เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันปกติเราก็พยายามภาวนาของเรา วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ คนจะประเสริฐได้ มันต้องมีสติปัญญารักษาตัวเองรอด ถ้ารักษาตัวเองไม่รอด ดูสิ ทางโลกในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอาหารขยะ มันเป็นความสะดวกสบาย แล้วกินง่าย นี่คนชอบมาก แต่ให้ผลเป็นโทษกับทางร่างกาย

อาหารเพื่อสุขภาพ เราแสวงหา แล้วเก็บถนอมรักษายาก เพราะมันไม่มีสารพิษต่างๆ อาหารที่เป็นประโยชน์จะอายุสั้น และเก็บได้ยาก แต่กินแล้วจะเป็นประโยชน์กับร่างกาย ของที่เก็บไว้ได้นาน ถนอมรักษาไว้ดี กินแล้วจะให้โทษกับร่างกายทั้งนั้นเลย นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราต้องการ เราต้องการอาหารขยะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นปัจจุบัน มันไม่ค้างแรมค้างปี ค้างแรมค้างปีนี่ มันเป็นอดีต อนาคต สิ่งที่เป็นอดีต อนาคต มันจะแก้กิเลสได้ไหม เราก็ชอบกันนะ ดูสิ ตำรับตำรานี่เขียนกันออกมา นี่อาหารขยะ มันเป็นขยะเพราะอะไร เพราะคนเอาความคิดเจือปนเข้าไปในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลวงปู่มั่นบอกไว้ในมุตโตทัย ธรรมสถิตในหัวใจของใคร ถ้าสถิตในหัวใจของผู้ที่เป็นธรรม ถ้าสถิตในใจของปุถุชน มันจะแปดเปื้อนไปด้วยทิฐิ ด้วยมุมมอง ด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยความทะยานอยากของตัว แต่ถ้ามันสถิตในใจของผู้มีธรรม คุณภาพของใจนะ มันมีธรรมตั้ง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงสิ้นกิเลส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ สิ่งนั้นมันไม่เจือปนด้วยทิฐิความเห็นของตัว มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันตรงไหน ปัจจุบันลอยมาจากฟ้าเหรอ

ปัจจุบันมันก็มาจากอดีต จากอนาคต คนนี้เกิดมาจากไหน คนนี้เกิดมาจากการกระทำของเรา เกิดมาจากกรรมนะ จิตมันมีการกระทำ มันเกิดจากกรรม เพราะมีแรงกรรม กรรมนี้เป็นสายบุญสายกรรม ถึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของแม่ นี่มันเกิดจากกรรมของเรา เกิดจากการกระทำนี่ อดีต อนาคตใช่ไหม

เวลาธรรมะขยะ ขยะมันก็อ้างอิงได้ทั่วไปหมดเลย อ้างอิงไปอย่างนั้น แล้วมาพูดมันก็คำเดียวกัน พอบอกว่าสัญญาอารมณ์ก็เป็นขันธ์ ถ้ารู้เท่าสัญญาอารมณ์ก็เป็นขันธ์ สัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ใดไง ดูสิ เวลาเราทำความสงบของใจเราไม่ได้ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียง สัญญาอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกกระทบนี่ สิ่งนี้มันเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันเป็นขันธ์ตรงไหน มันยังไม่เป็นขันธ์หรอก

แต่ถ้าจิตเราสงบเข้าไป พอจิตเราสงบเข้าไปเราเห็นสัญญาอารมณ์ เราเห็นเห็นไหม เราเห็นมันเป็นเฉพาะส่วนบุคคล เฉพาะที่จิตดวงนั้นเห็น นี่ขันธ์ ขันธ์เกิดจากอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นขันธ์ไหม? รูป รส กลิ่น เสียง เป็นขันธ์หรือเปล่า? เขาบอกว่าเป็นขันธ์นะ เขาบอกสัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ สัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ตรงไหน

