เทศน์พระ

ขี้บนหัว

๑๑ มิ.ย. ๒๕๕๓

 

ขี้บนหัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม ธรรมะเป็นสัจธรรม สัจธรรมใครจะสื่อ ในเมื่อมาฟังธรรม ฟังธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนะ ฝนตกแดดออกก็เป็นธรรม ดูซิ เวลาใบไม้เวลามันแก่มันร่วงลงจากขั้ว มันปลิวลมลงมา ถ้าใจเป็นธรรมนะ มันสลดสังเวช คือมันเป็นผลของอนิจจัง พอมันแก่เฒ่ามันก็ต้องหลุดจากขั้ว มันเป็นไปตามสัจธรรม

ของน่ะธรรมะมันมีอยู่แล้วเห็นไหม ธรรมะสัจธรรม ถ้าใจมันเป็นธรรม มองสัจจะก็เป็นธรรม แต่ใจเราไม่เป็นธรรมล่ะ ใจไม่เป็นธรรม ใจเป็นกิเลสขึ้นมา สัจธรรมมันมีอยู่ซึ่งๆ หน้า เดินชนธรรมก็ไม่รู้จักว่าธรรม สิ่งต่างๆ ก็ไม่รู้จักว่าเป็นสัจธรรม เพราะอะไร เพราะใจมันเป็นกิเลสมันหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ในหัวใจ ถ้าหัวใจมันเป็นความทุกข์อยู่ของมัน

มันจะมีสัจธรรมมาจากไหน ธรรมมันก็เป็นธรรม สัจธรรมมันก็เป็นสัจธรรม แต่หัวใจเป็นกิเลสมันไม่เป็นธรรมหรอก แต่ถ้าหัวใจเป็นธรรมเห็นไหม สรรพสิ่งโลกนี้เป็นธรรมหมดเลย เป็นธรรมเพราะเขาเป็นธรรมอยู่แล้ว สัจธรรมมันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของเวรของกรรม

มันเป็นผลของเวรเป็นกรรม แต่เพราะเราไม่ยอมรับไง สิ่งนั้นมันเป็นเวรกรรมทั้งๆ ที่มันเป็นเรานะ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏฏะนั้น เพราะเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดเป็นผลของวัฏฏะนะ การเกิดนี้เป็นผลของกรรม การเกิดและการตาย การเวียนว่ายตายเกิดเป็นผลของวัฏฏะ แต่จิตมันไม่เคยตาย ผลของวัฏฏะมันเปลี่ยนแปลงตลอด วัฏฏะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สัจธรรม ทุกอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่หัวใจของเรามันไม่เคยตาย มันมีธาตุรู้อันหนึ่งอยู่ ที่ไม่เคยตาย จิตวิญญาณนี้ไม่เคยตาย แต่มันเปลี่ยนแปลงเป็นผลของวัฏฏะ ขณะที่เป็นผลวัฏฏะเห็นไหม เพราะเรามีอวิชชาเหมือนผลของวัฏฏะ พอมันเป็นผลของวัฏฏะ จิตใจเราถึงไม่เป็นธรรม

จิตใจเราไม่เป็นธรรม เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้ออกบวชเห็นไหม ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ เป็นสมณะผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสารน่ะ พอเราเห็นภัยเห็นไหม มันจะตื่นตัวตลอดเวลา

แต่เพราะการไม่เห็นภัย การไม่เห็นภัยคือการนอนจมเห็นไหม นอนจมสิ่งต่างๆ พอนอนจม เป็นสัจธรรม นี่ก็เป็นธรรม นั้นก็เป็นธรรม แต่ผู้แสดงมันไม่เป็นธรรมน่ะ ไม่เป็นธรรมสิ่งที่ออกมามันก็บวกกับตัณหาความทะยานอยาก บวกกับกิเลส บวกกับความเห็น บวกกับสิ่งต่างๆ ออกมา มันก็เลยเป็นไม่มีคุณค่าเห็นไหม

ในมุตโตทัยของหลวงปู่มั่น หลวงตาบอกเลยเห็นไหม “ทองคำสิ่งที่เป็นสัจธรรม ถ้ามันอยู่ มันอยู่ด้วยการหลอมแล้วเป็นทองคำที่บริสุทธิ์ นั้นน่ะมันเป็นทองคำร้อยเปอร์เซ็นต์ ทองคำอยู่ในเหมือง ทองคำบริสุทธิ์ตกไปอยู่ในดิน ทองคำมันตกไปอยู่ในโคลนในตม”

นี่ก็เหมือนกัน สัจธรรม สัจธรรม ! พอสัจธรรม มันสัจธรรมระดับไหนล่ะ แล้วระดับของใครล่ะ ถ้าใครมันไม่มีสัจธรรมขนาดไหน ถ้ามันไม่มีสัจธรรม มันก็เป็นโคลนตมทั้งนั้นน่ะ ทองคำมันฝังอยู่ในโคลนตมมองไปเห็นแต่โคลนตม มันไม่เห็นทองคำหรอก ทองคำมันหนักกว่า มันจมอยู่ใต้โคลนตมนั้น มันไม่เห็นทองคำนั้น เห็นแต่โคลนตมนั้น

ถ้าเห็นแต่โคลนตมนั้น นี่ไง มันถึงไม่เป็นสัจธรรมไง ถ้าอย่างนั้นถือว่าเราต้องมีสัจธรรม เราต้องพยายามตั้งสติของเราขึ้นมา สิ่งใดคือสัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมของครูบาอาจารย์...เศรษฐีธรรม

เราได้ฟังแต่ข่าวของเขา เห็นแต่สมบัติของเขา ไปเห็นสมบัติของเขา คนโน้นก็มีสมบัติมาก คนนั้นก็มีสมบัติมาก แต่เราไปดูสมบัติของเขาเราไม่ได้สิ่งใดๆ เลย อีกามันเกาะภูเขาทองเห็นไหม จิตใจเราน่ะ เราเป็นนักบวช เราบวชมาเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เมื่อเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชขึ้นมาเพื่อจะพ้นวัฏสงสาร น่ะ

พูดถึงวัฏสงสาร สิ่งที่เป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่ก็เหมือนกัน สัจธรรม เศรษฐีธรรมเป็นเศรษฐีธรรมของครูบาอาจารย์เราน่ะ เรามีอะไรเป็นสมบัติของเรา สมบัติของพระ ศีลธรรมเป็นสมบัติของเราเห็นไหม ศีล ! เรามีศีล มีสัจจะของเรา มันเป็นคุณธรรมของเรา ถ้าเป็นคุณธรรมของเรา สรรพสิ่งอย่างนี้มีจะมาหลอมละลายในความรู้สึกของเรา ทิฐิมานะในหัวใจของเราให้มันอ่อนตัวลง จิตใจควรแก่การงาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ เทศน์กับบริษัท ๔ เห็นไหม เวลาเทศน์กับฆราวาส อนุปุพพิกถาเรื่องของทาน ถ้าไม่รู้จักการเสียสละทาน ถ้ารู้จักการเสียสละทานน่ะ ผลของสวรรค์เห็นไหม ผลสวรรค์ สวรรค์มันก็เวียนตายเวียนเกิด เนกขัมมะให้ถึงพรหมจรรย์ พรหมจรรย์น่ะเมื่อจิตใจคนควรแก่การงานแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ

อริยสัจ สัจจะความจริงน่ะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นสัจจะ อริยสัจ ทีนี้เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สมัยปัจจุบันนี้ ทฤษฎีเห็นไหม ดูสิ ทางวิชาการมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา มันมีตำรับตำราขึ้นมา เราก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง สมัยพุทธกาลมันไม่มี

สิ่งใดที่เราได้ฟังได้ยินมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเห็นไหมสิ่งต่างๆ น่ะเราต้องรื้อค้นของเราขึ้นมา แต่ในปัจจุบันน่ะเราได้ก่อนน่ะ ชิงสุกก่อนห่ามไง

“ขี้บนหัวตัวเองมองไม่เห็น เห็นแต่ขี้บนหัวของผู้อื่นเห็นไหม”

ชิงสุกก่อนห่าม เวลาขี้บนหัวเราน่ะไม่เคยมีใครเคยเห็นหรอกนะ แต่ถ้าขี้บนหัวคนอื่นเห็นชัดนะ ขี้อยู่บนหัวเราน่ะมันส่งกลิ่นเหม็น บนศีรษะเขาไม่เอาขี้ไว้หรอก เขาเอาแต่หมวกเอาแต่เครื่องหอมไว้บนศีรษะ ไอ้นี่เอาขี้ไว้บนศีรษะทำไมล่ะ นี่มันเหม็น.. มันเหม็น.. ได้เห็นแต่ขี้บนหัวคนอื่น แต่ขี้บนหัวเรามองไม่เห็นนะ แล้วขี้บนหัวเราน่ะ ดูซิ ขี้บนหัวนี่มองไม่เห็นหรอก

กิเลสบนหัวเรา เราก็มองไม่เห็น แล้วยิ่งกิเลสบนหัวใจยิ่งมองไม่เห็นใหญ่เลย พอกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจมันก็สกปรกโสโครกไปด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันครอบงำอยู่ มองไม่เห็น แต่เวลาพูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ สัจธรรม เห็นไหม ดูซิ เวลาพระพูดใครก็เชื่อถือ เวลาคฤหัสถ์เขาคุยกันเองน่ะ สถานะของเขาเท่ากันเขาก็ต้องตรวจสอบกัน เขาจะเชื่อถือศรัทธากันได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเราผู้มีศีลใช่ไหม เป็นพระใช่ไหม เขาว่าเห็นเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา พูดสิ่งใดเขาก็เชื่อถือ แต่มันขี้บนหัวน่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากบนหัวใจน่ะ เวลาพูดออกไปน่ะ ธรรมะมันจะเป็นความจริงได้อย่างไร มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาได้หรอก ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมาเห็นไหม ดูซิ คนที่เขามีทุกข์มียากขึ้นมา เขารับรู้ของเขา

ดูซิ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาจะรู้ว่าเขามีโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเขา นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันบีบคั้นเราอยู่น่ะ เวลาพูดธรรมะก็พูดธรรมะกันไป แต่ความทุกข์มันบีบคั้นในหัวใจล่ะ เห็นไหม นี่ขี้บนหัวใจ !

ขี้บนหัวนี่นะ ดูซิ ผ้าขาวม้าโพกหัวน่ะ เราหาสิ่งต่างๆ เราหาผ้าขาวม้าไม่เจอสิ่งที่เราแสวงหาอยู่ หาไม่เจอนะ ก็โพกอยู่บนหัวน่ะ เดินไปทั่วน่ะ แต่ถ้ามีใครบอกนะว่านี่อยู่บนหัวเรานะ เอามือแตะหัวดูซิ อยู่บนหัวก็โพกอยู่นั้นน่ะ แล้วก็ไอ้ขี้บนหัวนี่มันยิ่งกว่าผ้าขาวม้า เพราะมันเป็นของเล็กน้อย แต่มันส่งกลิ่นนะ มันมีกลิ่นของมัน

หัวใจของเราก็เหมือนกัน เราสักแต่ว่า พอเป็นความจริง เราอยู่กับครูบาอาจารย์ก็เพราะเหตุนี้ไง เราอยู่กับครูบาอาจารย์ก็ให้ครูบาอาจารย์ชี้นำเรา ขี้บนหัวของตัวเรา เราเข้าใจผิดนะ เราคิดว่าเป็นของหอมนะ เราจะเอามากินอีกต่างหากน่ะ ขี้นกขี้กาที่อยู่บนหัวนี่เอามากินเพราะคิดว่าเป็นของหอม เพราะเกิดจากความเข้าใจผิดเห็นไหม

แต่นี่ความคิดความเห็นของเราก็เหมือนกัน ความคิดเห็นในหัวใจของเราขึ้นมา สัจธรรม มันจะเป็นสัจธรรมยังไง ถ้าหัวใจเรายังไม่สงบขึ้นมาก่อน หัวใจสงบขึ้นมา ดูซิ เวลาเราใส่แว่นเห็นไหม แว่นสีใดเราก็มองเห็นเป็นสภาพสีสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ทิฐิมานะของคน ความรู้สึกของคนน่ะ สัจธรรมเห็นไหม ดูสัจธรรมของเราน่ะ เราก็ตีความ เราก็ตีค่าของเราไป ถ้าเราตีค่าของเราไป มันจะเป็นสัจธรรมจริงได้อย่างไรล่ะ

แต่ถ้ามันเป็นคุณค่าจริง ดูซิ เวลาน้ำสะอาดเห็นไหม น้ำสะอาดจืดสนิท ธรรมะที่บริสุทธิ์ ถ้าน้ำสะอาด ค่าของน้ำสะอาดทุกที่ผสมด้วยแร่ธาตุสิ่งใด มันจะมีแร่ธาตุ มันมีสารพิษอะไรไปเจือปนในน้ำนั้น ถ้าเจือปนในน้ำนั้น เอามากินเอามาดื่มใช้ เราก็ต้องเป็นโรคเป็นภัยขึ้นมา หรือเสียแก่ชีวิตไป

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม.. สัจธรรม นกแก้วนกขุนทองก็ว่ากันไป แต่ด้วยส่วนผสมของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ขี้ที่มันผสมไง ขี้อยู่บนหัวไม่เข้าใจก็จะเอามากิน ว่าเป็นสิ่งที่ว่าเป็นอาหาร เป็นของหอม เป็นเครื่องเทศ ว่าเป็นอะไร แต่ความจริงน่ะมันเป็นขี้

อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความคิดความเห็นของเรา มันเป็นความจริงมาจากไหน ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันไม่ใช่ขี้มันเป็นความจริงเห็นไหม มันเป็นความจริงขึ้นมา ขี้บนหัวก็ปัดมันออก ขี้บนหัวก็ทำความสะอาดซะ เราซักเราล้าง เราทำความสะอาดขี้บนหัว ขี้บนหัวมันก็หลุดออกไป

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราน่ะ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม คนนี่ดูซิ คน... ดูบนหัวน่ะมีแต่ขี้ มีแต่ของเหม็น

