เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มิ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราอยู่กับสังคม เราว่าสังคมนี้เดือดร้อนมาก สังคมนี้บีบคั้นเรามาก เวลากฎหมายบังคับนี่ บังคับว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่มีกฎกติกา เราจะอยู่กันได้อย่างไร แต่ถ้ามีศีลธรรมในหัวใจ กฎกติกานั้นมันเป็นเปลือก แต่ถ้าคนมันหยาบต้องใช้กฎหมายบังคับ กฎหมายบังคับเขายังหาทางฉีกออกเห็นไหม

แต่ถ้าศาสนา มันเป็นเรื่องของศีลธรรม คนเก่งกับคนดี ถึงลูกเราจะไม่เก่งขนาดนั้น แต่ลูกเราเป็นคนดีและมีความสุข เราก็จะพอใจในความสุขของลูกเรา การเกิดและการตาย เราไม่ได้มาในปัจจุบันนี้ ทุกคนปรารถนาดี ทุกคนต้องการความดี แต่ความดีของคนมันหลากหลาย ความดีของแต่ละบุคคลมันแล้วแต่มุมมองของคน ว่าความดีของเราคือปรารถนาสิ่งใด

เรายังไม่เข้าใจนะ เราขาดแคลนสิ่งใด เราก็จะหาสิ่งนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของเรา พอได้มาก็เป็นความสุข ความสุขอย่างนั้น เราจะสะสมไว้ในบ้านเราจนล้นบ้านเลย ไม่มีที่เก็บเลย แต่ความสุขในใจของเรานะ มันไม่ต้องมีที่เก็บ มันมีความรู้สึก มันมีศีลธรรมจริยธรรม มันมีกติกาของมัน เรามีความสุขนะ คนยังไม่มีอะไรเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ อยู่ในป่าในเขา ทำไมท่านเสวยวิมุตติสุข กว่าจะออกมาสั่งสอนน่ะ เสวยวิมุตติสุขแล้ว เสวยวิมุตติสุขอีก เพราะสิ่งใด เพราะว่าถ้าไปสอนเขาแล้ว เขาจะเข้าใจเราได้อย่างไร

เพราะทางโลกเขาปรารถนาความสุขกัน ลาภสักการะเป็นผลประโยชน์ของเขา เราบอกให้เขาเสียสละ ! เสียสละนี่ เขาเข้าใจไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนมีศีลธรรม เขาอธิบายให้เข้าใจได้นะ ว่าการเสียสละของเรา เสียสละเพื่อฝึกหัวใจของเราให้เข้มแข็ง หัวใจของเราอ่อนแอ หัวใจของเราไม่มีที่พึ่งอาศัย มันอาศัยสิ่งวัตถุเป็นที่เกาะ เป็นที่แอบอิง มันจะอยู่ในตัวของมันเองไม่ได้ นี่ถ้ามีสิ่งใด มีเพชรนิลจินดา มันไม่มีชีวิต เราก็มีความสุข ไปคิดว่าเป็นของเรา เป็นของเรานะ นี่หัวใจไปเกาะเกี่ยวกับมัน เพื่อจะหาความสุขมาไง

แต่ถ้าเราเสียสละเห็นไหม ทำไมพ่อแม่ เพชรประจำตระกูล เวลาลูกจะหมั้น ทำไมเราส่งต่อๆ กันไปล่ะ เราอยากให้สมบัติของเรามีคุณค่า มีคนรักษา เราอยากให้มีคนเขาดูแลสมบัติพัสถานของเรา ให้ตระกูลของเรานี่ยั่งยืน แต่หัวใจของเรา ความรู้สึกของเรา เวลาเราเกิดมาในตระกูล เราเกิดมาโดยอะไร เราเกิดมาโดยสายบุญสายกรรม พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เรามีเวรมีกรรมต่อกันทั้งนั้นล่ะ กรรมดีกรรมชั่วมันส่งเสริมกันมาให้เรามาเกิดร่วมกัน การเกิดร่วมกัน นี่ชาติตระกูลของเรา !