แต่ว่าขันธ์นะ มันเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเหมือนน้ำนะ น้ำสาธารณะ น้ำทั่วไปนี่เป็นประโยชน์กับใคร แต่ถ้าใครตักน้ำเข้าไปในบ้านของตัว แล้วตักน้ำจากโอ่ง จากไหนั้นออกมาใช้ นั่นเป็นขันธ์ น้ำเห็นไหม น้ำในขวด เราเทออกจากขวด น้ำมันอยู่ในขวดใช่ไหม น้ำนี่เขาคิดตังค์ไหม ใครไปสูบเอาได้สบายเลย แต่น้ำบรรจุขวดเขาคิดตังค์นะ เขามีเจ้าของนะ แล้วน้ำบรรจุขวดนั้น เราเทออกมาใช้สอยนี่ เราประหยัดไหม เพราะเราซื้อแสวงหามา เราลงทุนลงแรงมา

นี่ความคิดของเรา ขันธ์นะ มันต้องจิตมันเห็นจิตมันรู้ มันถึงเป็นขันธ์ นี่ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นขันธ์เพราะอะไร เพราะเราเห็นเป็นกองเห็นไหม เห็นรูปเป็นกอง แต่สัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ โอ่... นี่อาหารขยะ ธรรมะขยะ มันเป็นขยะ พอเป็นขยะ สัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ ทุกคนก็มีสัญญาอารมณ์ ทุกคนก็มีความรู้สึกทั้งนั้นล่ะ เป็นขันธ์หรือยัง แล้วจับสิเป็นขันธ์ไหม นี่มันไม่เป็น นี่ไง ถ้าบอกว่ามันไม่เป็นก็คือมันไม่เป็น พูดวันยังค่ำก็ผิด ผิดไปหมดเลย จี้ไปตรงไหนผิดทั้งเล่ม

นี่ไง เราถึงบอกว่า ถ้ามันถูก มันมีที่มาที่ไปนะ อย่างเช่น ปัจจุบันนี่ ปัจจุบันมาจากไหน พระอรหันต์ลอยมาจากฟ้าเหรอ ถ้าพระปัจจุบันมันมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไม่ต้องตรัสรู้เลย ไปเป็นพระพุทธเจ้ากันหมดแล้ว เกิดมาในปัจจุบัน อ้าว! เราคิดถึงปัจจุบันเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวนี้ก็เป็นปัจจุบัน แล้วมันเป็นไหม? มันเป็นปัจจุบันไหม? ไม่เป็นเพราะอะไร เพราะความเคลื่อนไป... สันตติไง... จิตมันเคลื่อนตัวตลอดเวลา... พลังงานมันคายตัวพลังงานออกตลอดเวลา... เป็นปัจจุบันไหม? มันไม่เป็นปัจจุบัน เพราะมันเป็นอดีต อนาคตอย่างนี้ไง

แต่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิเข้าไปนี่ จิตมันจะเป็นปัจจุบันได้ ปัจจุบันนี่จิตหนึ่ง จิตหนึ่งนั่นนะปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันแล้วนี่มันออกรู้ของมัน นี่ไง อาหารที่ไม่ใช่อาหารขยะ อาหารเพื่อสุขภาพไง อายุมันสั้น สมาธิปุ๊บ เดี๋ยวเสื่อมแล้ว ปัญญาแวบๆๆๆๆ นี่ยิ่งปัญญาเป็นปัจจุบันนะ แวบเดียว พอแวบเดียวขึ้นมานะ เราจะต้องทำให้มันสืบต่อไง พอเราสืบต่อ เราถึงต้องมีสติปัญญาเพื่อรักษาความสงบของใจของเราไง

ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานี่ปัจจุบัน แล้วปัจจุบันจิตมันมั่นคง ถ้าจิตมันไม่มั่นคง มันเจือไปด้วยกิเลส มันไม่เป็นปัจจุบันแล้ว เพราะมันมีสิ่งที่ตัวเองพอใจเทียบ ความพอใจของตัวมันจะเทียบๆๆๆ มันไม่เป็นปัจจุบันแล้ว พอไม่เป็นปัจจุบัน มันก็เคลื่อนออกไปๆ นี่ไง ว่าสัญญาอารมณ์ก็เป็นขันธ์ โอ่.. เห็นแล้วงงเลยนะ เพราะบางทีเขามาถามปัญหา.. เรารู้.. นี่พยายามส่องกล้องดูแล้วนะ ไม่ให้ผิดเลย มันก็ผิดทั้งเล่มเลย ผิดเพราะมันไม่รู้ไง

เวลาคนเขามาถามนะ นี่เวลาจิตมันสงบแล้วทำอย่างไร เราบอกว่าพิจารณาเลย เพราะสิ่งที่พิจารณานี่ มันก็ฝึกฝนปัญญา ปัญญาของขั้นการพิจารณานะ การใช้ปัญญานี่ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ พอปัญญาอบรมสมาธิแล้ว ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเหมือนโจทย์ ปัญญาอบรมสมาธิอย่างไร ผลตอบมาคือสมถะ คือจิตมันสงบ มันไม่เป็นขันธ์เป็นเขินอะไรไปหรอก แต่ก็ต้องฝึกไปอย่างนี้

พอฝึกขึ้นไปนะ สัญญาอารมณ์เราบอกว่า จิตสงบแล้วให้พิจารณา ให้หัดพิจารณา พิจารณาไปจนจิตมันตั้งมั่น จิตมันเป็นปัจจุบันแล้ว แล้วถ้ามันจับได้ เหมือนขวดน้ำนั้น มันเทน้ำออก มันเห็นน้ำนั้น น้ำของเรามันออกมาจากจิตไง

เรื่องภายนอกเป็นเรื่องภายนอกนะ เรื่องจริงๆ คือเรื่องทุกข์ เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา แต่มันอยู่กับเรา มันเป็นอนุสัย มันมากับใจมาตลอด แต่เราเห็นอารมณ์กระทบจากข้างนอกตลอด แต่เราไม่เห็นความเป็นจริงของเราเลย ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ พอมันเห็นการเคลื่อนออก แล้วมันจับตรงนั้นได้

ถ้ามันจับได้ นี่ไง ที่หลวงปู่ดูลย์บอก จิตเห็นอาการของจิต คือขวดน้ำนั้นมันเทน้ำออก มันรู้ว่าเทน้ำออก ถ้าเราเทน้ำออก น้ำเต็มขวดเราจะเทได้ โอ้โฮ! น้ำเราเยอะมาก เราจะบอกว่าเราจะเทได้ครึ่งวันค่อนวัน พอมันออกไปสักค่อนขวดแล้ว เหลือแต่ก้นขวดแล้ว เราไม่กล้าแล้ว นี่ไง พอจิตมันออกพิจารณาแล้ว มันเคลื่อนออกไป มันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้ามันเห็นอาการ หรือมันจับอะไรได้ มันพิจารณาได้นี่ พอจิตความตั้งมั่นของมัน กำลังของมันน้อยไป มันก็เหมือนน้ำในขวด มันจะน้อยลงๆ จนเหลือแต่อากาศเปล่าๆ ในขวดนั้นไม่มีน้ำ มีแต่อากาศ เราจะดื่มกินน้ำนั้นได้ไหม

จิตถ้ามันใช้พลังงานแล้วเสื่อมออกไปแล้ว มันเป็นอย่างนั้น พอเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจเข้ามาให้มันเข้มแข็งขึ้นมา นี่ไง จิตเห็นอาการของจิต ไอ้ดูจิต ดูจิตอ่ะ ดูอย่างนี้ ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต คือจิตเห็นขันธ์ ไอ้นี่มันบอกว่าสัญญาอารมณ์เป็นขันธ์ ขันธ์คือสัญญาอารมณ์นะ หว่าว...

คำพูดมันฟ้องหมดนะ คนไม่เป็นมันก็ฟ้องว่ามันไม่เป็น นี่ผิดไปหมดเลย แล้วเวลาเทียบเคียงนี่มันเทียบเคียงแต่อาหารขยะ อาหารขยะหมายความว่า เขาเทียบเคียงถึงการซักผ้า ซักผ้านะ ใช้ปัญญาไปซักผ้า ซักผ้านี่มันอารมณ์ปกติ การเคลื่อนไหว มันซักผ้านี่มันจะเป็นธรรมได้อย่างไร มันเป็นชีวิตประจำวันใช่ไหม แต่ถ้ามันซักผ้า เราซักผ้าไป มือซักผ้าไป จิตมันสงบเข้ามา พอมันกระทบลม เอ๊อะ! มือนี้หยุดเลยนะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! เวลาเขาพูดอะไรออกมานี่ มันขัดแย้งกันไปหมดเลย เวลาเรากระทบเห็นไหม อ้าว! ซักผ้าอยู่ แล้วเราคิดถึงสิ่งที่เจ็บปวด น้ำตาไหลเลยนี่ มือเราจะซักผ้าไปได้ไหม มันจะแข็งเลยอ่ะ เพราะอะไร เพราะจิตมันรับรู้อารมณ์นั้น มันจะปล่อยอารมณ์นั้น

นี่เหมือนกัน พอซักผ้าอยู่ เราบอกว่าเทียบอย่างนี้ มันเป็นเทียบแบบโลกๆ มันไม่เป็นธรรมหรอก แต่เวลาเทียบนี่เขาจะเทียบ คนคิดได้แค่นี้ไง มันเหมือนวุฒิภาวะของจิตมันคิดได้แค่นี้ มันพูดได้แค่นี้ มันก็เป็นอย่างนั้น นี่อาหารขยะ แล้วมันผิดพลาดไปหมดใช่ไหม พอผิดพลาดไปหมด แต่เราดูถึงเจตนา เจตนามันมีการแฝงเร้นมาเยอะมาก ที่นี้คำว่าเจตนาส่วนเจตนา

ฉะนั้นทางโลกนี่ เขายืนยันกันด้วยเอกสาร มันก็พูดได้แค่นี้ไง มันพูดได้แค่เอกสารที่เขาเขียนไว้ไง แต่ความจริงในใจ มันลึกลับซับซ้อนกว่านั้น ความรู้ความเห็นการกระทำ เจตนาคนทำ มีเจตนา มีความแฝงเร้นในใจ อันนั้นลึกกว่านี้อีก แต่นี้เราพูดกันด้วยเอกสาร พูดกันด้วยข้อเท็จจริงทางโลก พูดเท็จจริงที่เขาแสดงออกมาเท่านั้น สิ่งที่ยังไม่แสดงออกมาเห็นไหม ภูเขาน้ำแข็งที่มันลอยอยู่บนน้ำนี่ มันก็มีแค่นิดเดียว แต่มันจมอยู่ในน้ำอีกมหาศาลเลย นี่เห็นแค่นี้ มันถึงบอกว่า เวลาว่าเห็นโทษๆ นี่ ไอ้โทษนี่ เราแค่เห็นปลายภูเขาน้ำแข็งที่มันโผล่จากน้ำเท่านั้น แต่สิ่งที่มันซ่อนอยู่ในน้ำนั้นอีกมหาศาลเลย

นี่ก็เหมือนกัน คนถ้ามันทำอย่างนี้นะ นี่มันก็อาหารขยะนะ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าโรคอ้วนมันให้โทษกับประชากรทั้งหมดเลย แต่คนที่เขาทำอาหารขายอย่างนั้น คิดดูสิ เขาเผยแผ่โรคภัยไข้เจ็บให้กับประชากรทั้งโลกนะ แล้วเขาได้แต่ผลประโยชน์ ธุรกิจของเขาร่ำรวยมหาศาล แต่เขาให้โทษให้ภัยกับคนทั้งโลกเลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาแสดงออกมานี่ สิ่งนี้มันออกมาเพื่อประโยชน์ของเขา แล้วประโยชน์ของเขาคือภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำแข็งนั้น ประโยชน์ของเขาไง แต่เขาไม่เห็นเลยว่า เวลาคนที่ได้กินอาหารนั้น ใช้ประโยชน์นั้น แล้วร่างกายจะเป็นโทษอย่างไร

นี่เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัตินะ จริงอยู่ในเอกสารในตำราในท้องตลาดนี่ มันเป็นอย่างนี้เยอะแยะไปหมดเลย แต่! แต่ตกว่าที่เป็นธรรมะไง ธรรมะที่เรียบง่าย ธรรมะที่เข้าใจได้ง่าย มันก็เป็นธรรมะที่สอนเด็กๆ ไง ดูสิ การ์ตูนสอนเด็กมันจะผิดไปตรงไหน ธรรมะเป็นการ์ตูนก็ไม่เห็นผิดอะไรไปเลย

แต่บอกว่านี่คือเป้าหมายไง นี่คือสิ่งที่ทำแล้วได้ผลไง นี่อารมณ์โสดาบันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าโสดาบันจะเป็นอย่างนี้ นี่มันทำให้คนหลงผิดไง แต่ถ้าบอกว่านี่เป็นธรรมะ ธรรมะเราอ่านแล้วเนาะ เราอ่านแล้วเรามีความชื่นใจสบายใจก็ได้ ธรรมะพื้นๆ ไง ธรรมะสอนกันโดยทั่วไป แต่จะบอกว่านี่คือผล บอกมาเลยคือผลไง

เหมือนเราทำธุรกิจกัน เราต้องมีเงิน สินค้าแลกเปลี่ยนกัน แต่ทางสังคมนี่ เขาไม่ทำธุรกิจกัน เขาให้กัน เขาแลกสินค้ากัน มันก็ไม่เสียหายเห็นไหม เขาไม่ต้องมีเงินมีทองนะ เขาเอาสินค้าแลกกัน นี่ในสังคมเขามีอะไรเขาก็เปลี่ยนมือด้วยความพอใจ มันก็ไม่เห็นเสียหายนี่ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความทุกข์ เรามีความหมักหมมในหัวใจ ถ้าเราตรึกแล้ว เราพิจารณาธรรมแล้วมันสบายใจ มันก็ไม่เสียหาย แต่อันนี้ไม่ใช่โสดาบันนะ

ถ้าเป็นโสดาบัน แค่นี้เองเหรอ ศาสนาสอนเพียงแค่นี้เองเหรอ มันไม่ใช่! ถ้าอย่างนี้เราบอกว่าชี้ให้เขาผิดก็ผิดหมดเลย แล้วในท้องตลาดก็เป็นอย่างนี้ ธรรมะที่พิมพ์แจกกันมันก็เป็นอย่างนี้ พูดถึงธรรมะพื้นๆ นะ ให้อภัยต่อกัน เราจะคิดดีต่อกัน โอ้โฮ! สุดยอดเลย ฟังแล้วซึ๊งซึ้ง.. แต่ปรากฏว่าต้องลงทุนลงแรง ต้องตั้งใจทำความสงบของใจ ต้องเป็นสมาธิขึ้นมา โอย... ลำบาก โอย... นี่ไงคนเรามันก็เป็นอย่างนี้ มันก็เลยได้ผลตอบแทนอย่างนั้น

วันนี้วันพระ เราศึกษาของเรานะ ทุกคนว่ามีเวลาน้อย ทุกคนว่ามาแล้วต้องรีบต้องได้ผล เพราะความรีบ ความอยากได้ผลนั้นมันจะไม่ได้ผล ฝนทั่งให้เป็นเข็มเห็นไหม ฝนเหล็กให้เป็นเข็ม เขาก็ค่อยๆ ฝนของเขาไป มันจะเป็นเข็มเย็บผ้า ร้อยผ้าของเรา หัวใจของเราก็เหมือนกัน มาจากโลกมันชุ่มมาด้วยเลือด ชุ่มมาด้วยความบีบคั้นของใจ แล้วเราก็บอกว่า จะให้มันสะอาดเลยนี่ พอมันยิ่งไปบีบคั้น มันชุ่มโชกเลือดมาจากสังคม แล้วพอมาถึงวัด ก็บีบคั้นให้เลือดมันออกเยอะๆ ขึ้นไป แล้วบอกปฏิบัติธรรม

ถ้าเราปล่อยวาง เราชุ่มเลือดมาจากสังคมแล้วใช่ไหม เรามาเข้าวัดเข้าวานะ เราก็ปล่อยวาง ตั้งสติไว้ ทำความสะอาดป่ารกชัฏ ทำลายป่า ต้นไม้ไม่ได้ตัดแม้แต่ต้นเดียว หัวใจของเรานี่มันชุ่มมาด้วยเลือด มันโดนกดบีบคั้นมา เราทำความสะอาดของมัน มันจะสะอาดขึ้นมา มีความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา ความเป็นแผลใจมันจะหมดไป ตัดป่ารกชัฏ ไอ้ความเดือดร้อนนี่จะออกไป แต่ต้นไม้นี่ไม่ได้ทำลายสักต้นเดียว หัวใจไม่ได้บีบคั้นมันเลย ไม่ได้ทำอะไรมันเลย นี่ของมันเรียบง่าย แต่เราไปบีบคั้นมัน.. อยากได้.. อยากเป็น.. บังคับมัน.. นี่ไง มันเจ็บช้ำมาจากโลก มาก็บีบคั้นมันเข้าไปอีก มันก็ยิ่งเจ็บช้ำเข้าไปใหญ่

ฉะนั้นเวลามาวัด พอใครทำตามสบายใจ ทำไมครูบาอาจารย์เอ็ดล่ะ เอ็ดอันนั้นเพราะว่ามันเป็นอารมณ์โลกไง เราตั้งสติ แล้วเราไม่บีบคั้น คำว่าไม่บีบคั้นคือไม่บีบคั้นใจ แต่เราจะทำชีวิตดำรงปกติแบบโลกไม่ได้ เพราะที่นี่มันมีข้อวัตรปฏิบัติ

คำว่าข้อวัตรคือกรอบ ถ้ากรอบเห็นไหม ดอกไม้หลากสี ถ้าได้ร้อยพวงมาลัย มันจะสวยงาม คนมาจากจริตนิสัยแตกต่างกัน พอมาอยู่วัดนะ มันก็ทำตามกติกานั้น ดอกไม้หลากสีมันก็จะสวยงามขึ้นมา นี่คือกิริยาภายนอกไง

แต่กิริยาภายในนี่มันเป็นการกระทำของเรา เราจะตั้งสติของเรา เราจะดูแลของเรา แล้วถ้ามันเป็นไปนะ เราจะหัวเราะเยาะไอ้ธรรมะแบบนี้ ไอ้ธรรมะอย่างนี้จะรู้เองไง นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ทุกคนจะรู้ได้ ปฏิบัติได้

ทุกคนหิวกระหายมา มาถึงศาลานี้ เดี๋ยวพระให้พรแล้วได้กินอาหารด้วยกัน มันจะอิ่มหนำสำราญด้วยกันทั้งหมด จิตของคนมันหิวกระหายมา เวลามันเป็นธรรมขึ้นมา ไม่ใช่ดูถูกว่าจะชนชั้นไหน จะยาจกทุกข์จนเข็ญใจอย่างไร ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทุกดวงใจมันรู้ได้ มันปฏิบัติได้ เราเกิดมาเสมอภาคกันโดยธรรม เกิดมาเราเป็นญาติกันโดยธรรม เพราะมีปาก มีท้อง มีทุกข์ มีมาด้วยกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ มันจะสะอาดตรงนั้นไง ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ตรงนั้น เราจะรู้ทันด้วยกัน ฉะนั้นพอรู้ทันขึ้นมา ตำราอย่างนี้มันรู้ทันหมดไง ความรู้ทันหมายถึงว่า สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เป้าหมายไง นี่เป้าหมายเราถึงที่สุดเห็นไหม เป้าหมายอริยสัจนี่ ปฏิบัติไปมันรู้ได้เห็นได้นะ ฉะนั้นถ้ารู้ได้เห็นได้ ตรงนี้มันเอามาโกหกกันไม่ได้

แต่สังคมของเรานี่ มันปฏิบัติแล้วมันมักง่ายกัน คนมักง่ายกันอยู่แล้ว แล้วมีเครื่องรองรับอย่างนี้ จะทำให้คนมักง่ายมากขึ้นไป แล้วจะบอกศาสนาเสื่อม ศาสนาเสื่อม มันเสื่อมอย่างนี้ไง เสื่อมจากหัวใจของคนที่เข้าไม่ถึงธรรม ถ้าหัวใจเข้าถึงธรรมแล้วนี่ มันไม่เสื่อม ตัวศาสนาไม่เสื่อม ปัจจัตตังไม่เสื่อม ธรรมะไม่เสื่อม ใช่! มันไม่เสื่อม

แต่มันเสื่อมไอ้คนพาให้เสื่อมนี่ ไอ้คนพาชักออกนอกลู่นอกทางนี่ พาให้เสื่อม นี่มันเสื่อมจากหัวใจของคนไง เสื่อมจากหัวใจของคนที่ไม่วิริยะอุตสาหะ เสื่อมจากหัวใจของคนที่ไม่ขวนขวายไง หัวใจของคนที่มันเกียจคร้านไง หัวใจของคนจะรอให้เขามาป้อนไง อยู่เฉยๆ แล้วมันจะเป็นเองหมดไง มันเสื่อมตรงนี้ เสื่อมตรงที่คนไม่ขวนขวาย คนที่ไม่กระทำมันเสื่อมโอกาส โอกาสของคนนั้นหายไปหมดเลย จากธรรมะที่บอกมันเรียบง่าย มันสะดวกสบาย มันรัดสั้น

แต่ถ้ามันขวนขวาย มันมีการกระทำเห็นไหม นี่โค วัว ควาย ต่างๆ เขาฝึกเขาฝนขึ้นมาจนมันทำงานเป็น ถ้าวัวควายเขาไม่ได้ฝึกนะ เป็นวัวฝูง ไม่มีราคา จิตของคนเห็นไหม นี่สังคมมันเป็นอย่างนั้น เราต้องทำคุณงามความดีของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

นี่พูดถึงสัจธรรม เราทำของเราเพื่อเรา ธรรมะเป็นอย่างนี้ว่าเรียบง่ายๆ นี้หัวใจมันไม่บีบคั้น แต่สติปัญญา ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะของเรามี วิริยะอุตสาหะกับความบีบคั้นต่างกันนะ ความบีบคั้นของใจเรื่องหนึ่ง กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความเรียบง่ายของเรานะ แต่ในทางจงกรมเราบังคับไม่ให้มันส่งออก บังคับไม่ให้มันไหลไปทางอื่น แต่เราดูแลของเรานะ

นี่ลูกเรายังดูแล แล้วหัวใจไม่มีใครดูแลมัน หัวใจไม่มีสติ ไม่มีปัญญาดูแลมัน แล้วมันจะปล่อยไปไหน นี่ดูแลอย่างนี้เขาว่าดูจิต ดูแลหัวใจนี่ หัวใจมันปลิ้นปล้อน มันมีปัญหามหาศาลเลย เราแก้ไขดูแลมันด้วยคำบริกรรมก็ได้ ด้วยปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เป็นพี่เลี้ยงดูแลมัน แล้วเวลาถ้ามันโดนบีบคั้นมา มันวางหมดแล้ว เราจะรู้ว่าอย่างนี้เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิอย่างนี้เป็นจุดสตารท์ เป็นจุดเริ่มต้น เป็นที่หมายไง เป็นกรรมฐาน นี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้ง งานจะเริ่มต้นจากจุดนี้ จุดที่จิตมันมีฐานของมัน แล้วเริ่มต้นก้าวเดินไป จะเป็นโลกุตตรธรรม จะเป็นการชำระล้างกิเลส เพื่อประโยชน์กับเรา วันนี้วันพระ เพื่อประโยชน์กับพระในหัวใจของเรา ผู้ประเสริฐคือหัวใจของเรา เอวัง