เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา เรามาทำบุญทำกุศลกัน บุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เวลาทุกข์ขึ้นมานั้น มันทุกข์ในหัวใจ สิ่งใดไปแก้ไขไม่ได้หรอก ในครอบครัวของเราก็ได้แต่ปลอบประโลมกันภายนอก แต่ถ้ามันมีธรรมในหัวใจนะ มันมีที่พึ่งของมัน ถ้ามีที่พึ่งของมันแล้ว สิ่งใดที่เราประสบแล้ว เราประสบถึงความทุกข์ของเรานี่ มันมีที่พึ่งเห็นไหม

ความทุกข์! ความทุกข์มาจากไหน ความทุกข์เพราะเราไปคว้าไปหยิบมา แต่ถ้ามันไม่มีที่พึ่ง มันไปคว้าไปหยิบมาเหมือนอาหาร เด็กเห็นไหม หยิบอาหารขึ้นมา มันหยิบขึ้นมาใส่ปากหมด เพราะมันหิวกระหายของมัน หยิบสิ่งใด มันรู้ว่าเป็นสารพิษหรือไม่เป็นสารพิษ เด็กไม่รู้เรื่องหรอก มันหยิบได้ก็ใส่ปากหมดเลย ใจของคนไม่มีที่พึ่ง สิ่งใดที่กระทบมา ใจมันคว้าหมดเลย เห็นไหม

ฉะนั้น วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสำคัญของพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน อยู่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมะมันอยู่ที่ไหน

ในปัจจุบันนี้ เราอวดรู้ สุกก่อนห่าม รู้ก่อนครูไง ธรรมะเป็นความว่าง ธรรมะเป็นความสุข ความสุขจอมปลอม สุขแต่คิดกันเอาเองว่าเป็นความสุข...ความสุข ความสุขจริงหรือเปล่าล่ะ มันเป็นธรรมะ ธรรมะจริงไหม ถ้าธรรมะจริง ทำไมเราลังเลสงสัย มันธรรมะไม่จริงทั้งนั้นน่ะ ถ้าธรรมะจริงเพราะว่าอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะอะไร เพราะวันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทุกข์อยู่ ๒๙ ปี แล้วออกบวช ไปทุกข์อยู่อีก ๖ ปี วันนี้เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม และวันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน วันเกิด วันตรัสรู้ วันปรินิพพาน เป็นวันเดียวกัน เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา

พุทธศาสนาทำให้เรามีที่พึ่งในหัวใจกันไง ดูสิ คนเราต้องมีศาสนาเป็นที่พึ่ง แต่ศาสนาต่างๆ ก็มีลัทธิศาสนา แต่ไม่ใช่พุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เป็นพระอรหันต์เพราะว่าได้ชำระกิเลสในหัวใจหมดสิ้นไปแล้ว จบสิ้นไปแล้วถึงเป็นพระอรหันต์

เป็นพระอรหันต์เพราะเหตุใด เพราะว่าตั้งแต่วันนี้ วันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอะไร ตรัสรู้ธรรมในหัวใจไง ในหัวใจที่มันหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาไง ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจขึ้นมา นี่ปฏิสนธิจิตมันเกิดอย่างไร มนุษย์เกิดมาจากไหน เกิดแล้วมาทุกข์อยู่นี้ มันมาจากไหน แล้วมันมาคร่ำครวญ ร่ำร้องกันอยู่นี่ มันมาได้อย่างไร

แล้ววันนี้ วันที่ตรัสรู้ธรรม มันชำระในหัวใจสิ้นไป มันสิ้นไปอย่างไร สิ้นไปแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่อีก ๔๕ ปีนี่ มันอยู่อย่างไร คนที่สิ้นกิเลสไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่เห็นไหม ดำรงชีวิตอย่างไร

นี่เป็นตัวอย่างของเรา เพราะเรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เรามีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัย เราเกิดมาในพุทธศาสดา ดูสิ ดูพ่อแม่ของเราเห็นไหม ไอ้ยิ้มสยาม! ยิ้มสยามนี่! มันยิ้มออกมาจากใจ มันมาจากความรู้สึกของใจไง มันเหมือนกับศาสนามีข้อเท็จจริง มีเนื้อหาสาระ

ถ้ามีเนื้อหาสาระ มันเข้าไปถึงหัวใจ หัวใจมันให้อภัย เวลาหัวใจที่สูงกว่า ดูสิ เราเป็นผู้ใหญ่เรามองเด็ก เด็กมันไม่รู้เรื่องของมัน มันไร้เดียงสามันก็น่ารักไปอย่างหนึ่ง แต่เด็กพอมันรู้ขึ้นมานะ มันก็มีการต่อรองของมัน นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของผู้ที่พ้นจากกิเลสไปแล้วนี่ มันดูหัวใจของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยนะ ถ้าพูดถึงผู้ที่พ้นจากกิเลสไปแล้ว มองเราเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเลย เพราะมันไม่รู้ประสีประสาของมัน แต่ถ้าจิตมันพ้นไปแล้วนะ มันรู้ประสีประสาของมัน เหมือนเรา ดูสิ ดูวัว ดูควายสิ เวลาเขาจูงไป มันกินหญ้า มันเล็มหญ้าไปเรื่อยของมัน ชีวิตก็มีความสุขของมัน

เราว่านิพพานสงบเย็น...สงบเย็น...ก็สงบเหมือนควายไง ควายมันกินหญ้าเสร็จแล้วมันก็นอนแช่น้ำ สงบเย็นๆ ของมันน่ะ อะไรมันสงบเย็นล่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานคืออะไร นิพพานคือสิ้นกิเลส ถ้าสิ้นกิเลสอะไรมันสิ้น ถ้าหัวใจมันสิ้น มันสิ้นได้เพราะเหตุใด

เรามีศาสนาเป็นที่พึ่ง วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราถึงมีความสำคัญนะ ถ้าไม่มีความสำคัญในพุทธศาสนา ดูสิ เขาไปกราบต้นไม้กัน ไปกราบสิ่งมหัศจรรย์กัน นั้นน่ะเขาว่าเป็นชาวพุทธเห็นไหม นั่นน่ะเพราะมันไม่มีหลักใจ

หลักใจ! แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือ ธรรมะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาน่ะ ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม ๆ กราบธรรมอะไร กราบธรรมเพราะอะไร เพราะกิริยาของใจนะ

มรรคญาณ ดูสิ เราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เวลาใจมันทำงาน มันคว้ามาหมดเลย ทุกข์ยากนี่ เวลาคนอาบเหงื่อต่างน้ำ โอ้โฮ...คนนี้ทำงานหนักนะ คนนี้มีความทุกข์นะ เวลาคนบริหารจัดการหัวใจ มันเครียด มันทุกข์ในหัวใจ มันจัดการไหม

พระนี่ โห...ไม่ทำอะไรเลยนะ วันๆ มีคนไปทำบุญพระนี่ พระนี่มีแต่ความสุข มีความสุขจริงหรือเปล่า ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์นะ หัวใจมันเร่าร้อนนะ พอหัวใจมันเร่าร้อนนี่ พระต้องเอาใจของตัวเองไว้ในอำนาจของเรา ต้องมีสติปัญญายับยั้งความคิดนี่ นี่กิริยาของใจไง

งานของพระคือ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ก็เห็นพระเดินไปเดินมาไม่ทำอะไรเลย เดินไปเดินมาก็เพื่อให้ใจสงบ นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อค้นคว้าหาหัวใจของเรา ถ้าคนยังหาหัวใจของตัวเองไม่เจอ จะไปทำอะไร ถ้าคนเราทำหัวใจให้สงบมาไม่ได้ เราจะแก้ไขสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ผู้ที่ทำกำหนดพุทโธ สมถะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไอ้สมถะนั่นล่ะ ทำให้คนร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมาได้ เพราะความร่มเย็นเป็นสุขของมันขึ้นมาแล้ว มันถึงจะทำกิจกรรมของมัน มันถึงกิริยาในหัวใจ ถ้ากิริยาในหัวใจนะ การเคลื่อนไหวของจิตเวลาจิตกำลังทำงานของมัน ดูปัญญาๆ นี่ ปัญญาที่เกิดขึ้นมา มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโดยสัญชาตญาณ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นเอง เหมือนเด็กเลย เด็กพอเจอพ่อแม่ก็แบมือๆ นะ พ่อแม่ก็ควักให้ๆๆ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ความคิดมันมีของมันอยู่แล้ว เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ใช่ไหม ความคิดก็มีของมันอยู่แล้ว ก็เหมือนกับมันออกมาจากใจโดยธรรมชาติของมันไง แต่เวลาปัญญาในพุทธศาสนาไม่มี ปัญญาในพุทธศาสนาเกิดมาจากไหน เวลาปัญญาขึ้นมา ปัญญากิเลสทั้งนั้นเลย โอ๋...นิพพานสงบเย็นโอ๋...นิพพานว่างหมดเลย กิเลสมันหลอกทั้งนั้น กิเลสมันเป็นอนุสัย

“มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดจากหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย” เกิดจากความดำริของเรา มารเกิดจากความดำริของเรา แล้วความคิดล่ะ ความคิดที่มันคิดขึ้นมานี่ ความคิดเห็นไหมมันคิด ความดำริคิดหรือยัง แล้วถ้าความคิด มันอยากกว่าความดำริไหม แล้วถ้ามันอยากความดำริ มารมันกินหัวไหม ความคิดทั้งหมดที่ออกมาจากความคิดของเรา มันเป็นกิเลสไหม มันเป็นกิเลสทั้งหมดเลย เพราะอะไร เพราะใจไม่สงบ

แต่ถ้าใจสงบนะ โอ่...หินทับหญ้า โอ๊ย! สงบไม่มีประโยชน์ ความสงบร่มเย็นอันนั้น อนุสัยที่มันนอนมา เพราะมันมีอนุสัย ดูสิ เวลาเราเปิดน้ำเห็นไหม น้ำมันขุ่น ขุ่นมาจากไหนล่ะ ขุ่นเพราะน้ำมันมีตะกอนมา ความคิดออกมาจากใจ มันมีกิเลส มันเหมือนน้ำขุ่น ตะกอนนั้นออกมา

ถ้าอนุสัยมันนอนเนื่องมากับความคิด มันนอนเนื่องมากับใจ ความคิดทั้งหมดของเรา มันมีอวิชชา มันมีกิเลสมาด้วย แต่เราสมถะ! สมถะนี่! น้ำขุ่น น้ำสารพิษ น้ำต่างๆ น้ำสกปรก เราใช้ได้ไหม เราก็ต้องรีไซเคิลใช่ไหม เราก็ต้องทำความสะอาดใช่ไหม

จิตของเรา ความคิดน่ะมันสกปรก ความคิดมันคิดด้วยอวิชชา ความคิดมันคิดด้วยความนอนใจ ความคิดมันคิดโดยสามัญสำนึก มันคิดโดยจริตนิสัยของคน จริตของคน โทสจริต โมหจริต โลภจริต ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจริตของคน สิ่งนี้มันนอนเนื่องมากับใจ ความคิดของคน มันต้องนอนเนื่องมากับกิเลสทั้งหมด แล้วสมถะที่ไม่มีประโยชน์ น้ำที่มันเป็นพิษใช่ไหม เราก็ต้องกรองใช่ไหม เราต้องทำให้มันสะอาดใช่ไหม เพื่อความมีประโยชน์กับเรา

จิตของเรา ของเราแท้ๆ ความรู้สึกของเราแท้ๆ กิเลสมันขี่หัวมา ศึกษาพุทธศาสนาก็ศึกษาด้วยกิเลส เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติกิเลส เวลากิเลสปฏิบัติแล้วนะ มันก็เป็นวิปัสสนึก มันก็นึกเอา คาดหมายเอา จินตนาการเอา แล้วเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา โอ้...มีปัญญากันหมดล่ะ ศึกษามาทุกคนมีปัญญากันทั้งนั้นล่ะ แต่ปัญญาของโลก

โลกคืออะไร โลกคือโลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือภวาสวะ โลกคือภพ โลกคือความรู้สึก เพราะความรู้สึกนี้เป็นโลกเห็นไหม โลกนี้มันเป็นฐาน ความคิดๆ จากโลก คิดจากกิเลส คิดจากอวิชชา คิดจากมาร มันจะเป็นความจริงไปได้ไหม

การศึกษาเป็นปริยัตินะ การศึกษาเห็นไหม ดูสิ ปัญญาของเรา การบริหารจัดการ การแข่งขัน แข่งขันด้วยปัญญา แข่งด้วยทรัพยากรมนุษย์ ถ้าทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพ ทรัพยากรมนุษย์ต้องมีการศึกษา ทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความเข้มแข็ง แต่นี่มันเข้มแข็งแบบโลก

ฉะนั้นในปัจจุบัน ทรัพยากรมนุษย์ต้องมีศีลธรรม ต้องมีจริยธรรม ต้องมีอีคิว ต้องมีการยับยั้ง นี่ปัญญานี่ปัญญาของใคร ปัญญาของโลกเห็นไหม ปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาของธรรม ดูสิ ผู้ที่ผ่านโลกมามาก เขานั่งอยู่บ้านเฉยๆ เขารู้การเคลื่อนไหวของโลกหมดเลย เขารู้ไปทุกอย่างเลย เพราะประสบการณ์ในชีวิตของเขา เขาเข้าใจได้ทุกๆ อย่างเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าใจโลกทัศน์ เราควบคุมใจของเราแล้ว “ใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง” ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมวันนี้ เสวยวิมุตติสุขอยู่ สุขมาก สุขเพราะอะไร สุขเพราะมันไม่เคลื่อนออกไปข้างนอก มันไม่ไปคว้าสิ่งใดที่เป็นพิษเข้ามาถึงจิตเลย จิตไม่คว้าสิ่งใดที่เป็นพิษเลย เพราะมันมีของมัน พลังงานมันมีของมัน แต่มันไม่คว้าสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาถึงตัว

แต่เห็นมองไปทางโลก เขาคว้ากัน เขาตะครุบกัน เขาตะครุบเงา เขาหาแต่สิ่งที่เป็นพิษหมดเลย มันสังเวชไหม มันสังเวชนะ นี่ธรรมสังเวช มองโลกแล้วมันสังเวช สังเวชเพราะอะไรเพราะจิตใจมันได้ปล่อยวางสิ่งนั้นมา ถ้ามันปล่อยวางสิ่งนั้นมา มันเป็นอิสรภาพของมัน ถ้ามีอิสรภาพของมัน มันมีอิสรภาพเพราะเหตุใด

เวลาพระอรหันต์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “ใครทรมานมา ใครเป็นคนชี้นำมา” มันจะมาอย่างไร มันจะมาได้อย่างไร ถนนหนทางมีมา ยังหลงแล้วหลงอีก มาแล้วก็มีแต่หลงไปหมด ขนาดถนนหนทางมันยังพาหลง แล้วทางที่ไม่มีทางเดิน มัคโค ทางอันเอกที่ไม่มีทางเดิน มันจะเดินอย่างไร มันจะเข้าไปชำระมันอย่างไร นี่มันไม่มีทางเดิน

แต่! แต่เวไนยสัตว์ แต่เป็นความจริง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ หมายถึงว่า ผู้ที่บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน จะบรรลุเหมือนกันหมด ผู้ที่บรรลุธรรม โสดาบัน สกิทาคามี พระอรหันต์เหมือนกันหมด ทางอันเอก มัคโคมีหนึ่งเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ สาวก สาวกะ อัครสาวกต่างๆ ก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ มันมีคุณค่าเท่ากัน แล้วพูดกันไม่ได้ใช่ไหม คนที่มีคุณค่าเท่ากัน คนที่มีความสามารถเท่ากัน คนที่มีรู้ความเหมือนกัน พูดกันไม่รู้เรื่องหรือ

...รู้เรื่อง...พูดกันได้ แต่พูดกันนี่ สัจธรรมมีหนึ่งเดียว ถ้าสัจธรรมมีหนึ่งเดียว การประพฤติปฏิบัติ มันต้องเข้ามาถึงสัจธรรมอย่างนี้ ถ้าสัจธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาเราถึงมีคุณค่า

วันนี้วันสำคัญเห็นไหม เรามีความสำคัญ เราถึงพาหัวใจเรามาทำบุญกุศล ถ้าเราไม่มีความสำคัญนะ เพราะเราไม่มีความสำคัญ ทุกอย่างจะไม่มีความสำคัญเลย โลกนี้ไม่มีความสำคัญเลย โลกนี้ของมันเล็กน้อย ไม่จำเป็น ! ไม่จำเป็น! แต่เวลาทุกข์นะ น้ำตาไหลพรากเลย ทำไมเกิดแล้วมันทุกข์ โหย...ทุกข์มากเลย

อ้าว! ก็ไม่จำเป็นอ่ะ ไม่จำเป็น... อย่าร้องไห้สิ เวลาทุกข์อย่าฝังใจว่า อย่าให้มันทุกข์สิ ก็ไม่จำเป็น ทุกข์ก็ไม่จำเป็น ทุกข์ก็ไม่มี นรกสวรรค์ก็ไม่มี บุญก็ไม่มี ทุกข์ก็ต้องไม่มี!! ความเดือดร้อนคับแค้นใจก็ต้องไม่มี!! ความเดือดร้อนคับแค้นใจหมายถึงทุกข์ใช่ไหม

ที่ไหนมีทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มันมีของมัน ถ้ามีของมัน ทุกข์แก้ไขได้ “สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” สิ่งใดที่เป็นทุกข์ ทุกข์นั้นมันมีจริงกับเรานะ ถ้าเรามีความทุกข์มากๆ อยู่ในหัวใจของเรา เรากระอักเลือดเลย แล้วทำไมทุกข์มันคลายไปละ มันคลายไปของมัน

แต่เพราะกิเลสตัณหามันอยากเห็นไหม เวลาทุกข์ขึ้นมามันชอบ เวลาทุกข์ขึ้นมานี่ เวลาของเหม็นชอบดม เวลาอะไรทุกข์ขึ้นมา คิดแล้ว คิดอีก คิดแต่เรื่องทุกข์ๆ นั้นน่ะ ไอ้เรื่องดีๆ มันไม่คิด

นี่ไง แล้วถ้ามีสติปัญญา เวลามันคิดก็ตบหัวมัน! ตบหัวมันคือสติปัญญา เราตบความคิดไง ตบหัวใจ “เองคิดอีกแล้วนะ...เดี๋ยวน้ำตาเองจะไหล... เองคิดอีกแล้วนะ” สติมันทัน เห็นไหม นี่ระหว่างฝึกฝนนะ เวลาฝึกฝนไป แต่พอฝึกฝนไปถึงที่สุดแล้วนะ ความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน

เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เป็นของเราไหม เราใส่มันมานี่ มันไม่เป็นของเราใช่ไหม เวลาเราเปลี่ยนเสื้อผ้าออก เราก็เปลี่ยนอาภรณ์ออกเห็นไหม ความคิดมันก็เหมือนอาภรณ์ของใจ แล้วเวลามันหลุดออกไป เวลาเราแก้ไขมัน คือมันหยุดได้ ยับยั้งได้ เปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น เปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น เปลี่ยนแปลงให้มันเป็นไปเห็นไหม เปลี่ยนแปลงเพราะอะไร

เปลี่ยนแปลงเพราะเราเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เวลาหัวใจเรารื่นเริงอาจหาญนะ กูเป็นอย่างนี้โว๊ย! กูเป็นอย่างนี้ มาดูเลย! มาดูเลย!

แต่พอกูทุกข์ ไม่อยากให้ใครมาเห็นนะ นี่โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม โอปนยิโก ถามใจตัวเอง!! โอปนยิโกอ่ะ...ดูใจตัวเอง! ย้อนกลับ! ย้อนกลับ! ย้อนกลับ! ย้อนกลับ! ทวนกระแสมา ถามใจตัวเอง...ถามใจตัวเอง...ความลับไม่มีในโลก เราเป็นคนทำ เราเป็นคนรู้ ทำดีก็รู้ ทำชั่วก็รู้ หัวใจดวงนี้มันเป็นคนรู้ ความลับไม่มีในโลก ถ้ามันมีสิ่งใดในหัวใจ มันต้องค้นหาของมันได้ แต่ถ้าเรารื้อค้นธรรมะจนสะอาดสะอ้านแล้ว มันทำของมันได้ นี่แก่นของศาสนา!!!

เราทำบุญทำกุศลขึ้นมา เพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่วันวิสาขบูชา ก็ทำเพื่อหัวใจของเราไง หัวใจของเราได้เสียสละ อย่างน้อยมันก็ได้มาเห็นสภาพ เห็นความเป็นไป เห็นของบัณฑิตๆ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้หวังดีต่อกัน จะเตือนกัน

อเสวนา จ พาลานํ คนชั่ว คนที่จะชักนำเราไปในทางที่ผิด คนจะชักนำไปในทางที่ไหน เราไม่คบ ไม่หา เราไม่เป็นไป เวลาไปทำบุญกุศล เขาบอก “ไปทำไม ทำไมไม่เก็บไว้ใช้เอง” เก็บไว้ใช้เองกินจนตาย กินแล้วกินอีก มันก็กินเพื่อภพ เพื่อหัวใจ แล้วมันได้อะไรขึ้นมา กินก็พอมีปัจจัย ๔ เสียสละให้คนอื่น คนอื่นได้บุญกุศล นี่เสียสละในพุทธศาสนา

ในพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระจะเอาอะไรมาทำบุญ ไม่มีพระก็เป็นทาน แต่ถ้ามีพระก็เป็นบุญ บุญเพราะอะไร บุญเพราะว่าสิ่งนี้ การดำรงชีวิตนี่ ดูสิ เราเสียสละขึ้นมา เพื่อดำรงชีวิตให้ภิกษุ ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร จะได้รื้อค้น รื้อคว้า เพื่อหัวใจให้ผ่องแผ้ว หัวใจผ่องแผ้วได้บุญกุศล เพราะได้ปัจจัยเครื่องอาศัยไปจากเรา แล้วยังได้ทำอันนั้น เพื่อจะมาเจือเราอีกเห็นไหม บุญซับ บุญซ้อน ถ้าเรารู้จักบุญ

ถ้าไม่รู้จักบุญ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย มีแต่ทุกข์กับทุกข์ ทุกข์เหยียบย่ำหัวใจ แล้วทุกข์ก็เหยียบมันลงไป แต่เสียสละเพื่อหัวใจของเรา เพื่อบุญของเรา เพื่อครูบาอาจารย์ เพื่อผู้ประพฤติปฏิบัติจะได้หัวใจผ่องแผ้ว เพื่อจะได้ประโยชน์กับเรา

ประโยชน์กับเราคืออะไร คือสั่งสอนเรา คือแนะนำเรา คือบอกเรา เหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก เด็กมันจะรู้เองไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องแนะนำสอนมัน เด็กไม่ต้องมีใครสอนเลย มันจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันก็มีประสบการณ์ของมัน แล้วแต่เชาว์ปัญญามัน มีมากมีน้อยก็เรื่องของมัน แต่ถ้าผู้ใหญ่มีประสบการณ์ในชีวิต เราจะสอนมันได้

จิตก็เหมือนกัน “จากใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง” นี่บุญกุศล วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนานะ เพราะเราจะเห็นความสำคัญของตัวเราเอง เพราะศาสนาพุทธเรานี่ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

ปัจจัตตังคือรู้จำเพาะตน รู้ในหัวใจของตน รู้แล้วมันประเสริฐมาก พอประเสริฐขึ้นมาเห็นไหม เราบอกชี้แนะทางเขาได้ ชี้แนะทางเขา เพราะสิ่งที่ประเสริฐแล้วนี่ มันไม่ได้เหนือจากคุณค่าที่เราประสบมาหรอก

ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่เป็นโลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ต่างๆ ไม่มีคุณค่า เท่ากับหัวใจที่เรามีคุณค่าแล้ว ถ้าหัวใจเรามีคุณค่าแล้ว เราจะไปเกลือกกลั้วกับสิ่งสกปรกมันทำไม ในเมื่อเราไม่เกลือกกลั้วสิ่งสกปรก เราก็ชี้นำเขา บอกเขาให้ขึ้นมาให้พ้นจากความสกปรกนั้นเท่านั้น ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติแล้ว ถึงไม่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ ไอ้ของโลกๆ !! เอวัง