สังคมมันก็เหมือนกับหมาหางด้วนน่ะ เวลาหมาหางด้วนมันอยู่ในสังคม มันก็ว่าสังคมนั้นมันดีใช่ไหม ถ้าทางโลกเห็นไหม เขาขี้บนหัวอย่างนั้นน่ะ เพราะกิเลสบนหัวใจของทุกๆ คนน่ะ มันก็มีขี้อยู่กันคนละกองน่ะ มันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากของมันน่ะ มันก็ว่ากันไปประสาโลก

เราละเพศนั้นมาแล้วนะ เราละเพศของคฤหัสถ์มาแล้ว เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาแล้ว เราพยายามทำความสะอาดของตัว เราพยายามทำความสะอาดบนศีรษะเรา ทำความสะอาดให้ได้ ถ้าเราทำความสะอาดได้ เห็นไหม ดูซิ ในสังคมที่เขามีความสกปรกโสมมบนศีรษะของเขา ดูซิ กลิ่นของอาหาร ถ้าคนไม่เคยคุ้นเคยอาหารนั้น กลิ่นนั้นมันจะฉุนมาก อาหารนั้นจะกินไม่ได้เลย แต่คนที่เขาคุ้นเคยกับเขา เขาบอกว่า “โอ้โฮ !! นี่สุดยอด สุดยอด อาหารสุดยอด !” โลกมันเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อขี้บนหัวเขาน่ะ สังคมโลกเขาเป็นอยู่อย่างนั้น สังคมโลกเขาอยู่กันด้วยความเคยชิน เขาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นคุณค่าของเขา เราเห็นภัยในโลกแล้ว เราวางโลกนั้นมา เราเสียสละนั้นมา เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เรามาเป็นภิกษุ มาเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาชำระล้างขี้บนหัวเรา ถ้าขี้บนหัวเรามันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา เห็นไหม

ดูซิ กลิ่นของโลกเขา โลกเขาเป็นสภาวะของเขาอย่างนั้นด้วยความเข้าใจของเขาว่าสิ่งนั้นเป็นสุดยอดของสังคมของเขา เราเสียสละสิ่งนั้นมา เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรานะ ถ้าเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราทำใจของเรา

แล้วถ้าใจมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาจริงๆ ได้ เพราะว่าเราถอดแว่น ถอดทุกอย่าง สิ่งที่บังสายตา สายตาสั้น สายตาเอียง ปรับให้มันสายตาคงที่ให้หมดเลย สายตาโดยสมบูรณ์ของมัน มันจะเห็นภาพนั้นตามความเป็นจริง ดูซิ สายตาสั้น สายตาเอียง สายตาทุกอย่างเลย แล้วใส่แว่นเข้าไปอีก แล้วก็ไปมองภาพนั้น

“โอ๋ เป็นอย่างนั้น ธรรมะเป็นอย่างนั้น โอ๋เป็นอย่างนั้น”

“มันเป็นอะไรล่ะ”

เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่งเห็นไหม ขี้บนหัวเราเอง ฉะนั้นของอย่างนี้มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง

ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง ถ้ามันจะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาเห็นไหม มันจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ น้ำใสสะอาดดีๆ ไม่มีแร่ธาตุสิ่งใดเจือปนเลย ถ้ามันจะเป็นแร่ธาตุมันก็เป็นแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย มันเป็นแร่ธาตุที่ดี ที่ทำให้ร่างกายนี้แข็งแรงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบของใจของเราขึ้นมาได้ สิ่งต่างๆ สัจธรรมเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาน่ะ ชำระล้างขี้บนหัวนี่แหละ ชำระล้างกิเลสบนหัวใจนั้นน่ะ บนหัวใจน่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ แสวงหาอยู่ ๖ ปีน่ะ ก็แสวงหาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ก็พยายามแสวงหาขึ้นมาน่ะ นั้นน่ะ มันก็มีไอ้ตัวขี้ ไอ้ตัวกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี้บิดเบือนให้ความรู้เห็นผิดน่ะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไปศึกษาสิ่งใดๆ มาน่ะ มันก็เข้ามาจำนนกับกิเลสอันนั้น เข้ามาจำนนกับของเหม็นในหัวใจ ก็เข้ามาจำนนกับพญามาร

มารมันไม่ชำระล้างมัน มันก็มีอหังการอยู่ในหัวใจอย่างนั้นตลอดไป แต่ถ้ามันมีสติขึ้นมา เราทำความสะอาดของใจขึ้นมา มันจะแยกแยะออกมา มันจะตรวจสอบของมัน ถ้ามันตรวจสอบ มันแยกแยะของมันขึ้นมา มันจะทำให้... ดูซิ สายตาเอียง สายตาสั้น สายตาอะไรต่างๆ น่ะ เราจะปรับปรุงแก้ไขให้มันหายเป็นปกติ

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันง่อนแง่นคลอนแคลน จิตใจที่มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตใจที่มันหวั่นไหวไปกับโลก เห็นไหม บวชมาก็กลัว ออกธุดงค์ก็กลัวลำบากลำบน ทำอะไรมันจะมีแต่ทุกข์แต่ยาก มันกลัวไปทุกๆ อย่างเลย

แต่ถ้าพอจิตใจมันปกติขึ้นมาน่ะ มันจะไปกลัวสิ่งใด มันเป็นสิ่งใด ดูซิ เวลาเราอดนอนผ่อนอาหารน่ะ ไม่กิน ๗ วัน ๘ วัน ก็ไม่เห็นตาย ทุกข์ยากขนาดไหน มันก็ไม่เห็นว่ามีอะไรมาสั่นไหวกับหัวใจได้เลย หัวใจนี่ อาหารก็พอเคยกินมาหมดทุกๆ อย่างแล้ว

ในเมื่อมันจะอด มันจะทุกข์ มันจะยากขึ้นมา เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา เพื่อจะทำความมั่นคงขึ้นมาของใจ มันมีการเสียสละขึ้นมา มันจะไปห่วงอะไร มันไม่ห่วงหาสิ่ง ต่างๆ ทั้งสิ้นเลย ดูซิ เวลาจิตใจเป็นปกติขึ้นมา มันไม่ต้องห่วงกังวล แต่เวลาจิตใจไม่เป็นปกติขึ้นมา มันห่วงกังวล ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ไปทั้งนั้น สิ่งใดก็ไม่สมบูรณ์กับเรา สิ่งใดขาดแคลนไปทุกอย่างเลย

ชีวิตเรานี้มันมาจากไหน ชีวิตเรามันเลิศเลอมาจากไหน จะต้องมีสิ่งใดมาปรนเปรอมันมากมายขนาดนั้น แต่ในเมื่อถ้ามันเป็นปกติขึ้นมาเห็นไหม สิ่งนี้มันก็ดำรงชีวิตมาทั้งนั้นน่ะ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็อาศัยธาตุ ๔ เข้าไปเจือจานมัน มันก็อาศัยสิ่งนี้ดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตมันจะมีอะไรมาทุกข์ยากขนาดนั้น

ถ้ามันดำรงชีวิตไป ดำรงชีวิตไปเพื่อสิ่งใด ดำรงชีวิตไปเพื่อจะไปชำระ เพื่อจะไปตรวจสอบขี้บนหัวไง ขี้บนหัวใจต้องเข้าไปพบไปเห็นมัน ถ้าไม่เข้าไปพบไปเห็นมัน สิ่งใดจะเข้าไปแก้ไขมันได้อย่างไร เราจะแก้ไขสิ่งใดไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นข้อเท็จจริง เป็นคุณงามความดีขนาดไหน ถ้าเราไม่รู้คุณงามความดีของสิ่งต่างๆ เราจะไปแก้ไขสิ่งต่างๆ เพื่อให้เป็นปกติมาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ต่างๆ...เราเกิดมา เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ มันเป็นเรื่องของสมมุติทั้งนั้น เรื่องของโลก เป็นของชั่วคราว เกิดมาจากพ่อจากแม่มาบวชเป็นพระขึ้นมานี่ก็เป็นสมมุติสงฆ์ เกิดมาจากครูบาอาจารย์ คณะสงฆ์ ตั้งญัตติจตุตถกรรมยกเข้าหมู่เป็นพระมา

พอเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เป็นผู้มีศีลปกติ ผู้มีศีล ๒๒๗ ถ้ามีศีลสมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว เราจะแก้ไข เราจะดัดแปลงสิ่งใด เราเป็นผู้มีโอกาสแล้วนะ โลกเขาอย่างมากก็ถือศีล ๘ ศีล ๑๐ กัน เวลาเราเป็นพระ ศีล ๒๒๗ คือศีลของพระ

เราบวชขึ้นมานี้ก็คือศีลสมบูรณ์ พอศีลสมบูรณ์ขึ้นมา เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะตั้งใจอย่างไรเพื่อประโยชน์กับเราอย่างไร ถ้าเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม ศีลก็เป็นศีล ไม่ต้องไปวิตกกังวล ไปเกร็งกับศีล ในเมื่อศีล ๒๒๗ มันก็สมบูรณ์ของมันโดย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ของมันอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ทำผิดศีลแล้วเราก็ตั้งศีลปกติแล้วเราก็ทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าศีลมันดีทุกอย่าง พื้นฐานมันดีขึ้นมา ทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ดูซิ ในครัวของเขาทำอาหารกัน ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีสิ่งใดเลย วัตถุดิบ อาหารสมบูรณ์ที่สุด พ่อครัวเขาก็ปรุงอาหารของเขาขึ้นมา มันก็เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราได้สถานะนั้นมา เราได้โอกาสนี้มา เราได้บวชเป็นพระเป็นเจ้ามา เห็นไหม บิณฑบาตมาเพื่อดำรงเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งนี้เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง วัตรปฏิบัติ ในศาลาโรงธรรม ในวัจกุฏีวัตร ข้อวัตรต่างๆ ได้ประพฤติปฏิบัติได้ตามสมควรแล้ว ได้ทำ ปฏิบัติให้สมบูรณ์แล้ว พอสมบูรณ์แล้วน่ะ ถึงที่สุดแล้วเราจะทำสิ่งใดต่อไป

ในเมื่อชีวิตของสมมุติสงฆ์ เห็นไหม ดูสิ ด้วยศีลธรรม ด้วยสัลเลขธรรม เราก็ได้ขัดเกลาของเรามาตลอด แล้วสิ่งต่างๆ เห็นไหม เราขัดเกลาของเรามาแล้ว ทำไมจิตใจเราไม่เห็นมันดีขึ้นมา ทำไมจิตใจเขาไม่เป็นปกติขึ้นมา ทำไมจิตใจของเรามันไม่เป็นภิกษุตามความเป็นจริงขึ้นมา มันเว้นแต่ความจริงเพราะเหตุใด มันไม่เป็นตามความจริงเพราะการกระทำ นี่...ตบะธรรม

สิ่งต่างๆ ที่เราเอามาเจือจาน เราจะเข้ามาดำรงสถานะของสิ่งที่จิตตั้งมั่น ถ้าจิต ตั้งมั่นเห็นไหม สงฆ์.. สมมุติสงฆ์ เราได้สถานะนั้นมา สงฆ์ยกเข้าหมู่ แล้วเข้ามาหมู่สงฆ์แล้วหมู่สงฆ์โดยธรรมและวินัย แต่เวลาเราทำความสงบของใจขึ้นมาเห็นไหม ดูซิ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก ใจมันเป็นธรรมขึ้นมา ใจมีความสงบร่มเย็นขึ้นมา ถ้าใจมีความสงบร่มเย็นขึ้นมาเห็นไหม นี่สถานที่นี้ หัว !

“แล้วขี้ที่อยู่บนหัว มันอยู่ที่ไหน ?”

เราจะหาสิ่งที่มันมีความสกปรกโสมมในหัวใจ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันรู้มันเห็นของมัน ถ้ามันรู้มันเห็นของมันเห็นไหม มันจะแก้ไขอย่างไร มันจะดัดแปลงอย่างไร มันจะแก้ไขของมัน มันต้องมีการแก้ไขซิ ต้องมีการกระทำซิ

คนเราเวลาทุกข์เวลายาก เวลามีความทุกข์ขึ้นมาน่ะ ทุกข์เต็มหัวใจ มีสติปัญญาขึ้นมาน่ะทุกข์มันหายไปไหน เพราะทุกข์มันโดนสติปัญญาฟาดฟันเห็นไหม ทุกข์มันหายไป หายไปเพราะอะไร หายไปเพราะมันมีการกระทำ

มันมีการรื้อการถอน มีการซักฟอก นี่เหมือนกัน ถ้ามันทำอย่างนั้นขึ้นมามันจะเป็นผลตามความจริงอย่างนั้นขึ้นมา มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมที่หัวใจมันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ แล้วมันมีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของมัน มันถึงบอกว่า การกระทำของเรามันสำคัญมากนะ

ดูซิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันน่ะ เราคิดว่าคนอื่นจะรังแกเรา คนอื่นมันจะหลอกลวงเรา คนอื่นมันจะฉ้อโกงเรา แต่เราไม่คิดเลยว่าไอ้กิเลส ไอ้จอมโจร ไอ้หัวหน้าโจร หัวหน้ามารในหัวใจเรา มันทำลายเรายิ่งกว่าคนอื่นทำ คนอื่นทำนะมันจะทำลายแต่โอกาส ทำลายแต่สิ่งภายนอกจากเรา แต่ไอ้กิเลสของเราน่ะมันทำลายถึงที่สุดเลย มันทำลายรากเหง้าเลย มันทำลายหัวใจของเราเลย ทำลายโอกาสเห็นไหม ถ้าเราตั้งใจ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร ที่เรามาบวชมาเป็นพระเป็นเจ้า เรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครเป็นคนคิด

ดูซิ ถ้าเวลาบวชพระ เราจะต้องไปบวชเอง เราจะต้องกล่าวคำขอบวชเอง เวลาสึกจากพระเราก็ต้องพูดเอง ต้องกล่าวต้องเปล่งวาจาออกมา มันเปล่งออกมาจากไหนล่ะ ก็มันเปล่งออกมาจากจิตนั้นแหละ จิตนั้นน่ะมันเป็นผู้เปล่งออกมา แล้วเวลาเราทำความสงบของใจเข้าไปน่ะ เราจะไปเปลี่ยนแปลงมันน่ะ เราจะไปแก้ไขมันน่ะ เราจะไปแก้ไขสิ่งที่เป็นความสกปรกโสโครกของหัวใจน่ะ มันจะไปแก้ไขกันที่ไหนล่ะ มันก็ต้องมาแก้กันที่หัวใจนี้ มันต้องมาแก้โดยตัวของมันเองนี้

ถ้ามันแก้ด้วยตัวมันเอง ดูซิ ถ้ามันดัดแปลงเข้ามา แม้แต่มีความสำนึกนะ เราแค่มีความสำนึก ความตั้งใจน่ะ คนดีเห็นไหม คนดีมีความสำนึก มีสติปัญญาขึ้นมา ทำความผิดพลาดมันจะน้อยลงล่ะ คนที่พูดพล่อยๆ พล่อยๆ ปากพูดโจ้งๆ ไป แต่พูดด้วยความพลาดพลั้งสติ ทำอะไรผลุบผลับ ทำอะไรโดยที่ไม่มีสติปัญญาเลย มันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร มันเป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องไร้สาระมากนะ

แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา การกระทำน่ะ การเคลื่อนไหว การตั้งสติ การทำความสงบของใจ ใจมันต้องสงบเข้ามาซิ ในเมื่อมันมีสติปัญญาขึ้นมาน่ะ มันจะมีความสงบของมันโดยข้อเท็จจริง โดยเนื้อหาสาระ จิตของมันจะมีข้อเท็จจริงโดยเนื้อหาสาระของมัน มันจะสงบตัวมันเข้ามา

ถ้ามันสงบตัวเข้ามาน่ะ สิ่งที่สัมผัสน่ะมันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตที่มันเป็นเอง มันจะมีความสุขของมันน่ะ คนเราน่ะมันแบกของหนัก มันมีแต่ความเร่าร้อน แล้วถ้ามันมีความสงบร่มเย็นเข้ามาในหัวใจ ทำไมมันจะไม่รู้ ทำไมมันจะไม่ซึ้งใจ สิ่งที่มันรู้มันซึ้งใจขึ้นมาเห็นไหม ...แค่สำนึกตน แค่มีสติปัญญาเข้ามาน่ะ มันจะเป็นประโยชน์กับคนๆ นั้นแล้ว

แต่ถ้าคนๆ นั้นจะมีสติปัญญา มันจะแก้ไขตัวเขาเองเข้ามา ถ้าแก้ไขตัวเองเข้ามาเห็นไหม มรรคหยาบ มรรคละเอียด จิตใจมันจะละเอียดเข้ามา ถ้ามันละเอียดเข้ามา มันรู้มันเห็นของมันนะ มันรู้มันเห็น ดูซิ คนมันผิด มันผิดมาจากไหน มันผิดมาจากเจตนา จากความคิดของคนๆ นั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญาเข้ามาน่ะ มันเข้ามาถึงตัวจิต มันเข้ามาถึงตัวรากเหง้า แล้วตัวรากเหง้าน่ะ ถ้าตัวรากเหง้ามันมีสติปัญญาเข้ามาน่ะ มันก็ต้องเพิ่มคุณงามความดีซิ ถ้ามันเพิ่มคุณงามความดีขึ้นมาเห็นไหม ในเมื่อคุณงามความดีขึ้นมา ความดีใครก็ชอบใช่ไหม...

“ทุกคนเกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข”

อันนี้มันเป็นความทุกข์ความยากในหัวใจ ทุกคนก็ไม่ปรารถนาทั้งนั้นน่ะ ที่นี้ คำว่า “ไม่ปรารถนา” แต่มันจนตรอก ไม่มีทางออก เป็นไปไม่ได้ ปรารถนาแต่ความสุข เกลียดความทุกข์ แต่ไม่รู้อะไรเป็นสุข อะไรเป็นทุกข์ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ที่การกระทำ เราเป็นคนมีสติปัญญา เรารู้ว่าทางโลกมันทุกข์มันร้อน เราได้ละเพศของฆราวาส เราได้มาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เพราะเราเห็นโทษของมันใช่ไหม

ถ้าเราเห็นโทษ ความสติระลึกรู้อยู่ มันเห็นโทษแล้ว ถ้ามันเห็นโทษแล้ว ในเมื่อมันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพื่อจะเอาหลักเกณฑ์ขึ้นมา ทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าไม่เป็นความจริงขึ้นมา ก็ขี้บนหัวไง เพราะขี้บนหัวมันเหม็นนะ มันเหม็นจากสังคมทั่วไป

แต่เพราะความเข้าใจผิด ดูซิ ดูกิเลส ดูอวิชชาเห็นไหม มันนึกว่าขี้เป็นขนมน่ะ มันนึกว่าได้ประดับ ฝอยทอง ทองม้วน ทองหยอด บนหัวนะ มันว่าสิ่งนี้เป็นคุณค่านะ เป็นมงกุฎนะ เป็นสิ่งที่ประโยชน์นะ เอาขี้มาอวดกัน

แต่ถ้าคนมันรู้มันเห็นนะ... เราเป็นคนนะ เอาของเหม็นมาประดับไว้ มันน่าอายไหม เอาของเหม็นมาประดับบนหัวมันน่าอายเขาไหม ถ้ามันน่าอายเขา แล้วทำไมไม่เอาออก แล้วมันจะเอาออก เอาออกอย่างไร การที่จะเอาขี้ออกจากหัวทำอย่างไร แล้วมันก็ตั้งสติเข้ามาซิ... ถ้าเราตั้งสติเข้ามา เราตั้งใจของเราขึ้นมานะ เราตั้งสติของเราขึ้นมา เรากำหนดคำบริกรรม กำหนดต่างๆ ให้มันสงบเข้ามา พอมันสงบเข้ามามันมีความร่มเย็นนะ

คนเราอยู่ในที่ร้อนมันจะร้อนมาก พอเข้าที่ร่มเย็น มันก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อขี้คือความเร่าร้อน ขี้คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ขี้คือโทสะเห็นไหมโทสคฺคินา โมหคฺคินา เห็นไหม ไฟเป็นไฟราคะ โทสะ โมหะ สิ่งที่มันเป็นไฟ สิ่งที่มันแผดเผา แล้วมันแผดเผาหัวใจน่ะ มันแผดเผาเราน่ะ โดยที่เราไม่รู้

อวิชชาคือความไม่รู้นะ ดูซิ เวลาหน้าหนาวน่ะ เขาต้องจุดไฟผิงกัน เพื่อเอาความอบอุ่นของมัน ถ้าคนเฒ่าคนแก่เผลอล้มลงไปในกองไฟ ตายเลย เพราะอะไร เพราะจะผิงไฟเพื่อจะเอาความอบอุ่น แต่เพราะตัวเองแก่ชราเห็นไหม เวลาช่วยตัวเองไม่ได้ล้มลงไปในกองไฟ ตายเลย ตายเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราว่าเราจะแก้ไขกิเลสไง เราจะแก้ไขกิเลสด้วยความไม่รู้ เห็นไหม คิดว่าสิ่งที่เป็นขี้นี้เป็นอาหาร แต่เวลาว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาเห็นไหม เราเห็นโทษของมัน พอเห็นโทษของมัน ใครรู้ว่าเป็นโทษ แล้วใครจะไปทำโทษนั้นอีกไหม สิ่งที่เป็นโทษใครจะไปทำอีก เพราะมันเป็นโทษ แต่เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นโทษ เราเข้าใจเอง

พอเราเข้าใจเอง เหมือนผู้ใหญ่กับเด็กเลย ผู้ใหญ่เห็นเด็กทำความผิดผู้ใหญ่ก็รู้ แต่เมื่อเด็กมันทำผิดน่ะ ก็อาศัยว่าเด็กมันไม่รู้ ถ้าเด็กมันไม่รู้ก็ค่อยแก้ไข ก็ค่อยสั่งสอนกันไป ถ้าเด็กมันโตขึ้นมาเห็นไหม เด็กทำผิดน่ะ

เราก็เหมือนกัน ในเมื่อเราบวชใหม่ จิตใจของเรายังอ่อนแออยู่ จิตใจเรายังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ อยู่ มันก็เหมือนเด็กๆ เห็นไหม ดูซิ พระเราน่ะจะถ้าจะรู้มันต้อง ๕ พรรษาขึ้น ถ้า ๕ พรรษาขึ้นไป แล้วเป็นผู้ฉลาด พ้นจากนิสัย แต่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ยังอยู่ในนิสัยอยู่ คือว่าเหมือนยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งนี้เรื่องโลกก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่การธรรมดาของเราต้องรักษาตัวเรา

ไม้คด ! ถ้ามันคดเห็นไหม บั้นปลายมันจะไปไหนล่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราพยายามแก้ไขเรา เราต้องดัดแปลงเรา ต้องอดทนแก้ไขสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันดิ้นรน ถ้าเราแก้ไขไม่ได้ ไปดัดแปลงต้นให้มันตรงให้ได้ แล้วพยายามถนอมรักษาหัวใจให้มันตรง ให้มันเที่ยงธรรม ถ้ามันเที่ยงธรรมแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นไปเห็นไหม เราพยายามที่จะดูแลรักษาหัวใจของเรา ดูแลรักษาขึ้นไป ถ้าเราเข้าไปเห็นนะ

ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม โดยสัจธรรม นั้นแหละกิเลส สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันขี้ ย่ำยีอยู่บนหัวใจของเรา เราจะรักษาแก้ไขดัดแปลงเพื่อสิ่งนั้นให้มันพัฒนาขึ้น ปัดมันออกไป ปัดขี้บนหัวออกไป ถ้ามันปัดขี้บนหัวออกไปนะ อย่างมันเป็นสัมมาสมาธิ ความสงบร่มเย็นของใจ ทั้งๆ ที่ไม่ทำลายขี้ เพียงแต่ทำความสะอาด ยังไม่ได้ชำระล้างให้มันสิ้นสุดออกไป มันก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ

แล้วเราพิจารณาของเรา จิตสงบแล้วเห็นอาการของใจ อาการของใจคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วพิจารณามัน จิตกับขันธ์ ๕ จิตกับความคิด พิจารณาแยกแยะต่อกันเห็นไหม มันชำระล้างต่อกัน มันทำความสะอาดต่อกันเรื่อยๆ ทำความสะอาดบ่อยครั้งเข้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาแยกแยะ

ถ้ามันแยกแยะ พอมันมีสติปัญญาขึ้นมา มันจะปล่อยนะ พอมันปล่อยขึ้นมา มันมีความสุข มีความร่มเย็น เราทุกข์ยากมา เรากินข้าวอิ่มหนำสำราญ มันแตกต่างกันกับความหิวโหย จิตใจที่มันมีขี้ ขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลง ที่มันขี่คออยู่น่ะ มันมีแต่ความทุกข์ยาก

เหมือนเราเลยน่ะ มีขื่อคาอยู่บนหัว เราลืมตาอ้าปากขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะขื่อคามันกดเราไว้ ถ้ามันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง มันกดคอเราไว้นะ เราจะไม่ได้พบแสงสว่าง เราไม่ได้พบความอิสรภาพเลย แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา แก้ไขของเราเห็นไหม เราทำลายขื่อคาออกไปจากคอ ขื่อคาที่เราทำลายออกไปจากคอ เราจะแหงนหน้าดูฟ้า เราจะมองเหลียวซ้ายแลขวา เราจะทำสิ่งใดด้วยความอิสรภาพเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกดขี่คอเราอยู่น่ะ มันทำลายเราอยู่เห็นไหม สิ่งที่เป็นโทษนะ ไม่มีใครทำลายเราเลย เรามาอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะกันนะ

วัดๆ หนึ่งก็เหมือนร่างกายมนุษย์คนหนึ่ง ร่างกายมนุษย์คนหนึ่งเห็นไหม เท้า มือต่างๆ ร่างกายที่ปกติ ร่างกายนี้แข็งแรงทำอะไรก็สะดวกสบาย พระในวัดๆ หนึ่ง ผู้ที่บริหารจัดการ ระดับของผู้บริหารเป็นเท้า เป็นมือ เป็นตีน เป็นสมองต่างๆ ก็คือพระเหมือนกัน แต่รวมกันแล้วมันเหมือนสังคมๆ หนึ่ง ถ้าสังคมหนึ่งมันขับเคลื่อนไปโดยความสมานสามัคคีนะ ร่างกายคนปกติสุขนะ อยู่แล้วสุขสบายมาก

สังคมหนึ่ง สังฆะ.. ในสังคมของสงฆ์ อยู่ร่วมกันแล้วทำงานเห็นไหน หน้าที่ของเราน่ะแตกต่างกันเห็นไหม เรามีหน้าที่รับผิดชอบ เป็นเท้าเป็นมือเป็นสมองเป็นอะไรต่างๆ ก็เหมือนเวลาเราทำภาระหน้าที่ เป็นเท้าเป็นมือ เท้ามือก็คือเท้ามือตลอดไปนะ

แต่พระเราไม่เป็นอย่างนั้น พระเราเวลาศึกษาหน้าที่การงาน ทุกๆ หน้าที่ เท้ามีหน้าที่เดินไป เท้านี่สำคัญมาก ถ้าไม่มีฝ่าเท้าเดินไปร่างกายมันจะเดินไปไหนไม่ได้เลย เราทำข้อปฏิบัติ เราทำสิ่งที่เป็นสังคมกับสงฆ์ สงฆ์ได้อาศัยสิ่งที่เราทำอยู่เห็นไหม เหมือนเท้า รองรับร่างกายไว้ รองรับสมองไว้ รองรับทุกๆ อย่างไว้เลย นี่ข้อปฏิบัติเห็นไหม

ดูสิ เราทำความสะอาดศาลาโรงธรรมต่างๆ มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติของเราเห็นไหม สังคมของสงฆ์ สังคมของร่างกายๆ หนึ่ง ถ้าเราทำลายขื่อคาในคอของเรา มันพอใจ มันพอใจจะทำน่ะ มันไม่มีอะไรตกค้างในใจ แต่ถ้ามันมีกิเลสตัณหา ขื่อคามันครอบครองอยู่น่ะ ทำนู้นก็น้อยใจ ทำนี่ก็ทุกข์ยาก ทำสิ่งใดก็ไม่อยากจะทำ นี่งานข้างนอกนะ

งานข้างนอกหมายถึงข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นรูปธรรมที่ทำได้ชัดๆ เวลางานข้างในของพระเรานะ งานของความรู้สึกละ เราจะทำอย่างไร เราจะบริกรรมอย่างไร ให้จิตมันสงบ แล้วจิตมันเป็นอย่างไรล่ะ สมาธิมันเป็นอย่างไรล่ะ เห็นไหม

ดูซิ เวลาเราเรียนปริยัติมา เรียนจนหัวแทบแตก เรียนมา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เรียนไปเถอะจำได้ทุกอย่าง รู้... ชื่อเสียงเรียงนามรู้จักหมดล่ะ แต่ตัวจริงไม่เคยเห็น สมาธิเป็นอย่างไร สติเป็นอย่างไร สติก็คือสตินะสิ แต่ไม่รู้จักมหาสติ มหาสติเห็นไหม ดูซิ มันเข้าไปค้นคว้ากามราคะ แล้วกามราคะ โอฆะน่ะ หัวใจที่มันติดในวัฏสงสารน่ะ มันเข้าไปรื้อค้นน่ะ มันมีสติ มหาสติ มหาปัญญา ที่มันพัฒนาขึ้นมา

นี่สติมันรับรู้ได้เพราะเรามีอยู่ เพราะเรามีสติปัญญาอยู่ เพราะเราเป็นมนุษย์เรามีสติอยู่แล้ว เพราะเรามีสัญชาตญาณ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสติ อ้อ... สติเป็นอย่างนี้เอง สติเป็นอย่างนี้ก็ว่ากันไป สติโดยชื่อ สติโดยความจริงในหัวใจ มันก็เป็นสติของปุถุชน มันไม่เป็นกัลยาณปุถุชน มันไม่เป็นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ถ้ามันมีขึ้นไปเห็นไหม

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะเรามีสติปัญญา เราเห็นโทษ เห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา มันมีอะไรขื่อคอขึ้นมา เราก็ตั้งสติของเรา เราทำเพื่อเรา เราทำเพื่อเรา พระ...ปริยัติ ปฏิบัติ.. ปฏิบัติมันเป็นข้อเท็จจริงไง มันลงไปในข้อเท็จจริงนั้น ในเหตุการณ์นั้น ในการผจญภัยนั้น แล้วมีการแยกแยะ มีการตั้งใจ เพื่อแยกแยะพิสูจน์ตรวจสอบให้ทำลายไอ้ขี้บนหัว ทำลาย เอามาชะ เอามาล้าง เอามาตรวจสอบขึ้นมาเห็นไหม

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของจิตดวงใด มันก็เป็นสมบัติของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นถ้ามันมีมรรคญาณขึ้นมาจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นก็จะทำความสะอาดของจิตดวงนั้นขึ้นมา ในเมื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตดวงใดมันมีความหมักหมม มีความสะสมขึ้นมา เราก็ต้องพยายามตั้งสติ ต้องมีการต่อสู้ ต้องมีการตรวจสอบจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้น “นี่คือสันทิฏฐิโก นี่คือปัจจัตตังนะ”

แต่เรามีครูมีอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ของเราก็ได้ปฏิบัติขึ้นมาก็ด้วยการแก้ไขด้วยการตรวจสอบอย่างนี้มา ครูบาอาจารย์เราได้ผ่านวิกฤตมา ได้ผ่านการกระทำมาแล้ว คนที่ผ่านงานมาแล้ว ได้ผ่านการกระทำอย่างนั้นมาแล้ว มันเข้าใจเรื่องการกระทำอย่างนั้นหมดล่ะ

แต่เราเป็นผู้สัทธิวิหาริกใช่ไหม เราเป็นภิกษุผู้บวชใหม่ เราเป็นผู้ที่ปฏิบัติ เรายังไม่ผ่านขบวนการอย่างนั้น แต่เราอยากผ่านขบวนการอย่างนั้น ขบวนการในมรรคญาณ ขบวนการในการประพฤติปฏิบัติ ขบวนการในอริยสัจ เราต้องมีสัจจะ มีความจริง มีความมั่นคงของใจเรา ถ้าเราไม่มีสัจจะมีความจริงเห็นไหม

บ้านมันตั้งอยู่บนแผ่นดิน ถ้าแผ่นดินเป็นโคลน แผ่นดินที่มันไม่มีความเข้มแข็งพอ เขาต้องมีเข็ม เขาต้องมีคาน เขาต้องมีสิ่งต่างๆ เพื่อให้บ้านนั้นมั่นคง จิตใจของเรา จิตใจของเราที่มันประพฤติปฏิบัติกันมันอ่อนแอ จิตใจของเรามันไม่มีวุฒิภาวะ มันก็มีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ มันก็ต้องมีหมู่คณะเห็นไหม นี่พระสงฆ์เราเห็นไหม

มนุษย์คนหนึ่งก็มีร่างกายๆ หนึ่งเห็นไหม สังคมของสงฆ์ ๑๐ องค์ ๒๐...๓๐ องค์ขึ้นไป ก็เป็นร่างกายๆ หนึ่ง มันก็ต้องมีการประสานกัน มีการเกื้อกูลต่อๆ กัน มันจะไปเกี่ยงงอนกันเห็นไหม มือบอกว่ากูขี้เกียจ กูไม่ยอมเอาของเข้าปาก ไอ้ปากก็กูจะกินมือก็ไม่ยอมเอาเข้ามามันก็ไม่ได้กิน ไอ้ลิ้นก็ไม่ได้ลิ้มรส ต่างคนต่างเกี่ยงกันไป ร่างกายก็ผอมแห้งแรงน้อย ร่างกายนั้นมันก็ต้องตายไป

สังคมของสงฆ์ ! สังคมต้องพิจารณากัน ช่วยเหลือกันเจือจานกัน เพื่อประโยชน์ของสังคมของสงฆ์ ก็เพื่อผลประโยชน์กับร่างกายนั้นเอง ในการประพฤติปฏิบัติเข้ามา ร่างกายของเรา ในเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราแก้ไขของเรา เราย้อนกลับขึ้นมาในหัวใจของเราเห็นไหม เพื่อชำระของเรา ให้ความเห็นขี้นั้นไง

ขี้บนหัว ! ขี้บนหัวเราไม่เห็น แต่ครูบาอาจารย์เห็น ผู้ที่ผ่านวิกฤติมา ผ่านประสบการณ์มา เขารู้เขาเห็นของเขา เขาแก้ไขได้ เขาทำได้ ถ้าแก้ไขได้ ทำได้ มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความจริงนะ แต่ของเราถ้ายังไม่เป็นความจริง เราต้องหมั่นเพียรของเรา

งานนะ... สมบัติของพระนะ ดูวัดวาอาวาสซิ มันจะวิจิตรพิสดารขนาดไหน เห็นไหม เขาต้องมันมีการซ่อมบำรุงรักษา เขาต้องดูแลของมันนะ มันเป็นวัตถุภายนอกนะ คุณธรรมในหัวใจน่ะมันเป็นความจริง สิ่งที่เป็นทิพย์ สิ่งที่เป็นบุญกุศลในหัวใจมันเป็นความจริง ไม่มีใครจะมาฉกชิงวิ่งราว ไม่มีใครจะมาแก้ไขดัดแปลงให้เป็นสมบัติของคนอื่นได้เลย

สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา เคยทำได้หนหนึ่ง มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราหนหนึ่ง เราตั้งเหตุของเราขึ้นมา เราตั้งสติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา แล้วสมาธิมันจะไปไหน สมาธิมันเป็นผลเกิดมาจากเหตุ เหตุการณ์กระทำ เหตุจากสติ เหตุเกิดจากคำบริกรรม เหตุจากการใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

แล้วถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมา ชำระกิเลสเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา จากกุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สภาวะการเคลื่อนไหวไป แต่ถ้าเรามีเหตุ เรามีการกระทำของเราบ่อยครั้งเข้า จนมีความชำนาญของมันขึ้นมา เวลามันวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มันชำระกิเลสมันเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมเป็นสัจธรรมที่เป็นความจริงนะ

“อกุปปธรรม อฐานะ”

ดูซิ เวลาสมบัติของโลกเขามีแก้วแหวนเงินทอง สมบัติของพระมีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรมขึ้นมาน่ะ เพื่อสมบัติเพื่อความดีงามเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของพระองค์นั้น แล้วพระองค์นั้นน่ะ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นอกุปปธรรม

อกุปปธรรมคือธรรมเหนือโลก คือพ้นจากสัพเพ ธัมมา อนัตตา พ้นจากความแปรปรวน พ้นจากสิ่งต่างๆ มันเป็นคุณธรรมตามความจริงของจิตดวงนั้น

ดูซิ นี่ไง ขี้ ! ทำลายขี้เป็นชั้นเป็นตอน ขี้มันไม่มีอกุปปธรรม อฐานะที่ขี้มันจะตั้งอยู่ได้ ! ขี้มันต้องมีที่ตั้ง มีที่พบ มันต้องมีสถานที่มันตั้งอยู่ได้ใช่ไหม ขี้บนหัวน่ะ เพราะมันมีตัวตนมันถึงอยู่บนหัวได้ ถ้ามันทำลายหมดสิ้นไป ไม่มีศีรษะ ไม่มีที่ให้มันอยู่ ขี้มันจะไปอยู่ที่ไหน ขี้ลอยอยู่บนอากาศได้ไหม ขี้มันลอยอยู่บนสุญญากาศได้ไหม ขี้มันลอยอยู่บนไหนไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเราชำระล้างไปแล้วนั้นมันจะอยู่ที่ไหน นี่ไงอกุปปธรรม ขี้บนหัว ถ้าไม่ได้ชำระล้าง ไม่ได้การกระทำ มันก็จะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไป ตลอดนะ แล้วมันก็จะเอาความเศร้าหมองมาสู่ใจเรา ใจเราเศร้าหมอง คอตก มีแต่ความทุกข์ มีแต่กิเลสเหยียบย่ำหัวใจ จะเดินไปไหนมีแต่ความเศร้าหมอง

แต่ถ้าเราต่อสู้กับมัน เราไม่ได้ต่อสู้ เราไม่มีสติปัญญา เข้าไปประหัตประหารกับมัน ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการทำลาย สิ่งนั้นมันจะเป็นขื่อคาคอใจเราตลอด มันจะเป็นขื่อคาบนคอ ของเรา มันจะกดทับ มันจะทำลายความรู้สึกความนึกคิด แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจนะ สิ่งที่มันอยู่กับความคิดนะ ดูซิ เราเห็นหน้ากันแต่เราไม่รู้เรื่องความคิด เรื่องหัวใจของคน

หัวใจของคนมันละเอียดอ่อน อยู่ในหัวอกนั้นน่ะ ไม่มีใครจะรู้เรื่องความคิดของคนได้ แต่เห็นหน้ากัน เห็นสายตากัน มองหน้ากัน คุยกัน รักษากัน แต่หัวใจนั้นน่ะไม่มีใครรู้เท่า แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจที่มันชำระล้างขึ้นมาในใจน่ะ ใจมันพัฒนาขึ้นมา

ในใจของเรา ดูซิ คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาน่ะมันรู้เท่ากันได้ไง ความรู้สึกอันนั้น ความเข้าใจอันนั้นมันเปรียบเทียบกันได้ เราพยายามต่อสู้ พยายามแยกแยะ พยายามเพื่อจะเข้าไปสู่ประโยชน์อันนี้ ประโยชน์ในการชำระล้างไง ชำระล้างขี้บนหัวออกไปให้ได้

เราบวชมาเรามีเป้าหมายนะ เราไม่ได้บวชมาสักแต่ว่าบวช เราบวชมานี่ เราไม่ได้มากินข้าวของชาวบ้านที่ให้มาเสียข้าวโดยเปล่าประโยชน์ เรากินข้าวของเขา เราต้องพยายามตั้งสติปัญญาขึ้นมา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เพื่อตอบสนองบุญกุศล เราทำประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า “อานนท์ ทานในศาสนานี้ มีเลิศอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน อีกคราวหนึ่ง เราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วถึงซึ่งขันธนิพพาน ”

ทานในศาสนาพุทธ ๒ คราวนี้มีอานิสงส์มหาศาล มีอานิสงส์ที่สุด คราวหนึ่ง เราฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วมันถึงซึ่งขันธนิพพาน

แล้วเราล่ะ เรากินของเขาทุกวัน แล้วคราวไหนล่ะมันจะเป็นกุศลบ้างล่ะ เราก็ต้องมาคิดพิจารณาของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา มันจะเป็นบุญกุศลของเขา เขาทำกุศลของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา เราก็ใช้ประโยชน์นี้เพื่อดำรงชีวิตของเขา เพื่อสมณะเห็นไหม เพื่อความอยู่เป็นสุขของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับสังคมโลกเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ไปเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์ พระยสะเห็นไหม เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ๖๑ องค์

“เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน”

ให้ต่างคนต่างแยกกัน อย่าซ้อนเป็น ๒ องค์ เพราะ ๒ องค์ก็ ๒ ดวงจิต ๒ ดวงพระอรหันต์ มันไม่เป็นประโยชน์กับโลก ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งให้พลังงานกับจักรวาลหนึ่ง

จิตดวงหนึ่งที่สิ้นจากกิเลสที่เอาขี้บนหัวออกหมดแล้วนะ มันมีคุณค่า มัน ไม่ควรอยู่ซ้อนกัน มันควรแยกจากกันเพื่อประโยชน์กับโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์กับโลก.. เพื่อประโยชน์กับโลก

นี่เพื่อประโยชน์กับเรา ทำอย่างไรเป็นประโยชน์กับเราให้ได้ก่อน แล้วเราจะไปทำประโยชน์กับโลกนะ ทำประโยชน์กับเราให้ได้ ชำระล้าง ทำความสะอาดความสกปรกโสมมในหัวให้ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับโลก เอวัง