยมันสามารถอยู่อาศัยไป มันจะเสื่อมสภาพขนาดไหน เราดูไป

มันเหมือนกับเด็กเล่นของเล่น ถ้าเด็กเล่นของเล่นเสียหายไป มันจะเสียใจ มันจะร้องไห้ อันนี้ก็เหมือนกัน ความเห็นจากภายนอก ความเห็นจากวัตถุ มันก็เหมือนกับเราอาศัยมันไป มันต้องพลัดพรากจากเราไป สิ่งนี้เป็นความทุกข์หยาบๆ เห็นไหม

ความทุกข์เล็กน้อย ความทุกข์ที่ว่าสิ่งที่พลัดพรากจากข้างนอกไป มันทำให้พลัดพรากไป แล้วเราจะเสียอกเสียใจไป แต่ความเผารนของกิเลส มันเผารนในหัวใจ มันเป็นความเผารน มันเป็นความต้องการ ความปรารถนาทุกๆ อย่าง ความปรารถนาตลอดไป แต่ไม่รู้จะปรารถนาอะไร นี้ความอยากมันมีขนาดนั้นนะ มันอยากไปทั้งหมดเลย อยากในหัวใจของเรา แต่สิ้นสุดแล้ว เราหาความปรนเปรอมาขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็จะยังอยากตลอดไป อยากไม่มีที่สิ้นสุด อยากจนไม่รู้ว่าจะอยากอะไร แต่อยาก !

ความอยากอันนี้มันปล่อยวางไม่ได้ในธรรมชาติของมัน มันจะปล่อยวางด้วยความพยายามของเรา ฝืนมันก่อน.. การฝืนกับมันไปเห็นไหม การทำความสงบของใจ การจะปล่อยวาง มันต้องมีธรรมเข้าไปปล่อยวางมัน

มีธรรม มีความถูกต้อง มีมัคคะอริยสัจจัง มัคคะ มรรคอันละเอียด มรรคเป็นภาวนามยปัญญาเข้าไปกำจัดมัน มันจะปล่อยวางได้จริงๆ มันจะปล่อยวางได้ตรงนั้น ปล่อยวางถึงที่สุดแล้วมันจะไม่มีสิ่งใดมาเคลือบแคลงมันอีก

แต่มันก็เป็นจริตนิสัย เห็นไหม ความว่าจริตนิสัยนี่ สันดานแก้ไขไม่ได้ พระสารีบุตร ยังแก้ไขไม่ได้ ถึงว่า ละความโกรธ เราปล่อยวางแล้วเราไม่โกรธ... เราไม่โกรธ แต่ครูบาอาจารย์จะแสดงความโกรธนั้นแสดงเป็นอุบายวิธีการ... เป็นอุบายวิธีการของพ่อแม่สอนลูก ของผู้ใหญ่สอนเด็ก มันเป็นอุบายวิธีการที่จะให้ธรรมนั้นเข้าถึงหัวใจ มันต้องอาศัยเครื่องมือสิ่งนั้น

ฉะนั้นว่า ละความโกรธ มันละความโกรธ ปล่อยวางความโกรธในหัวใจ ปล่อยวางความผูกมัดของใจที่โกรธนั้นต่างหาก แต่กิริยาของความโกรธนั้นปล่อยวางไม่ได้ กิริยาของความโกรธเป็นกิริยาภายนอก ที่ว่ามันใช้ให้เป็นประโยชน์ และไม่ใช้เป็นประโยชน์เท่านั้น

ความปล่อยวางของศาสนา ปล่อยวางนามธรรม ปล่อยวางจากภายใน แล้วมันต้องชำระเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันถึงจะปล่อยวางสิ่งนั้นได้ ถ้าปล่อยวางสิ่งนี้ได้ นั่นล่ะพระพุทธเจ้าสอนตรงนั้น สอนตรงที่ว่าปล่อยวาง

ถ้ามันจะปล่อยวางตามความเป็นจริง... มันจะปล่อยวางตามความเป็นจริง ต้องพูดว่าเป็นปัจจัตตัง คือรู้จำเพาะใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะพัฒนาขึ้นไป จะภาวนาขึ้นไป จะพัฒนาขึ้นไปจนพอถึงที่สุด มันจะเลาะของมันเอง เลาะกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ขึ้นไป มันจะเลาะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จนถึงที่สุดมันจะปล่อยวางของมันตลอด แล้วจะไปปล่อยวางใจอีกต่างหาก ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วต้องมาปล่อยวางตัวของมันเองอีก

แต่ตัวที่มันปล่อยวางเขานั้นมันยังติดอยู่ ตัวที่มันปล่อยวางเขา แล้วมันปล่อยวางเขาทั้งหมด แต่ตัวเองมันไม่ได้ปล่อยวางของมัน มันก็จะไปยึดมั่นถือมั่นของมัน นั่นล่ะความเห็นของธรรมจะเห็นขนาดนั้น เห็นความเป็นจริงขนาดนั้น มันถึงจะปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง

การปล่อยวางตามความเป็นจริง คือปล่อยโดยใจดวงนั้นปล่อย แต่ความว่าปล่อยวางของกิเลสเห็นไหม มันบอกว่าจะไม่ต้องทำอะไรเลย จะให้เราปล่อยวาง จะเริ่มต้นสิ่งใด เราทั้งนั้นเป็นกิเลส เป็นตัณหาความทะยานอยาก มันจะปล่อยวางไม่ได้ ต้องหันมาปล่อยวางตัวมันก่อน ต้องหันมาพยายามละความเห็นของมัน ละความปล่อยวางของมัน

ถ้ามันละความปล่อยวางของมันเห็นไหม มันไม่ขยับเลย... ไม่ขยับเลยก็ไม่ได้ก้าวอะไรเลย คุณงามความดีก็ไม่ได้สะสมเลย ความเจริญรุ่งเรืองของใจดวงนั้นจะไม่มีในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะไม่ได้พัฒนาขึ้นมา มันจะกินบุญเก่า ถ้ามันเป็นบุญกุศลนะ ใจเกิดมาเป็นบุญกุศล เกิดมาในคุณงามความดี ก็กินของเก่าไป

แต่ถ้าใจเป็นบาปอกุศลขึ้นมา มันจะมีความทุกข์ของมันเข้าไป มีความเร่าร้อนของใจ แล้วความว่าปล่อยวาง มันปล่อยวางด้วยกิริยา กิริยาภายนอก กิริยาการกระทำที่ว่าปล่อยวาง แต่ในหัวใจนั้นมันปล่อยวางจริงไหม

ถ้ามันปล่อยวาง ทำไมมันเผารนใจ ปิดบังกันไม่ได้หรอก กิเลสในหัวใจของตัวเอง ของสัตว์โลก ถ้าความทุกข์ความไม่พอใจของใจ เวลาพูดออกมามันไม่มีที่สิ้นสุด การพูดเพื่อผลักไสไป มันเป็นการพูดเพื่อจะระบายออก... เป็นความระบายออกของใจ

แต่ถ้าพูดถึงธรรมแล้วมันจะกักสิ่งเหล่านั้นไว้ พูดแต่ว่า ฉันพ้นแล้ว ฉันปล่อยวางได้ ฉันพ้นออกจากความทุกข์ออกไป นั่นน่ะคำพูดมันเป็นคำพูด มันเป็นกิริยาข้างนอกทั้งหมดเลย มันจะเป็นอาการของขันธ์ เห็นไหม

อาการของขันธ์เวลาพิจารณาเข้าไปแล้ว มันจะปล่อยวางสิ่งนั้น ปล่อยวางอาการของขันธ์ทั้งหมดด้วย อาการของขันธ์ต้องขาด ต้องปล่อยวางเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ปล่อยวางอาการของขันธ์ ก็อาการของการพูด อาการของอารมณ์ อาการของความรู้สึกไง นั้นล่ะกิเลสอาศัยสิ่งเหล่านี้หากิน มันหยาบมากนะ ถ้าพูดถึงการปล่อยวาง สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นความอยากมาก

แต่ถ้าโลก คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี มันจะปล่อยวางด้วยความกดไว้เห็นไหม ความสงบของใจเข้ามา มันก็ปล่อยวางด้วยความกดไว้ ความกดของใจมันไม่ใช่การสมุจเฉทปหาน ความกดของใจกดสิ่งนั้นไว้เฉยๆ ความกดของมันก็เพื่อให้ใจมันพัฒนา ให้ใจมันมีความสุขชั่วคราว.. ชั่วคราว นั้นมีอำนาจวาสนา

แต่ถ้าพูดถึง ถ้ามันมีความทุกข์ในอกุศลนะ มันจะกดไว้ไม่อยู่ มันจะโพล่ง มันจะแสดงออก การแสดงออกถึงสิ่งนั้น มันจะแสดงออกทั้งความผูกมัดของใจ แสดงออกมาด้วย ทั้งกิริยาที่แสดงออกและไม่แสดงออกอีกด้วย เห็นไหม มันเป็น ๒ ชั้น

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว กิริยาที่แสดงออกเป็นกิริยาที่แสดงออก มันเป็นกิริยาที่ว่ามันต้องมีอยู่ มันเป็นขันธ์ที่มันทรงตัวอยู่ แต่ถ้ามันทำลายขันธ์นี้ เวลาที่มันตายไป ขันธ์นี้มันหมดสิ้นไปตั้งแต่ตรงนั้น หมดสิ้นตรงนี้ไปมันก็จบสิ้น ! แต่ในเมื่อยังไม่หมดสิ้นไป ขันธ์ยังใช้ประโยชน์ได้ ครูบาอาจารย์ถึงพยายามดำรงชีวิตอยู่ ประโยชน์ของโลกจะได้ก็ได้เพราะขันธ์อันนี้

ขันธ์ที่เวลาที่เรามองด้วยความโกรธ ความเป็นโทษ เรามองว่าสิ่งนั้นเหมือนเป็นโทษ แต่ความจริงเราแสดงออกมานี่ มันจะเป็นประโยชน์กับโลก ผู้ที่สนใจฟัง ผู้ที่ต้องการฟังสิ่งนั้น จะได้ประโยชน์กับสิ่งนั้น ถ้าผู้ที่ไม่สนใจฟัง มันจะไม่ได้ประโยชน์กับสิ่งนั้น แล้วมันจะได้โทษด้วย

ได้โทษจากที่ว่า นี่ไง ละความโกรธ ละที่ไหน มันละความโกรธก็ละที่หัวใจอยู่แล้ว เพราะละที่เหนือขันธ์นั้นเข้าไป ละที่เหนือกิริยาทั้งหมด มันไปละที่ตรงนั้น แล้วมันปล่อยวางตรงนั้นไว้หมดแล้ว มันจะเอาความผูกโกรธมาจากไหน ความผูกโกรธไม่มี แต่กิริยาเป็นกิริยาแสดงสิ่งนั้นออกไป นั่นล่ะละความโกรธได้จริงมันละอย่างนั้น ละประโยชน์ได้จริงจากภายใน แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับโลกอีกด้วย

แต่ถ้าเราละไม่ได้ คนละไม่ได้ มันไม่เป็นประโยชน์กับโลก มันสะสมไว้แล้วมันไม่พอใจ ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ไม่สามารถชำระกิเลสของตัวเอง ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ เพราะตัวเองไม่ซื่อตรงกับตัวเอง

ถ้าไม่ซื่อตรงกับตัวเอง มันไม่ชำระเพราะอะไร เพราะว่าไม่ซื่อตรง แล้วมันคดโกง มันบอกว่า สิ่งนั้นมันพัฒนาแล้ว สิ่งนั้นมันชำระล้างแล้ว สิ่งนั้นมันปล่อยวางแล้ว มันปล่อยวางด้วยความปล่อยวาง มันปล่อยวางเพราะเราศึกษาศาสนามาด้วยความไม่เป็นจริงไง ความไม่เป็นจริงของศาสนา

ศาสนานั้น ตัวธรรมนั้นเป็นจริงตลอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสธรรมไว้นั้น เป็นชอบทั้งหมดเลย แต่เพราะเราไปศึกษาเห็นไหม นั่นล่ะทองคำเป็นทองคำ ตัวศาสนาเป็นทองคำ แต่ตัวกิเลสของเรา ตัวความเห็นของเรา มันไปทำให้บิดเบือนทองคำนั้น ให้มันสกปรกโสมมไป

นั้นล่ะ ศึกษาศาสนามันถึงไม่เป็นประโยชน์กับเรา เพราะมันไม่ซื่อตรง ความไม่ซื่อตรงอย่างนั้น มันถึงจะปล่อยวางแต่กิริยาภายนอก พอกิริยาภายนอกแล้วมันก็ไปเผารนอยู่ในใจ มันปล่อยวางไม่ได้ เพราะมันเร่าร้อน

แต่ถ้าปล่อยวางได้จริง มันจะปล่อยวางจากภายนอกด้วย ปล่อยวางจากภายในด้วย ปล่อยวางเข้าไป ขณะกิริยาก้าวเดินเข้าไป จะรักษาศีล รักษาธรรม ด้วยความเต็มที่เลย เพราะศีลมันต้องบริสุทธิ์ เห็นไหม

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์มันจะเกิดสมาธิได้อย่างไร มันจะเกิดปัญญาเข้ามาได้อย่างไร นั่นล่ะมันเริ่มก้าวเดินเข้าไป การแสวงหามันเป็นอย่างนั้น แต่ขณะก้าวเดินเข้าไปนั้น เริ่มควบคุมตัวเข้าไป จนชำระจนหมดสิ้น จนออกมาแล้วมันเป็นกิริยา

ฉะนั้นมันจึงปล่อยวางตามธรรมชาติของมัน ความไม่สนใจเรื่องของกิเลส เห็นไหม เพราะกิเลสมันขาดไปแล้ว มันไม่มีสิ่งนั้น มันแสดงออกโดยธรรมชาติของมัน ความแสดงออกโดยธรรมชาติของใจดวงนั้นเป็นประโยชน์ เห็นไหม

ถ้าใจดวงนั้นมันมีสิ่งที่เป็นอกุศลในหัวใจ มันแสดงออกมา มันปกปิดใจของมัน อันนั้นต่างหากถึงจะเป็นโทษ เป็นโทษกับใจดวงนั้น เป็นคุณกับใจดวงนั้น ใจดวงใจก็แล้วแต่ แสวงหาสิ่งใดมันจะเป็นของมันดวงนั้น เห็นไหม

ความลับไม่มีในโลก ! ในโลกนี้ไม่มีความลับ เพราะใจตัวนี้มันเป็นตัวรู้ มันสะสมลงที่ใจตัวนี้ ถ้าใจตัวนี้มันตายไปพร้อมกับอกุศล มันต้องเป็นไปตามกรรมของมัน กรรมนี้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้ เหนือทุกอย่าง กรรมมีอำนาจเหนือ

แต่ธรรมมีอำนาจเหนือกรรม เพราะทำแต่คุณงามความดี เพราะทำแต่กรรมดี ถ้าทำกรรมดี กรรมดีจะให้ผลกับใจดวงนั้น ทำดีพัฒนาขึ้นไปจนมันเป็นความเห็นจากภายใน เห็นไหม (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)