ชีวิตใหม่
เทศน์เช้า วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ศาสนาอยู่คู่โลก เรามีวาสนามากเพราะเราเกิดมาแล้วเราได้พบพระพุทธศาสนา ศาสนานี้อยู่คู่โลกแต่ไม่จริงหรอก ศาสนาไม่ได้อยู่คู่โลก มีศาสนาเพราะพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม แล้วถึงวางศาสนาไว้ แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ฉะนั้นศาสนากับโลกจึงยังอยู่ด้วยกัน แต่ศาสนานี้จะเสื่อมไปหมดไปเป็นธรรมดา ศาสนานี้อยู่ได้เพราะพระสงฆ์เป็นผู้จรรโลงไว้ พระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดศาสนาไว้ แต่เดิมพอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็บอกกล่าวกันมา จำกันมาสอนกันมาในทางการทรงจำ ทรงจำกันมา สืบทอดกันมาเป็นหลักของศาสนา แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเห็นไหม ศาสนานั้นถึงได้ว่ามีอยู่ในโลกอยู่แล้ว เพราะเราเกิดมาพบกับศาสนา
แต่ศาสนานี้จะไม่อยู่อย่างนี้ตลอดไป ถึงเวลาภัทรกัป เวลาหมดศาสนา พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ถ้าศาสนามีอยู่ พระพุทธเจ้าจะไปศึกษา ก็ต้องมีหลักศาสนาให้พระพุทธเจ้าศึกษาสิ แต่ทำไมหลักของศาสนาไม่มี สมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่มีหลักศาสนาให้ศึกษา เห็นไหม ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็หลงไปตามลัทธินั้น ไม่ได้เป็นตามความเป็นจริงในศาสนา แต่เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมนั้นจึงเป็นศาสนธรรม ถึงชำระกิเลสได้จริง เห็นไหม ศาสนามีเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นเจ้าของศาสนา แล้ววางศาสนาไว้
แล้วเราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้น เป็นบุญกุศลขนาดไหน บุญกุศลที่เราเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา ในชีวิตเรานี้เกิดมาท่ามกลางโลกนี้ที่ร่มเย็นเป็นสุขไง นี้คือ ศาสนธรรมคำสั่งสอน เพราะมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าใครประพฤติปฏิบัติธรรม คนนั้นจะมีความเย็นในหัวใจ คนนั้นจะมีความอิ่มเอิบในหัวใจ ในหัวใจจะมีที่พึ่งมีที่อาศัย ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นไหม จะมีแต่ความเร่าร้อน แล้วเมื่อเราเร่าร้อนอะไรจะแก้ได้ เวลาเราร้อน ถ้าร้อนกายพอเราเข้าห้องน้ำอาบน้ำ ยังให้ความเย็นแก่ร่างกายได้ แต่หัวใจเวลามันร้อนนั้น จะทำอย่างไรให้มันร่มเย็นเป็นสุข ก็มีแต่ศาสนธรรมไง
เรามองกันหยาบเกินไป อย่างศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเป็นกรอบของใจ ไม่ให้ใจคิดไปตามอิสรเสรีของมัน ใจนั้นเหมือนเด็กเล็กๆ เห็นไหม มันคิดตามอิสรเสรีของมัน แล้วมันก็คิดเอาแต่ความร้อนมาเผาตัวมันเอง โดยที่มันไม่รู้สึกตัว มันไม่รู้สึกตัว เพราะว่าอันนั้นมันเป็นอกุศล เป็นความคิดที่ผิด มันถึงเผาตัวมันเอง สิ่งที่เผาก็เพราะไฟมันเผา ธรรมะนี้เปรียบได้กับน้ำเย็นไปดับไฟในหัวใจของคน ธรรมะนี้เป็นความร่มเย็น ศีล สมาธิ ปัญญานี้คือความร่มเย็น แต่ความร่มเย็นอย่างนี้มันไม่เหมือนน้ำ เวลาที่เราร้อนเราเอาน้ำราดตัว น้ำมันเป็นวัตถุจับมันราดขึ้นมามันก็เย็น แต่ธรรมนั้นจะจับที่ไหนเอามาราดใส่ใจ เพราะไม่มีที่จะจับใส่ใจ มันถึงหาไม่เจอ เราบอกแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ว่ากันไป คนนี้ก็กรอก คนนี้ก็พูด พูดกันชินปาก ฟังจนชินหู