ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมาธิปไตย

๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

ธรรมาธิปไตย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเทศน์ธรรมะ หลวงตาบอกว่า ธรรมะที่ออกมาจากใจ มันออกมาจากใจ มันต้องมีมุข มีมุขหมายถึงว่ามันมีประเด็นไง ถ้ามีประเด็นปั๊บมันจะพูดไปยาวเลย ถ้าไม่มีประเด็นเราก็พูดไปประสาเรานี่แหละพูดประสาเราก็ต้องปูพื้นขึ้นมา

อย่างเช่น เช่นเมื่อวานนี้เห็นไหม เขาถามว่า เขาพุทโธๆ แล้วพุทโธมันหายไปเลย ด้วยความเข้าใจเห็นไหมว่าพุทโธหายไปมันเข้ากับตำรา ตำราว่าพุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธมันจะหาย พวกเราก็จะไปพุทโธแล้วพุทโธจะหายไป เมื่อวานเราอธิบายบอกว่าการหายมันหายได้หลายลักษณะ หายเพราะเผลอ หายเพราะเราไม่เข้าใจ หายเพราะความสามารถเราไม่ถึงนั้น กับการที่มันหายของมันจริงไง

การหายของมันจริง คือว่ามันพุทโธจนมันพุทโธไม่ได้ มันพุทโธไม่ได้แล้วตัวมันเองเป็นอิสระเห็นไหม แต่นี่เราพุทโธได้ แต่เราไม่พุทโธเห็นไหม คำว่าพุทโธ มันหายจากความคิด แต่ตัวมันเองมันยังมีอยู่ พอมีอยู่มันเข้าไม่ถึงความสงบจริงเห็นไหม ถ้าอย่างนั้น ไม่เข้าถึงความสงบจริง มันความสงบอย่างนั้นมันถึงเกิดขึ้นมาไม่ได้ แล้วมันจะรู้ว่าสมาธิเป็นอย่างไร

ในปกติ ในปัจจุบัน แค่เรื่องของเรื่องสมาธิ เราเข้าใจว่าผู้ที่ปฏิบัติไม่รู้เรื่องสมาธิ แม้แต่คนสอนยังไม่เข้าใจเรื่องสมาธิเลย พอไม่เข้าใจสมาธิปั๊บ แล้วเห็นว่าสมาธิโดยทางวิชาการ โดยทางวิชาการว่าสมาธิ สมถะแก้กิเลสไม่ได้ สมถะแก้กิเลสไม่ได้ แล้วทางอภิธรรมจะห่วงมาก จะกลัวมากว่าจิตจะลงไปสมถะ เพราะถือว่าสมาธินี้ไม่เกิดปัญญา ทุกคนเป็นห่วง เป็นกังวล เป็นความตกใจ เป็นความที่ว่าน่ารังเกียจเดียดฉันท์เลยสมถะ แต่ถ้าไม่เคยปฏิบัติเลยไม่มีความเข้าใจไง แต่ถ้ามีความเข้าใจ สิ่งนั้นเป็นพื้นฐานนะ เป็นพื้นฐานของสาธารณะ

อย่างเช่นเราไม่ใช่ข้าราชการ เราจะเข้าไปทำงานในหน่วยราชการนั้นไม่ได้ เราต้องเป็นข้าราชการ ข้าราชการต้องรับเราเข้าทำงานแล้ว เราถึงจะเป็นข้าราชการอยู่ในการควบคุมของ ก.พ. แต่ถ้าเราเป็นประชาชน เราเป็นประชาชนชาวไทยเหมือนกัน แต่เราไม่มีสิทธิในสวัสดิการ สิทธิในการรับผลประโยชน์ตอบแทนจากหน่วยราชการนั้น

จิตของเราก็เหมือนกัน จิตของเราถ้าเป็นปกติ เป็นปุถุชน เป็นธรรมดาของมัน จิตมันก็เป็นสภาวะแบบนี้ มันทำอะไรไปมันก็เหมือนกับประชาชน ทำอะไรไปแล้ว ถ้าเราทำได้มากได้น้อยก็เป็นประโยชน์ของเรา แต่ทางสวัสดิการของรัฐบาลเราจะไม่ได้อย่างนั้น เว้นไว้แต่เบี้ยชรา ถ้าเบี้ยชราก็ได้รับตามสิทธิ นี่ก็เหมือนกันถ้าพูดถึงเราว่าสงบ เราสบาย ทุกคนว่าสบาย สบาย มันไม่เข้าถึงหลักใช่ไหม แล้วเข้าถึงหลักตัวที่ว่าจะเข้าได้รับราชการ ไม่ได้รับราชการ ไอ้ตัวสมถะนี่ไง ถ้ามีสมถะพื้นฐาน

เช่นทหาร ทหารเขาจะรับเข้าเกณฑ์เป็นทหาร เขาต้องตรวจร่างกาย ร่างกายแข็งแรงไหม ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงเขาไม่รับนะ เขารับเข้ามาไม่ได้ เพราะร่างกายอ่อนแอไม่รับเข้ามาเป็นทหาร นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตใจไม่มีสมถะ จิตใจไม่มีความเข้มแข็ง จิตใจไม่มีหลักเกณฑ์ของมันขึ้นไป มันจะเข้าไปทำในระบบราชการนั้นได้อย่างไร มันไม่ได้ แล้วพอไม่ได้ขึ้นมา แต่บอกว่ารับราชการ และไม่ได้รับราชการ ไม่ได้รับราชการก็เป็นประชาชน รับราชการก็ประชาชนรับราชการ

จิตถ้ามันไม่สงบขึ้นมา มันสบาย สบาย มันก็สบายแล้วไง ทุกคนติดตรงนี้ไง ทุกคนติดว่า ใช่ เราเป็นประชาชน เราเป็นชาวไทย เรามีสิทธิในประเทศไทย เพราะสิทธิความเป็นมนุษย์เรามีอยู่แล้ว จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราก็มีจิตอยู่แล้วใช่ไหม พอมันสบาย สบาย เห็นไหม มันสบาย สบาย แต่ถ้ามันมีสมถะมันไม่เป็นสบาย สบายอย่างนี้ เราพุทโธแล้ว พุทโธมันหายไป เข้าใจว่าจนพุทโธหายไป แต่พอพุทโธหายไปแล้ว มันก็สบายไง มันก็มีผลของมันไง แต่มันก้าวเดินไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่มีสิทธิ เราไม่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับราชการนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบของมันนะมันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วถ้ามีหลักมีเกณฑ์แล้ว เราเข้ารับราชการแล้วเห็นไหม เขายังตรวจสอบ เดี๋ยวนี้เขาต้องวัดผลเลย วัดผลว่าราชการทำงานได้ หรือไม่ได้งาน จิตถ้ามันสงบแล้ว ถ้ามันปฏิบัติ มันสงบมากน้อยแค่ไหน แล้วมันจะขึ้นมาปฏิบัติได้อย่างไร

เช่นในปัจจุบันเห็นไหม ดูอำนาจรัฐสิ อำนาจรัฐเห็นไหม ถ้าเราได้อำนาจรัฐมาด้วยความชอบธรรม ถ้าอำนาจรัฐชอบธรรม สิ่งนั้นจะชอบธรรมมาก แต่ในปัจจุบัน เวลาอำนาจรัฐเขาใช้การเมืองเห็นไหม อำนาจรัฐนี้ได้มาด้วยตัวแทนเห็นไหม แบบว่าหุ่นเชิด รัฐบาลหุ่นเชิดอย่างนี้เห็นไหม เราจะบอกว่าอธิปไตย ถ้าอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย อธิปไตยของเราไง

ถ้าจิตของเรามันเป็นความจริง อำนาจนี้จะได้มาโดยความชอบธรรม แต่ถ้าไม่ชอบธรรมมันก็เป็นหุ่นเชิด หุ่นเชิดของใคร หุ่นเชิดของกิเลสไง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเชิดของมัน พอมันเชิดขึ้นมานี่ มันจะได้อำนาจการปกครองนั้นเห็นไหม คำว่าหุ่นเชิดมันไม่ชอบธรรม พอไม่ชอบธรรมมันมีอำนาจการปกครองไหมล่ะ มันปกครองด้วยอำนาจอย่างนั้นมันเป็นการปกครองของมัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าจิตใจของเรา มีความเป็นสมถะ ความเป็นสัมมาสมาธิของมันนะ แล้วถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของมันเห็นไหม อำนาจอธิปไตยเป็นของจิต จิตดวงนี้มันมีอำนาจของมัน แล้วมันพิจารณาของมันไป มันจะย้อนกลับมาโดยสัจธรรมของมัน แต่ถ้าไม่ชอบธรรม ก็ตรงนี้ไง ไม่ชอบธรรมก็เหมือนกับเวลาเราปฏิบัติไป เรามีการคาดหมายของเรา เพราะเรา เป็นชาวพุทธใช่ไหม เรามีสิทธิในพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าฝากไว้แล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นเจ้าของศาสนานะ เราเป็นเจ้าของศาสนาเพราะเราเป็นชาวพุทธ แล้วเรามีอะไรเป็นมรรคเป็นผลในศาสนานั้น เรามีอะไรเป็นมรรคเป็นผลเป็นสมบัติของเรา เราเป็นเจ้าของศาสนาก็เจ้าของศาสนาแต่ชื่อ แต่ความจริงมันไม่มี ถ้าความจริงมันมีขึ้นมา เวลาปฏิบัติ ความจริงมันมี มันมีจากการกระทำของเราเห็นไหม ถ้าทำของเรา

หลวงตาพูดคำนี้นะ หลวงตาเวลาท่านพูดบอกว่า ถ้าฟังเทศน์ ฟังพระเทศน์ ถ้ามันมีจริงในหัวใจของมัน มันจะมีเกร็ดมีธรรมะออกมา ฟังรู้ แต่ถ้าไม่มี พูดออกมาพูดปริยัติฟังอย่างไรก็รู้ว่าไม่มี มันไม่มี ถ้ามันมีมันจะมีความจริงออกมา นี่ไงอำนาจอธิปไตยมันมีในหัวใจนั้น มันพูดออกมาเพราะอะไร เพราะอธิปไตยของใจที่มันได้มามันรู้ของมัน อธิปไตยนี้มันได้มาเพราะจิตมันสงบ มันสงบจริงๆ ถ้าสงบจริงๆจะมีความเห็นต่างมาก

ถ้าผู้ปฏิบัตินะนี่ว่าเห็นกาย เห็นกายก็ว่าเห็นกาย พอจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นกายเห็นโดยสามัญสำนึก สามัญสำนึกเราเห็นเอง เห็นโดยนิมิต เห็นโดยต่างๆ แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นของมัน เพราะอะไร มันออกมาจากอธิปไตยนั้น มันออกมาจากจิตที่มันสงบนั้น ถ้าจิตที่สงบนั้นนี่คือธรรมาธิปไตย มันจะเป็นธรรม ถ้าเป็นสัจธรรมออกมามันแตกต่างมากนะ แตกต่างกับความเป็นที่เราคิดกันอยู่นี่ ถ้าไม่แตกต่าง ทำไม ใครก็ปฏิบัติธรรมได้ ใครก็ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ใครก็ปฏิบัติธรรมได้ แต่ปฏิบัติธรรมแล้วมันเป็นจริงไหม ถ้ามันเป็นจริงเราต้องมีความมั่นคงของเรา มันจะทุกข์ มันจะยาก มันจะลำบาก อันนี้มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง

เราทำงานมีอะไรสบาย เราทำงานมีแต่อาบเหงื่อต่างน้ำทั้งนั้น แล้วทำงานด้วยความพอใจนะ ถ้าทำงานไม่มีความไม่พอใจ เราเอาตัวแทนทำงานนะ เวลาพุทโธ พุทโธเอาตัวแทนทำทั้งนั้นล่ะ ไม่เอาตัวจิตทำ เห็นไหม จิต พลังงานกับความคิด ความคิดคือตัวแทนนะ ความคิดนี้คือตัวแทนของใจนะ ไม่ใช่ใจนะ ตัวใจคือความรู้สึก ความคิดมันเกิดดับเห็นไหม เราเอาตัวแทนทำ พอเอาตัวแทนทำขึ้นมามันก็เป็นผลตัวแทน เวลามันหายไปเห็นไหม เวลาพุทโธหายมันก็หายโดยสัญญาอารมณ์ไง ตัวแทนมันไม่เคลื่อนมาแล้วตัวแทนมันก็ปล่อยวางเอง แต่ตัวจิตมันได้อะไร

แต่ถ้าเราจะเอาตัวจริงทำ แล้วเราจะเอาตัวจริงที่ไหนทำ ตัวจริงมันอยู่ไหนเราหาตัวจริงไม่ได้ ในเมื่อเราหาตัวจริงไม่ได้มันก็มีตัวแทนนั่นแหล่ะ มันมีตัวแทนใช่ไหม เราก็นึกพุทโธขึ้นมาเห็นไหม พอนึกพุทโธ พุทโธมันสะเทือน ๓ โลกธาตุ พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุมันสะเทือนที่ไหน มันสะเทือนกับจิต เพราะจิตนี้เป็นพลังงานเห็นไหม พอนึกพุทโธใครเป็นคนนึกขึ้นมา วิตก วิจาร ถ้าเรานึกพุทโธ พุทโธก็มี ถ้าเราไม่นึกพุทโธนะ พุทโธไม่ใช่ของเราเห็นไหม เป็นตัวแทนหมดเลย

ถ้าเป็นพุทโธของเรา เรานึกพุทโธขึ้นมา แต่นี้นึกพุทโธขึ้นมามันก็อึดอัดขัดข้อง อึดอัดขัดข้องเพราะอะไร อึดอัดขัดข้องเพราะมันเคยใจ ใจมันเคยอิสรภาพ มันเคยคิดตามธรรมชาติของมัน มันไม่เคยโดนควบคุมไง จิตใจเราไม่เคยโดน ถ้ามีสตินะ สติของเรา สติเปลือก สติตัวแทน สติจากตัวแทน สติที่เกิดจากความคิด ไม่ใช่สติเกิดจากจิต สติเกิดจากความคิดมันก็ควบคุมได้เห็นไหม โดยธรรมชาติ มนุษย์มีสมาธิมีสติโดยธรรมชาติเลย แต่เป็นสติเป็นสมาธิของปุถุชนไง เป็นสติเป็นสมาธิของเรา เรามีสตินะถ้ามีสมาธิการทำงานของเรา เรามีความจงใจตั้งใจคือสติ สมาธิคือว่าเราควบคุมตัวเราเองเราได้ อันนี้มันเป็นสติเป็นสมาธิของปุถุชน

ดูสุนัขสิ ดูสัตว์สิ เวลามันกัดกัน ดูมันจ้องเพ่งกัน นั่นมันอะไรของมัน ใครควบคุมเกมได้ไง นี่ก็เหมือนกัน สติกับสมาธิของปุถุชนนี่ มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ แล้วเด็กนี้เห็นไหมดูสิสมาธิสั้นสมาธิยาว มันมีธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่สมาธิอย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกียะ มันเป็นเรื่องของโลกไง มันเป็นเรื่องของสามัญสำนึก มันเป็นเรื่องสิทธิ เป็นเรื่องของเสรีภาพ เรื่องของความเป็นมนุษย์ที่เกิดมาได้ศักยภาพนี้

พระพุทธเจ้าก็ศึกษาตรงนี้ พระพุทธเจ้ามีสติปัญญามาก ขณะที่พระพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสลดสังเวชไง พอสลดสังเวชก็คิดว่าเกิดมาแล้วจะค้ำฟ้าไง พอมันเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะท้อนใจมากเลย พอสะท้อน สะท้อนใจมาก ความคิดมันคิดมุมกลับ มีเกิดต้องมีไม่เกิด มีแก่ต้องมีไม่แก่ มีเจ็บต้องมีไม่เจ็บ มีตายต้องมีไม่ตาย พอคิดตรงข้ามเท่านั้นล่ะ มันอยากออกแสวงหา อยากออกเห็นไหม อยากออกแสวงหา พอแสวงหาเพราะอะไร เพราะพื้นฐานของจิตที่มันสร้างมา พื้นฐานของพระโพธิสัตว์ พื้นฐานของ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยมันสร้างมา เชาว์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ เชาว์ปัญญาของคนนี้มันมาจากไหน นี่พันธุกรรมทางจิต

พันธุกรรมทางจิตที่มันเกิดจากการสะสมมา เราเกิดมาชาตินี้ ปัจจุบันนี้เราเป็นคนดี เราสร้างผลดี เราคบเพื่อนที่ดี มันสะสมพันธุกรรมของจิตนี้ให้ดีขึ้น เพราะภพชาติหนึ่งในสังคมหนึ่งดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้นเห็นไหม พระโพธิสัตว์ เห็นไหมดูสิ ยิ่งทศชาติ ๑๐ ชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายพระเวสสันดร พระเจ้า ๑๐ ชาติสะสมมา จนสุดท้ายเห็นไหม สุดท้ายพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ชาติสุดท้ายต้องสละลูกสละเมีย เพราะการสละลูกสละเมีย มันเป็นเรื่องของกามโอฆะ มันเป็นเรื่องของความผูกพัน เป็นเรื่องของความผูกพันมาก

เช่นเวลาเป็นพระเวสสันดรเห็นไหม ชูชกเข้ามาขอลูก ทางสามัญสำนึกของโลกเราเห็นไหม บอกว่าสุภาพบุรุษไม่รับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบเพราะอะไร เพราะว่าสละลูกไปนี่เห็นแก่ตัว ทำไมไม่สละตัวเอง ในมุมกลับของธรรมนะ ในมุมกลับของธรรม สุภาพบุรุษ ผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงมาก แล้วเขามาขอลูกไป กับขอเรา เราอยากให้เขาขอเราไหม ลูกเราจะลำบาก เรายอมลำบากแทนไหม เราทุกคนยอมลำบากแทนหมดเลย แต่เขาไม่เอาเราเขาเอาลูก เพราะอะไร เพราะลูกมันกระเทือนหัวใจไง แล้วเอาลูกไปแล้วตีต่อหน้าด้วย มันสะเทือนหัวใจโพธิญาณ โพธิญาณมันอยู่ที่นั่น โพธิญาณมันอยู่ที่ความรู้สึกนะ

ตีลูก พ่อเจ็บปวดมากกว่าตัวเองออกไปทุกข์นะ แต่โลกไม่คิดตรงนี้ โลกคิดว่าเห็นแก่ตัวไง สละคนอื่นไปไม่ยอมสละตัวเองไง ถ้าสละตัวเองง่ายกว่า อย่างของหนักของทุกข์ยาก เราทำแทนครอบครัวเราได้หมดเลย แต่เขาไม่ให้เราทำ ให้เราบังคับไปแล้วนั่งดู แล้วให้ลูกนี่เราทำ เราเจ็บปวดนะ นี่โลกมองอยู่ มองว่าเห็นแก่ตัว

แต่ในทางธรรมนี่มันสะเทือนหัวใจไง ความผูกพันความสะเทือนหัวใจนี่สำคัญมาก พันธุกรรมทางจิตที่มันปรับสภาพของมันมาตลอด พอปรับสภาพมาตลอดเห็นไหม มันถึงเป็นปฏิภาณ เป็นถึงว่าเป็นปุถุชนมันมีสมาธิมีสติอยู่แล้ว มีปัญญาอยู่แล้ว ปัญญานี้ปัญญาสมอง ปัญญาจากสัญญา ปัญญาจากขันธ์ ๕ ปัญญาจากขันธ์ ๕ เห็นไหม

แล้วเราบอกว่าเราจะพุทโธ พุทโธ มันเหมือนกับเก่งกว่าอาจารย์ไง รู้ไปก่อนไง เก่งกว่าอาจารย์ เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เก่งกว่าทุกอย่าง พุทโธก็รู้แล้ว ทุกอย่างรู้แล้ว เวลาพุทโธ พุทโธจนหายไปเลย วิทยาศาสตร์ไง มีแล้วหายไปก็คือของจริงไง เราพุทโธใช่ไหม พุทโธหายไปใช่ไหม พุทโธก็ถูกต้องไง ผิด ผิดเพราะมันไม่เป็นข้อเท็จจริง มันหายไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเรารู้ก่อนไง ทางทฤษฎีเรารู้ก่อนใช่ไหม แล้วรู้ก่อนแล้วก็หายไป

ทีนี้วิธีแก้ วิธีแก้ เวลาครูบาอาจารย์นะ วิธีแก้ เวลาวิธีแก้ เขาบอกพุทโธต้องหาย แล้วทุกคนบอกพุทโธต้องหาย พอพุทโธต้องหายปั๊บ เราจินตนาการ ทำด้วยตัวแทน แล้วให้ตัวแทนมันหายไป แล้วตัวแทนมันหายไปนะ เราถึงบอกว่าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอพุทโธมันหายไป มันไม่ใช่สงบ มันเป็นการเผอเรอ ปล่อยวางให้มันหายไป ของมีอยู่เอาไปซ่อนไว้ เอาไปซ่อนไว้

แต่ถ้าเป็นพุทโธนี่นะ มันกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน คำว่าพุทโธนี้เป็นเงา เป็นอาการของจิต จิตธรรมชาติของมันพลังงานมันส่งออก แล้วไม่มีอะไรควบคุมมันได้ เหมือนอากาศ เหมือนออกซิเจนต่างๆที่เขาจะใช้นี่ เขาต้องมีเครื่องเก็บมัน เอามาเป็นประโยชน์ได้ จิตนี้มีสติปัญญาเห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตัวจิตนี่เป็นกรอบมัน พอบอกพุทโธ พุทโธ พุทโธ ตัวสติพุทโธ พลังงานที่มันกระจายออกไป พุทโธ พุทโธ จนมันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามาจนเป็นเนื้อเดียวกันเห็นไหม จนเป็นเนื้อเดียวกัน

โดยธรรมชาตินะ โดยธรรมชาติของมนุษย์มีความคิดเห็นไหม มีความคิดกับพลังงาน มีกายกับใจ เป็นของคู่ มนุษย์เป็นของคู่ ของคู่ เกลือจิ้มเกลือ จิตแก้จิต เขาว่าเป็นกิเลสไหม กิเลสถ้าเป็นกิเลส เป็นความอยาก การประพฤติปฏิบัติเป็นกิเลสไหม มันเป็นมรรค มันเป็นอยากความดีไง เราบอกห้ามมีกิเลส ห้ามมีความอยากทุกอย่างเลย เราต้องอยากในเหตุ อยากในการกระทำ แต่ผลเราอยากไม่ได้ เราอยากในเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลนั้นจะดีเห็นไหม

ผลไม้มันจะแก่มันจะอ่อนมันเป็นธรรมชาติของมัน มันได้สารอาหารของมัน มันก็แก่ก็อ่อนธรรมชาติของมัน เพราะผลไม้เป็นอย่างนั้น มันไม่มีชีวิต แต่จิตของเรามันมีชีวิต พอจิตเรามีชีวิต การที่ว่าเรากำหนดพุทโธ เราตั้งสติ มันจะทำให้จิตเรามั่นคงได้ จิตเรายืนตัวเข้ามาได้ สิ่งที่เป็นสอง พุทโธ พุทโธจนเป็นเนื้อเดียวกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธมันละเอียดมาก จะละเอียดขนาดไหน ต้องตั้งสติชัดๆต้องตะโกนพุทโธตลอดเวลาจนมันเป็นเนื้อเดียวกัน

พอเป็นเนื้อเดียวกันเห็นไหมนั่นมันพุทโธไม่ได้เพราะเหตุนี้ไง เหตุจากว่า พุทโธเกิดจากจิต เพราะมีพลังงานมันถึงมีการแสดงออกของพลังงานนั้น พอพลังงานนั้นกับสิ่งแสดงออก มันเป็นอันเดียวแล้ว มันจะเป็นตัวของมันเอง มันจะพุทโธไม่ได้ต่อเมื่อมันเป็นสมาธิตัวมันเอง มันเป็นหนึ่งเอง แต่โดยปฏิบัติ พุทโธ พุทโธ แล้วมันจะหายไปโดยขาดสติ โดยขาดสติ โดยความเข้าใจผิด เพราะเข้าใจผิดว่าพุทโธมันต้องหาย ทุกคนพอพุทโธหายแล้วจิตมันจะละเอียด มันละเอียดด้วยความเผลอ มันไม่ใช่ละเอียดเพราะตัวมันเอง ถ้ามันจะละเอียดด้วยตัวมันเอง เราจะตื่นรู้ เราจะมีความรู้ตัวตลอดเวลา เราจะรู้สึกตัวตลอดเวลา นี่มันละเอียดอย่างนี้ มันไม่ใช่ละเอียดแบบหายไป มันไม่ใช่ละเอียดอย่างไม่รู้ เพราะมันละเอียดด้วยความไม่รู้ มันไม่รู้ มันเลยไม่รู้สึกตัวมันเอง ถ้ารู้สึกตัวมันเอง จะเข้ามาสู่ตัวของมันเอง ถ้าตัวของมันเอง สัมมาสมาธิ นี่คืออธิปไตยของจิต แล้วอธิปไตยของจิต ถ้ามันเกิดการปกครอง เกิดการดูแลของมันเห็นไหม มันเป็นธรรมาธิปไตย

ถ้าธรรมะมันเกิดนะ ธรรมะมันเกิดคือโลกุตตรปัญญามันเกิด เกิดอย่างนี้มันไม่ได้เกิดด้วยสัญญา ไม่ได้เกิดจากข้อมูลสถิติที่ว่าเราจำไว้ แต่มันจะเกิดจากสัจธรรม สัจธรรมเพราะมันเป็นหนึ่ง พอจิตมันเป็นหนึ่ง มันออกรู้ของมัน พอออกรู้มันสะเทือนตัวจิต เพราะตัวจิตเป็นตัวออกรู้ แต่เดิมเราออกรู้ด้วยความคิดไง เราออกรู้ด้วยอาการเพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ไง สิ่งที่เรารู้กันอยู่ เรารู้จากอาการ รู้จากเปลือก มันถึงได้เข้าสู่อธิปไตยของจิต มันไม่เป็นธรรมาธิปไตย มันเป็นรัฐตัวแทนเห็นไหม มันเป็นตัวแทนสิ่งที่เกิดจากมันเห็นไหม

แต่สิ่งที่เกิดจากมัน แต่ถ้าพอมันเข้ามาถึงตัวมันเอง มันจะเป็นตัวของมันเอง แล้วตัวของมันเองเวลาออกวิปัสสนา มันจะละเอียดกว่านี้อีกหลายซับหลายซ้อน ใจมันจะซับซ้อนมาก แล้วกิเลสเอาสิ่งนี้มาอาศัย เอาสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์ แล้วพออาศัยใช้ประโยชน์ เพราะการศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าปริยัติศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มันจะมีคุณค่ามาก แต่นี่เราศึกษามา เรารู้แล้ว เวลาเราปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติโดยปริยัติไง

ในปัจจุบันเราปฏิบัติโดยปริยัติ แล้วเราจะบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราใช้ปัญญากันแล้ว ปัญญาที่ใช้คือปัญญาในการวิปัสสนา ปัญญาในการชำระกิเลส แต่ปัญญาอย่างนี้มันเป็นโลกียะ เพราะมีเราไง ปัญญาเกิดจากจิต ตัวแทนเกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิตหมด พอเกิดจากจิตหมด ตัวจิตคือตัวอวิชชา แต่เวลาบอกตรึกๆธรรมะ แล้วเวลาบอกพูดพูดพุทธพจน์นะ พูดธรรมะพระพุทธเจ้านะ พูดธรรมะพระพุทธเจ้ามันเหมือนก๊อบปี้ เราก๊อบปี้สิ่งนั้นมา มันไม่เกิดจากเรา แต่ถ้าเกิดจากเรานะ คำพูดคำเดียวกันคนรู้จริงเห็นจริง คนรู้จริงเห็นจริงนี่มันรู้จากตัวมันเอง พอมันรู้จากตัวมันเองมันก็จะมาทำลายตัวมันเอง

เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่าจิตนะ ยิ่งทำลาย ยิ่งสะอาด ยิ่งทำลาย ยิ่งบริสุทธิ์ แต่เราไม่กล้าทำตัวเราเองนะ เวลาสิ่งใดที่เกิดขึ้นมา กิเลสเป็นเรา ความรู้สึกเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เราไม่กล้าทำลายตัวเราเลย แต่ถ้ามันสงบขึ้นมา สิ่งที่มันทำลายไปแล้ว ทำไมบอกมาถึงบางอ้อล่ะ เอ๊าะ เอ๊าะ ถ้าถึงบางอ้อนั่น มันเริ่มคลายออก มันเริ่มปล่อยออก แต่เราไม่ถึงบางอ้อ เราจะหาแต่บึง หาแต่หนองอ้อ วิ่งไปหาเขา แต่เมื่อไรจะถึงบางอ้อ ไปหาหนองอ้อ หนองอ้อมันอยู่ที่ไหน ถ้าหนองอ้อมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจมันจะร่นหดสั้นเข้ามาถึงตัวมันเอง ถ้าหดสั้นถึงตัวมันเองสิ่งนี้จะเป็นสัจธรรม จะเป็นความจริงที่เกิดขึ้น

สิ่งที่พูดมันคำเดียวกัน มันเหมือนกัน แต่มันอยู่ข้างนอกข้างใน เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม สิ่งข้างนอกก็ต้องสะอาด สิ่งข้างในก็ต้องสะอาด สิ่งข้างนอกสะอาดเพราะอะไร สะอาดเพราะจิตเรานี่หยาบ มันไปหมายข้างนอก มันไปหมายข้างนอกก่อน ถ้าเราใช้ปัญญาไตร่ตรองจากข้างนอกเข้ามา สรรพสิ่งในโลกนี้ แม้แต่ชีวิตเรา แม้แต่ความเป็นจริงของเรามันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

แต่เราเข้าใจกัน บอกว่าเราต้องการเป็นอนัตตา เราจะไปมองว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนัตตา คือมันไม่มี มันเป็นอนัตตาของมันอยู่แล้วไง มันเป็นอนัตตาของมัน แล้วเราได้อะไร เวลาตัวเราเองเป็นอนัตตา เราไม่เห็นความเป็นอนัตตาของเรา สิ่งต่างๆมันแปรปรวน มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนิจจังเห็นไหม เราบอกสติก็เป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตาคือมันไม่มี

เวลาเขาพูดกันนะ เขาบอกมันไม่มี มันเป็นอนัตตา แต่ความจริงมันมี มันมี แม้แต่ชีวิตเราเห็นไหม จริงตามสมมุติ มีจริงๆนะ เวลาทุกข์ๆจริงๆ ความรู้สึกเรามีไหม มี แต่มันชั่วคราวมันเร็วมาก แต่มันมี แต่พอถ้ามันไม่มีเลย เราจะเริ่มต้นกันตรงไหน เราจะจับต้องตรงไหน เราจะบอกว่าจริงตามสมมุติ สมมุติมีไหม มี แล้วมีจริงๆด้วย แล้วพอมีสมมุติจริงๆ สมมุติแต่ละภาษามันก็แตกต่างกันไป พระพุทธเจ้าถึงบอกสมมุติบัญญัติ บัญญัติเป็นขันธ์ ๕ เห็นไหม ความคิดคือสังขาร ความปรุง ความแต่ง “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งในขันธ์ ๕ แต่ถ้าเป็นภาษาพื้นบ้าน สังขารคือร่างกาย ถ้าพิจารณาความคิดกับพิจารณาร่างกายเห็นไหม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย มันมีของมันเห็นไหม

สิ่งนี้มีจริงตามสมมุติ มีจริงตามบัญญัติ แล้วถ้าวิปัสสนาไปใจมันเกิดขึ้นมา มันจะมีตามวิมุตติ แล้วโลกนี้ถ้ามันสะอาดจากข้างนอก ถ้าข้างนอกไม่สะอาดเห็นไหม ดูสิ ดูถ้าจิตใจของผู้ที่ปฏิบัติเป็นผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ถูก ถูกสำหรับใจของพระพุทธเจ้า ถูกสำหรับใจของพระผู้ประพฤติปฏิบัติ ที่มันเป็นสัจธรรมมันเป็นของมันอย่างนั้น แต่ไม่ถูกกับใจพวกที่มีกิเลส มันเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติต่อเมื่อจิตที่มันไม่เกาะเกี่ยว แล้วมันก็เป็นสภาวะธรรมดา อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก

แต่ถ้าจิตใจปกติมันเป็นธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติ มันก็แปรปรวน เราก็แปรปรวน ธรรมชาติมันก็แปรปรวน จิตใจเราก็แปรปรวน ชีวิตนี้ก็แปรปรวน ถ้าธรรมชาติก็ธรรมชาติ มันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วได้อะไรล่ะ แต่ถ้าโลกนี้เป็นอนิจจังเห็นไหม ต้องจับสิ่งที่ว่ามันเป็นจริงแล้วมาตั้งเป็นเหตุเป็นผล แล้วจิตใจเห็นไหม โมฆราช เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง มันก็ว่างหมดแล้ว เอากล้องจุลทรรศน์ส่องมันก็ว่างหมด เห็นเชื้อโรคด้วย แล้วมันได้อะไรล่ะ“เธอจงกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ” ทำลายกล้องนั้น ทำลายผู้ดูนั้น ทำลายผู้ที่รู้ว่าว่างนั้น กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ กลับมาผู้รู้ว่าว่าง โลกนี้เป็นความว่างแล้วกลับมาถอนความว่างนั้น ถ้าถอนความว่างนั้นข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่าง แต่ข้างนอกมันจะเป็นธรรมชาติของมัน สัจธรรมเป็นอย่างนั้น

พวกนักวิทยาศาสตร์เห็นไหม เขาหาสิ่งสสารในโลกนี้ออกมาเป็นธุรกิจ ออกมาเป็นการค้าเขาได้ผลประโยชน์ เขาได้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย นั่นเป็นเรื่องของสัมมาอาชีวะ เป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าใจเป็นธรรมนะจับสิ่งนั้นต้องพิจารณามัน รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ดูสิ สภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงไป เราทุกข์ร้อนมากเลย สภาวะแวดล้อมมันให้ผลอะไรกับเราเห็นไหม แต่ ถ้าใจเราเป็นธรรมเห็นไหม เรารักษาสภาวะแวดล้อมนี้ไว้ให้กับลูกหลาน มันรักษาไว้ด้วยความเป็นธรรม แต่ถ้ามันรักษาสภาวะแวดล้อมไว้ด้วยความเป็นธรรมนะ มันจะรักษาแวดล้อมไว้ด้วยความเป็นทุกข์ แล้วก็บอกว่ามันเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาที่คำพูด มันไม่เป็นอนัตตาจากหัวใจ ถ้ามันเป็นอนัตตาจากหัวใจนะ มันจะรู้ธรรม แล้วพอรู้ธรรมขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์กับปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ทิ้งพระพุทธเจ้าไป แล้วพระพุทธเจ้าพอไปหาปัญจวัคคีย์นะ พอไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เราอยู่มา ๖ ปีก็บอกว่าไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ในปัจจุบันนี้ เรารู้เราเห็น เรารู้เราเห็น จงเงี่ยหูลงฟังเห็นไหม สัจธรรม สัจธรรมที่มันเป็นไปมีกิจญาณ มีสัจญาณ มีสิ่งการกระทำเกิดขึ้นถ้าใจมันเป็นความจริง มันจะมีสิ่งที่การกระทำเกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่การกระทำเกิดขึ้นมันต้องเราทำใช่ไหม จิตเป็นคนทำ จิตแก้จิต ถ้าจิตมันไม่แก้จิตใครจะแก้ให้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถเอามรรคผลนิพพานยื่นให้ใครได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกวิธีการจากใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วบอกวิธีการชี้นำพวกเรา แล้วพวกเราพยายามประพฤติปฏิบัติตามนั้น ถ้าประพฤติปฏิบัติตามนั้นนะ เหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น เหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นกับจิตของเรา ถ้าเหตุการณ์อย่างนั้นกิจญาณมันเกิดขึ้นมา แล้วถ้ากิจญาณมันเกิดขึ้น กิจกรรมของจิต จิตที่มีการกระทำมันเกิดขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้าทำมาแล้วแล้วมันจะต่างกันตรงไหน มันต่างกันตรงไหน มันต้องเหมือนกัน แล้วถ้าสิ่งที่เหมือนกันขึ้นมา เวลาแสดงออกมามันถึงเหมือนกันไง

ทีนี้ถ้ามันไม่เหมือนกัน เพราะปัญญาโลกๆไง พฤติกรรมในโลกนี้ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ แล้วธรรมชาติก็วางธรรมชาติไว้ตามธรรมชาติ แล้วจิตนี้ก็เป็นธรรมชาติแล้ววางไว้ธรรมชาติ แล้วมันจะพ้นกิเลสไหม มันก็หมุนไปธรรมชาติไง มันก็หมุนไป มันก็แปรสภาพไป ธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลง กุปปธรรม อกุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมนี้เป็นอนัตตา เป็นอนัตตามันก็เป็นของมัน อาการของมันก็แปรปรวนของมัน แล้วใจล่ะ กุปปธรรม อกุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา

หลวงตาบอกว่า อัตตา อนัตตา เป็นสิ่งที่จิตนี้ก้าวเดินผ่านมันไป อัตตา อนัตตาเป็นการให้จิตมันได้เดินผ่าน ให้จิตมันพัฒนาการของมันขึ้นไป พ้นออกไปจากอัตตาและอนัตตา กุปธรรม อกุปธรรม กุปปธรรมคือ สัพเพ ธัมมา อนัตตา อกุปปธรรมเห็นไหมไม่มีการแปรสภาพ นี่ไงที่ว่ามันไม่เป็นธรรมชาติไง ถ้าเป็นธรรมชาติยังกลับมาเปลี่ยนแปลง จิตใจที่บริสุทธิ์แล้วมันกลับมาเป็นธรรมชาติ นี่คืออธิปไตยของมัน

ถ้าอธิปไตยของมัน อย่างนี้เป็นรัฐที่ไม่มีใครจะเข้าไปยุ่งกับมันได้อีกแล้ว แต่ถ้าเป็นรัฐของโลกมันเปลี่ยนแปลงได้ ดูประเทศสิแบ่งได้ จะแบ่งที่ประเทศก็ได้ ซอยขนาดไหนก็ได้ ถ้าจิตมันยังมีสถานที่ ยังมีภวาสวะ มีภพ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ถ้ามีภพ มีสถานที่ มีสิ่งที่แสดงตัว มารหัวเราะเยาะเลย เพราะมันควบคุมได้ แต่ถ้ามันไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีอะไรให้ใครควบคุมได้ ไม่มีสิ่งใดๆให้ใครควบคุมได้ มารมาหาก็หาไม่เจอ มารไม่มีสถานที่อยู่ แต่ปัจจุบันมารมันมีสถานที่อยู่ มันก็อยู่ในใจของเราเห็นไหม

ถ้าทำลายภวาสวะทำลายตัวภพ ภพกับความคิดกับสิ่งที่ตั้งบนภพ ถ้ามันทำลายภพหมดแล้วเห็นไหม มันถึงว่าเหนือธรรมชาติ ถ้ามันยังมีภพอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ มันเหนือธรรมชาติไปไม่ได้ มันเป็นธรรมะไปไม่ได้ มันอยู่ใต้กฎของอนิจจัง ถ้ามันใต้กฎอนิจจังแต่ตัวมันเองไม่เห็นตัวมันเองว่าเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้ามันเป็นอนัตตามันจะย้อนกลับมาที่เป็นอนัตตา ธรรมาธิปไตย สภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้น มันจะย้อนกลับไปเห็น เห็นตั้งแต่ว่ามันจะสงบมาอย่างไร พุทโธ พุทโธ พุทโธมันจะหายอย่างไร

ดูสิ เวลาหลวงตานะท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาติดอยู่ ติดความสงบอยู่เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่าสุขอย่างนี้มันเหมือนเศษเนื้อติดฟัน ให้ออก ดึงออกมา ท่านบอกลากออกมาให้ใช้ปัญญา พอใช้ปัญญาไป ปัญญามันก้าวเดินไปแล้ว ก้าวเดินเต็มที่เลย พอปัญญาก้าวเดินเพราะคนเรานี่นะมันติดมานาน พอติดมานาน พอเราก้าวเดินไม่ได้มันจะเห็นประโยชน์มาก พอเห็นประโยชน์มากมันก็ติไง ติว่าสมาธิไม่ให้ประโยชน์อะไรกับเราเลย แล้วมันก็ใช้ปัญญาไปมาก ใช้ปัญญาไปเรื่อย

ปัญญาพอใช้มากเข้าไป มันก็เริ่มใช้ปัญญาไป จนหยุดไม่ได้ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นนะ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นบอกว่า ว่าติดสมาธิก็ติดสมาธิ ในปัจจุบันนี้ออกใช้ปัญญาแล้วล่ะ ออกใช้ปัญญาจนปัญญามันหมุนจนไม่มีโอกาสได้พักได้ผ่อนเลย จะนอนก็นอนไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ แล้วให้ทำอย่างไรล่ะ นั่นล่ะไอ้บ้าสังขาร เวลาไม่คิดมันก็ไม่มีปัญญา เวลาใช้ปัญญาไปแล้วหลวงปู่มั่นก็บอกว่าบ้าสังขาร บ้าสังขาร

พอบ้าสังขารแล้วทำอย่างไร จะหยุดสังขาร หยุดสังขารให้ได้พักได้ผ่อนบ้างทำอย่างไร ท่านทำอย่างไรไม่ได้ ท่านบอกว่าต้องกลับมาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเห็นไหม แม้แต่ปัญญามันเกิดขึ้นมาขนาดนี้แล้ว คำว่าพุทโธ คำว่าสมถะมันก็ยังมีความจำเป็นเลย คำว่าสมถะมันเป็นการพักผ่อน มันเป็นการพักจิต จิตถ้ามันทำงานจนเต็มที่มันไม่ได้พักผ่อนมันจะอยู่ได้อย่างไร เครื่องยนต์มันทำงานตลอดเวลาโดยไม่พักมันเลย เครื่องยนต์นั้นมันพังแน่นอน เครื่องยนต์มันเป็นวัตถุนะ แต่หัวใจเป็นนามธรรม ถ้ามันหมุนใช้ปัญญาเต็มที่ไปตลอดเวลา โดยที่ไม่มีสมาธิเข้ามาให้มันพักบ้าง ไม่มีสติมายับยั้งมันบ้าง มันจะพักได้อย่างไร เวลาไม่มีสมาธินะ เวลาที่ว่าปัญญามันเกิดที่ว่าเราใช้ปัญญากัน มันเป็นปัญญาโลกๆ มันก็รู้ได้ เหนื่อยนักมันก็หยุดได้ เหนื่อยนักมันก็พักของมันได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้ มีสติสัมปชัญญะรับรู้ได้

แต่พอมันทำจิตให้มันสงบเข้ามาได้ เพราะเวลาเราพุทโธได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มันสงบได้ ถ้ามันไม่ออกใช้ปัญญา มันหมุนไม่ได้ ธรรมจักรเกิดไม่ได้ ว่าจักรปัญญามันหมุน ธรรมจักรมรรค ๘ ทางเอกมันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไร จักรนี้มันจะหมุนกลับไปทำลายกิเลสอย่างไร พอมันเริ่มเคลื่อนที่ไปเห็นไหม พอมันเริ่มเคลื่อนที่ไป นี่ ไง ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย บอกว่าเวลาเราจุดไฟ ถ้าไฟติดแล้ว ถ้ามีขยะมีเชื้ออยู่ มันจะติดไฟ มันจะเผาไปจนกว่าเชื้อมันจะหมดไง แต่ถ้าเรามันจุดไม่ติด ไฟมันติดไม่ได้นะ มันติดสมาธิอยู่นะ ถ้ามันจุดไฟได้มันติดมันเผามัน พอมันเผามัน มันเผาไปเรื่อย เผาไปเรื่อย แล้วเผาไปเรื่อยมันเผาไม่หยุดทำอย่างไร นี่ไงมันถึงต้องกลับมาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเพื่อให้จิตสงบ จิตสงบมันยังกลับมาพักผ่อน จิตมันพักผ่อนได้

คนเวลามันไม่ปฏิบัติเห็นไหม เวลาติดสมาธิก็ว่าติดสมาธิ เวลาออกปัญญาไปแล้ว มันหมุนใช้ปัญญาไป มันไม่ได้พักเลย มันไม่พอดีของมันเห็นไหม การปฏิบัติกิจญาณ ประสบการณ์ของจิตที่ไม่เคยทำ ไม่เคยทำนะ เวลาทำสมาธิก็ทำสมาธิไม่ได้ เป็นสมาธิแล้วใช้ปัญญาก็ใช้ปัญญาไม่เป็น ถ้าใช้ปัญญาไม่เป็นแล้วเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมหมด ถ้าใช้ปัญญาเป็น ใช้ปัญญาเป็นเห็นไหม ถ้าสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ฤๅษีชีไพรก็เป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ถ้าเป็นสมาธิก็คือสมาธิ สมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ แต่สมาธิเป็นฐานให้เกิดโลกุตตรปัญญา เป็นฐานให้จิตเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยสัจธรรม โดยข้อเท็จจริง ถ้าไม่มีตัวสมาธิ ก็เห็นโดย ความอยากได้ เห็นโดยความอยากรู้ เห็นโดยข้อมูลพื้นฐานที่เราศึกษาธรรมะมาว่าสมถะต้องวิปัสสนา มันเป็นสูตรสำเร็จที่เราจะต้องทำให้มันครบสูตร ถ้าครบสูตรแล้วมันก็สร้างภาพให้เป็นสภาวะแบบนั้น แล้วสุขไหม สุข มีความพอใจมาก เราสร้างภาพสิ เราคิดว่าเรามีความสุข มีอะไร เราสร้างได้ จิตมันสร้างได้

ถ้ามันทำโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะเป็นการสร้างภาพ มันไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงต้องพูดจากความจริง แล้วพูดถูกต้อง สติก็สติเป็นความจริง สมาธิก็เป็นความจริง แล้วถ้าเป็นปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาฆ่ากิเลสเห็นไหม ธรรมาธิปไตยเกิดบนอธิปไตย เกิดบนจิตของเรา เกิดบนฐีติจิต เกิดจากการกระทำ เป็นปัจจัตตัง เป็นความรู้เฉพาะตน เป็นสมบัติของเรา สมบัติอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากเรามีสติกันนะ เรามีสติ ย้อนกลับมาที่กาลามสูตรว่าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อสรรพสิ่งต่างๆ ให้เชื่อประสบการณ์

เวลาพระสารีบุตร ที่ว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เวลาพูดกับพระ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเลย ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเลย จนไปถามพระพุทธเจ้าว่าไม่เชื่อจริงๆเหรอ แต่ก่อน ท่านไม่ได้บอกท่านไม่เชื่อนะ ท่านบอกแต่ก่อนนั้นเชื่อมาก แต่ก่อนนั้นดูสิพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปอยู่กับสัญชัย ศึกษากับสัญชัยนะด้วยมีปัญญาเยอะมาก สัญชัยสอนจนหมดพุงแล้ว จนสัญชัยบอกว่าพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะรู้เท่าอาจารย์สอนได้หมดเลย

เหมือนพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าอยู่กับอาฬารดาบสพูดอย่างนี้ได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา ให้สอน เราไม่เชื่อ พระสารีบุตรก็ไม่เชื่อเพราะตัวเองยังมีความกังวลในใจ ทำได้ ทางวิชาการทำได้ แต่ยังมีความทุกข์ยังมีความลังเลในหัวใจนะ ก็เลยสัญญากันว่า ถ้าเราเจอครูบาอาจารย์นะ เราจะบอกกันนะ เพราะรู้อยู่ว่ากิเลสในหัวใจมันยังมีอยู่เพราะได้สร้างบุญญาธิการมา เพราะพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรอธิษฐานว่าจะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา คำว่าสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเห็นไหม สร้างบารมีมา บารมีคือพันธุกรรม บารมีคือหัวใจ บารมีคือภพ คือปฏิภาณที่มีปัญญามาก สุดท้ายแล้วสัญญากันไว้ พอพระสารีบุตรมาเจอพระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ไม่ใช่ ไม่ใช่แล้ว อยู่กับสัญชัยนั้นก็ไม่ใช่ ไม่ใช่คืออะไร ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ก็เหมือนกับว่างๆ นี่แหละ ว่างๆ ก็ว่างๆ มันก็ธรรมชาตินี่แหละ ไม่มีอะไรหรอก นี่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ในไม่ใช่มีอะไร ในไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ คือไม่มี ปฏิเสธหมด มันไม่จบไง

แต่พอมาพบพระอัสสชินะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้ดับที่เหตุนั้น เพราะมีเหตุถึงมีผล” ปิ๊ง เป็นพระโสดาบันเลย นี่ไงที่ว่าไม่เชื่อเราเหรอ แล้วพอถึงอย่างนั้น พอเป็นพระโสดาบันก็ไปบอกพระโมคคัลลานะเป็นโสดาบันเหมือนกัน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นี่ไงเชื่อมาก แต่ก่อนเชื่อมาก เชื่อเพราะว่าถ้าตัวเองยังเอาตัวเองรอดไม่ได้นะมันหวังพึ่งคนอื่น ดูพระอานนท์สิ พระอานนท์พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ก็เป็นพระโสดาบันยืนกอดกลอนประตูร้องไห้ พระโสดาบันเหมือนเรา ทำงานเป็นแล้ว ทำงานแล้วได้ผลงานแล้ว แล้วผลงานยังไม่จบ อยากจบ แล้วจากคนมีคนคอยช่วยเหลือ คนคอยประคองไป มันหวังพึ่งมากนะ ไอ้อย่างเราทำอะไรยังไม่ได้เลย แล้วจะไปบอกใคร ใครจะไปประคองเรา ประคองไม่ถูกมันไม่มีหลักมีเกณฑ์จะขึ้นไปได้ แต่พระโสดาบันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นไปแล้ว พระอานนท์ยังร้องไห้

นี่ย้อนกลับมาพระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันหวังพึ่งไหม หวังให้คนชี้นำไหม หวังมาก พอหวังมาก เมื่อก่อนเชื่อมากขณะที่ไม่เป็น เชื่อมาก เพราะเชื่อคนชี้นำ เชื่อคนบอกไปเรื่อยๆ แล้วพยายามทำไปถึงที่สุด พอถึงที่สุดแล้ว คนที่ถึงที่สุด ฟังนะ คนที่ถึงที่สุด คนทำความเป็นจริง มันจะรู้เลยว่าความเชื่อกับการกระทำของเรา สัจจะความจริง เขาบอกสมาธิเป็นอย่างนี้ เราทำสมาธิ สมาธิเกิดกับใจเราเป็นอย่างนี้ เขาบอกให้ใช้ปัญญา ปัญญาที่ว่าหมุนเป็นอย่างนี้ พอปัญญาเกิดจากจิตแล้วเป็นอย่างนี้ นี่ไงความเชื่อ

ความเชื่อมันเป็นศรัทธา มันเป็นตัวนำ แต่เวลาเกิดตัวจริง ตัวความเป็นจริงขึ้นมามันไม่ใช่ความเชื่อเลย มันเป็นความจริงเลย เพราะความจริงอันนี้ไงถึงไม่เชื่อ เพราะมันเกิดความจริงขึ้นมาจากใจแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา พระสารีบุตรบอกไม่เชื่อ แต่ท่านพูดว่า แต่ก่อนเชื่อมาก แต่ก่อนฟังมาก แต่พอถึงที่สุดแล้วไม่เชื่อ เพราะความเชื่อกับความจริงที่เกิดมาจากใจมันคนละส่วนกัน ถึงที่สุดแล้วไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถูกต้อง ถูกต้องเพราะมันมีความจริงขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมามันจะพูดเป็นอันเดียวกันเห็นไหม

นี่เหมือนกันในปัจจุบันนี้ จะบอกไม่ให้เชื่อใครเลยก็ไม่ถูก เราไม่เชื่อเราไม่มีศรัทธาเราจะเอาอะไรเป็นตัวหน่วงนำ ประเด็นหน่วงนำให้เราได้ก้าวเดิน เราก็เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้ว มันต้องพิสูจน์จากตัวของเรา แล้วถ้าคนรู้จริงมันจะเป็นความจริง นี่ธรรมาธิปไตย ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นตัวแทนเห็นไหม แล้วเราสร้างขึ้นมามันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริง

ในศาสนาพุทธเห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา การภาวนามยปัญญาจะเกิดจากภาวนา เกิดจากปัญญาที่เกิดขึ้น จินตมยปัญญาฟังธรรมแล้วจินตนาการไป เวลาฟังเทศน์ หลวงตาท่านพูดบ่อย หลวงปู่มั่นเทศน์ นิพพานเหมือนอยู่แค่เอื้อมเลย นี่พอพูดชี้นำปั๊บนี่เราจะจินตนาการได้ตามเลยนะ พอเทศน์จบนะมันก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่ถ้ามีคนพูดกล่าวไปข้างหน้าเราจะจินตนาการได้เลยเห็นไหม ฟังเทศน์ ถ้าจินตนาการส่วนจินตนาการ มันก็ต้องฝึกไปอย่างนี้ ตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วเวลาฟังเทศน์แล้วเทียบกับใจของเรา

เวลาเทศน์นะถ้าผู้ที่เทศน์เป็นครูบาอาจารย์ของเราในพระป่าไม่ได้พูดเรื่องศีล เริ่มจากสมาธิเลย เพราะศีลเป็นปกติของพวกเราอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเทศน์ทั่วไปเห็นไหม จะเอาศีลมาพูดแต่ละคำ แต่ละคำ ทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้อย่างนี้มันเป็นการเปรียบเทียบ แต่ถ้าเป็นความจริง สมาธิทำอย่างไร เห็นไหมเริ่มต้นจากพื้นฐานเป็นสมาธิได้ แล้วยึดขึ้นเลยนะ โสดาบันเป็นอย่างไร โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันมรรค ๔ ผล ๔ มันทำอย่างไร

แต่พูดถึงพูดชื่อนะ เวลาอธิบาย เวลาหลวงปู่มั่นท่านอธิบาย ๔-๕ ชั่วโมงท่านจะพูดถึงว่าพิจารณากายเป็นอย่างนี้ ผลเป็นโสดาบัน พิจารณากายซ้ำอยู่อย่างนี้มันจะออกมาเป็นสกิทา พิจารณากายซ้ำอย่างนี้เป็นอสุภะแล้วเป็นอนาคา แล้วพิจารณากายแล้วกายของจิตเป็นพระอรหันต์นี่มันพิจารณากายอย่างไร แต่ถ้าคนเป็นเห็นตามหมดเลย แล้วคนที่พิจารณาได้แต่ละขั้นตอนขึ้นมา หลวงตาจะบอกว่าถ้าเรามีพื้นฐาน พื้นฐานจะฟังไปก่อน แล้วได้โสดาบันก็รักษาใจไว้ ผู้ที่พื้นฐานก็พื้นฐานไป

พอถึงโสดาบันเอาแล้ว เพราะเรารู้ไง เราติดอะไรอยู่นะ พอเทศน์เข้ามา มันจะทิ่มเข้ามาในใจเราเลย แล้วทิ่มเข้ามาในใจของเรา มันจะก้าวเดินอย่างไร มันจะปล่อยอย่างนี้ มันจะจับต้อง ใคร่ครวญแล้วปล่อยวางอย่างไร มันเห็นตามนะ เห็นตามเพราะมันเป็นความจริง ถึงจะพูดอยู่เห็นตามแต่มันเป็นจริงในใจของเรา แต่ครูบาอาจารย์เทศน์อยู่มันจริงในใจ ใจเราทำอย่างนั้นปั๊บ มันขาด พอมันขาดไป พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมสำเร็จเป็นร้อยเป็นพัน สำเร็จต่อหน้า ต่อหน้าเลย เพราะจิตมันเป็นปัจจุบัน

แต่ความจริง มันเป็นปัจจุบันในจิตของเรา แต่มันเป็นการเทศน์ของพระพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ที่เทศน์มันข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น มรรค ๔ ผล๔ ขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันเป็นธรรมาธิปไตยของผู้ฟัง มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของผู้ที่มีสัจธรรมความเป็นจริง แล้วพูดออกมาจากความจริงในหัวใจ สัจธรรมนี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว สัจธรรมนี่เกิดเห็นไหมเวลาเทศน์นี่ต้องมีประเด็น

หลวงตาบอกว่าใจแท้ๆ พูดไม่ได้ ใจแท้ๆ นี่พูดไม่ได้ พูดออกมานี่ผ่านขันธ์ ๕ นี่ไงจิตเสวยอารมณ์ เสวยสังขาร เสวยสมมุติ สื่อความหมาย สื่อออกมาเพื่อเป็นภาษา แต่ใจจริงๆ คือความรู้สึก เรามีความประทับใจในหัวใจของเรา เราพยายามอธิบายความรู้สึกอันนั้น อธิบายได้ง่ายไหม แต่ความจริงในหัวใจของเราล่ะ แต่ถ้าจิตตัวนั้นพูดไม่ได้ แต่ขณะที่พูดออกมาพูดถึงขันธ์ ๕ จิตเสวยอารมณ์ เสวยความคิดแล้วสื่อออกมาเห็นไหม

มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม สิ่งนี้ออกมาเป็นประโยชน์กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเป็นเจ้าของศาสนา เวลาฟังธรรม ก็ฟังเพื่อเป็นวิหารธรรม วิหารธรรมนะ ธรรมะเห็นไหมผู้ที่เรารู้อยู่แล้ว ฟังอยู่แล้ว แต่วิหารธรรมมันเรียงลำดับให้เรา ให้จิตนี้มันมีที่พัก เหมือนเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์รักษามัน อุ่นเครื่องบ่อยๆ เครื่องยนต์จะทนทานมาก ถ้าเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้ แล้วรักษามันเก็บไว้มันจะเสียหาย นั่นคือวิหารธรรม

แต่ของเรา ถ้าเราฟังธรรมฟังธรรมโดยไม่ใช้วิหารธรรม ฟังธรรมโดยการใช้กิเลสต้องเอาสิ่งนี้มาเตือนใจเรา ธรรมะสิ่งที่เป็นข้อมูล แล้วเตือนใจเรา ใจเราทำอย่างนี้ได้ไหม แล้วทำอย่างนี้สมตามความเป็นจริงอย่างนี้ไหม แล้วทำตามจริงผลเกิดมาเป็นตามอย่างนั้นไหม ถ้าไม่จริงอันใดถูก อันใดผิด ใคร่ครวญ พิจารณา เพื่อประโยชน์กับเรานี่ฟังธรรมเพื่อแก้กิเลส เวลาฟังธรรมเพื่อแก้กิเลสอย่างหนึ่งนะ แต่ผู้ที่ไม่มีกิเลสนะฟังธรรมเพื่อเป็นวิหารธรรม เรามีกิเลสมันจะทิ่มเข้ามา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม กิเลสมันอยู่ที่ใจ เวลาพูดธรรมะขึ้นมาพูดแทงใจดำ คือแทงเข้าไปที่กิเลสไง แทงเข้าไปที่เราถนอมไว้ อันนี้ถูก อันนี้ดี แล้วพอธรรมะทิ่มเข้ามา ทิ่มเข้ามาในความถูกของเรา มันสะเทือนนะ ถ้ามันสะเทือนใจขนลุกเลย ขนลุกเลย ตัวนี้ไหวเลยนะ ถ้าธรรมะมันทิ่มเข้าสู่กลางหัวใจ นั่นล่ะธรรมแท้ๆ ฟังเทศน์ๆ อย่างนั้น

เทศน์แก้กิเลสต้องเทศน์ทิ่มเข้าไปที่หัวใจ ที่มันถนอมไว้ หัวใจนี้เป็นของสะอาดบริสุทธิ์ หัวใจนี้ใครแตะต้องไม่ได้ ถ้าธรรมะมันเข้ามาแตะต้องไม่ได้ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์มันต้องไม่มีภพสิ มันต้องผ่านหมด คำพูดนั้นมันทะลุแทงหัวใจ มันผ่านหัวใจไปเลย มันไม่ติดข้องในตัวเราไง แต่ถ้ามันติดข้องในตัวเรามันมีภพเห็นไหม มันมีเป้าเห็นไหม พอทิ่มเข้ามามันทิ่มเข้าไปกลางเป้าเห็นไหม พอกลางเป้าขนก็ลุกไง

อันนี้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมเป็นความจริงนะ นี่พูดเวลาเทศน์ เวลาเทศน์เวลาฟังธรรมเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง