ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ไก่ตัวแรก

๒ ม.ค. ๒๕๕๓

 

ไก่ตัวแรก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราถึงบอกในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ในการประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นหลวงปู่มั่นมาแล้วต้องมีครูอาจารย์ ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยประคอง เพราะเวลาเราปฏิบัติไปเนี่ยนะ มันจะรู้เห็นอะไรที่แปลกๆ แต่ความที่รู้เห็นแปลกๆ นี่ เราจะพูดอย่างงี้ ในการปฏิบัติกับเราเนี่ยคือการเข้าเผชิญไปสู่ความจริง

แล้วถ้าเราเข้าเผชิญกับตัวเราเนี่ย อย่างเช่นเราเนี่ย ตัวเราเองเนี่ย เราถามตัวเราเองว่า เราทำผิดทำถูกอะไรบ้างเนี่ย ตัวเราเองเนี่ยตรวจสอบตัวเราเอง ใช่ไหมสังเกตได้ไหมเวลาคนทำผิดกฎหมายเนี่ย ไปเจอเจ้าหน้าที่เนี่ย มันแสดงอาการเลยเพราะมันรู้ เรารู้นะว่าเราทำผิด ดูคนเล่นการพนันดิ ตำรวจเข้ามานี่โอ๋ยแตกกระจายเลย

ทีนี้จิตเราเนี่ยมันมีอวิชชา มันมีความเห็นผิดของมัน แล้วเราจะไปเผชิญหน้าต่อมันเนี่ย เราไปเผชิญหน้ากับจิตเราเองเนี่ย นี้การจะเผชิญหน้ากับจิต เราพุทโธๆ เนี่ย พอจิตเข้าไปเผชิญ ทีนี้ความจริงเนี่ยมันไม่ได้เผชิญ ไอ้ที่เราพุทโธๆ กันอยู่เนี่ย มันดูสิเนี่ยเราทำอะไรก็แล้วแต่นะ ถ้าพูดถึงกฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ยังไม่มาถึงเราเนี่ย เราสบายใจทั้งนั้นน่ะ เราสบายใจ เรานอนใจได้

แต่ถ้าวันไหนนะ เนี่ยดูสิอย่างเช่นเราเนี่ยเช่นเรา เขาบอกว่าเราพรุ่งนี้ต้องตายเนี่ย โอ้โหเป็นทุกข์เป็นยากเลยนะ แต่ถ้าเราบอกว่าคนเราเกิดมาต้องตายนะแต่เมื่อไรไม่รู้ แหมยังนอนใจสบายมาก แต่ถ้าพรุ่งนี้ต้องตายนะเอาแล้ว โอ้โห มันตื่นเต้นไปหมดเลย เราจะบอกว่าการเผชิญหน้ากับจิต พอจิตเข้าไปน่ะอย่างที่ว่าเนี่ย เนี่ยสิ่งที่เป็นไปเนี่ยนะ สิ่งที่ว่าหลุด

ในการปฏิบัติน่ะหลุดน่ะมีไหม มีแต่ส่วนน้อยมาก ส่วนน้อยมากๆ ส่วนที่ว่าปฏิบัติแล้วหลุดนะ เพราะพระเราน่ะปฏิบัติแล้วหลุดเนี่ยเห็นไหม เราไปหาหลวงปู่ขาล หลวงปู่ขาลเมื่อขึ้นไปเชียงรายเนี่ย ๓-๔ องค์ ตั้งแต่สมัยนั้น แล้วมันมีพระหลุดอยู่สององค์ พอพระหลุดสององค์พยายามจะช่วยกัน พยายามจะช่วยกันแล้วแบบว่าให้สึกก่อน เพื่อไปหาหมอด้วยแล้วก็ช่วยกันไง

พอบอกว่าสิกขังปัจจักขามิ เขาก็บอกว่า เอ็งก็บอกว่าสิกขังปัจจักขามิ สิ มันก็ไม่ยอม มันก็พูดแถกันไป หลวงปู่ขาลเล่าให้ฟังขำมากเลยนะ เห็นไหมเนี่ยที่ว่าพอสุดท้ายแล้วรักษาก็หายเพราะพาพระไปหาหมอเนี่ย หมอเนี่ยนะ พวกยามันกดประสาท มันกดประสาทเฉยๆ เนี่ย ความรับรู้ของเรามันกลับเป็นปกติ หมอเนี่ยรักษาได้ด้วยสามัญสำนึกพวกเราเนี่ยจากจิตผิดปกติมาให้เป็นปกติ

แต่ถ้าเราจะทำสมาธิเนี่ย มันเข้าไปสู่ลึกกว่าจิตที่เป็นปกติ ความเป็นสมาธิเนี่ยจิตที่ลึกเป็นปกติ ทางการแพทย์เนี่ย จิตพวกเราเป็นปกติเนี่ยหายแล้ว เนี่ยเป็นปกติว่าหายแล้ว หายแล้วถ้าพูดภาษาในประพฤติปฏิบัตินะคือนิพพาน นิพพานคือหายจากกิเลสใช่ไหม ต้องฆ่ากิเลสหมดถึงจะหายใช่ไหม แต่นี้ยังไม่ได้ฆ่าอะไรเลยก็ยังไม่หายไง ถ้าเป็นธรรมะยังไม่ได้ทำอะไรเลย

แต่ในทางการแพทย์เนี่ย ในทางจิตเวชเนี่ย ถ้าเราใช้ยากระตุ้นหรือเราใช้ขุดขึ้นมาแล้วเนี่ย จนจิตนี้กลับมาเป็นปกติคือกลับมาปกติ แต่ในการทำสมาธิเนี่ย มันจากปกติเนี่ยแล้วเข้าไปสู่สมาธิ จากปกตินะ พุทโธๆ เนี่ย จากจิตสามัญสำนึกเนี่ย นี้พอจะเข้าไปเห็นไหม อย่างที่ว่ามันจะเริ่มมีอาการ ถ้าจิตมันเป็นอาการนะ จิตน่ะ อันนี้มันเป็นวาสนา

หลวงตาจะบอกว่าจิตที่คึกคะนองนี่มีอยู่ ๕% จิตที่คึกคะนองนะคำว่าจิตที่คึกคะนอง เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันจะเห็นตัวมันเองเนี่ย ขึ้นไปอยู่บนอากาศเลย เนี่ยเวลาจิตจะลงสมาธินะ หลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านบอกเลยนะ เวลาเข้าเวลาจิตจะเป็นสมาธิเนี่ย ในทางปฏิบัติเนี่ยบอกว่าให้ขึ้นมาบ้านสิ เข้ามาบ้านคือเข้ามาสู่สมาธินะ มันก็ขึ้นไปบนหลังคา บอกให้ลงมา ลงมาก็ลงใต้ถุนไปเลย

บอกว่าให้เข้าบ้าน เข้าบ้าน เข้าบ้านเหรอเข้าบ้านก็พรวดขึ้นไปบนหลังคาเลย พอขึ้นไปบนหลังคาก็บอกให้ลงมาๆ ลงมาที่บ้านมันก็พรวดลงใต้ถุนไปเลย เนี่ยจิตคนมันเป็นอย่างเนี้ย มันไม่เป็นปกติ มันไม่เป็นตามความเป็นจริงหรอก นี้พอเรามีสติไป สติปัญญาของเราเนี่ย พยายามรักษาตรงนี้ไง พยายามรักษาตรงนี้ให้มันเข้าไปเป็นปกติ เข้าไปโดยข้อเท็จจริงของจิต

คำว่าข้อเท็จจริงของจิต จิตที่คึกคะนองเนี่ยมีอยู่ ๕ % เนี่ยหลวงตาเล่าให้ฟังเหมือนกัน มีพระสมัยหลวงปู่มั่นเวลาจิตสงบลงไปเนี่ย จิตสงบลงไปแล้วน่ะ เห็นเป็นดวงเหมือนดวงจันทร์นี่อยู่ข้างหน้าเนี่ย แล้วมันลอยไป อันนี้มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าถ้าจิตเราสงบแล้ว เราจะเห็นนิมิตเห็นภาพอย่างนั้นได้ แล้วจิตมันดีเพราะภาพนั้นจะชัดเจนใช่ไหม

พอภาพชัดเจนเนี่ย จิตไอ้นี่สิ่งที่เห็นเป็นดวงแก้วเนี่ยมันลอยไป เป็นเหมือนดวงจันทร์เนี่ยลอยไป พอลอยไปเนี่ย เขาก็ลุกขึ้นเพราะอยากได้เดินตามไป มันมหัศจรรย์ตรงนี้ไง คำว่าเดินตามไปนี่มันขยับแล้ว มันออกมาจากสามัญสำนึกแล้ว จิตมันต้องเสื่อม มันต้องหายทันที พอเราขยับสังเกตไหม พอเราเห็นนิมิต หรือพอจิตเราอยากรู้เนี่ย แว้บหายเลย

แต่นี้ลุกขึ้นเดินตามเลยนะ อูย แสดงว่าจิตนี้มั่นคงมาก จิตนี้มั่นคงมากพอมันลุกขึ้นเดินตามเนี่ย ดวงจันทร์เนี่ยมันก็จะลอยไป ลอยไป ลอยไปเมื่อลอยขึ้นที่สูง พอขึ้นที่สูงปีนต้นไม้ ปีนต้นไม้ขึ้นไปเลย ออกแรงปีนต้นไม้ ดวงจันทร์นั้นก็ยังลอยขึ้นไปเรื่อยๆ จะจับให้ได้ไง พอไปถึงยอดไม้ปั๊บ มันคงออกแรงมากขึ้นแล้ว ดวงจันทร์นั้นหายแว้บไปเลย พอแว้บไปเลยลงไม่ได้ พอลงไม่ได้เนี่ยก็รีบบอกให้หมู่คณะมาลง

นี่สมัยหลวงปู่มั่นเนี่ย จิตที่มันมีเนี่ยเป็นอย่างนี้มันมี เราถึงบอกว่า จิตที่คึกคะนองมีอยู่ ๕ % พอจิตมันคึกคะนองเนี่ย มันจะรู้เห็นสิ่งที่โลกคาดหมายไม่ได้ ถ้าโลกคาดหมายไม่ได้เนี่ย ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านชำนาญของท่านนะ ท่านจะบอกให้ตั้งสติ ตั้งสติแล้วให้พุทโธชัดๆ หรือดึงกลับมาให้ได้ ดึงกลับมาให้ได้ ถ้าดึงกลับมาได้เห็นไหม อย่างเช่นอย่างเรื่องอภิญญาเนี่ย เวลาจิตเราเนี่ยเห็นไหม เนี่ยพอจิตเราลงสมาธิเนี่ยจะใสจะสว่าง เป็นความสว่างอยู่ข้างนอก

แล้วเรากำหนดพุทโธๆ เนี่ย จิตนี้รำพึง ตั้งสติแล้วดึงสิ่งนั้นเข้ามา ดึงสิ่งที่เห็นนั้นเข้ามา ดึงสิ่งที่เห็นนั้นเข้ามา ดึงสิ่งที่เห็นนั้นเข้ามา จนสิ่งที่เราเห็นกับใจนี้เป็นอันเดียวกัน พอสิ่งที่เรารู้นั้นเพราะจิตมันออกรู้ข้างนอก ถ้าเราพุทโธๆ เนี่ยน้อมมันเข้ามา น้อมมันเข้ามา พอน้อมมันเข้ามาสู่จิตใช่ไหม เพราะความสว่างนั้นจิตเป็นผู้เห็นแสงสว่าง พลังงานมันออกไปอยู่ข้างนอก

พอเราพุทโธๆ เนี่ยพยายามดึงพลังงาน พลังสิ่งที่เห็นเนี่ยเข้ามากับจิตเราเนี่ยเป็นอันเดียวกัน พออันเดียวกันเนี่ยมันสว่างเห็นไหม สว่างจากภพ สว่างจากจิตเลย พอสว่างจากจิตเพราะจิต.. สิ่งที่เห็นใช่ไหมโลกนี้เป็นของคู่ใช่ไหม หลวงตาบอกพุทโธกับเราเนี่ย เนี่ยเราพุทโธสัญญาอารมณ์กับเรา แต่เป็นของคู่หมด จิตนี้เห็นๆ ความสว่าง พอแสงสว่างเนี่ยมันกลับมาเป็นหนึ่ง พอกลับมาเป็นหนึ่งเป็นอันเดียวกับจิตปั๊บ พอจิตสว่างพั้บ เหมือนพระอาทิตย์เลย

เหมือนดวงอาทิตย์ พอแสงสว่างดวงอาทิตย์มันครอบไปจักรวาลนี้เลย มันส่งไปทุกบ้านทุกเรือนเลย นี้พอจิตมันเข้ามาถึง ความสว่างเข้ากับจิตเป็นอันเดียวกัน พั้บ แสงสว่างตกที่ไหนนะ เราตานี่ตาทิพย์ตานี่เห็นเลย หูได้ยินเท่าที่แสงนั้นตก เห็นหมดเพราะมันเห็นเอง จิตมันเห็นแล้ว ทีแรกจิตเห็นแสงสว่างใช่ไหม จิตเห็นแสงสว่างใช่ไหม พอแสงสว่างนั้นกับจิตมันเป็นอันเดียวกันใช่ไหม พอเป็นอันเดียวกันเนี่ย สิ่งที่เป็นแสงสว่างนั้น จิตนั้นเห็นหมดเลย เนี่ยจิตที่คึกคะนองอย่างเนี้ยมันมีของมัน ทีนี้พอมีของมันเนี่ย พอจะเข้าไปเนี่ย พอสิ่งที่เข้าไปนี้ จิตที่มีสามัญสำนึกที่เป็นหลักนะ

จิตที่ไม่มีสามัญสำนึกที่เป็นหลักเนี่ย พอเห็นสิ่งใดแล้ว มันจะมีแรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงนะ โลกนี่มันมีแรงโน้มถ่วง มันดึง ดึงต่างๆ ดึงไว้อยู่กับโลกนี่หมดเลย แรงโน้มถ่วงมันดึงไว้เห็นไหม สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจากแรงโน้มถ่วง จิตก็เหมือนกัน จิตมีแรงโน้มถ่วงความโน้มถ่วงแรงน้อมถ่วงของมัน เพราะมันเนี่ยสัตตะโลกนี้เป็นผู้ข้อง นี้พอเราจะเข้าสู่แรงโน้มถ่วงนั้นเห็นไหม มันจะมีแรงต้านไง มันจะมีแรงต้าน มันจะมีแรงผลัก มันจะมีแรงต่างๆ นี้แรงต่างๆ เนี่ยพอเราพุทโธๆๆ เข้าไปเนี่ย มันจะมีสิ่งใดเราต้องพุทโธไว้ชัดๆ อันนี้พูดถึงนี่ตามข้อเท็จจริงนะ

แล้วถ้ามันเป็นกรรมล่ะ มันเป็นกรรมล่ะ จิตของคนมันสร้างเวรสร้างกรรมมา มีมากนะพอภาวนาไปจะมีเสียงเข้า จะมีเสียงต่างๆ เข้าเนี่ย เสียงเข้าเนี่ยนะมันเป็นปกติอยู่แล้ว เนี่ยเสียงต่างๆ มันมีอยู่ธรรมชาติของมัน พอเราไปข้องกับเสียงนั้นเห็นไหม เราไปข้องกับเสียงนั้น เราไปโน้มน้าวเสียงนั้นมาเป็นเรา พอไปโน้มน้าวเสียงนั้นมาเป็นเรามันก็จะมากวนเรา ถ้ากวนเราเห็นไหมถ้าเราฉลาดเห็นไหม เราตั้งสติไว้ชัดๆ พุทโธๆ ไว้ชัดๆ เสียงก็คือเสียง สรรพสิ่งก็คือสรรพสิ่ง

เนี่ยคำนี้กรรมฐานชอบพูดมาก ผู้รู้ สิ่งให้ถูกรู้ พูดกันบ่อยมากเลย ผู้รู้ สิ่งให้ถูกรู้ เสียงคือสิ่งให้ถูกรู้ ผู้รู้คือจิตเรา ถ้าเราพุทโธๆๆๆ ไปเนี่ย เราอยู่กับผู้รู้ สิ่งที่ให้กระทบไง สิ่งที่ให้ถูกรู้เห็นไหม เราใช้คำว่า รูป รส กลิ่น เสียง เป็นอายตนะ เป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เนี่ยมันจะเข้ามาตรงเนี้ย เราอยู่กับพุทโธๆๆ ไปเนี่ย เนี่ยมันเขาเรียกจริตนิสัย มันเป็นกรรม สิ่งที่ย้ำคิดย้ำทำ มันจะเป็นจริต มันจะเป็นนิสัย พอเป็นนิสัยเนี่ย สิ่งนี้มันซับมา พอซับมาเนี่ยมันถึงเป็นอินทรีย์ เป็นพละของจิตแต่ละดวง ความเข้มแข็งความอ่อนแอของจิตนั้นต่างๆ กันไป

เนี่ยแล้วจิตที่เข้มแข็งน่ะ พอเสียงมาเนี่ย พอเสียงสิ่งใดมา มันรู้แล้ว โอ้ภาษาเรานะมันต้องพูดแบบกิเลส ให้กิเลสมันสะเทือนนะ หมาเห่าใบตองแห้ง เวลาใบตองเสียงใบตองไหวหมามันก็เห่าแล้ว อันนี้พอได้ยินเสียงหน่อยจิตมันเสือกเห่าทำไม เราออกไปรับรู้ทำไม ด่ามันไง ด่าไอ้จิตโง่ๆ เนี่ย ไอ้หมาเห่าใบตองแห้ง พอใบตองขยับหน่อยมันก็เห่าแล้ว คือรับรู้เขาแล้วไง ออกไปรับรู้เขาไง ถ้าเงี้ยมันพุทโธมันชัดขึ้น ชัดขึ้นเนี่ย มันจะปล่อยสิ่งนั้นเข้ามา

นี่ไหมจิตเนี่ยมันจะเข้าสู่ฐานของมันไง จิตจะเข้าสู่ฐาน จิตจะเข้าสู่สมาธินะ พอจิตเข้าสู่สมาธิ มันจะมีสิ่งที่ว่ากระทบเนี่ย สิ่งที่กระทบแล้วแต่จริตนิสัยของคน มันมีอาการไปหมด แล้วถ้าพูดถึงจิตที่เราสร้างบุญมา สร้างที่ว่าเรามีอำนาจวาสนามีจิตมา มันสงบไปเฉยๆ ก็มี พุทโธๆๆๆ เราสงบเข้าไปเรื่อยๆ ก็มี พออาการของจิตต่างๆ เนี่ย มันหลากหลายเนี่ย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเนี่ยก็จะเอาอย่างนี้เป็นตัวตั้ง แล้วจะเอาความรู้ความเห็นของตัวเป็นความจริง

แล้วถ้าคนที่มีความรู้ความเห็นแตกต่างกับเราไปว่าเขาผิดไง ไอ้คนนั้นผิดกับเรา เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเราเนี่ย บ้า๕๐๐จำพวก บ้าทุกคนเลย ไม่มีใครถูกสักคน มันเป็นของใครของมัน ของใครของมันสู่ที่เข้าจะเข้าสู่จิตเนี่ย มันเข้าสู่จิต มันกรรมของแต่ละบุคคล มันจริตนิสัย มันกรรมของแต่ละบุคคล แต่โดยพุทธานุสสติเนี่ยเราพุทโธไว้ชัดๆ พุทโธไว้ชัดๆ เราซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า เราซื่อตรงต่อธรรมะ พุทโธไว้ชัดๆ อะไรจะเกิดขึ้นมันก็เรื่องของเวรของกรรมที่มันจะเกิดขึ้น แล้วเรื่องของเวรของกรรมเนี่ยมันแก้ไขได้ ถ้าเวรกรรมมันแก้ไขไม่ได้ ไม่มีพระโสดาบัน ไม่มีพระสกิทาคา ไม่มีพระอนาคา ไม่มีพระอรหันต์

ถ้าเวรกรรมตายตัวนะ พระอรหันต์เกิดไม่ได้หรอก พระอรหันต์เกิดไม่ได้ พระอรหันต์คือการแก้กรรมไง กรรมปัจจุบันเนี่ยแก้ได้นะ เนี่ยพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเห็นไหม เหาะเหินเดินฟ้าได้เห็นไหม เนี่ยแก้กรรมได้แล้วทำไมเขาทุบตาย ทำไมเขามาทุบพระโมคคัลลานะตาย ก็ไหนว่ากรรมแก้ได้ แล้วทำไมแก้กรรมเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์แก้กรรมหมดแล้ว แล้วมันมีกรรมอะไรเหลืออีกล่ะ กรรมนะเรื่องของพระอรหันต์มันเป็นอยู่ที่ใจ ใจของพระอรหันต์นะ พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์แล้วพระอรหันต์ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ เลย ดูพระโมคคัลลานะนะ

ดูพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าจะไปนิพพาน พอจะไปนิพพานสอนเขาไปตลอดทางเลย อานนท์!เธอจงบอกเขาไว้นะ ถ้าเราฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้าย ถ้าคืนนี้เราจะไปตายเนี่ย เขาจะโจมตี คนที่รักพระพุทธเจ้ามากจะหาว่าเพราะฉันอาหารของนายจุนทะ แล้วพอพระพุทธเจ้าถึงนิพพานเนี่ย เพราะนายจุนทะอาหารเป็นพิษเนี่ย นายจุนทะเนี่ยจะแบนเลย โดนกระทืบลงดินไปเลย พระพุทธเจ้าบอกว่า อานนท์! เธอจงบอกเขาไว้นะ ว่าอาหาร ๒ มื้อที่เราฉันแล้วได้ประโยชน์มากได้บุญใหญ่มาก คราวหนึ่งของนางสุชาดา เราฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน เราฉันอาหารของนายจุนทะแล้ว เราถึงซึ่งขันธนิพพาน

ตรงนี้เป็นประเด็นขึ้นมาทันทีเลย ขันธ์นิพพานได้เหรอ เราถึงซึ่งขันธนิพพานเห็นไหมอาหาร ๒ คราวนี้เป็นประโยชน์มาก นายจุนทะทำบุญคราวนี้ได้บุญมาก ใครอย่าไปคิดผิดนะว่านายจุณทะถวายอาหารพระพุทธเจ้าแล้วอาหารเป็นพิษ แล้วนายจุนทะจะเป็นกรรม ไม่ใช่ เป็นบุญมากๆ เนี่ยจะไปนิพพานจะไปตายนะ ยังสอนไปตลอดทางเลย เราจะบอกว่าจิตนี้ไม่ไหวเลย พระอรหันต์จิตนี่คงที่ตลอดเลย เราพูดประจำว่าจิตพระอรหันต์ไม่มี จิตพระอรหันต์ไม่มี

วันนี้พูดเรื่องจิตแล้วนะ เพราะจะสมมุติคุยกับโยมให้เข้าใจไง ไม่งั้นเดี๋ยวคุยกันไปแล้วไม่รู้เรื่อง เนี่ยจิตพระอรหันต์ไม่มีเป็นธรรมธาตุล้วนๆ อันนี้มันไม่ไหวพระโมคคัลลานะเนี่ย คิดดูดิเขาทุบจนตายเลย แล้วทำไมจิตของเราเนี่ยแม้แต่นั่งสมาธิเนี่ย แค่แว้บเดียวเสียงมารบกวนยังโมโหโกรธาขึ้นมาเลย อันนี้เขาทุบมันเจ็บขนาดไหน แหลกไปเลย แล้วตายไปแล้วเนี่ย ทำไมจิตไม่หวั่นไหว

ถ้าจิตหวั่นไหว ฤทธิ์ที่เกิดจากจิตนี้ทำไมมารวมร่างกายนี้กลับมาเป็นปกติ แล้วเหาะ เหาะไปลาพระพุทธเจ้า ไปกราบลาพระพุทธเจ้าเสร็จ พระพุทธเจ้าบอก แล้วแต่เห็นตามเวลาสมควรแล้ว พระพุทธเจ้าพูดเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก่อน หรืออย่าเพิ่งไป ถ้าเดี๋ยวก่อนก็อยากได้มา ไปเลยก็ผลักอีก นี่พระอรหันต์พูดเห็นไหม

พระอรหันต์กับพระอรหันต์พูดกันจะรู้ทันกัน แล้วแต่สมควรกับกาลเวลา อะไรก็ได้ พระอรหันต์ทำอะไรก็ได้ไม่เป็นไร ทำเลย แต่เธอก่อนจะไปแสดงธรรมก่อน เหาะขึ้นไปลงมา แสดงธรรม เนี่ยสิ่งที่ได้สะสมมาทั้งชีวิตเห็นไหม สุดยอดเนี่ย เหาะขึ้นไปลงมา เหาะขึ้นไปลงมา เทศน์ เทศน์เสร็จแล้วกลับไปคายฤทธิ์ออกเหมือนเดิม

นี่ไงที่ว่าไม่มีกรรมไม่มีกรรม มันไม่มีกรรมที่นี่ ใจพระอรหันต์อยู่ที่นี่ ความเป็นพระอรหันต์อยู่ที่นี่ แต่ร่างกายสอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนเศษเหลือทิ้งเนี่ย ความคิดเนี่ยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เนี่ยเป็นเศษที่ทิ้งแล้ว แต่พวกเราไม่ใช่เศษ พวกเราเป็นของเรานะ เอากูเก่งกูรู้กูคิดนะ อ้าวกูคิดของกู แล้วเนี่ยพอมันขาดหมดแล้วเนี่ย เพราะนิพพานแล้วจิตนี่มันหมดแล้ว พอจิตนี่หมดแล้วความคิดนี้ไม่ใช่เรา ทุกสิ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา สอุปาทิเสสนิพพาน กับอนุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพานคือจิตที่เป็นน่ะ

ฉะนั้นเขาบอกว่าเขาว่าพระอรหันต์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ที่ตายไปแล้วอย่างหนึ่ง โห กูปวดหัว พระอรหัตน์ก็คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ตั้งแต่สำเร็จพระอรหันต์คือพระอรหันต์เลย ไม่มีเป็นอื่นอีกแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เพียงแต่ยังมีชีวิตหรือตายเท่านั้นเอง เพราะยังมีชีวิตอยู่ถึงเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๔ คือชีวิตเนี่ย ชีวิตที่เหลือเนี่ย เศษเหลือทิ้งของพระอรหันต์ แต่ก็ยังมีประโยชน์กับสิ่งที่สื่อสารกับเรา สื่อสารกับเราเห็นไหม

นี่จะบอกว่ากรรมแก้ไขได้ กรรมแก้ไขได้ ถ้ากรรมแก้ไขไม่ได้ พระอรหันต์เกิดไม่ได้ เนี่ยเพราะกรรมแก้ไขได้ แล้วพอจิตมันจะสงบเข้าไปเนี่ย แล้วเวลามันเข้าไป ทำไมบอกเรื่องของกรรมล่ะ เพราะกรรมเนี่ยนะ เราจะเข้าไปเผชิญกับความจริงนะ พอเข้าไปเผชิญกับความจริงนะ เข้าไปเผชิญกับจิตตัวเองน่ะ เราจะเข้าไปเผชิญกับจิตของตัวเอง ถ้าจิตมันสงบ จิตของเราเอง...เราจะเข้าไปเผชิญกับมันเอง พอเข้าไปเผชิญกับมันเองเห็นไหม มันก็ต้องเสมอกัน

เสมอกันคือพุทโธๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ยมันใสสะอาด แต่จิตของเราเนี่ยมันมีเวรมีกรรมอยู่แล้ว พอเวรกรรมของเราเนี่ย มันถึงล่อกแล่ก มันล่อกแล่กเห็นไหม ใครล่อกแล่กมากใครล่อกแล่กน้อย มันก็มีอาการมากอาการน้อยที่เป็นนั่นไง อาการที่เป็นนะเพราะตัวจิตของเราน่ะมันไม่มั่นคง แต่พระพุทธเจ้าเนี่ย พุทโธๆ เนี่ยมั่นคงอยู่แล้ว แต่พุทโธมั่นคง พุทโธเนี่ยมันสร้างขึ้นมา เพราะธรรมที่เรานึกขึ้นมา มันยังไม่เป็นความจริง

แต่พอธรรมพระพุทธเจ้าเนี่ยพุทโธๆๆ มันพุทธานุสสติ พุทโธๆๆๆ ไอ้ล่อกแล่ก ล่อกแล่ก ล่อกแล่กเนี่ย พอมันเข้าไปถึงความล่อกแล่ก ไม่ล่อกแล่กแล้ว มันจะเป็นความจริงต่อกัน พอเป็นความจริงต่อกันเห็นไหม มันมั่นคง ถ้าพุทโธกับจิตมันเป็นอันเดียวกัน เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ มันไม่ล่อกแล่กแล้ว มันไม่ไป..ไม่ไปตามกรรมแล้ว กรรมคนมีมากก็ล่อกแล่กมาก กรรมคนมีน้อยมันก็ไม่เท่าไร

คนมีกรรมเป็นปกติ มันนิ่งๆ เข้าผจญกันเลยเห็นไหม เนี่ยเขาบอกว่าเขาหลุด พุทโธเนี่ยหลุดมาแล้วนะ ถึงมาดูกายดูจิตอยู่เนี่ย เราบอกดูกายดูจิตเนี่ย มันไม่เข้าถึงตรงนี้ได้หรอก มันไม่เข้าถึงตรงนี้ได้ แต่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยเข้าได้ ปัญญาอบรมสมาธิเพราะปัญญา สติปัญญานี่เกิดจากจิต เกิดจากไอ้ตัวล่อกแล่กเนี่ย แล้วหาความล่อกแล่กของมัน จนความล่อกแล่กของมัน มันคงที่ได้ นี่คือสัมมาสมาธิ

ถ้านั้นสัมมาสมาธิตัวนี้ มันถึงจะเข้าสู่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากสมาธิ มันถึงจะเป็นโลกุตตรปัญญา ฉะนั้นถ้ามันยังเป็นสมาธิอย่างงี้ไม่ได้ เราใช้ปัญญาได้ เนี่ยเขาถึงบอกนะ ว่าจิตเราดูเข้าไปจนถึงอัปปนาสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย ปัญญามันจะเกิดที่อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ มันเกิดได้ที่อุปจาระ

แต่ที่คำว่าอุปจาระเนี่ยกำลังมันยังไม่เต็มที่ อย่างเช่นเติมน้ำมันเนี่ย น้ำมันครึ่งถัง เต็มถัง น้ำมันที่เติมแล้วเล็กน้อยเนี่ย ขณิกะเติมน้ำมันพอไปได้ แต่ถ้าครึ่งถังเนี่ยอุปจาระ มันไปได้ไกลหน่อย ถ้าเต็มถังเห็นไหม เนี่ยคำว่าเต็มถัง ครึ่งถังเนี่ย เต็มถังเนี่ยมันเต็มถัง มันเต็มจนทำไม่ได้ ถ้าเป็นอัปปนาเนี่ยมันเหมือนกับอาหารไง เราทำอาหารเนี่ยถ้าเราไม่ติดไฟเนี่ย น้ำใส่น้ำมันใส่น้ำเนี่ย มันไม่มีอุณหภูมิเลย มันก็เป็นปกติของมัน เอาทุกอย่างใส่เข้าไปมันก็กองอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้ามีความร้อนนะ มีความร้อนอัปปนามันไปหมดแล้ว แต่ว่ามันครึ่งหนึ่งนะมันจะมีความร้อนของมัน พอมีความร้อนของมันขึ้นมาเนี่ย พออาหารใส่ลงไป น้ำมันก็ต้องเดือด ทุกอย่างมันต้องเดือด อาหารจะสุกขึ้นมาได้ ถ้าเป็นอัปปนาเกิดไม่ได้หรอก นี่พูดถึงสมาธิถ้าคนสมาธิเป็น ทำนะตั้งแต่สมาธิเข้ายังไง ใหม่ๆ เนี่ยไม่ชำนาญหรอก ใหม่ๆ นี้ไม่เป็น แม้แต่นะโสดาบัน สกิทาคา ก็ยังไม่ชัดเจน

แต่เพราะเขาประกาศตัวตลอดว่า เขาสิ้นกิเลส พ้นจากทุกข์แล้ว ถ้าพ้นจากทุกข์แล้วเนี่ย ขบวนการอย่างเนี่ย มันจะเข้าใจหมดเลย ถ้าขบวนการนี่ไม่เข้าใจหมด อย่างพูดออกมาเนี่ยผิดหมด แล้วเนี่ยพอผิดหมดปั๊บเนี่ย พอกลับมาจะย้อนกลับมาตรงนี้นะ ย้อนกลับมาที่ว่าดูกายดูจิต แล้วอย่างพวกอภิธรรมเนี่ย เรื่องอภิธรรมเนี่ย เราบอกที่ตัดรากถอนโคนเนี่ย เพราะมันไม่เข้าถึงตรงนี้

เพราะคำว่าใช้ปัญญาไง พวกเราเนี่ยจะไปคิดกันมากว่า คนทำพุทโธ ทำสมถะเนี่ย มันจะเห็นนิมิตแล้วมันจะติด แล้วคนทำนิมิตทำพุทโธเนี่ย แล้วจะหลุด พอมันจะหลุดไง พอมันจะหลุดหรือไม่หลุดเนี่ยมันเป็นความเข้าเป็นความจริงว่า เราจะต้องเข้าไปสู่ฐาน เข้าไปสู่ที่ตั้ง แล้วไปเปลี่ยนแปลงกันตรงนั้น

แต่ถ้าเราไม่เข้าถึงจุดนั่นมันก็เป็นสอง เป็นสองคือสัญญาอารมณ์ ความคิด พอความคิดน่ะ มันเป็นปกติเห็นไหม มันเป็นปกติความคิดเป็นปกติ ความคิดเป็นปกติ ใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาที่ใช้อยู่เนี่ย มันจะไม่มีอาการ ไม่มีอาการหลุดไง ไม่มีอาการหลุดก็ไม่มีอาการเข้าสมาธิด้วย อาการจะหลุดก็คือหลุดไปเลย ถ้าไม่หลุดก็เข้าสมาธิ ถ้าบอกว่าเข้าสมาธิไม่ได้ เพราะมันลงสมถะ ถ้ามันลงสมถะนี่มันไม่ใช้ปัญญา พอใช้ปัญญาก็ปัญญาของเราที่เป็นสามัญสำนึกนี่ไง ปัญญาสามัญสำนึก ปัญญาของมนุษย์นี่ไง

เนี่ยปัญญาของมนุษย์นี่มันเป็นโลกียปัญญา โลกียะ เพราะโลกไง เกิดเป็นโลกเกิดเป็นเรา เกิดสิ่งต่างๆ ก็เกิดเป็นโลกเป็นปัญญาของโลก ปัญญาของโลกเนี่ยมันก็เป็นที่เราทำบุญกุศลกันอยู่เนี่ย ปัญญาอย่างเนี่ย ปัญญาของมนุษย์ ปัญญาของปุถุชน ถ้าทำความสงบเข้ามาก็เป็นกัลยาณปุถุชน นี่ไงมันถึงจะต้องลง ถ้าเป็นศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิต้องเข้า ต้องเข้าสมาธิ ต้องสู่สายสมาธิ เพียงแต่ว่าจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญาเท่านั้น ต้องเข้าตรงนั้น

ถ้าไม่เข้าตรงนั้นแก้ปัญหาไม่จบ แก้ปัญหาไม่ได้ สิ่งที่ใช้กันอยู่เนี่ย ใช้ปัญญาๆปัญญากันอยู่เนี่ย มันเข้าถึงตรงนั้นไม่ได้เห็นไหม อย่างที่ว่าน่ะตะครุบเงา ตะครุบเงา มันเป็นเงาเป็นอาการของจิต เป็นความคิดของจิตไม่ใช่ตัวจิตเลย แล้วเข้าจิตไม่เป็น ถ้าเข้าจิตเป็น อย่างที่พูดถึงสมาธิเนี่ยจะไม่พูดอย่างนั้น จะพูดอย่างนี้ไม่ได้เลย

อย่างเช่นเนี่ย เห็นไหมเนี่ยเขาพูดถึงนะ เขาพูดถึงอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ใช่ไหมพูดว่าเราบอกว่าทำไม ทำไมคำว่าจิตมีนิพพาน จิตมีนิพพานน่ะ คำว่าจิตมีนิพพานเนี่ยนะ มันเป็นเจตนา มันเป็นเป้าหมายที่ผิด คำว่าจิตที่มีนิพพานเนี่ย เพราะถ้าเราคนคิดว่ามีนิพพาน อย่างเช่นเราเนี่ย เราจะไปเยี่ยมญาติ เราว่าญาติเราเนี่ยรออยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เราจะไปเยี่ยมญาติ เราหาญาติเราเจอเราก็ปลอดภัย

แต่เราต้องไป ไปที่ไหนก็แล้วแต่ที่ไม่มีญาติ ที่เราจะต้องไปสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเอง ต่างกับเราไปเยี่ยมญาติไหม ถ้านิพพานมีอยู่แล้วก็เหมือนนิพพานมีอยู่แล้ว เราจะไปเยี่ยมนิพพาน เดี๋ยวกูจะไปเที่ยวนิพพาน นิพพานจะรอกูอยู่ที่นั้นเห็นไหม มันก็แตกต่างแล้ว แต่ถ้านิพพานไม่มี เราจะต้องหาขึ้นมาโดยความสามารถของเราเลย มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วเห็นไหม

แล้วบอกว่าจิตมีนิพพานอยู่แล้ว เราบอกเราพูดยืนยันเลยว่าไม่มี!! เพราะกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม ถ้ากายมีนิพพานอยู่แล้ว จิตก็ต้องมีเพราะมีสติปัฏฐาน ๔ แล้วพอถึงที่สุดแล้วเห็นไหม เนี่ย อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ, มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติเนี่ยฆ่าจิตหมด เจอพุทธะที่ไหนฆ่าพุทธะที่นั่น ถ้าพูดถึงจิตมีนิพพานอยู่แล้ว ถ้าฆ่าจิตก็ฆ่านิพพานไปด้วย เอ็งวิ่งหานิพพานหรือเอ็งจะทำลายนิพพาน เอ็งจะทำลายนิพพานทิ้งเหรอ

เราหานิพพานอยู่แล้ว แล้วจิตมีนิพพานอยู่แล้ว แล้วทุบนิพพานทิ้งเหรอ ทุบจิตทิ้งก็ทุบนิพพานทิ้ง เอ้า ก็กูเห็นวิ่งหานิพพานอยู่ แล้วทุบนิพพานทิ้ง เนี่ยมันขัดแย้งกันนะ มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งแล้ว แล้วทุกอย่างเนี่ยพอบอกว่าจิต จิตที่มีนิพพานอยู่แล้ว ใช่ไหม มันก็แค่เราติดใช่ไหม เราปล่อยวางสักแต่ว่า สักแต่ว่า ทุกอย่างสักแต่ว่า นี่ไงมันเป็นคำพูด มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงมันจะย้อนกลับมาที่นี่ เพราะอะไรรู้ไหม แม้แต่เป็นพระโสดาบันนะ คำว่าเป็นพระโสดาบัน มรรคสามัคคีเนี่ย มรรค ๘ มันรวมตัวเนี่ย คำว่ามรรคสามัคคีมรรค ๘ เนี่ย มารวมกันเป็นยังไง มันสภาวะเป็นยังไง แล้วในมรรค ๘ เนี่ยมันมีอะไรบ้าง มันมีมรรค ๘ มันมีสัมมาสมาธิ มีสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง งานชอบ เพียรชอบ ไอ้งานชอบเพียรชอบนี้ ไอ้งานชอบงานอะไร

ถ้างานชอบ ถ้าพิจารณากายตรงเข้าไปสู่กาย ถ้ากายมันปล่อยกายได้งานชอบ ตรงเข้าสู่เวทนา ตรงเข้าสู่จิต ตรงเข้าสู่ธรรม ถ้ามันตรงนะ ถ้ามันตรงมันเห็นของมัน งานชอบ ถ้างานไม่ชอบล่ะ งานไม่ชอบสร้างผลงานเอง สร้างผลงานเอง นึกถึงผลงานเอง มันไม่ชอบ งานชอบ ถ้างานไม่ชอบมรรคสามัคคีไม่ได้ แล้วมรรคสามัคคี คำว่ามรรคสามัคคี มรรคญาณเนี่ย มันฟ้องหลายชนิดเลย พอบอกว่ามรรคญาณใช่ไหม

มรรคญาณเขาเรียกญาณทัสสนะ เขาบอกญาณทัสสนะเป็นพระโสดาบันก็ทัศนคติ แค่คิดว่าไม่ใช่เราก็จบ โอ้โห โอ้ เอาอย่างนั้นเลยเหรอวะ เราก็ศึกษากันได้ทัศนคติไง ญาณทัสสนะเห็นไหม ทัศนคติก็คืออุดมการณ์ คือความคิดเราเนี่ย เนี่ยความคิดเรา แต่ญาณทัสสนะคำว่าญาณทัสสนะ ญาณคือตัวจิต ญาณ ญาณกำลังของใจเนี่ย เนี่ยสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีตัวใจรับอย่างนี้ ทัศนคติ ญาณทัสสนะเกิดขึ้นได้อย่างไรเนี่ยถึงบอกว่าสิ่งที่ว่าจิตเนี่ยเขาพูดด้วย

เนี่ยเมื่อวานเขาเอาหนังสือมาดูเขาถามไง เขาบอกว่า มันจะเกิดเองเนี่ยดูไปเรื่อยๆ เนี่ย ไก่ตัวนั้นน่ะมันจะแข็งแรงขึ้นมา แล้วมันจะเจาะฟองไข่ออกมาเอง โอ้โหเอาหนังสือมาให้เมื่อวานนี้ เศร้าเลยนะ อันนี้เป็นบุคคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าเวลาเปรียบกับโยมกับพราหมณ์นะ พราหมณ์เนี่ยเขาเป็นพราหมณ์ เขาเป็นบุคคลนอกศาสนา เขาบอกว่าเขาเป็นพราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็เป็นพราหมณ์ ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์เนี่ย พราหมณ์ต้องกราบคนที่มีอายุมากกว่า เพราะมันเป็นวัฒนธรรมของพราหมณ์

พระพุทธเจ้าบอกว่าเรากราบใครไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีใครเห็นว่า ใครจะแก่กว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังเด็ก ๆ อายุยังออก ๒๙ ๓๕ ๓๗ นั่นนะ ตอนสำเร็จใหม่ๆ อายุไม่เกิน ๔๐ แล้วพราหมณ์นั่น ๗๐-๘๐ ปียังเงี่ย ทำไมไม่กราบพราหมณ์ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรากราบใครไม่ได้เลย เพราะเราไม่เห็นใครมีแก่กว่าเรา เพราะเราเนี่ยเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะออกมาจากฟองไข่ เนี่ยพระพุทธเจ้าอ้างตรงนี้บ่อย อ้างตรงนี้เพราะอะไรรู้ไหม อ้างตรงนี้เป็นบุคคลาธิษฐานไง พูดกับบุคคลนอกศาสนา เขาไม่มีพื้นฐานทางศาสนาเลยนะ

แต่ถ้าพูดนะพูดถึงตรงนี้ เอาตรงนี้เป็นความจริงนะ เอาคำที่พระพุทธเจ้าไปพูดเป็นความจริงนะ ถ้าบอกว่าเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมา ไก่ตัวนั้นก็ต้องเกิด ต้องแก่ต้องเจ็บ ต้องตายนะมึง อ้าว ถ้าจะเอาคำพูดบุคคลาธิษฐานนี้เป็นความจริง นิพพานก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหรอ เอ้าเราเป็นไก่ตัวแรกเจาะฟองไข่ออกมา ไก่ต้องตายไหม แล้วไก่เป็นนิพพานไหม แต่เขาบอกนะ เนี่ยจิตมีนิพพานอยู่แล้ว ถ้าพิจารณาไปนะ ไอ้ไก่ตัวนั้นมันจะแข็งแรง มันจะเข้มแข็งขึ้นมา แล้วมันจะเจาะฟองไข่ออกมา มันจะเป็นอัตโนมัตินะ

นิพพานมันก็เกิด แก่ เจ็บตายล่ะ เพราะบุคคลาธิษฐานเป็นสมมุติบัญญัติ พูดเพื่อบุคคลาธิฐานเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ความจริง พระพุทธเจ้าพูดน่ะเห็นไหมบอกว่า เนี่ยอ่านพระไตรปิฏกเนี่ย คนที่รู้จริงนะกับคนที่รู้ไม่จริงตีความต่างกัน ตีความต่างกันมากเลย บอกกับพราหมณ์บอกว่าเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะจากฟองอวิชชาออกมา เราเป็นผู้อาวุโสสูงสุด เรากราบใครไม่ได้เลย เรากราบไหว้ใครคนนั้นศีรษะจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง เรากราบใครไม่ได้เลย อ้าว ถ้ากราบใครไม่ได้เลย เขาก็ส่ายหัวแล้วเขาก็ไป แต่เวลาอ้างเนี่ย อ้างเนี่ยเห็นไหม เนี่ยเวลาพระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นว่าเป็นไข่ฟองแรก ฉะนั้นจิตนี้มีนิพพานอยู่แล้ว แค่ดูไปเฉยๆ เดี๋ยวไก่ตัวนั้นมันจะแข็งแรงขึ้นมา ไก่ตัวนี้คืออวิชชานะ

ถ้าพูดถึงพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลาธิฐานที่ท่านสำเร็จแล้ว แต่เราเนี่ยเป็นปุถุชน เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีอวิชชาอยู่ไหม มี ถ้าเราดูเฉยๆ ดูไปเรื่อยๆ เห็นไหม ไอ้ไก่ตัวนั้นก็คืออวิชชา อวิชชาตัวก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อวิชชาก็เหยียบมึงตายอยู่นั่นน่ะ ไม่มีทางที่อวิชชาจะเจาะฟองไข่ออกมาได้หรอก มันต้องสู้เข้าไปจริงๆ เนี่ยเวลาเขาอธิบายนะ เขาอธิบายแล้วเราดูทีไรมันช็อคทุกทีเลยนะ ช็อค ช็อคความรู้สึกเราเลยล่ะ โอ้ย พูดได้ขนาดนี้เชียวหรือ ประสาเรานะ คำพูดน่ะมันมัดคอคนพูด คำพูดอย่างนี้น่ะมันมัดคอคนที่พูดออกมา ว่าคนที่พูดออกมาเนี่ยว่ารู้จริงหรือรู้ไม่จริง

เนี่ยดูจิตไปเรื่อย ๆ แล้วจิตมันจะเกิดอัตโนมัติ อย่างเช่นคำว่าอัปปนาสมาธิ ปัญญาจะไปเกิดที่นั่นน่ะ เราเข้าใจในความเข้าใจเรานะ เราเข้าใจว่าเขาไม่มีความเพียรชอบ คือไม่มีประสบการณ์ไง ไม่เคยเห็นจิตที่มันสมดุลแล้วมันขาด ไม่เห็นมรรคญาณ พอไม่เห็นมรรคญาณเนี่ยคนที่ไม่เคยเห็นไม่เคยทำเนี่ย มันอธิบายสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยทำได้ ในเมื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นไม่เคยทำ ก็สร้างคำว่าอัตโนมัติมันจบได้ไง คือว่าคำอัตโนมัติเนี่ย มันจะมาช่วยยกภาระที่ต้องอธิบาย เรื่องมรรคผลนิพพานจบไปได้เลย

มันเป็นอัตโนมัติแล้วไม่เข้าใจ เพราะพอคำว่ามันอัตโนมัติ เพราะอะไรเพราะว่าหลวงตาเป็นคนพูดว่า อัตโนมัติเหมือนกัน หลวงตาบอกว่าจิตนี่เป็นอัตโนมัติเลย แล้วเขาก็เอามาให้เราดูเห็นไหม หลวงตาว่าจิตจะเป็นอัตโนมัติ กว่าที่จะเป็นอัตโนมัติได้เหมือนกับกองขยะ ขยะเปียกเนี่ยเราจะจุดขยะเปียกไม่ค่อยได้เลย แต่ถ้าขยะเปียกถ้ามันติดไฟแล้วนะ ไฟมันจะเผากองขยะนั้นหมดทั้งกองเลย เราภาวนาไปเรื่อยๆ เนี่ย คำว่าอัตโนมัติ จิตจะหมุนติ้วๆ ติ้วๆ เนี่ย ตั้งแต่ขึ้นไป ตั้งแต่อนาคามรรค

พออนาคามรรคเนี่ยเห็นไหม หลวงตาบอกว่าจะอยู่กับใครไม่ได้เลย เราต้อง…จิตมันหมุนตลอดเวลา แม้แต่กินข้าวปัญญายังหมุนอยู่เลย เนี่ยอัตโนมัติ ที่ว่าคำอัตโนมัติเนี่ย อัตโนมัติ ความชำนาญ แต่อัตโนมัติไปแล้วนะ อัตโนมัตินะ พอไปๆ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นนะ เนี่ยบอกว่าติดสมาธิอยู่เนี่ย ตอนนี้ออกใช้ปัญญาแล้วนะ ปัญญาเนี่ยมันไม่ได้พักได้ผ่อนเลย ปัญญาเนี่ยมันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยนะ นั่นน่ะไอ้บ้าสังขาร

อัตโนมัติแล้วยังต้องกำหนดพุทโธเลย เพื่อจะให้มันพัก อัตโนมัติยังต้องพักนะมึง ถ้าไม่พักเครื่องมันพัง อัตโนมัตินะ ไปๆ อัตโนมัติพังเลยนะมึง อัตโนมัติมันร้อน มันอยู่ไม่ได้หรอกมันพัง มันต้องกลับมาพักบ้าง คำว่าอัตโนมัติคือความชำนาญ แต่มันมีผลนะ เพราะอัตโนมัติแล้วมันยังมีมรรคญาณไป แล้วพิจารณาไปแล้วมันจะละเอียดเข้าละเอียดเข้า จนถึงที่สุดน่ะมันละเอียดเป็นชิ้นเดียวเลย

เพราะมันปล่อยหมดเห็นไหม เวลากิเลสมันหลอกนะ พิจารณาอสุภะไปแล้วเนี่ย มันหายหมดเลย นี่หลวงตาท่านประสบการณ์ของท่าน เพราะหมดเกลี้ยงเลยนะ ว่างหมดเลย ก็เหมือนว่าหมดแล้ว แล้วพอท่านเรียนมาเห็นไหม ท่านบอกว่าอันนี้ประโยชน์มาก เรียนเป็นมหามาเนี่ย บอกว่าถ้ามันสงสัยนี้ไม่เอา มันหมดเลยแต่ไม่มีเหตุผลเห็นไหม อย่างนี้ไม่เอา ไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ ไม่เอา

ถ้าไม่เอาทำยังไงล่ะ ก็เลยเอาสุภะเอาสิ่งที่ชอบใจที่สุดมาแนบไว้ที่จิตน่ะ เอาสิ่งที่ชอบที่สุดรักที่สุด ในเมื่อหัวใจเห็นไหม เพศตรงข้าม ทุกคนรู้มันจะชอบสิ่งใด สิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดเอามาแนบไว้ที่จิต แนบไว้อย่างงั้นน่ะ จน ๓ วันนะ พอ ๓ วันนะ จิตมันรับรู้ คำว่าจิตรับรู้นะ มันแค่ไหวที่จิตนะ มันไม่ไหวที่ร่างกายเลย

ร่างกายนี้ยังไม่รับรู้อะไรนะ เหมือนเราเนี่ยเรารักใครชอบใครเนี่ย ไอ้ความรู้สึกที่มันติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ในใจน่ะ ไอ้เนี่ยพอมันแนบเข้าไป มันมีความรู้สึกรับรู้ ท่านบอกว่าจิตมันเริ่มไหว นี่ไงๆ ไหนบอกว่าไม่มีไม่มีเห็นไหม เนี่ยประสบการณ์ของผู้ประพฤติปฏิบัติเนี่ย นี่ขนาดอัตโนมัติแล้วนะ อัตโนมัตินะมันต้องไปอีกนะ

ไม่ใช่ว่าดูกายดูจิตเป็นสามัญลักษณะ พอจิตมันรู้เท่าสามัญลักษณะ มันจะเข้าอัปปนาสมาธิ มันจะเกิดปัญญาอัตโนมัติ มันจะแว้บ มันจะเป็นโสดาบัน มันจะเป็น..เราฟังแล้วกูปวดหัว ปวดหัวฉิบหาย อันนี้เพียงแต่มันพูดออกไปแล้วเนี่ย มันเป็นเรื่องประสบการณ์ของ.. เนี่ยหลวงตาพูดอยู่ คนรู้จริงรู้นะ แต่เนี่ยคนรู้จริงมันน้อย นี่พูดออกไปเนี่ยอย่างว่า เนี่ยถ้าเอาเสียงยกมือกันน่ะแพ้ทุกที เพราะคนที่เห็นด้วยอย่างนั้นมันเยอะ แต่ข้อเท็จจริงมันน้อยมากๆ

คนรู้จริงในโลกนี้มีน้อย ขนโคกับเขาโค แต่เราเห็นที่คำพูดเขาแต่ละคำ บอกตรงๆ ว่าช็อคทุกคำพูดเลย คำพูดที่เขาพูดทุกคำ มันช็อคหมด เพราะมันตีความเป็นปรัชญาไปหมดเลย ไม่เข้าสู่มรรคผลนิพพานเลย ถ้ามันเข้าสู่มรรคผลนิพพานเนี่ย มันจะเข้าสู่ฐานของจิต อย่างเช่นสมาธิเนี่ย อย่างเช่นเมื่อมาวานมาพูดไอ้ที่ว่าหลุดๆ เนี่ยสงสารมากนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราจะเข้าสู่พื้นฐานของเราเอง เข้าสู่ฐีติจิต เข้าสู่สมาธิเนี่ย มันจะผ่านอุปสรรค เวรกรรมของคน จริตนิสัยของคน มันจะเข้าสู่ฐานของตัวเองเนี่ย การทำสมาธิจะเป็นแบบนั้น

เนี่ยถึงบอกหลวงตาถึงบอกยาก ยากตรงอันเนี้ย อันที่เราเนี่ย ดิบๆ เนี่ย ยากตรงหาน้ำมันดิบเนี่ย ยากมาก แต่ถ้าเจอน้ำมันดิบแล้วนะ รู้ว่าอยู่ตรงไหนแน่นอนนะ เจาะไม่ยากเท่าหา หาเนี่ยไม่รู้ตรงไหนเลย นี่ก็เหมือนกันเราหาตัวเราเอง หาฐานของจิต ทั้งๆ ที่อยู่ในหัวอกเนี่ย หลวงปู่มั่นบอกเลยว่า ปลาในสุ่ม ปลาในสุ่มเนี่ย มันอยู่ในร่างกายเราเนี่ย แต่หาไม่เจอว่ะ หายังไงก็หาไม่เจอ มันเป็นของดีนะ มันเป็นสมบัติของเราจริงๆ นะ สมบัติที่เราหากันเนี่ยมันเป็นสมบัติของโลก มันสมบัตินอกกาย

สมบัติของเราจริงๆ เนี่ยมันสมบัติในกาย เพราะจิตปฏิสนธินี่มันเกิดในไข่ของมารดาเห็นไหม มันอยู่ในเนี่ยมันอยู่จนชั่วอายุขัย มันก็จะออกไปหาภพหาชาติของมันใหม่ แล้วสติปัญญาของเราเนี่ยพบพระพุทธศาสนา พบครูบาอาจารย์เนี่ย แล้วเราจะรื้อค้นของเรา แล้วไม่มีใครทำให้ใครได้ พระพุทธเจ้าก็ทำให้ไม่ได้ ไม่มีใครทำให้เราได้เลย

มีสติปัญญาของเราทำได้ นี่สติปัญญาของเราเนี่ย สติปํญญาเนี่ย เราก็เกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิต เกิดจากสมมุติหมด จิตก็เป็นสมมุติ ในภพชาตินี้นะ มันไม่เคยตาย แต่มันเป็นสมมุติในภพชาตินี้ เพราะปัจจุบันนี้มันเกิดเป็นเราเนี่ย คำว่าเราเนี่ยสมมุติชาติหนึ่ง แล้วมันก็จะตายไป มันเกิดจากสมมุติเนี่ย นี่ถ้าเกิดสติปัญญาเนี่ย เชาว์ปัญญาเนี่ย มันเกิดจากบุญจากกรรม

ถ้าบุญกรรมมันสร้างมาเนี่ย สติปัญญาเนี่ยมันจะชัดเจน เข้มข้น พอเข้มข้นขึ้นมาเนี่ยสติเราเข้มข้นเนี่ย ปัญญาเราเข้มข้นเนี่ย มันก็จะเข้ามาหาสู่ตัวเราเนี่ยได้ง่ายขึ้น จิตใจเราปานกลางก็หาได้แค่ปานกลาง ๕๐ , ๕๐ จิตใจเราอ่อนแอ สัก ๒๕% ๑๐% เราอยากทำเนี่ยเห็นไหม เรา ๑๐% กิเลส ๙๐% กิเลสเรา ๕๐% เชาว์ปัญญาเรา ๕๐% กิเลสเรา ๕๐% แล้วถ้าเขามีเชาว์ปัญญา ๗๐ - ๘๐% กิเลสมันมีอยู่เนี่ยเห็นไหม เนี่ยงานหนักงานเบามันแตกต่างกัน ต่างกันตรงนี้ไง

ถ้ามันแตกต่างกันตรงนี้ เราก็อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ เราจะให้กำลังใจตลอดเวลานะ เพราะเวลาเราปฏิบัติ โอ้โห อยู่ในป่าในเขานะ อดอาหาร ๗ วัน ๘ วันน่ะ คนว่าอดอาหารในป่าไม่มีอะไรกิน กินแต่น้ำนะ โทษนะ โอ้โห ไม่รู้จะเอาหัวไปไว้ที่ไหนน่ะ มัน หนักไปหมดเลยน่ะ ก็ยังสู้นะ เวลาน้อยเนื้อต่ำใจเนี่ย คิดถึงพระพุทธเจ้ากับหลวงปู่มั่น ในใจเรานะ มีพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น ความทุกข์มึงไม่ได้ขี้ตีนหลวงปู่มั่น ใช้คำนี้ประจำ หลวงปู่มั่นทุกข์กว่ามึงเยอะนัก

เพราะหลวงปู่มั่นนะอยู่แถวอุบลนะ เขาก็ไล่จับมา ทั้งภาคเลยสั่งไม่ให้ใส่บาตร ต้องหนีเข้าป่านะ เขาจะให้หลวงปู่มั่นเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบล ท่านไม่ยอมเป็น ท่านหนี พอหนีเขาก็สั่งเลยห้ามใส่บาตร พอห้ามใส่บาตร สมัยนั้นปฏิบัตินะไม่มีใครส่งเสริมเลย หลวงปู่มั่นทุกข์กว่าเราเยอะนัก ไปปฏิบัติที่ไหนก็ไม่มีใครรู้เห็นด้วย ไม่ส่ง ไม่เสริม ยังแถมบังคับจะให้ออกไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด ให้ออกไปเป็นเจ้าคณะอำเภอ ตั้งพระครูให้อะไรให้ ก็หนี หนี หนี หนีอย่างเดียวนะ ท่านหนีทั้งโลกด้วยแล้วท่านต้องหนีกิเลสท่านด้วย แล้วท่านต้องอยู่ในป่าในเขา

ฟังหลวงตาเล่าทีไร หลวงตาบอก ฟังหลวงปู่มั่นทีไรนะ น้ำตาไหลต้องหันหน้าเข้าหาฝานะ นั่งร้องไห้คนเดียวน่ะ ฟังเวลาท่านทุกข์ แล้วอย่างพวกเรามีอะไรวะ อย่างมีครูบาอาจารย์ชี้นำขนาดนี้ แล้วมึงจะหนีไปไหน งั้นเวลาอยู่ในป่าในเขาเวลาทุกข์นะ คิดเลย ทุกข์มึงไม่ได้ขี้ตีนหลวงปู่มั่นหรอก หลวงปู่มั่นทุกข์กว่ามึงเยอะนัก อ้า กูทุกข์น้อยกว่าเขาค่อยยังชั่วหน่อย ขึ้นมาสู้กับมันอีก สู้อยู่อย่างเงี้ย สู้มาตลอด ฉะนั้นพอเราเห็นโยม ตากแดด ๓ วัน ๔ วันน่ะ มาหน้าเกรียมๆ เนี่ย โธ่ เห็นมันแล้วมันสงสารทั้งนั้นน่ะ

แต่เราทุกข์มาก่อนโยม เราทุกข์มามากกว่านี้เยอะนัก หลวงตาครูบาอาจารย์ทุกข์กว่าเราอีกเพราะอะไร เพราะข้างนอกเขาบีบคั้นเข้ามา ข้างในก็บีบคั้นเข้ามา ไอ้ข้างนอกเนี่ยเราปกป้องให้หมดเลย กูสร้างรั้วให้อย่างดีเลย กูจ้างเวรยามเฝ้าให้พวกมึงด้วย ขออย่างเดียวมึงอย่าทะเลาะกันนะ อย่าทะเลาะกัน กูทำให้หมดเลยนะ เพราะเราทุกข์มาก่อน

หลวงปู่มั่นนะโลกก็บีบคั้นเข้ามา กิเลสก็บีบคั้นเข้ามา ท่านยังสู้เอาตัวรอดได้ แล้วเราทำไมสู้เอากันไม่ได้ แล้วจะมาเอาสะดวกสบายเอาอย่างที่เขาว่ากัน จะไปเชื่อเขาก็โง่ มันไม่จริงเพราะความคิดความเห็น การกระทำคำพูดมันไม่เหมือนกันสักอย่างหนึ่ง มันไม่เป็นความจริง มันไม่เหมือนความจริงเลย

ฉะนั้นเนี่ยเวลาเขามาบอกไง พุทโธ มาแล้ว แล้วหลุดมาแล้วเนี่ย ถ้าเป็นเรานะเราหน้าแตกเลย ก็พุทโธด้วยกัน หลุด แล้วไปดูกายดูจิตมันดีนะ แล้วทำไง พุทโธหลุด ก็บอกว่า เอ็งจะหลุดไม่หลุดเอ็งก็กลับมาพุทโธใหม่ ถ้ากลับมาพุทโธเอ็งก็จะเข้าสู่จิตน่ะ เมื่อวานบอกเขาดี ๆ บอกเขา เอ็งกลับไปทำดูก่อนนะ ทำเสร็จแล้ว แล้วค่อยมาคุยกันใหม่

น่าสงสาร น่าสงสารเพราะทุกคนแสวงหาทางออก แล้วพอทางออก ทางที่ถูกต้องไป เรามันเป็นเวรเป็นกรรม เวรกรรมนะ ถ้าจิตของเราเนี่ย ปัจจุบันเนี่ยจิตที่จะหลุดเนี่ยนะ เหมือนจิตของเราเนี่ยมันมีปัญหาอยู่แล้ว แล้วไปเจอพอมาปฏิบัติเข้าไปเนี่ย พอเราไปเผชิญกับความจริงของเราเองนะ มันก็ล่อกแล่ก มันมี… เราก็จะตื่นเต้นไปกับมัน แต่ถ้าจิตเราปกตินะเจออะไรมันมั่นคง เจออะไรมันก็มั่นคง

เราปฏิบัติใหม่ๆ ไปอยู่ในป่าเนี่ย บางทีเนี่ยมันเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณเนี่ย มันโถมเข้าใส่โถมเข้าใส่เลยนะ พอโถมเข้าใส่เรา อึ๊ สู้มัน อย่างที่ในประวัติหลวงปู่มั่นเห็นไหม พระอยู่ในป่า อยู่ในป่าช้าน่ะ แล้วกลัวผีมากเลย กลัวจนกลัวเต็มที่นะ เอ๋...เสียงกุกกัก กุกกักนึกว่าผีหลอก ทนไม่ไหวก็ลืมตาดู อ๋อหมามันมาหาอะไรกินนะ เนี่ยถึงบอกว่าเราเนี่ยสู้หมาไม่ได้เห็นไหม เราคิดไปเองเห็นไหม โฮ้ เราเป็นคนแท้ๆ หมามันยังไม่กลัวเลย มันเข้าไปหาเศษหากินอยู่ในป่าช้า

ไอ้เราเป็นคนทั้งคนมานั่งกลัวผีอยู่นี่ แล้วนึกว่าผีมา ผีมา ที่ไหนได้หมามันมา ตกใจกลัวเกือบตายกลัวผี ที่แท้มันเป็นหมาเห็นไหม เนี่ยเพราะมันเป็นความคิดของเราเอง มันเป็นความคิดความเห็นในใจของเราเอง ทีนี้ความคิดในใจของเราเนี่ยถ้ามันอ่อนแอเนี่ย พอมีอะไรเข้ามามันตกใจ หลุดอย่างนี้ก็มี ส่วนใหญ่หลุดอย่างนี้เยอะกว่า

แต่ถ้าหลุดโดยกรรมนะมันเห็นภาพเห็นสิ่งต่างๆ แล้วมันตกใจ สตินี้สมบูรณ์ แล้วตกใจแว้บ..เบลอเลย ถ้าอย่างนี้ปั๊บนะต้องพยายามฟื้นสติ พยายามตั้ง..เนี่ยไปกราบพระแล้วฟื้นสติ ถ้าฟื้นสติก็ดึงกลับมาปกติเนี่ย โอกาสอย่างนี้มีบ้างเพราะมันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์เราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เหมือนกันนะ ฉะนั้นเราอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจในประสบการณ์ของเรา เราต้องตั้งใจของเรา

ฉะนั้นเราพยายามรักษาของเรา ต้องเป็นอย่างนี้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไปอยู่ข้างนอกๆ เนี่ยกลัวจะหลุดใช่ไหม เราใช้ปัญญาของเราเนี่ยคือไม่ลงลึก มันต้องลงลึก ลงไปเพื่อจะเกิด..ลงลึกเพราะอะไร เพราะอุปาทานมันอยู่จิตใต้สำนึก ปัญญาที่แก้กิเลสมันเป็นปัญญา จิตใต้สำนึกนะ หลวงตาบอกว่าปัญญากลางหัวอกไม่ใช่ปัญญาสมองน่ะ หลวงตาเน้นประจำ แต่เพียงหลวงตาท่านไม่พูดชัดๆ กลัวคนจะจำไปโม้ต่อมั้ง

เวลาท่านจะพูดนะ ท่านบอกว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตนะ ปัญญาเกิดจากหัวอกนะ นะหลวงตาย้ำประจำไม่ใช่ปัญญาจากสมองนะ ไอ้เราน่ะปัญญาสมองทั้งนั้น นี้ปัญญาสมอง ถ้าปัญญาสมองมันเป็นสามัญสำนึก มันต้องมีก็ไม่ว่ากัน เพียงแต่เอาสมองไล่มันเข้าไป ไล่มันเข้าไป มันจะลงไปสู่อก แล้วพอลงสู่อกแล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมา เฮ้อ มันจะเห็นต่าง จิตมันพัฒนามันจะเห็นต่าง เห็นต่างเอง ถ้าเห็นต่างเองอันนี้จะเป็นความจริง เนี่ยจิตตภาวนา งั้นเห็นใจมาก เห็นใจมาก ทุกข์ยากก็ทุกข์ยากมาก

หลวงปู่มั่นทุกข์มากกว่าเรา พระพุทธเจ้าทุกข์กว่าเรา ไอ้เราก็ทุกข์ นี้เพียงแต่ว่าจิตของเรามันหวังมรรคหวังผลไง ก็คิดว่าแค่งั้นๆ จะได้ แล้วมันยังไม่ได้ ได้ไม่ได้ภาวนาไป ภาวนาไปนะ ภาวนาไปถึงจนวันตาย แม้แต่ในปัจจุบันเนี่ยหลวงปู่ขาว เวลาท่านสำเร็จแล้วเห็นไหม ทางจงกรม ๓ เส้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๒ ชั่วโมงเช้าพระพุทธ ๒ ชั่วโมงกลางวันถวายพระธรรม ๒ ชั่วโมงตอนเย็นๆ ถวายพระสงฆ์ ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านเดินจงกรมวันละ ๓ เส้น ๔ เส้น หลวงปู่ขาว

หลวงตาท่านเดินจงกรมจนป่านนี้เห็นไหมเป็นแผลอยู่นั่นน่ะ เตะทางจงกรม เตะทางจงกรม ๙๗ ยังเดินจงกรมอยู่เลย มันวิหารธรรม วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านยังเดินจงกรม ยังภาวนากันอยู่เลย ไอ้เราจะเอามรรคผลนิพพาน คลานไปก็คลานมา เดินยังไม่กล้าเดินเลย เนี่ยเอาคติธรรมอย่างนี้มาสู้ มาเป็นคติธรรมของเรา แล้วเราจะทำของเราเพื่อประสบการณ์ความจริงของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนอะ เอวัง