แล้วก็ไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเห็นไหม เพราะมันจับต้องไม่ได้ มันต้องฝึกฝนขึ้นมา เหมือนอย่างสินค้าที่เราหาซื้อกันได้นั้น ต้องใช้เงินไปแลกเปลี่ยนมา แต่หัวใจที่เราจะได้มานั้น ต้องแลกมาจากการประพฤติปฏิบัติของเรา อย่างเช่น การมาทำทานกันอย่างนี้เห็นไหม เวลาที่คิดอยากจะทำบุญกุศลขึ้นมา ใจมันก็เริ่มมีน้ำเข้ามา ใจเป็นทาน แต่ก็ไม่อยากสละมันออกไป มันสละออกไปไม่ได้เพราะสิ่งนี้เป็นของเรา เราไม่อยากสละ อย่างนี้ความตระหนี่ถี่เหนียวเริ่มเข้ามา นี้คือเรื่องของโลก มันเป็นอย่างนั้น
ถึงได้บอกว่าเรื่องของโลกกับเรื่องของธรรม น้ำนั้นเวลาที่เราตักขึ้นมา มันไม่สามารถขัดขวาง มันไม่มีชีวิต มันไม่สามารถจะต่อต้านกับความจงใจที่เราจะเอามาราดใส่ตัวเราได้ แต่การทำคุณงามความนี้ กิเลสมันคอยต่อต้าน กิเลสมันพยายามจะทำตามใจของมัน มันไม่พอใจที่จะให้ทำอย่างนั้น เห็นไหม ธรรมะนั้นมีอยู่แล้ว ความผิดมันอยู่ที่เราไม่สามารถทำสิ่งนั้นให้เข้ามาเป็นอาหารของใจเราได้ เราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ มันถึงเป็นกิเลสในใจเรา แต่ถ้าเราทำจริง
ย้อนกลับมาที่ว่าเรามีวาสนา ที่เกิดมาพบศาสนาอยู่คู่โลก ศาสนานี้อยู่คู่โลกอยู่แล้ว แต่จะคู่อยู่ชั่วคราวเพราะสิ่งที่เป็นสัจธรรมนั้น ย่อมแปรสภาพไปตามความเป็นจริง ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลาจนคนไม่เชื่อ แต่ศาสนาไม่เคยเสื่อมเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ซึ่งธรรมนั้นก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสามารถนำธรรมนั้นมาสอนได้ ไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมได้ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วจึงสามารถนำเอาความจริงที่เป็นสิ่งลี้ลับนี้ออกมา เพื่อสั่งสอนสืบต่อกันมาได้โดยพระสงฆ์เป็นผู้สืบต่อ พระสงฆ์เป็นผู้จรรโลงศาสนา อาชีพของพระสงฆ์เห็นไหม พระสงฆ์นั้นเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งของตัวเอง ในการออกบิณฑบาตนี้เพื่อเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงอย่างนั้นแล้วยังเลี้ยงชีพของใจ ทรงศาสนาไว้ด้วยหัวใจ และเป็นเนื้อนาบุญของโลก
อารมณ์ความคิดของเรานั้น ถ้าเกิดความไม่พอใจ มันก็จะขัดขวางใจของเรา ถ้ามันพอใจ เห็นไหม ชีวิตใหม่ เวลาเกิดขึ้นมาเป็นชีวิตใหม่ แต่อย่างชีวิตในวงจรที่เขาว่าปฏิจจสมุปบาทนี้แบ่งเป็น ๓ ชาติได้หรือไม่ กับอารมณ์เดียวนั้น สิ่งไหนจะถูกสิ่งไหนจะผิดปฏิจจสมุปบาท อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังนั้นแบ่งเป็น ๓ ชาติก็ได้ เพราะอะไร เพราะอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังนั้นมันเกิดตายๆ มา ๓ ชาติได้ก็เพราะใจของคนนั้นมีวาสนาบารมีของใจ นี่มันเป็นอดีตชาติ แล้วก็มาในปัจจุบัน แล้วเมื่อตายไปก็สืบต่อ นั่นเป็นการอธิบายระหว่างภพชาติ แต่ถ้าอธิบายเป็นวิธีการปฏิบัติจะเป็นอารมณ์เดียว อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังนั้นมันเกิดดับๆ อยู่ในหัวใจ เห็นไหม
การเกิดดับใหม่ ก็เกิดภพชาติใหม่ ชีวิตใหม่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ยอมใช้ชีวิตใหม่ เราก็จะมีแต่ความคิดผูกพัน ความคิดดั้งเดิมของตัวเอง ความคิดว่าเราคิดผิด ถ้าคิดผิดก็คือมิจฉาทิฏฐิ มันก็จะเป็นมิจฉาทิฐิตลอดไปอย่างนั้นหรือ เมื่อเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วทำไมจะพลิกเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้ ความเห็นที่ผิดไปนี้ เราสามารถทำความเห็นที่ผิดไป ให้เป็นความเห็นที่ถูกได้ การเปลี่ยนความเห็นที่ผิดเป็นความเห็นที่ถูกนั้นคือชีวิตใหม่ นั้นคือความคิดใหม่ไง เมื่อเกิดชีวิตใหม่ ความคิดใหม่ขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องพยายามหล่อเลี้ยงชีวิตนั้นให้สืบต่อไปเห็นไหม
การประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ถ้ามีชีวิตใหม่ มีความคิดใหม่ มีความริเริ่มใหม่ ความริเริ่มใหม่ๆ ในหัวใจนั้น นั่นล่ะคือการเริ่มต้นมีชีวิตใหม่ ซึ่งชีวิตใหม่นี้ก็เหมือนกัน เด็กอ่อนๆ ที่จะดำรงชีวิตอยู่ในหัวใจของเราอย่างไร อย่างนี้คือภพชาติเกิดขึ้น ชีวิตใหม่เกิดขึ้น ชีวิตใหม่ในหัวใจของเรา กับชีวิตใหม่ในวัฏวน ถ้าในวัฏวน อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังนั้น มันเป็นไปในวัฏวน ถ้าจะอธิบายอย่างนั้นก็ถูกอยู่ อย่างนี้อธิบายเป็นบุคคลาอธิษฐาน อธิบายเป็นวิธีการเป็นการสั่งสอนพวกที่มีศรัทธาเริ่มต้นมาไง แต่ถ้าพวกที่เริ่มประพฤติปฏิบัติใหม่ อย่างนั้นผิดๆ ก็นั่นมันธรรมอย่างหยาบ
เพราะธรรมะนั้นมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างละเอียดสุด เห็นไหม แล้วเราก็ต้องมีทั้งธรรมะอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มันจะต้องมีการนับ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไป ถ้าเราก้าวขึ้นไปที่เลข ๙ เลยนะแล้วเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ก็มองไม่เห็น มันก็จะทำให้ก้าวขาไม่ออก ก้าวขาไม่เป็น ถ้าเราขึ้นเลข ๑ ก่อนก็จะก้าวต่อไปถึง ๒ ๓ มรรคหยาบๆ อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์เห็นไหม ถ้าพูดถึงคนที่ก้าวจากมรรคหยาบๆ ก่อน พอขึ้นไปสู่มรรคละเอียด ก็ไปติว่าคนนั้นก็หยาบ คนนี้ก็หยาบ ซึ่งเราก็หยาบมาก่อนเห็นไหมว่า เราต้องหยาบมาก่อนถึงจะไปสู่มรรคละเอียดได้ ถ้าจะเอาละเอียดเลยมันจะเป็นที่ไหนไป
ถึงบอกว่าจะอธิบายอย่างนั้นก็ใช้ได้ อธิบายโดยพูดถึงจริตนิสัย ว่าทำไมคนเราเป็นอย่างนั้น ทำไมคนเรามีจริตนิสัยไม่เหมือนกัน พ่อแม่เดียวกันก็ยังไม่เหมือนกัน เห็นไหม นี่คือสิ่งที่ในวัฏฏะสะสมมา มันก็เป็นภพชาติตามความเป็นจริง ซึ่งภพชาติในวัฏวนคือร่างของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ ชีวิตที่เป็นของมนุษย์ แต่ยังมีชีวิตของใจ ความคิดของใจที่เกิดดับในใจ มันเป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ซ้อนอยู่ในความคิดนั้นเห็นไหม แล้วเราจะทำลาย เราจะจับต้องชีวิตนั้น พลิกแพลงโดยการจับต้องแล้ววิปัสสนา เพื่อพลิกแพลงชีวิตนั้นให้เป็นชีวิตบริสุทธิ์ อย่างนี้พระอรหันต์จึงมี ๒ ประเภท สอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ เพราะท่านพลิกแพลงชีวิตของท่านจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่ในวัฏฏะนั้นยังไม่ถึงกับการดับชีวิตขัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ยังสอนธรรมอีก ๔๕ ปีเห็นไหม ใช้ชีวิตเดิม ชีวิตที่แต่เดิมมามีความบกพร่องโดนหมักหมมไปด้วยอวิชชา แล้วทำลายอวิชชาออกไปจากใจ กลายเป็นชีวิตใหม่ ครึ่งหนึ่งเป็นชีวิตของอวิชชา ปัจจยา สังขารา.. ปกครองควบคุมใจ อีกชีวิตหนึ่งเป็นชีวิตของวิชชา วิชชาเป็นความถูกต้องเป็นความเห็นธรรม เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนสัตว์โลกต่อไปเห็นไหม
นั่นล่ะ ชีวิตใหม่ที่เกิดซ้อนในภพชาตินี้สามารถทำได้ เราสามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ ในขณะที่เรากำลังทุกข์ยากอยู่นี้ เราสามารถทำชีวิตใหม่ให้เกิดขึ้นมาในหัวใจได้ เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม จากที่เคยมีกิเลสอยู่ แล้วพลิกมาจนสิ้นกิเลสไป แล้วสั่งสอนสัตว์โลก การสั่งสอนสัตว์โลกนั้นเป็นผลงานนะ แต่ในความสุขในหัวใจที่เป็นพระอรหันต์ ก็คือการเสวยวิมุตติสุขอยู่ในหัวใจนั้น ความสุขในใจก็คือความสุขของเรา ใจของเราถ้าถึงหลักของความเป็นจริง ก็จะมีความสุขในใจของเรา ความสุขอันนี้เป็นผลงานของใจดวงนั้น ส่วนผลงานที่เป็นการสั่งสอนผู้อื่นนั้น ตนต้องเป็นที่พึ่งของตนได้ก่อน ตนมีที่พึ่งของตน ตนมีหลักใจของตน ตนเองพึ่งตนเองได้ ตนก็จะเป็นหลักใจ ให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ก็เหมือนเสาที่ปักมั่นคงนกกาก็มาอาศัย ถ้าเสานั้นปักไม่มั่นคง มีความคลอนแคลน ใครจะมาอาศัยได้เพราะเสานั้นก็ยังทรงตัวเองไว้ไม่ได้ เสามันก็เป็นเสา แต่ความคิดของเรามันเป็นความทุกข์ เวลามันคลอนแคลน ความทุกข์ก็เป็นความทุกข์ เห็นไหม พอความทุกข์มันคลอนแคลนไปเพราะหลักของเราไม่มั่นคง เราก็เวียนไปเวียนมา เราไม่แน่นอน เมื่อเราไม่แน่นอนแล้วใครจะมาอาศัยเรา เขาก็มาอาศัยเราไม่ได้
แต่ถ้าเราทำชีวิตใหม่ของเราให้ประเสริฐได้ ชีวิตเก่าๆ นี้แหละ ชีวิตความรู้สึกในหัวใจเรานี้แหละ แต่พลิกให้มันเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา ให้เป็นชีวิตที่สะอาด ชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ชีวิตที่หมักหมมไปด้วยการเอาความทุกข์มาให้หัวใจของเรา
เราเกิดมาพบธรรมแล้วซึ่งเป็นศาสนาคู่โลก เมื่อพบธรรมแล้ว เราก็ต้องทำให้ธรรมนั้นเข้ามาสู่หัวใจของเรา อย่างนี้คือศาสนาคู่โลก กิเลสที่อยู่ในหัวใจก็ทำลายไป ให้มันกลายเป็นธรรม นี้คือชีวิตใหม่ที่มีธรรมในหัวใจ จะบอกว่ามันคู่กันไม่ได้ เพราะมันทำลายให้สิ้นไปได้ กิเลสต้องสิ้นไปจากใจเท่านั้น ใจถึงจะเป็นธรรม ถ้าจะบอกว่ามันเป็นคู่กัน มันก็ต้องหมักหมมไว้สิ ถึงมันจะเป็นของคู่ แต่เราก็ทำลายมันออกไปได้ส่วนหนึ่งเมื่อฝ่ายอวิชชาออกไป ฝ่ายวิชชาก็จะเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ทาน ศีล ภาวนา เราต้องศึกษาค้นคว้า เพื่อเป็นของเรา เป็นของใจดวงนั้น ใจดวงไหนหามาก็จะเป็นของใจดวงนั้น คนอื่นที่เราไปมองเขาว่าเขาจะทุกข์จะยากหรือเขาจะมีความสุข มันก็เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่ถ้าเขามีความสุข เขาทำตัวของเขาได้ เขาก็จะสอนเราได้ เป็นที่พึ่งอาศัยอย่างนั้นเท่านั้นเอง
การที่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้ถึงประเสริฐที่สุด ชีวิตนี้ถึงมีคุณค่า ถ้าชีวิตไม่มีคุณค่าเราก็ทำแต่ในเรื่องทางโลก ถึงประสบความสำเร็จไปก็ต้องตายไป ก็หมุนเวียนไป ใช้ชีวิตภพชาติหมดไป เหมือนพุทธภูมิที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดในภพชาติต่างๆ เพื่อสะสมบารมีอย่างนั้นก็เป็นการหมุนไป แต่ในเมื่อเราได้พบธรรมะแล้ว เจอเพชรแล้ว เราต้องพยายามเอาเพชรนั้นเข้าใจของเราให้ได้ ถ้าเอาเข้ามาในใจของเราได้ มันก็จบ ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายอีก มีความสุข บรมสุขในหัวใจแล้วมีความสุขคงที่ตลอดไป เอวัง