แต่จิตของเราที่มันเกิดตาย เกิดตาย จิตดวงเดียวนี้มันเกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วเกิดเล่า เวลามันเกิดเป็นตระกูล พ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนละดวงใจนะ จิตหนึ่ง ! จิตหนึ่ง ! จิตหนึ่ง ! จิตหนึ่งคือชีวิตหนึ่ง เป็นสายบุญสายกรรม แต่เรามีความสุขนะ

แต่เวลามันถือเนกขัมมะเห็นไหม หนึ่งเดียว ! ถือพรหมจรรย์ยิ่งหนึ่งเดียวใหญ่เลย ! แล้วหนึ่งเดียวมีความสุขได้อย่างไร ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ลูกศิษย์ลูกหามหาศาลเลย เกิดจากอะไร เกิดจากโอษฐ์ เกิดจากปาก เกิดจากแสดงธรรม เกิดจากความรักความบูชา

แต่ของเรานี่เกิดจากครรภ์นะ สายบุญสายกรรม เราเกิดจากครรภ์ เกิดมาแล้วมีเลือดเนื้อเชื้อไขเพราะอะไร เพราะว่าเกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไข เกิดมาจากหัวอกไง ลูกก็ดื่มกินเลือดจากหัวอกพ่อแม่ไง นี่มันเป็นสายบุญสายกรรม

แต่ถ้าเกิดจากโอษฐ์ล่ะ เกิดจากโอษฐ์นั้นมันเป็นเรื่องของธรรม เรื่องของศีลธรรม เรื่องของความเชื่อมั่น เรื่องของครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมาทุกๆ อย่าง เสียสละมาเห็นไหม เสียสละแม้แต่ชีวิตตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมาทุกอย่าง เสียสละได้ทั้งนั้น เสียมาเพื่อใคร เสียมาเพื่อพัฒนาหัวใจของตัวเอง

ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เรามาทำบุญกุศล สิ่งที่เราเสียสละออกไปเป็นของเราทั้งนั้นล่ะ ถ้าเอาไว้ในบ้าน ยังเป็นของตระกูล แต่ถ้าเป็นของเรา เราเสียสละออกไปเป็นผู้กระทำ เป็นผู้เห็น ตระกูลของเราไม่รู้ ปู่ย่าตายายไม่รู้ว่าลูกไปทำบุญหรือไม่ทำบุญนะ แต่เราอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา อุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายเขาได้รับบุญกุศล

แต่ถ้าเป็นสมบัตินะ อยู่ในบ้านก็เป็นของทุกๆ คน ทุกคนก็ อู้ย.. ของเรา ! ของเรา ! ของเรา ! เราเอามาทำบุญเขายังไม่รู้นะ แต่ถ้าอุทิศส่วนกุศลไป นั้นจะเป็นบุญของเขา

อุทิศส่วนกุศลเพราะเหตุใด อุทิศส่วนกุศลไป เพราะเรามีความปลื้มปีติในหัวใจ มีความเสพสุขในหัวใจ หัวใจนี้อุทิศให้เขา เวลาเราทุกข์เรายาก เราไม่มีความสามารถจะหาวัตถุมาเสียสละทานได้ เราเห็นใครเสียสละทาน เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เห็นเขาทำบุญเรามีความปลื้มใจ

หัวใจไม่ต้องอาศัยเพชรนิลจินดาเป็นที่อาศัย เป็นที่มีความสุขไง มันมีความสุขของมันได้ แล้วความสุขอย่างนี้ ไม่ใช่ข้าวของเงินทองที่เก็บไว้ในตู้เซฟ ซ้อนกันจนล้นออกมานอกบ้านเลย แล้วไปนั่งเฝ้ามันนะ กระดาษของกู ! กระดาษของกู ! แบงก์ของกู ! ของกู ! แล้วมันเป็นของกูจริงหรือเปล่าล่ะ ตายเดี๋ยวนั้นก็พลัดพรากจากกัน

แต่ถ้าเป็นบุญกุศล มันจะเป็นนามธรรม มันไม่มีวัตถุ ไม่ต้องเก็บซ่อนเลย ไม่ต้องทำสิ่งใด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ความรู้สึกเราก็ปล้นไม่ได้ ใครปล้นบุญกุศลของเราไม่ได้ ใครมาฉกชิงวิ่งราวบุญกุศลไม่ได้

แต่เราเสียสละได้เห็นไหม เราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เป็นสายบุญสายกรรม คนเกิดมาก็มีกรรมมีเวรมาทั้งนั้นล่ะ สิ่งใดที่เราทำผิดพลาดมา เราก็อุทิศส่วนกุศลนะ อุทิศส่วนกุศลขออภัยต่อกัน ให้บุญกุศลนี้เจือจานต่อกัน เพื่อให้กรรมเวรมันเจือจานไปต่อกัน แล้วเราเอาแต่ความดีๆ นี้มาเผื่อแผ่กัน เอาแต่ความดีๆ เห็นไหม

