เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
กับข้าวคืออาหารของกาย... อาหารของใจคือธรรมะ...
แต่ถ้าธรรมะเราเลือกไม่เป็น ดูสิ สารเสตียรอยด์ เรากินยาๆ นี่กินยาพิษ นี่เหมือนกัน ธรรมะๆ นี่ ธรรมะมันจะต้องทำให้เราสุขสงบได้ ถ้าธรรมะทำให้เราสุขสงบไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราคิดถึงครูบาอาจารย์นะ เห็นไหมเราไปหาครูบาอาจารย์ ไปหาที่หลวงตานี่ คนเขาก็ไปหาเพราะความคิดถึง เพราะความเคารพรัก
อันนี้ก็เหมือนกัน พูดถึงงานมันงานอะไร งานระลึกถึงครูบาอาจารย์ พูดถึงความระลึกถึง โดยสามัญสำนึกเราก็ระลึกถึงบุญคุณอยู่แล้ว แต่บรรยากาศ ถ้าเราจัดงานระลึกถึงท่าน บรรยากาศมันให้ โอ่...มันไปเต็มที่เลย บรรยากาศมันให้ด้วย นี่บรรยากาศมันไม่มี เราก็ต้องสร้างของเราขึ้นมาเอง
เวลาป่าเขาไม่มีเราต้องถือธุดงควัตร ธุดงควัตรเปรียบเหมือนเราอยู่ป่าอยู่เขานะ นี่ถือฉันมื้อเดียว แล้วยังต้องผ่อนอีก นี่ไง ถ้าเราไม่เปิดทาง ถ้าเราไม่ช่วยส่งเสริม กิเลสมันก็อยู่กับเรา กิเลสเดี๋ยวมันก็งอกงามขึ้นมา เดี๋ยวมันก็จางไป มันก็อยู่อย่างนั้น มันไม่จบหรอก มันจบไม่ได้ แต่ถ้าเราเปิดทางให้เราเอง พอเราเปิดทางให้เรา เรามีความเข้มแข็งของเราขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไรต้องต่อสู้ ความต่อสู้ ความเข้มแข็งของเรา นั่นคือต่อสู้เพื่อเอาอริยทรัพย์ เอาความเป็นจริงนะ
แต่เวลาฟังธรรม เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากอาหารสำรับที่มาตั้งให้ต่อหน้าเรานี่ เราจะเปิบหรือไม่เปิบ อาหารเห็นไหม ฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์นี่ชุบมือเปิบ ครูบาอาจารย์ท่านสละชีวิตของท่านมา ไอ้เรานี่ชุบมือ แล้วเปิบเอาๆ เลย แต่ก็เปิบไม่เป็น... เปิบไม่ได้... นี่มันน่าคิดนะ...
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านไม่มีใครให้เปิบนะ มีก็มีที่ปรึกษา จะว่าไม่มีครูบาอาจารย์เลยนี่ มันก็มีที่ปรึกษา เช่น เจ้าคุณอุบาลีเป็นที่ปรึกษา... แค่ที่ปรึกษา... เพราะท่านก็ไม่รู้ ท่านรู้ทฤษฎี ท่านก็ไม่รู้ความจริงนะ แต่ทฤษฎีแน่นมาก แต่ความจริงรู้ไม่ได้ พอรู้ไม่ได้ ผู้ปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลามีปัญหาขึ้นมา กลับมาวัดบรมนิวาสฯ กลับมาดูพระไตรปิฎกแล้วปรึกษา ต้องเอาตัวเองรอดไปเห็นไหม
นี่ชุบมือเปิบ ฟังเทศน์นี่ชุบมือเปิบ แต่เวลาฟังเทศน์ไม่เป็นไง เวลาหลวงตาท่านพูด ต้องขออนุญาตกิเลสก่อน แล้วค่อยเทศน์นะ ถ้าพูดอะไรกระทบกระเทือนกัน พูดอะไรบาดหมางกัน อันนั้นมันไม่เป็นธรรม แต่ถ้ายกตูดกัน อู้ฮู...ธรรมะสูงส่งเลย ยกก้นกันสูงๆ นะ นี่อันนั้นเป็นธรรมะ
แต่ถ้ามันเป็นธรรม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจมันแทงใจดำเลย พอแทงใจดำเรา นั่นนะขนพองสยองเกล้า เวลาขนพองสยองเกล้า นั่นนะธรรม ธรรมเข้าถึงใจแล้ว ถ้าเราฟังธรรมนะ ถ้าเราไม่ขนลุกขนพองนะ จะบอกว่าเราด้านก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นธรรม แต่ถ้ามันเป็นตำรานะ เราก็ศึกษาได้ แต่ถ้ามันเป็นธรรมจากครูบาอาจารย์นะ มันทิ่มเข้าหัวใจ พอมันทิ่มเข้าหัวใจมันก็ทิ่มเข้ากิเลสไง ถ้าเราต้องการลูกเสือ แล้วเราไม่เข้าถ้ำเสือ เราจะเอาลูกเสือไม่ได้
ถ้าเราจะชำระกิเลสของเรา เราจะต่อสู้กับเรา เราจะต้องตั้งสติของเรา ต้องเข้มแข็งสู้กับเรา เอาชนะตัวเราให้ได้ เราพ่ายแพ้ตัวเอง ถ้าตัวเองมีกำลังมากกว่า ตัวเองเห็นไหม ตัวเราคือ ทิฐิ มานะของเราเอง ถ้าทิฐิมานะของเราเอง มันเหยียบย่ำหัวใจของเราเอง
ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม แค่ตั้งสติขึ้นมานี่ สิ่งนั้นมันหลบหน้าหมดเลย พอมีสติขึ้นมาความคิดหายหมดนะ แต่พอเราเผลอความคิดเกิดแล้ว ตัณหาทะยานอยากเกิดแล้ว แต่มีสติปั๊บนี่มันหลบหน้าหมดเลย มันหลบไปไหน มันหลบไปหลบซ่อน มันไม่หลบไปไหนหรอก มันหลบซ่อนไป เพราะเผลอก็มาอีก ทุกอย่างก็มาอีก มันมาตลอดเวลาเห็นไหม
นี่เราว่าเราแค่เสมอ เวลาประพฤติปฏิบัติไปนี่ ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด ตามรู้ตามเห็นมันไป...ตามรู้ตามเห็นมันไป... นี่สติปัญญาของเราตามรู้ตามเห็นมันไป อริยทรัพย์ ทรัพย์จะเกิดจากที่นี่ ทรัพย์สมบัติจากข้างนอกมันทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยเครื่องอาศัย จากเราหาอยู่ในสังคม
ถ้าทรัพย์ของเรา ความสุข ความดีงามของเราในหัวใจ ศีลธรรม จริยธรรมคือทรัพย์ในหัวใจของเรา ถ้าทรัพย์ของหัวใจของเราเห็นไหม เราจะมีความปลอดโปร่ง เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ถ้าความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราจะทุกข์จนเข็ญใจจากข้างนอกนะ แต่ข้างในมันมีความร่มเย็นของมัน แต่ถ้าเราประสบความสำเร็จในทางโลกมหาศาลเลย แต่หัวใจมันเร่าร้อน มันเป็นประโยชน์กับใคร
ดูสิ เหมือนกับอะไร เหมือนกับมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง เหมือนกับรักษาสมบัติให้คนอื่น นี่จริงๆ นะ พ่อแม่ก็รักลูกทั้งนั้น พ่อแม่ก็ต้องการให้ชาติตระกูลมันมั่นคงทั้งนั้น แต่สมบัติเห็นไหม หาไว้ให้ใคร แต่ถ้าลูกของเรา มันมีปัญญาของมัน มันเลี้ยงตัวมันเองได้ พ่อแม่สบายใจกว่านั้นเยอะเลย
จิตเหมือนกัน จิตถ้ามันตั้งตัวได้ มันทำของมันได้ สิ่งนี้อาหารของใจ เราได้ดื่มกินธรรมนั้นก่อน แล้วถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา ตัวมันเองเป็น ถ้าตัวมันเองเป็นจบนะ ถ้าตัวเองมันไม่เป็น มันอาศัยกินอาศัยอยู่ของมันไปก่อน แต่พออาศัยอยู่อาศัยกินไปก่อน แต่พอมันเป็นขึ้นมา มันเป็นขึ้นมาจากอะไรล่ะ ถ้ามันไม่เป็นจากเราฝึกฝนขึ้นมา
เหรียญมันมี ๒ ด้าน ถ้ามันเป็นอวิชชา เวลาจิตมันเกิดปฏิสนธิจิต มันเป็นอวิชชา ถ้าอวิชชามันมีอยู่แล้วมันจะแก้ไขได้อย่างไร ดูสิ ผลไม้ดองจะกลับไปเป็นผลไม้ปกติได้อย่างไร เพราะมันได้ดองมาแล้ว มันนอนเนื่องมา อนุสัยมันนอนมากับใจ นี่พูดถึงมันเปรียบเทียบ มันเป็นวัตถุนะ แต่ความจริงมันแก้ไขได้ ความจริงมันแก้ไขได้ มันทำความสะอาดได้
แต่ความสะอาดมันต้องเป็นตบะธรรม มันต้องเป็นความจริงของมัน มันต้องเป็นสัจธรรม มันถึงทำความสะอาดของมันได้ แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงของมันนะ ลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของเรา ถึงจะลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้าแต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา มันก็เป็นของเรา มันเป็นความรู้ของเรา ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมา มันเป็นความจริง นี่วิธีการมันบอกไม่ได้...
ดูสิ ผู้ตรวจสอบบัญชี แล้วบวกเลขไม่เป็น เคยเห็นไหม? ผู้ตรวจสอบบัญชีบวกเลขไม่เป็น แล้วมันทำบัญชีได้อย่างไร
นี่เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์นะ แต่สติก็ไม่รู้จัก สมาธิก็ไม่รู้จัก วิธีการก็ไม่รู้จัก มันบอกว่า มันเป็นพระอรหันต์ นะ ถ้ามันเป็นพระอรหันต์ ผู้ตรวจสอบบัญชีมันต้อง บวก ลบ คูณ หาร เป็น ผู้ตรวจสอบบัญชีแต่ บวก ลบ คูณ หารไม่เป็น มันบอกมันเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี สังคมก็เชื่อ นี่ไง เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่มีหลักเกณฑ์ในหัวใจของเรา
ถ้าเรามีหลักเกณฑ์ในหัวใจของเรา ดูบัญชีสิ ดูบัญชีที่เขาตรวจบัญชีมา บัญชีนั้นมันผิดพลาดหมดเลย แล้วผิดพลาดหมดเลย ผู้ตรวจสอบบัญชีนั้นจะตรวจบัญชีนั้นได้อย่างไร นี่เราบอกว่าผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างนี้นะ สังคมอยู่ไม่ได้ ทางธุรกิจอยู่ไม่ได้ เพราะมันจะฉ้อฉลกันไปหมด
นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ธรรมะที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องรู้ของมัน ศีลเป็นอย่างไร ความปกติของใจเป็นอย่างไร ถ้าปกติของใจ ใจมันปกติขึ้นมาก่อน แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิด โลกุตตรปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาไม่ใช่จินตมยปัญญา ไม่ใช่สัญญา สัญญาอารมณ์เห็นไหม เป็นสัญญาอารมณ์เพราะอะไร...
เพราะเวลาเขาพูดเห็นไหม ใจดวงหนึ่ง พอมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันดับไป ใจดวงอีกดวงเกิดขึ้นมา จำใจดวงเก่าจนเป็น... นี่ไง มันบอกชัดๆ!! ผู้ตรวจสอบบัญชีบวกเลขไม่เป็น มันจะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีได้อย่างไร...?
นี่เหมือนกัน ถ้าเป็นความจริงของเรา สิ่งนี้ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เราทำของเราได้ ถ้าเราทำของเราได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ เรากระเสือกกระสนกันอยู่นี่ก็เพราะเหตุนี้ เหตุนี้คืออะไร... เหตุนี้คือบารมีธรรม ถ้าจิตใจของคนได้สร้างสม ได้บุญญาธิการมา มันเห็นถูกเห็นผิด อะไรควรและไม่ควร แล้วเวลาปฏิบัติไป มันจะย้อนกลับมาทวนกระแส พลังงานมันส่งออกหมด จิตใจของคนมันส่งออกหมด
ความส่งออกคือความคิดไง เราจะฆ่ากิเลสกันด้วยสมองไง ด้วยจินตนาการไง แต่เราไม่ได้ฆ่ากิเลสด้วยใจ ถ้าเราฆ่ากิเลสด้วยใจ จิตมันจะสงบของมันเข้ามา มันเป็นฐีติจิต มันเป็นที่ตั้งของภพ ที่ตั้งของความคิด นี่ถ้ามันสงบเข้ามา มันมีการกระทำของมันเข้ามา ถ้าการกระทำของมันเข้ามาอย่างนี้ ถ้ามีประสบการณ์อย่างนี้เห็นไหม นี่บารมีธรรม คำว่าบารมีธรรมที่เรากระเสือกกระสน คำว่าบารมีธรรมให้มันเข้มแข็ง พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมาให้มันเข้มแข็งขึ้นมา
เมล็ดพันธุ์ที่เข้มแข็ง ดูสิ มันทนโรคพืชได้ มันทนโรคแมลงได้ มันทนแล้ง นี่เมล็ดพันธุ์ที่เข้มแข็ง... เมล็ดพันธุ์ที่อ่อนแอ มันเกิดไม่ได้ มันตายหมด... นี่ความเพียรของเรา ความวิริยะอุตสาหะของเรา...นี่บารมีธรรมที่เราทำกันอยู่นี่คือบารมี...เราทำขึ้นมานี่ มันเป็นผลของการกระทำของใจ ใจมันรู้อยู่ เราเป็นคนทำอยู่ เรารู้ของเราหมด แล้วสิ่งนี้มันสะสมๆ เห็นไหม
เรากำลังสร้างสมบุญญาบารมีของเรา พอสร้างสมบุญญาบารมีของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติ มันก็จะมีโอกาสของเรา โอกาสมันจะเกิดตรงนั้นนะ ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นผู้แบกรับภาระมา เป็นผู้บุกเบิกมานั่นน่ะ ท่านแบกภาระมาแค่ไหน เพราะว่าท่านแบกภาระมา ถ้าท่านไม่มีหลักเกณฑ์ของใจ ในหัวใจที่มั่นคง ท่านจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร นี่เพราะท่านเอาตัวรอดไป เพราะท่านได้สร้างสมบุญญาธิการของท่านมา
เพราะ! เพราะหลวงตาท่านพูดเองว่า หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์...ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า...หลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า...คำว่าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์...เป็นพระพุทธเจ้า กับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่... เขาต้องสร้างบุญญาธิการขนาดไหน เพราะท่านสร้างบุญญาธิการขนาดนั้น สร้างบุญญาธิการอยากเป็นพระพุทธเจ้า!!! แล้วพลิกกลับมาเป็นสาวก!! มันถึงมีบุญญาบารมีเห็นไหม อันนี้มันถึงว่ามีการกระทำ ที่ว่ามันแหวกว่ายเอาตัวรอดมาได้ ไอ้พวกเราสาวก สาวกะนี่ เราพยายามสร้างบุญบารมีของเรา ครูบาอาจารย์ท่านได้ชี้นำทางไว้แล้ว แต่ชี้นำทางไว้ขนาดไหน เราเองก็ตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนมาตลอดเลย พอจิตมันเป็นขึ้นไป มันก็แยกแยะอะไรไม่ถูก
ฉะนั้น ถ้ามีบารมีขึ้นมา คำว่ามีบารมี มันมีปฏิภาณ มันมีการฉุกคิด เวลามันเห็นสิ่งต่างๆ มันฉุกคิด มันแยกแยะ ใช่หรือไม่ใช่...เป็นหรือไม่เป็น...เพราะเหตุใด...มันฉุกคิดแล้วมันแยกแยะ พอฉุกคิดแล้วแยกแยะขึ้นนี่ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ไม่ใช่เชื่อ เราเชื่อเราไม่ได้ เราเชื่อกิเลสไม่ได้ เราเชื่อความไม่รู้ของเราไม่ได้ อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วพอไปเห็นอะไรตื่นเต้นขึ้นมานี่ โอ๊ะ... มันหลงตัวเองนะ ว่าใช่ไปก่อนเลย
แต่ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ มันแยกแยะของมัน มันยับยั้งของมัน ยับยั้งว่าควรหรือไม่ควร ใช่หรือไม่ใช่... ถ้าไม่ใช่ ทำไมถึงไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ต้องทำยังไงต่อไป ถ้าทำยังไงต่อไป มันจะลึกซึ้งเข้าไปยังไงเพื่อเข้าไปถึงสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเข้าไปถึงสัจจะความจริงอันนั้น มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง เราสงสัยเราเองนะ
เราเป็นหนี้ เราจะคิดอย่างไร ใครจะปลดหนี้ให้เราโดยที่เขาใช้หนี้ไม่ถูกต้อง เราก็คือเป็นหนี้ แต่ถ้าเราได้ใช้หนี้ของเรา มันปลอดโปร่ง มันโล่งนะ นี่ก็เหมือนกัน ในความลังเลสงสัยของเรา ในขั้วหัวใจของเรา แล้วมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากของมัน เห็นไหม ถ้าเราได้ชำระล้าง เราได้ใช้หนี้เวรหนี้กรรม ด้วยการกระทำ ด้วยแยกแยะออกมา มันได้หลุดออกไปจากหัวใจ มันสะอาดบริสุทธิ์ของมันขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เรารู้ทั้งนั้น เรารู้ได้ นี่ผู้ตรวจสอบบัญชีที่คำนวณตัวเลขได้ถูกต้อง
ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชี ถ้ามันคำนวณตัวเลขได้ถูกต้องนะ ทำบัญชีนั้นมันก็เป็นบัญชีที่เที่ยงตรง ถ้าเที่ยงตรงสังคมก็มั่นคง มันมั่นคงขึ้นมาจากใจ จากผู้ที่กระทำ จากที่ความเป็นจริงในหัวใจ ถ้าเป็นจริงในหัวใจ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา เป็นผู้วางรากฐานอันนี้เอาไว้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราก็ทำขึ้นมา
ทีนี้หัวใจเราลำเอียง หัวใจเราไม่มั่นคง ตราชั่งเราไม่ตรง แล้วเราไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า พุทธพจน์ๆๆ พุทธพจน์ก็ยอมรับว่าพุทธพจน์ แต่คนพูดพุทธพจน์ ค้านคนพูดพุทธพจน์ คนพูดพุทธพจน์ต้องพระอรหันต์พูด ตรงประเด็นหมด แต่ถ้าคนไม่ถึงที่สุดมันเข้าข้างตัวเองตลอด
ดูสิ ในมุตโตทัย ธรรมะสถิตในใจของใคร...?
สถิตในใจของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นี่ความสะอาดบริสุทธิ์แตกต่างกัน ความสะอาดบริสุทธิ์ค่ามันก็แตกต่างกัน... ความที่ค่าแตกต่างกัน มุมมองก็ต้องแตกต่างกัน... มุมมองแตกต่างกัน ปัญญาก็ต้องแตกต่างกัน... มันแตกต่างกันทั้งนั้น แล้วพุทธพจน์ๆ นี่ใครพูด เดี๋ยวนี้เทปมันก็พูดได้ คอมพิวเตอร์มันก็พูดได้ อยู่ในคอมพิวเตอร์หมด แต่คอมพิวเตอร์มันไม่มีชีวิต มันไม่เป็นไป
ทีนี้คำว่าพุทธพจน์น่ะ สาธุ เพราะถ้าเขาไม่อ้างคำว่าพุทธพจน์ๆ เราก็ไม่พูดแบบนี้ ที่เราพูดแบบนี้เพราะเขาอ้างเล่ห์ หน้าฉากบังไว้ แล้วกิเลสมันก็เข้มแข็ง กิเลสมันก็มีแต่ความสบายใจ เพราะมันสมดังที่เป็นพุทธพจน์แล้ว แต่ถ้าเราไม่อ้างพุทธพจน์ พุทธพจน์ สาธุ... เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราทำเห็นจริง เป็นจริงอย่างนั้น มันก็เป็นเหมือนพุทธพจน์โดยสมบูรณ์แบบ
แต่เราไปอ้างว่านี่พุทธพจน์... นี่ก็พุทธพจน์... แต่ตัวเองมันสกปรก ตัวเองมันอยู่เบื้องหลัง ตัวเองมันอยู่หลังฉาก แล้วนั่นก็พุทธพจน์ นี่ก็พุทธพจน์ แล้วใครก็เชื่อกันไป ผู้ตรวจสอบบัญชี มันบวก ลบ คูณ หาร ไม่เป็น...
ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชีมัน บวก ลบ คูณ หาร เป็น มันต้องอ้างอิงถึงใคร มันก็เป็นค่าที่เราคำนวณใช่ไหม มันเป็นค่าที่เราตรวจสอบมา นี่บัญชีมันจบลงอย่างนี้ ถ้าตัวแดง มันก็แดง ถ้าตัวน้ำเงิน มันก็น้ำเงิน มันเป็นอย่างนี้เอง โดยข้อมูลเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปอ้างใคร เอาความเป็นจริงอันนี้ไง ถ้าเอาความเป็นจริงอันนี้ เราทำความจริงเพื่อเรา เราปฏิบัติเพื่อเรานะ นี่พูดถึงอาหารใจ
โยมมาทำบุญกุศล เห็นไหม เสียสละ สร้างบารมีธรรม สร้างบารมีขึ้นมาเพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง นี่เป็นอาหารของร่างกาย เพื่อดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะแหวกว่ายออกจากอวิชชาให้ได้ นี่สิ่งนี้เป็นอาหารกาย
อาหารใจคือ ความสุขสงบ ความชื่นใจของเรา บุญกุศล มันอยู่ตรงไหน มันก็มีความอบอุ่นของมัน แค่มีความอบอุ่นของมัน เราจะตั้งตัวของเราได้ เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อเรา เราเป็นชาวพุทธ เป็นแก่น แก่นคือผู้ที่ปฏิบัติ ชาวพุทธทะเบียนบ้าน ชาวพุทธแค่ระดับของทาน ชาวพุทธที่ว่าเจอพระก็ยกมือไหว้ แล้วชาวพุทธที่พยายามจะแหวกว่าย ชาวพุทธที่เห็นคุณค่าของการเกิดและการตาย ถ้าการตาย ตายแล้วมันก็ไปเกิดใหม่ มันก็อีกชาติหนึ่ง มันไม่มีโอกาส หรือ ไปเกิดชาติใหม่ เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นอย่างใด
แต่ในปัจจุบันนี้ เข็มมุ่ง!! ปรารถนา... เป้าหมาย... เรามีของเรา เราเอาชีวิตนี้ เอาปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องไปชาติหน้า ชาติไหนแล้วล่ะ ชาตินี้พยายามของเรา เอาชาตินี้ เอาปัจจุบันนี้ มันมีค่าแล้ว มันมีเข็มมุ่งแล้ว มันมีเป้าหมายแล้ว เราตั้งใจของเรา จงใจของเรา ปฏิบัติเพื่อเรา เอวัง