เทศน์เช้า วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
งานของโลก ! โลกคืองานสืบต่อ งานของโลกเป็นงานการสืบต่อ เวลาพระธุดงค์ไปก็เป็นงานเหมือนกัน งานของพระคือการเดินธุดงค์ เดินธุดงค์มันใช้รูปร่างกายเดิน การเดินธุดงค์ การพยายามแสวงหาสัจธรรม เหนื่อยมาก ! ความพะรุงพะรัง ความเหนื่อยอ่อนของใจ ต้องใช้พลังงาน
แต่ใช้ขนาดไหนก็แล้วแต่ การเดินธุดงค์นี้ เดินธุดงค์เพื่อจะเอาใจ เดินธุดงค์เพื่อจะรักษาใจ เพื่อจะหาใจของตัวเองให้เจอ ใช้รูปแบบของข้างนอกเดินธุดงค์ งานของโลก ถ้างานของโลกไม่มีวันที่สิ้นสุด โลกนี้เจริญเติบโต โลกนี้เจริญขึ้นมาขนาดไหน ต้องทำสืบต่อไป เรื่องของโลกเป็นงานการสร้างโลก สร้างตลอดไป
แต่เรื่องของธรรม มันสร้างแล้ว มันจะจบสิ้นกัน ถ้าเรื่องของธรรมมันจะจบสิ้นขบวนการ การทำแล้วมันจะจบสิ้นได้ แต่มันจะจบสิ้นไป
เรื่องของโลกเห็นไหม การทำงานทุกๆ อย่าง มันต้องมีความคิดเริ่มต้น ความคิดเริ่มต้นก็เริ่มมาจากใจ ใจคิดเริ่มต้นอยากจะทำอะไร นักวิทยาศาสตร์การคิดค้นคว้าต่างๆ ก็คิดออกมาจากใจ คิดค้นคว้าแล้ว คิดออกไปแล้ว ให้เป็นวัตถุขึ้นมาเหมือนกัน
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าคิดว่าเรื่องของโลก อารมณ์ความคิดมันก็เป็นโลกอยู่ ถ้ายังเป็นโลกอยู่ มันก็ยังสร้างโลกไป
ถ้าการปฏิบัติธรรม.. ปฏิบัติธรรมแล้วคิดว่าเป็นธรรม แต่คิดเป็นธรรมแล้ว สิ้นสุดขบวนการแล้ว จบสิ้นแล้วยังเป็นเรื่องของโลกๆ ออกไปเรื่องของโลกเขา มันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร เรื่องของธรรมเป็นเรื่องของการจบสิ้นออกไป
การจบสิ้นเป็นอนัตตา เกิดขึ้น.. ตั้งอยู่.. แล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดๆ เป็นที่อาศัยได้เลย แต่ ! แต่มีอีกอันหนึ่ง ความรู้แจ้งไง ความรู้แจ้ง รู้สิ่งนั้นแล้วปล่อยวางสิ่งนั้น สิ่งที่ว่าพึ่งพาไม่ได้ กลับเป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัยได้ ใจจะมีความอบอุ่นมาก ใจจะมีความรู้เท่าทัน... รู้เท่าทันความคิดของโลก รู้เท่าทันความคิดของขันธ์
ขันธ์เป็นความคิดข้างนอก ความคิดข้างนอกเป็นเรื่องของโลก แล้วคิดอย่างนี้แล้วก็ออกไปข้างนอก สร้างโลกออกไป แล้วเราก็หยุดมา มีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ไปยุ่งกับเรื่องของโลกเขา ให้มายุ่งเรื่องโลกของตัวเอง
โลกของวัฏฏะไง ! วัฏฏะวน ความคิดของโลกเป็นวัฏฏะวน แล้วใจนี้ก็หมุนเวียนไปในวัฏฏะวนนั้น แล้วพยายามทำความสงบของโลกขึ้นมา ให้เข้ามาทำงานของธรรม ถ้าธุดงค์ไป ธุดงค์เพื่อหาใจของตัวเอง ถ้าจับใจของตัวเองได้ จับเรื่องของโลก เรื่องของมนุษย์สมบัตินะ
การเกิดมานี่ จิตปฏิสนธิในวิญญาณ วิญญาณปฏิสนธิเกิดในครรภ์ของมารดา ได้ขันธ์ ๕ ขึ้นมา ได้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มา เรื่องของขันธ์ ๕ มันเป็นเรื่องของโลก ถ้าเป็นเรื่องของโลกเป็นโลกียะ เป็นความคิดของโลกเขา ถ้าเป็นโลกุตตระ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา
โลกของคฤหัสถ์เป็นอย่างหนึ่ง ในการสร้างโลกของเขา โลกของพระมันเป็นความคิดภายใน ถ้าชำระโลกความคิดภายในได้ พยายามจะสงบความคิดภายใน ความคิดที่เป็นโลก ความคิดที่คิดเหมือนโลกเขา โยมคิดยังไง พระก็คิดอย่างนั้น ในเมื่อบวชมา มันบวชเฉพาะร่างกาย มันยังไม่ได้บวชจิตใจ
การสร้างตนเอง คือ การพิจารณาตนเอง การทำตนนี้เป็นการบวชใจของตนเอง ใจของตัวเองพยายามบวชเข้ามา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา เพื่อยับยั้งความคิดของโลกให้ได้ ถ้ายับยั้งความคิดของโลกได้นี่ ขันธ์มันสงบตัวเข้ามา มันก็จะเป็นเนื้อของใจ
ถ้าเป็นเนื้อของใจ ความคิดสงบเห็นไหม ความสงบของใจ ไม่คิดอะไรเลย แล้วมันทำงานไม่ได้ อัปปานาสมาธิใจสงบมาก แต่ทำงานไม่ได้ ต้องย้อนออกมา ถอนออกมา แล้วใช้ขันธ์ ขันธ์อันนี้มันเป็นเรื่องของธรรม แต่อาศัยเรื่องของโลกเหมือนกัน อาศัยวัตถุของโลก แต่ทำงานของธรรม
ทำงานของธรรม คือ มีสมาธิกดกิเลสไว้ พอกดกิเลสไว้ มันมีปัญญาออกทำงานได้ ถ้าออกทำงานได้ ทำงานอย่างนี้ไปจะเป็นเรื่องของธรรม ทำบ่อยๆ เข้า มันก็จะเป็นสัญญา ความเป็นสัญญามันก็เป็นเรื่องของโลกอีกแล้ว ต้องทำความสงบของมัน เห็นไหม ความสงบนี้มันถึงเป็นความต้องใช้ไปทุกแง่ ทุกขบวนการของความสงบ เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ เป็นมรรคองค์ที่ ๘ เห็นไหม ในมัคคะอัศจรรย์ ทางอันเอก ทางเลือกของมรรค
มรรคคือเรื่องความเพียรภายใน การจะละพ้นออกไปจากกิเลสได้ มันเป็นทางอันเอกเท่านั้น มรรคาเท่านั้นจะทำมันได้ แต่ก็ต้องแสวงหา นี่มันทุกข์มันทุกข์ตรงนี้ !
การแสวงหา ถ้ามันอยู่เฉยๆ กิเลสมันพองตัว มันพยายามจะ มีอำนาจเหนือเรา เราต้องออกวิเวก.. ออกไปที่วิเวกที่ควรแก่การงาน งานที่ไหน... ที่ในป่าช้า ในที่ป่ารกชัฏ ในที่เสียว ในที่ไม่มีใครต้องการ
พระแสวงหาสิ่งนั้นเพราะอะไร เพราะเข้าไปสิ่งนั้นแล้วใจมันจะว้าวุ่นมาก ใจเรานี่เราไม่เห็นหรอก เพราะอะไร เพราะเราอยู่ด้วยกัน เรามีพึ่งพาอาศัยกันได้ อยู่ในที่สะดวกปลอดภัย แล้วมันนอนใจ ถ้าออกไปที่วิเวก ออกไปที่สงัด ออกไปที่น่าเกรงกลัว ใจมันจะแสดงตัวของมันเอง มันจะกลัว มันจะอะไรของมันขึ้นมา
นั่น ! แสวงหาสิ่งนั้นเป็นที่ทำงาน การแสวงหาที่ทำงานเห็นไหม งานของพระมันถึงหนักหนาสาหัสสากรรจ์ ถ้าทำตามความเป็นจริงนะ ถ้าทำไม่เป็นความจริงการศึกษาเล่าเรียนนี่ การได้บวชมา มันเป็นการบวชมาโดยสมมุติ จตุตถกรรม สมมุติโดยสงฆ์ เป็นสงฆ์ตามความสมมุติ เป็นสงฆ์โดยตามความเป็นจริง เห็นไหม สงฆ์สมมุติ !
แล้วสงฆ์ที่เกิดขึ้นมาจากใจ พระข้างนอก พระข้างใน ถ้าพระข้างนอกสร้างพระข้างในได้ วิธีการสร้างนั้นต้องถูกต้อง ถ้าวิธีการสร้างไม่ถูกต้อง มันเป็นพระโดยอุปาทาน ความเป็นพระโดยอุปาทานนี่ จะไม่เข้าใจวิธีการของกิเลสว่า มันชำระไปได้ยังไง มันจะสงบตัวอย่างไร มันอาศัยความสงบตัวไหม จะไม่เห็นคุณค่าไง
คนเห็นคุณค่านะ คนทำธุรกิจต้องเห็นคุณค่าของทุนก่อน เรามีต้นทุน เราถึงทำธุรกิจได้ ถ้าเราไม่มีต้นทุนเลย เรามีแต่ความคิดเห็นไหม เพ้อฝัน.. ความคิดเพ้อฝันว่าเราจะทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้ มีเพ้อฝันไป... ความเพ้อฝันนั้น มันก็คิดเป็นอารมณ์ไป แต่มันไม่สมกับการประกอบธุรกิจขึ้นมาได้ เพราะไม่มีทุนรอน
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจ ไปดูถูกว่าสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจนี้ เป็นสิ่งที่ว่ามันมีอยู่แล้ว เราใช้ปัญญาไปเลย ปัญญานี้เป็นการชำระกิเลสถูกต้อง ! สัมมาสมาธิ สมาธิไม่สามารถชำระกิเลสได้
แต่ถ้าเราไม่ให้กิเลสสงบตัวลงก่อน เราคิดโดยปัญญาอันเดิมนั้น ปัญญาอันเดิมนี้มันจะเป็นโลกียะ มันเป็นความคิดของโลกของเรา โลกของเราไม่ใช่โลกของคนอื่นนะ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือบุคคลไง บุคคลนี่เป็นโลก ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ในร่างกายเราก็มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีขันธ์ที่เป็นมนุษย์ขึ้นมานี่ มันเป็นความคิดของโลกียะ คือเรื่องของโลก โลกของเรา ไม่ใช่เรื่องโลกภายนอก เรื่องโลกภายนอกมันเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นที่ว่าให้ความติฉินนินทาของเรานี่ มันให้แค่โลกธรรม ๘
แต่โลกของเราเองเป็นโลกของความทุกข์ยาก เราทุกข์ ! เราทุกข์จากภายใน เราแก้ของเรา เราแก้เรื่องโลกของเราเห็นไหม นี่เรื่องของโลก กับเรื่องของเรา เรื่องของวัฏฏะไง แล้วมันปลดเปลื้องวัฏฏะ ทิ้งวัฏฏะไว้ เก้อๆ เขินๆ วัฏฏะนี้ทำลายไม่ได้ วัฏฏะนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่คงที่คงวาอยู่อย่างนั้น เพียงแต่จิตวิญญาณนี้หมุนเวียนไปในวัฏฏะ
การเกิดการตายหมุนเวียนไป เราปลดเปลื้องโลก ปลดเปลื้องเรื่องของวัฏฏะ เป็นวิวัฏฏะ ไม่มีวัฏฏะเรื่องของโลกก็เป็นเรื่องของโลกอยู่อย่างนั้น เรื่องของภพชาติก็เป็นเรื่องของภพชาติอยู่อย่างนั้น แต่ไอ้เรื่องของใจมันพ้นออกไปจากใจ นี่การปฏิบัติธรรม สมควรแก่การปฏิบัติธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรม มันจะเห็นความสงบ เห็นคุณค่าการเก็บหอมรอมริบไหม
อาจารย์เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นจะเก็บหอมรอมริบทุกๆอย่าง อะไรที่เป็นคุณประโยชน์จะเก็บหอมรอมริบ เพราะอะไร เพราะการเก็บหอมรอมริบมันเห็นตั้งแต่เรื่องหยาบๆ ขึ้นมา
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีศีล ไม่มีความสงบของใจ มันจะมีความยับยั้งชั่งใจได้อย่างไร ไปเปิดทางโล่งให้กิเลสมันออก กิเลสมันจะพุ่งออกไปตลอด ถ้าเราไม่สกัดทางมัน ถ้าเราสกัดทางมัน สกัดด้วยศีล ออกมากระทบร่างกาย ออกมาแล้วความคิดมันคิดไปแล้วนี่ มันเป็นอธิศีล
ถ้าศีลธรรมดาแล้ว มันเป็นความปกติของใจ ศีลจากภายนอก ศีลจากร่างกาย ไม่ทำความผิดปาณาติปาตาเรื่องของร่างกายที่มันจะไปกระทบกับภายนอก เรายับยั้งสิ่งนั้นเข้ามา มันก็เข้ามาชั้นหนึ่ง ยับยั้งความคิดของใจ อธิศีล คือ จิตมโนกรรม ความคิดที่จะสร้างกรรมนั้นมันก็เป็นกรรม ความคิดสร้างกรรมขึ้นมานี่ มันก็เป็นกรรมออกไปข้างนอก
ศีลจากภายใน ความมีศีลมันจะคล้องจองกับความเป็นสมาธิ จิตสงบตั้งมั่น จิตไม่มีความคิด ถึงมีความคิดก็คิดในบุญกุศล คิดในความถูกต้อง นั้นมันจะเป็นธรรมอย่างหยาบๆ ที่ว่าถือศีล ต้องมีปัญญา มีปัญญาอย่างนี้ไง มีปัญญาใคร่ครวญตัวเอง ย้อนกลับเข้ามาเรื่องของธรรม
ถ้าเรื่องของธรรมมันชนะโลก ชนะตนเอง ถ้าชนะตนเองได้คือชนะโลก ถ้าชนะตนเองไม่ได้คือแพ้โลก เพราะโลกเราแพ้จากใจก่อน แพ้จากตัณหาความทะยานอยากของเราก่อน แพ้จากความต้องการของเราก่อน เราแสวงหาความทะยานอยากของเรา แล้วเราแพ้ตัวเราเอง แล้วก็วิ่งออกไปเอาข้างนอก
โลกภายใน ! โลกของเรา ธรรมให้ชำระที่โลกนี้ ถึงว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องจำกัดกิเลสของตนเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้บอกทางไว้ ให้เราก้าวเดินตามไป.. ก้าวเดินตามไป แต่การก้าวเดินไปข้างนอก ก้าวเดินแล้วมันจะได้ระยะทางเข้ามา นั่นล่ะ ที่ว่าเวลาปฏิบัติธรรมแล้ว เราไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
การสละออกต่างหาก การก้าวเดินของโลก การก้าวเดินไปบนถนน มันได้ระยะทางเป็นไมล์ เป็นกิโลไป แต่การก้าวเดินของใจ ความสงบของใจ การละวาง การปล่อย การละวาง การก้าวเดินเข้าไปภายใน
การก้าวเดิน ถ้าจิตมันไม่ก้าวเดิน จิตมันหมักหมมอยู่กับความคิดเดิม น้ำเน่า ! น้ำเน่า ! สิ่งที่อยู่ในน้ำเน่านั้นมันจะไม่เป็นประโยชน์เลย แล้วเอาไปรดต้นไม้ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ตรงนั้น
ถ้าน้ำมันยังเคลื่อนไหวอยู่ น้ำบริสุทธิ์มันจะเป็นประโยชน์กับสัตว์ น้ำเป็นประโยชน์กับเรา จิตที่สงบ ! ถ้ามันหมักหมมอยู่มันก็เป็นน้ำเน่า ถ้ามันก้าวเดิน มันก็หมุนเวียนของมัน
สัมมาสมาธิมีความรู้สึกรู้ตัวอยู่ ไม่ใช่ภวังค์ ! ถ้าภวังค์มันตกภวังค์ มันหายไปนะ นั่นน่ะน้ำเน่า แล้วมันจะไม่ได้ประโยชน์กับใคร มันจะเป็นพรหมลูกฟัก แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันจะมามีความรู้สึกตัวตลอดเวลา เหมือนกับมันเคลื่อนไหวอยู่
มันเคลื่อนไหวอยู่ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันสามารถจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ นั่นน่ะอธิศีลเกิดประโยชน์จากตรงนั้น แล้วจะมีอำนาจวาสนาอีกขั้นตอนหนึ่ง คือการยกขึ้นวิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ ถ้าใครเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นล่ะวิปัสสนาเกิดจากงานชอบ
ถ้างานชอบมันจะเป็นวิปัสสนาไปได้ แต่ถ้างานไม่ชอบมันเป็นแค่สมถะ ความเป็นสมถะมันรักษาความสงบของใจได้เท่านั้น แล้วก็เวิ้งว้างออกไปขนาดไหน มันเป็นขั้นของสมถะ เป็นความเห็นของสมถะ ไม่ใช่ความเห็นของปัญญา นี่ปัญญาฆ่ากิเลส ฆ่าตรงนี้ไง เพราะกิเลสมันอาศัยกายกับใจเป็นที่อยู่อาศัย
สติปัฏฐาน ๔ คือ เรื่องของกายกับใจ แล้วเราวิปัสสนามัน เราใคร่ครวญมันเข้าไป นั่นนะ พระออกหาธุดงค์ก็ธุดงค์หาใจของตัวเอง งานของการประพฤติปฏิบัติ กิริยาภายนอกนี้เป็นเรื่องของโลก โลกมันเกิดมาอย่างนั้น เราได้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มาจากการสะสม จากบุญกุศลของเรา ได้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ
มนุษย์สมบัติมีกายกับใจ แล้วได้ฟังธรรม ได้เชื่อธรรม ได้ศึกษาธรรม แล้วออกค้นคว้าหาไง... ออกค้นคว้าหา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระโมคคัลลานะเป็นพยาน พระโมคคัลลานะนี่ไปสวรรค์ไปชั้นไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก จริง ! จริง ! โดยตลอด สิ่งนั้นมีอยู่แต่ไม่มีพยานยืนยัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เทศนาว่าการ แต่ไม่พูดชัดเจน แต่ถ้ามีพยานยืนยัน สิ่งนั้นจริง.. สิ่งนั้นจริง
อันนี้ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติเพื่อค้นหาใจของเรา ถ้าเราจับใจของเราได้ เราวิปัสสนาใจของเราได้ เราจะเป็นพยานกับธรรมะ ว่าธรรมนี้มีจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้จริง แล้วมันก็จริงในหัวใจเรา ถ้าจริงในหัวใจเรา เราสามารถสื่อความหมาย เราสามารถบอกลักษณะ วิธีการ ขณะของจิตที่มันเป็นไป จิตที่มันพลิกจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคล (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)