เวลาสังคมมันทุกข์ยากเห็นไหม หรือสังคมมันบีบคั้นเรา พุทธศาสนา ศาสนาแห่งการเสียสละ ศาสนาแห่งศีลธรรม ทำไมคนมันเป็นอย่างนั้นล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเคารพบูชาไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตนะ นี่คนที่เขาไม่เห็นด้วย เขาจ้างคนมาด่า “ไอ้อูฐ ไอ้หัวโล้น ไอ้ไม่ทำมาหากิน ไอ้ไม่รู้จักทำมาหากิน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ทำไมมีคนมาติฉินนินทาล่ะ เพราะคนติฉินนินทา จิตใจเขาหยาบช้า นี่เราเกิดในสังคม สังคมที่มันทุกข์ร้อน เพราะจิตใจของคน ของเขามันไม่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ เราคัดเลือกเอา เราก็ว่าสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดดีงาม ธรรมะย่อมชนะอธรรม !

แต่คำว่าธรรมะ เราเสียสละ เราทำความดีกับเขา ใครจะเห็นความดีของเราบ้างล่ะ เราทำคุณงามความดีมาขนาดนี้ แล้วบอกเราไม่เคยได้ดีกับใครเลย แต่คนที่ได้ดิบได้ดีคนแรกคือหัวใจของเรา เราเป็นผู้เสียสละ เราเป็นคนทำคุณงามความดีนี่ เราเป็นคนรู้ก่อนนะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ เรื่องของเขา เรื่องของเรา เรารักษาเรื่องของเรา เทวดา อินทร์ พรหม รู้ เรารู้ของเรานะ

ถ้าเรารู้ของเราเห็นไหม ดูสิ เราเป็นคนชั่วช้าลามก แล้วเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราพุทโธ พุทโธ พุทโธ เราก็รู้ของเรานะ เพราะเราเป็นคนทำของเรามาเอง เราผิดศีลเรามาเอง เราทำของเรามาเอง แล้วมา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เรารู้ของเราเองเห็นไหม

ฉะนั้น ทำดีแล้วไม่ต้องไปห่วงว่าคนโน้นจะรู้ คนนี้จะไม่รู้หรอก เราจะรู้ของเรา ความดี การทวนกระแส คนจะยอมรับได้ เขาต้องใช้กาลเวลา ฉะนั้นชีวิตหนึ่งสิ้นไปแล้ว เขาจะรู้ความดีของเราหรือไม่รู้ความดีของเรา เขาจะรู้สึกถึงความดีกันก็ตอนอ่านประวัติตอนเผาศพ โอ้โฮ.. คนๆ สุดยอด ! สุดยอด !

ตอนเผาศพนะ เขาจะอ่านประวัติ อ่านประวัติมันก็เรื่องของเขา บุญกุศลมันติดไปกับเราแล้ว เราไปส่งกันที่เชิงตะกอน แล้วก็อ่านประวัติกัน แต่คุณงามความดีมันดีตั้งแต่ที่เราทำ พอที่เราทำนะ เวลาเราจะเสียชีวิตนะ เราเผชิญหน้ากับมัจจุราชได้สบายๆ เลย เราพร้อมแล้ว ! ไปไหนก็ได้ ! สมบัติพัสถานพร้อมแล้ว !

แต่ถ้าเราไม่มีอะไรในหัวใจเลย ศีลธรรมเราบกพร่อง จะละล้าละลังนะ จะไปก็ไม่กล้าไป จะอยู่มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยก็ลำบากลำบน ไอ้จะไปก็ไปไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าคนที่มีศีลธรรมในหัวใจนะ จะไปไหนบอก คนมันพร้อมนี่ไปได้ตลอดนะ นี่ผลของวัฏฏะ

แต่ถ้ามันถึงที่สุด ถ้ามีสติปัญญา เวลาพระอรหันต์จะตาย สติมันพร้อมหมด สติมันพร้อมกับความรู้สึก เพราะธรรมธาตุมันหดตัวเข้ามาจนเป็นจุดศูนย์กลางของจิต แล้วเคลื่อนออกไป มันรู้มันเห็นหมดทุกอย่างล่ะ มันไม่มีใครว่าจะตาย จะตกใจ อูย.. จะตาย จะไปไหน ไปอย่างไร มันไม่มีหรอก จิตมันพร้อมเสมอ

ดูสิ เวลาคนวูบ วูบไปก็ดับ แต่เวลามีสติมันหดตัวเข้ามานี่ รู้ตัวตลอดเวลา จะดับอย่างไรมันก็มีจิตรู้อยู่ รู้ลึกๆ สักแต่ว่ารู้ อย่างไรก็รู้ รู้ตลอดเวลา ปฏิสนธิจิตที่มันจะหมุนไปเห็นไหม ปฏิสนธิจิตเวลาคนเวียนตายเวียนเกิด ปฏิสนธิจิตที่มันไปเกิดไปตาย แต่พระอรหันต์เวลาตาย มันหดเข้ามาถึงที่สุดของมันนะ เพราะอะไร เพราะมันสิ้นกิเลสตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรตายหรอก

ธรรมธาตุ ! ธาตุอันนี้ อารมณ์ความรู้สึกก็ชาติหนึ่ง ภพหนึ่ง คิดถึงก็เกิดไปประสบพบหนหนึ่ง เวลาเราเกิดเป็นภพชาติหนึ่ง เห็นไหม เวลาความคิดเกิดขึ้นมาก็เสวยอารมณ์หนึ่ง มันก็ภพชาติหนึ่ง ภพชาติ มันเกิดตาย เกิดตายบนจิต ภวาสวะมันก็ทำลายหมดแล้ว มันจะเอาอะไรไปเกิดตาย มันไม่มีอะไรมาเกิด ไม่มีอะไรมาตาย มันรู้ตั้งแต่มันยังไม่ตาย แล้วมันจะเอาอะไรมาตาย

พอมันไม่ตายเห็นไหม นี่จิตมันไม่เคยตาย แต่เราต้องตายนะ เรานี่ตาย เพราะจิตเราก็ตายด้วย เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราไม่เข้าใจของเราเห็นไหม เราทำบุญกุศลกันเพื่อเหตุนี้ เราเสียสละมาเพื่อบารมีธรรม ! เราเสียสละมาเพื่อให้หัวใจเข้มแข็ง ! ถ้าหัวใจเข้มแข็งตั้งสติได้ พอตั้งสติได้ เรากำหนด พุทโธ พุทโธนี่ อารมณ์ความรู้สึกจะไม่มาหลอกลวงเรา พอไม่หลอกลวงเรามันก็มีความตั้งมั่น พอตั้งมั่นมันก็เกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดมันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่ชำระกิเลส ไม่ใช่ปัญญาความคิด ปัญญาที่เราศึกษาธรรมะกันอยู่อย่างนี้

เห็นไหม ทำบุญ เราจะรู้เอง เราทำของเรา มันจะพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จิตเราจะเข้มแข็งขึ้นไป จะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นไป ถึงที่สุดจิตพ้นจากความตายได้ ความตายในสมมุติไง วัฏฏะนะ การเกิดการดับ นั่นคือการตาย ความคิดอารมณ์หนึ่งก็ตาย เกิดคิดหนึ่งก็เกิดทีหนึ่ง ความคิดดับไปก็ตายหนหนึ่ง เกิดตาย ! เกิดตาย ! เกิดตาย ! แล้วมาเกิดตายเป็นมนุษย์อีก ก็เกิดตาย ! เกิดตาย ! เกิดตาย ! แต่มันถึงที่สุดแล้ว ธรรมธาตุแล้ว เห็นไหม เวลามันจะอำลาต่อกันไง

เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เป็นมนุษย์ประพฤติปฏิบัติ เราจะอำลาต่อภพชาตินี้ เราปฏิบัติจนสิ้นกิเลสแล้ว ลากันที ! ภพชาติเอ๊ย ! ขอลากันที มันหดเข้ามา หดเข้ามา แล้วมันก็ไปของมัน...จบสิ้นกันไป สอุปาทิเสสนิพพาน คือยังมีชีวิตอยู่ ยังมีภพชาติอยู่

เวลามันออกจากร่างไป นั่นนะอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีเศษ ไม่มีสิ่งใดกระทบ มารจะตามไม่เจอ ใครจะตามหาสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ในปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ยังแสดงธรรมให้เราฟังได้ ยังเป็นผู้ชี้นำเราได้ แต่ถ้าเป็นในวัฏฏะ มันยังเกิดตาย เกิดตาย ยังมีเวรมีกรรม ยังไปพบกันข้างหน้า แต่ถ้าสิ้นแล้วมันจะไม่พบกันอีกแล้วเห็นไหม นี่บุญกุศลของเรา เราสร้างเพื่อเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง