เทศน์เช้า

คนเป็นอาวุธ

๑๕ ก.ย. ๒๕๔๔

 

คนเป็นอาวุธ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เหมาเจ๋อตุงเขาบอกว่า “มนุษย์นี้เปรียบเหมือนอาวุธ” แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า “มนุษย์นี้ใจประเสริฐกว่า” ถ้ามนุษย์นี้เปรียบเหมือนอาวุธ อาวุธในการต่อสู้ไง อันนี้ก็เหมือนกัน เหตุที่เกิดขึ้นน่ะเพราะเรื่องของมนุษย์ มนุษย์เป็นใหญ่ เอามนุษย์จากข้างในทำลายกันข้างในเอง มนุษย์นี้เป็นอาวุธไง

แต่ถ้าทางโลก ความเจริญของโลก เอาว่าโลกเจริญ ๆ แล้วโลกมีความสุขมาก โลกเจริญมีความสุขมาก เขาคิดแต่ว่าเรื่องของโลกเขา แต่ทางเอเชียนี้พูดถึงเรื่องของน้ำใจก่อน เรื่องของศีลธรรม เรื่องของจริยธรรม แต่ทางนู้นพูดถึงวัตถุไง วัตถุเขาสร้างขึ้นมาขนาดไหนก็แล้วแต่มันก็ต้องเจือจานไป เทคโนโลยีมันตามทันกันได้ไง พอมันตามทันกันได้ ใครจะควบคุม มันก็ควบคุมไม่ได้ทั้งหมด

นี่มันถึงว่าย้อนกลับมา เขาเห็นว่ามนุษย์นี้เป็นอาวุธ มนุษย์นี้พลิกแพลงได้ แต่เราในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าบอกว่า “ใจในมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด” ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่าง ใจเป็นคนนำคิด ถ้าใจคิดจะทำอะไรแล้วใจตัวนั้นสำคัญที่สุด นี่มันถึงย้อนกลับมาเรื่องของน้ำใจ แล้วใจนี่มันสะสม มนุษย์มันแปลกประหลาดด้วย แปลกประหลาดที่ว่าไอคิวของคนไม่เหมือนกัน ไอคิวของคนบางคนนี่สูงส่งมากเลย เก่งปราดเปรื่องมาก บางคนนี่เกิดมาแล้วหัวทึบ หัวสมองไม่ปลอดโปร่ง บางคนเกิดมาไม่สมประกอบด้วย

อันนี้มันย้อนกลับไปว่า เรื่องของน้ำใจในมนุษย์นั้นน่ะมันยังสะสมของมันมาต่างหากอีก เราพูดกันแต่ชาติปัจจุบันนี้ว่า มนุษย์นี้เป็นอาวุธ แล้วมนุษย์นี้ก็เกิดตาย ๆ มองกันแค่นั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองย้อนกลับไปถึงอดีตชาติ ย้อนกลับไปการสะสมของใจมา ใจสะสมอย่างไรมามันถึงจะย้อนออกมาแล้วมันถึงมาเป็นความคิดความเห็นของแต่ละบุคคล มันถึงเป็นอัจฉริยะแต่ละบุคคล ที่เป็นอัจฉริยะนี่มันต้องสะสมมา มันถึงมีพุทธภูมิไง พุทธภูมิการสะสมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สะสมบารมีมา

ถ้าผู้สะสมบารมีมา มันก็มีมาเกิดตาย ๆ ในมนุษย์นี่ มันมีสะสมมันปนเปมา แม้แต่ไม่มีศาสนายังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องมาตรัสรู้ธรรมนี่ มันลึกซึ้งกว่าพระอรหันต์ เพราะต้องค้นคว้าหาเอง พระอรหันต์เราหาขึ้นมานี่ พระอรหันต์สาวกสาวกะผู้ได้ยินได้ฟังนี่ มันก็ต้องสะสมบารมีมาเหมือนกัน สะสมบารมีมาจนกว่าจะเข้าถึงความเข้าใจ เพราะมันลึกซึ้งจน เห็นไหม ลึกละเอียด ลึกมาก กว้างขวางมาก จนสามารถเข้าไปจับต้องได้ยาก แต่เพราะไอ้สิ่งที่สะสมมา สิ่งที่เกิดตาย ไอ้สิ่งนี้บารมีสะสมมา ความสะสมมาอันนั้นน่ะมันก็เข้ากันได้ มันถึงจะมีอัจฉริยภาพ มันถึงจะมีสิ่งที่ว่ามนุษย์ที่ประเสริฐ มนุษย์ที่ว่าเป็นไป

ย้อนกลับมาเรื่องของใจ อันนี้ก็เหมือนกัน เราก็มาสะสมของเรา ถ้าเราสะสมใจของเราได้ เราพยายามทำใจของเรา เราเห็นตรงนั้นมันเป็นคุณค่ากลับมา ย้อนกลับมาที่เราไง ย้อนกลับมาที่เราว่าเราจะสะสมดวงใจดวงนี้ ถ้ามันไม่ถึงที่สุดได้มันก็ต้องสะสมไปเพื่อจะให้ถึงที่สุดได้ เพราะอำนาจวาสนาบารมี มันต้องมีอำนาจวาสนาบารมีมา เห็นไหม แสนกัป ในพระอรหันต์แต่ละองค์สร้างบารมีมาแสนกัป แต่ในชีวิตของเรานี่มันสร้างมามันเกินแสนกัป ทุกชีวิตเกินแสนกัป เพราะว่าการเกิดการตายไม่มีต้นและไม่มีปลาย มันเกินแสนกัป เกินทุก ๆ ดวงใจ เพียงแต่ว่ามันเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่กี่กัปมา ตั้งแต่กี่ชาติมาเท่านั้นน่ะ มันไม่ปรารถนา มันไม่นับหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรานับหนึ่งเราตั้งต้นไปนี่ แสนกัปเห็นไหม ในอภิธรรมว่าหนึ่งแสนกัป พระอรหันต์ต้องสร้างบารมีหนึ่งแสนกัป แต่ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย แต่พระอรหันต์นี่หนึ่งแสนกัปเท่านั้นถึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงว่าจะมีบารมีสะสมถึงเป็นพระอรหันต์

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราสร้างตั้งแต่ตอนนี้ เราสะสมของเราไป มันจะเป็นไปได้ ความเป็นไปของอันนั้น อันนั้นหนึ่ง แล้วถ้ามันเป็นในชาติปัจจุบันนี้ล่ะ ในชาติปัจจุบันนี้เราสะสมของเรามาแล้วน่ะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่เคยสะสมมา เราสะสมของเรามาแล้วเพราะว่ามันเกินอยู่แล้วเพราะไม่มีต้น คำว่า “ไม่มีต้นไม่มีปลาย” นี่มันไม่มีจุดที่นับ พอไม่มีจุดที่นับมันก็นับหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ได้ มันต้องสะสมไป ถ้ามันเข้าถึงธรรมชาตินี้มันก็เข้าถึงธรรมชาตินี้ได้ใช่ไหม มันถึงว่าเวลามันนับหนึ่งชาตินี้ที่ไหน...ไม่ได้นับหนึ่งชาตินี้

อันนี้เรื่องของใจ ถ้าใจเป็นไปนะ ใจเป็นไปแล้วมีศาสนธรรม ถ้าใจไม่เป็นไปนี่ใจมัน ๕๐-๕๐ มันก้ำกึ่งน่ะ มันจะไปทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ ไอ้ตรงนี้เราอาศัยศาสนาเป็นตัวหลัก ถ้าอาศัยศาสนาเป็นตัวหลัก ศาสนธรรมเป็นคำสั่งสอน ศาสนธรรมเป็นที่พึ่ง เห็นไหม แก้วสารพัดนึก ถ้าเราเกาะตรงนี้ไป เราพยายามเหนี่ยวเราเข้าไปหาในทางของคุณงามความดี ถ้าใจเข้าถึงคุณงามความดี ใจถ้าคิดเป็นประเสริฐ พวกนักวิทยาศาสตร์น่ะคิดเป็นประโยชน์กับโลกนี่ เป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย คนคิดทำก่อการร้าย คิดทำความไม่ดี เห็นไหม มันก็ใช้ความคิดวางแผนซับซ้อนมากขนาดไหนมันก็ต้องใช้ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดนั้นมันความคิดที่ทำลาย

ในความคิดของเราก็เหมือนกัน ในความเห็นของใจเหมือนกัน ถ้ามันทำลายโอกาสของตัวเอง โอกาสตัวเองที่มี โอกาสที่จะประพฤติปฏิบัตินี่มันมีโอกาสอยู่แล้ว ทำไมทำลายโอกาส? ทำลายโอกาสนี่ทำลายสิ่งที่เห็นว่าไม่มีคุณค่าน่ะมันเป็นคุณค่าเลย โอกาสที่กว่าจะพบพระพุทธศาสนา ใครจะเกิดเป็นสหชาติต้องอธิษฐาน อธิษฐานมาเกิดพร้อมกับสหชาติ เกิดพร้อมพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เกิดพร้อมกับในสังคมนี้ร่มเย็นเป็นสุข

นี่ความปรารถนา ความเกิดมาต้องการสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เกิดในประเทศอันสมควรเป็นมงคล ๓๘ ประการ เกิดในประเทศอันสมควร สัมมาสมาธิ เกิดมาในความเห็นถูกต้อง นี่ความเกิดนั้นน่ะเราพร้อมอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้พร้อมหมดนะ ทุกคนนี่พร้อมหมดเลย เพราะอะไร? เพราะว่าทุกอย่างมันมีพร้อมไง ขาดอย่างเดียว ขาดแต่ความจงใจของเรา ขาดแต่ความจริงจังของเรา ขาดแต่ความเห็นของเราที่จะทำให้เห็นได้

ถ้าโลกนี้เป็นภัยย้อนกลับไปนี่ ความคิดอย่างนั้นถ้าอยู่ในสภาพอย่างนั้นน่ะ มันต้องหมดไปชาติหนึ่ง ๆ มันเป็นภัยมากนะ เป็นภัยสำหรับว่าเราไม่รู้อุบัติเหตุ ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วมันเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวน่ะ นั่นถือว่าเป็นกรรมของเขา แต่ถ้ามันรู้สึกตัว เราทำตัวเอง เห็นไหม อันนั้นก็เป็นกรรมที่ว่าไม่เชื่อไม่ฟัง มันเป็นกรรมรุนแรง

อันนี้มันก็ต้องว่าย้อนกลับ พยายามดึงใจของเราเข้ามา เข้ามาหาหลักความจริงให้ได้ เข้ามาหาความจริง ความจริงในการเข้าหาถึงศูนย์กลางของใจ ความจริงเข้าไปเห็นของใจ แล้วมันทำลายตัวเองไม่ได้ มันจะสร้างแต่คุณงามความดีของตัวเองไป ถ้าสร้างคุณงามความดีของตัวเองไปนี่มันก็เข้ากับหลักของศาสนา มันจะเชื่อตรงนั้นไง ความจริงเรื่องศาสนานี้เน้นเรื่องใจนี้สำคัญ ใจในเรื่องกายของมนุษย์นี้สำคัญที่สุด เพราะใจมันคิดได้ ใจมันแปรเปลี่ยนได้ ใจมันกลับกลอกได้

แต่ที่ว่าเราเน้นเรื่องใจแล้วพอใจมันเข้าถึงน่ะ พอใจมันเข้าถึงมันก็เป็นไปใช่ไหม มันเข้าถึงตรงนั้นมันเห็นคุณประโยชน์ มันไม่กล้าทำลายสิ่งที่เป็นประโยชน์นี้จะให้เป็นโทษได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต้องเป็นประโยชน์ สะสมประโยชน์ของเราขึ้นไป ประโยชน์ของเราเป็นพื้นฐานขึ้นมา แล้วมันจะสร้างสมขึ้นไป ทำความสงบของใจให้ได้ ทำโอกาสของตนน่ะ สร้างโอกาสของตนให้เป็นผลงานขึ้นมา โอกาสของตนเป็นโอกาสแล้วหลุดมือไปนี่มันก็เป็นการพลาดโอกาสไปแล้วชั้นหนึ่ง เป็นการพลาดโอกาสนะ โอกาสดี ๆ นี่ทำหลุดมือไปมันน่าเสียดายโอกาสนั้นมาก

แล้วเรามีโอกาสแล้วเราทำโอกาสนั้นให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วสร้างผลงานขึ้นมาด้วย ทำความสงบของเราขึ้นมาให้ได้ หาหลักใจให้ได้ไง ถ้าทำหลักใจของเราได้นี่ ทาน ศีล ภาวนา มีทานนี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ การทำบุญกุศลนี่มันเป็นประเสริฐ มันเข้ามาให้ใจนี่ควรแก่การงานหนึ่ง ทำให้เรามีหัวใจนี่มันผ่องแผ้วขึ้นมา แล้วความประพฤติปฏิบัติมันก็เหมือนกับถากถางเข้าไป คนมีทางไป คนไม่อั้นตู้มีถนนหนทางคล่องตัวไปนี่ไปได้สะดวกทางหนึ่ง คนเราไม่มีถนนหนทางเลย จะเริ่มต้นเดินทางก็ต้องมาถากถางทางของตัวเพื่อจะก้าวเดินออกไป มันเป็นป่ารกชัฏแล้วมันไปไม่ได้เลย

นี่อำนาจของทานมันจะให้ผลอย่างนั้น อำนาจของทานทำให้เรามีโอกาส ทำให้ช่องทางเราไปสะดวก แล้วเราประพฤติปฏิบัติถึงตัวเราไหม เราสร้างสม เราพยายามหาหลักใจของตัวเองได้ไหม ถ้าหาหลักใจของตัวเองได้ นั่นน่ะมันถึงจะว่าเข้าถึง จับตัวใจของตัวเองได้ ใจอยู่ที่ไหนไม่เคยจับต้องได้นะ มองไปที่ไหนจับต้องร่างกายนี้เป็นใจไปหมด ทุกอย่างเป็นใจไปหมด ความคิดก็เป็นใจไปหมด แต่มันไม่เคยเห็นใจ มันถึงลังเลสงสัย

พอทำความสงบของใจเข้าไปนี่ พอใจมันสงบเข้าไป มันถึงสัมมาสมาธิ นั่นน่ะมันจะเห็นใจของตัวเอง จับต้องใจของตัวเองได้ ถ้าจับต้องใจของตัวเองได้ นั่นน่ะมันถึงจะทำให้เรามั่นใจตัวเองไง ปัจจัตตังความรู้จำเพาะตนนะ จิตที่เวลาทุกข์ยากเจ็บปวดแสบร้อนนี่ มันเอาความร้อนมาให้ นั่นก็ปัจจัตตัง ใจดวงนั้นจะเร่าร้อนมาก ไม่มีใครจะร้อนเหมือนใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะอยู่ที่ไหนก็มีความร้อน

ถ้าใจดวงนั้นมันเข้าถึงหลักของความเย็น มันเข้าถึงสัจธรรมความจริง นี่ปัจจัตตัง มันจะร่มเย็นเป็นสุขของใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นยืนยันจากใจดวงนั้น ถ้ายืนยันจากใจดวงนั้นน่ะ ถึงว่ามันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความเห็นที่มหัศจรรย์มาก ใจดวงนั้นจะยืนยันจากหลักการความเป็นจริง แล้วจากหลักการความเป็นจริงนั้นน่ะ เริ่มต้นทำโอกาสของตัวให้เป็นผลงานขึ้นมา ผลงานของใจที่ค้นคว้าขึ้นมาอันนั้น นั่นน่ะใจมันถึงสำคัญขนาดนั้น

ใจเหมือนมันเป็นอีกมิติหนึ่งที่มีความรู้สึก ที่จับต้องได้ แล้วมันแก้ไขความเห็นของมันไปนี่ มันเลาะ มันปลดเปลื้องความเศร้าหมองของมันเอง ปลดเปลื้องแล้วพยายามหาความถูกต้องเข้าไป ความถูกต้องที่เป็นความเชื่อมันเป็นความถูกต้องที่เป็นความเชื่อ ก็น้อมนึกเข้ามา ความถูกต้องที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เห็นความถูกต้องแล้วสมุจเฉทปหานน่ะ มันสมุจเฉทปหานความคิดหยาบ ๆ ขาดออกไป ๆ มันจะไม่คิดสิ่งนั้นอีกเลยนะ เห็นความคิดสิ่งนั้นเป็นโทษ เป็นโทษขึ้นมานี่มันจะปล่อยวางความคิดสิ่งนั้นเป็นโทษ

นี่ใจมันสำคัญขนาดนั้น มันสร้างสมคุณงามความดีของมันขึ้นมาได้ แล้วมันทำลายหัวใจของมัน ทำลายพิษภัยในหัวใจของมัน ความพิษภัยในหัวใจของมันจนบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาในหัวใจอันนั้นน่ะ ใจมันถึงประเสริฐไง ใจถึงประเสริฐ แล้วใจถึงสะสมมา ใจมันต้องเป็นไปประสาของมัน มันเป็นไปมันหมุนเวียนไปเพราะอำนาจวาสนา กรรมวัฏวนมันหมุนไป หมุนไปวัฏวนหมุนไปอย่างนั้น ก็หมุนตามวัฏวนไป เราก็กลิ้งตามวัฏวนนั้นไป

ถ้าเราพยายามเอาตัวออกมาจากวัฏวน เราจะเอาตัวออกจากวัฏวนนี่เราก็ต้องทวนกระแส การทวนกระแสมันถึงต้องเริ่มต้นทำคุณงามความดี ใครเขาจะติเขาจะว่าเรื่องของเขานะ เขาจะติเขาจะว่าเป็นคนที่ไม่ฉลาด เป็นคนที่ไม่หาความสุขใส่ตัว ไอ้หาความสุขใส่ตัวของเขานั้นน่ะ มันเป็นความคิดของฝ่ายต่ำ ความคิดที่ว่า เอาความสุขใส่ตัวนี่มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งหมดเลย เพราะมันไม่มีแก่นสาร

สรรพสิ่งอะไรก็แล้วแต่ถ้ามีความสุข ความสุขจริง ๆ แล้วในศาสนาคือว่าความทุกข์อันละเอียด มันมีความพอใจไง แล้วความสุขนั้นมันก็เหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ เห็นไหม ความพอใจอันนั้นน่ะมันเหนี่ยวรั้งกับเราไว้ไม่ได้หรอก มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดที่ตกอยู่ใกล้กฎของอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นความสุขไปไม่ได้หรอก มันเป็นความพลัดพราก มันเป็นความเร่าร้อน มันเป็นความพอใจที่เหนี่ยวรั้งไว้ อยากจะให้สภาพเป็นอย่างนั้น หรือว่าถ้าเราอยู่กับสิ่งนั้นเกินความพอดีไป อยู่กับสิ่งนั้นนานไปมันก็เบื่อ ความสุขอันใหม่มันก็ต้องเบื่อหน่าย

นี่ความสุขจริง ๆ แล้วคือความทุกข์อันละเอียด แต่เราไม่เข้าใจ โลกนี้ถึงไม่มีความสุขแท้ มันมีแต่ความสุขแท้คือความปล่อยวางเท่านั้น ความปล่อยวางตามหลักความจริง เขาจะว่าเราโง่เราฉลาด ไอ้คนที่ว่ามันฉลาด ๆ นั่นน่ะมันพยายามตักตวงสิ่งที่ว่าไม่เป็นสาระใส่ใจของมัน แล้วเราทิ้ง ทางโลกเขาเห็นนะว่าเราสละขาดออกไป เราทิ้งออกไป เราทำได้อย่างไร ต้องเสียเวล่ำเวลาทุกอย่าง ต้องเสียโอกาส เสียเวลาของเรา เสียการเสียงานของเราเพื่อแสวงหาบุญ นี่เขาว่าทางโลกน่ะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ของเขาทางโลกเป็นผู้ที่สละออก เป็นผู้ที่ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

แต่ในหัวใจมันเจริญเติบโตขึ้นมาไหม ในทางหัวใจมันเจริญเติบโตขึ้นมา มันเข้มแข็งขึ้นมา มันยืนหลักของมันขึ้นมาได้ มันไม่เตาะแตะเหมือนเก่า มันเข้มแข็ง มันสามารถแยกแยะสิ่งใด ๆ ได้ นี่เป็นการพัฒนาตัวมันเองขึ้นมา โลกเขาจะพูดอย่างไรเป็นเรื่องของโลกเขา นี่เรื่องของโลกเขา ความทำลายกันอย่างนั้นน่ะเขาว่าเป็นปัญญาอันประเสริฐมาก เป็นทำลาย มันยิ่งทำลายกันขนาดไหนนะมันก็ยิ่งผูกโกรธผูกอาฆาตไปตลอด การทำลายอย่างนั้นมันก็ต้องใช้เวรใช้กรรมกันไปตลอด มันใช้เวรใช้กรรม อัจฉริยภาพใช้ในทางที่ผิด

นี่สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ความเห็นชอบถึงเป็นประโยชน์กับเรื่องของเรามาก ความเห็นชอบ เราใช้ชีวิตของเราถูกต้องแล้วหนึ่ง ยังใช้ชีวิตของเราพยายามเอาหัวใจให้พ้นไปอีกเพราะอะไร? เพราะจะพ้นไปจากวัฏฏะไง ไม่ต้องมาเกิดตายซ้ำตายซาก เกิดตายซ้ำตายซากในวัฏวนนี่ มันก็อาศัยบุญกุศล ถ้ามีบุญกุศลมันมีความสุขพอสมควร

อย่างเช่นเรานี่มีบุญกุศล เห็นไหม เราอุตส่าห์มาทำกันนี่ มันทุกข์ขนาดไหน มันพยายามมาทำ มันเป็นความทุกข์ของเขา แต่มันมีบุญกุศลเพราะมันชื่นใจไง มันมีที่ยึดมันมีหลัก หลักใจของเรามี กับคนที่อวดเก่ง ว่าเก่ง ๆ นั่นน่ะ แต่หัวใจเร่าร้อน แล้วหัวใจไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ จะไปไหนก็ไม่รู้ ยืนอยู่กลางทะเลทราย ร้อนแสนร้อนก็ไม่รู้ ไม่มีเครื่องอาศัยแต่ยังอวดเก่งไง

มันเก่งแต่ปาก หัวใจไม่เก่งจริงหรอก ทำบุญกุศลของเรานี่มันจะทุกข์ร้อนขนาดไหน แต่มันยืนอยู่ในแม่น้ำ อยู่ในที่ชุ่มชื้น อยู่ในความสุขของเรา แต่ในเรื่องของการเกิดในโลกมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันมีทุกข์มีสุขในโลกของมันเป็นไปธรรมชาติของมัน แต่ในเมื่อเราเกิดเราตายขึ้นมาเราก็ต้องหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา เป็นไปได้ จนกว่าเราจะพ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายในโลกนี้ ไม่ต้องไปยุ่งกับโลกเขาอีก เรื่องโลกให้เป็นเรื่องโลก

เรื่องของหัวใจ เห็นไหม เขาว่ามนุษย์นี้เป็นอาวุธ เขาพูดกันแต่มนุษย์ เพราะเขาเป็นคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุงเป็นคนพูดว่ามนุษย์นี้เป็นอาวุธ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “หัวใจในมนุษย์นั้นประเสริฐกว่า” หัวใจมนุษย์เห็นไหม ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจเป็นทุก ๆ อย่าง มนุษย์นั้นสำคัญที่ใจ

แล้วสอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรม พลิกแพลงหัวใจจากการเบียดเบียนกัน ให้เป็นการทำกิเลสของตน เพราะว่าการทำหัวใจของตนนั้นมรรคอริยสัจจังจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจดวงนั้น คนคนนั้นต่างหากทำให้ใจของตนหลุดพ้นไปได้ คนอื่นทำไม่ได้ คนอื่นชี้นำเท่านั้น ใจเท่านั้นมันเป็นสิ่งลึกลับในหัวใจ แล้วใจเท่านั้นเป็นผู้พลิกแพลงได้ พลิกแพลงในทางธรรมไง พลิกแพลงในศาสนธรรม ในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเหนี่ยวรั้งเข้ามาในใจของเราได้ เราทำของเราขึ้นมาจนสมกับเป็นว่าปัจจัตตังรู้จำเพาะตนเหมือนกัน เอวัง