เทศน์เช้า

จิตหนึ่งปรมาณู

๑๗ พ.ย. ๒๕๓๙

 

จิตหนึ่งปรมาณู
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ประสาเราว่าไม่ใช่ด่า อย่างเขาถามว่า “เวทนา มีเท่าไหร่อย่างนี้ แล้วไปตอบเขาผิดมา พระพุทธเจ้าก็ถามเลยว่า “โง่” เขาจะตอบตายตัวไม่ได้ไง แบบว่าบางอย่างนี่มันตอบไม่ได้ เพราะมันเป็นของแบบว่าอะไรนะ ของแบบชนตรงหน้านี่ ให้ตอบเทียบเคียงแล้วจะรู้กันเอง ถ้าไปบอกอย่างนั้นมันจะงง จริงไหม

อันนี้เราจะพูดถึงว่าจิตที่เข้าปรมาณู จะพูดอย่างนี้ก่อนว่า อย่างที่ว่าที่จิตเข้าปรมาณู อ่านแล้วมันเข้าใจหรือ ตรงนั้นมันลึกกว่าตรงนี้ไง อย่างเราจะพูดให้เขาฟังว่า จิตของคนนี่นะ ธรรมดาจิตของคนมันเหมือนกับมันมีเปลือกหลายชั้น

คำว่า “เปลือก” ก็ไม่ใช่อีกนะ เพราะว่ามันเหมือนแกะเปลือกออกไปใช่ไหม แต่จิตคนนี่มันเหมือนน้ำแล้วผสมสีได้ ๔ สี แม่สี ๔ สีมาผสมกันแล้วเทลงไปในน้ำ มันจะเป็นสีเทาใช่ไหม มันไม่เป็นสีอะไรเลย แล้วเราคัดออกทีละสี ๔ สีนี่ถ้าคัดออกไปสีหนึ่งๆ น้ำนั้นก็จะใสใช่ไหม น้ำก็จะสะอาดขึ้น สะอาดขึ้น แต่น้ำก็ยังอยู่ใช่ไหม สีในน้ำนั้นสภาพมันอันเดียวกันไง น้ำก็คือน้ำต้นทุนอันเดิม แต่มี ๔ สีผสมอยู่

แต่ถ้ามันบอกว่าเปลือกนี่มันแกะออกไปเลย ใช่ไหม อันนั้นถ้ามี ๔ สีผสมอยู่นี่ พอเรารับรู้เข้าไป มันก็เหมือนกับเรานี่ เวลาที่พูดเสียงกระทบหู เรารับรู้ขึ้นมา มันเป็นวิญญาณเฉยๆ หมายถึงว่าไม่ใช่ปรมาณูไง มันเป็นวิญญาณเฉยๆ แค่รับรู้อย่างเราใช่ไหม ถ้าพอแบบว่าอย่างที่พูด มันลึกเข้าไปถึงตัวน้ำนั้น ตัวน้ำนั้นผ่านขั้นตอนนี้เข้าไปเป็นตัวน้ำนั้น พอตัวนั้นถือเป็นปรมาณูไง เป็นปรมาณูเห็นไหม

แล้วก็พูดถึงว่าจิตหนึ่งนี่ เราจิตหนึ่ง จิตเราเสมอกัน จิตหนึ่งเราก็มีสิทธิเหมือนกัน แต่จิตหนึ่งอันนั้น มันแบบว่าไม่แปรปรวน ไม่แปรสภาพ นั้นเป็นอีกขั้นตอนแล้วนะ ไอ้ที่ว่าอย่างต้นไม้จะชี้เข้ามา เอ็งบอกว่าต้นไม้มีจิตหนึ่งได้อย่างไร รับไม่ได้ไง ว่าต้นไม้พวกสิ่งที่มีจิตอยู่ได้อย่างไร มีจิตหนึ่ง มีจิตหนึ่ง ก็อย่างที่ว่าเวลาเราสาวไปไง สาวแบบบุพเพนิวาสานุสติญาณ มันไม่มีที่สิ้นสุด เห็นไหม สาวไปนี่มันไม่มีที่สิ้นสุด

จิตนี้มาจากไหน? แล้วทางวิทยาศาสตร์เขาจะพิสูจน์กันมาไง เป็นเซลล์ๆ เดียวก่อนใช่ไหม แล้วมันพัฒนาตัวมันเองขึ้นมาจนเป็นมนุษย์นี่ ต้องเป็นปลาก่อน เป็นสัตว์มีแข้งมีขาออกมา มีครีบ เพราะความอยากไง ตัวอวิชชามันเป็นความอยาก ความอยากมันทำให้เราสะสมมา สะสมมา พอสะสมมาจนมาเดี๋ยวนี้ จนปัจจุบันนี้ เหมือนกับเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เหมือนกับเราค้าขาย เราทำการค้ากิจการเจริญรุ่งเรืองมากเลย ช่วงนี้เป็นช่วงโอกาสทองของเรา ก็ช่วงที่เรามาเจอพุทธศาสนา เป็นช่วงโอกาสทองของเรา ถ้าพ้นอย่างนี้ไป เราก็ต้องกลับไปเป็นอย่างนั้น

คิดดูเอาแล้วกัน สัตว์นรกนะ ลงไปสัตว์นรกเลย เพราะคำว่า “จิต” คำว่า”ปรมาณู”นี่ เขาพูดไว้ชัดมาก มันเป็นขั้นตอนถูกต้องหมด เพราะว่าจิตที่เป็นปรมาณูนี่มันเป็นอันในใช่ไหม จิตที่เป็นปรมาณูใช่ไหม แล้วพอจิตที่เป็นปรมาณูนี่มันวนรอบไป ฟังนะ! พอวนรอบไปนี่ เป็นคูหาของจิตใช่ไหม

คำว่า “คูหาของจิต” จิตวนรอบไปในปรมาณูนี่ ถ้าพูดประสาเราก็ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาร ปจฺจยา วิญฺญาณํ ตัวปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาทนี่มันเป็นวงรอบ แต่มันไม่ขาดเหมือนขันธ์ ๕

กองรูป กองเวทนา กองสังขาร กองวิญญาณ นี่กองรูป กองสังขารคือตัวความคิด กองเวทนาคือว่าความสุข ความทุกข์ กองวิญญาณคือการรับรู้อยู่ นี่! อันนี้เขาก็บอกว่าเป็นวิญญาณวงนอกเห็นไหม วิญญาณที่ถอนรูปออกมาจากปรมาณูนั้น อันนั้นคือว่ามันเลื่อนเข้ามา แต่ตัวปรมาณูนั้นเป็นคูหาของจิต แหม มันฟังแล้วมันซึ้งนัก เพราะจิตนี้ไปนอนเนื่องอยู่ในปฏิจจสมุปบาท

เราจะย่อยให้ฟังว่าความซับไง ความซับที่ว่ามันเข้าถึงได้อย่างไรไง นี่พอเราประสบอะไรขึ้นมานี่ พอเราประสบ จิตมันประสบๆ เต็มที่เลย เราจำได้เดี๋ยวมันก็ลืมเห็นไหม อันนี้เป็นวิญญาณนะ เป็นจิตถอดรูป ถอดออกมาที่วิญญาณแล้วเราลืมไปก็แล้วแต่นี่เป็นสัญญาความจำ แต่กรรมมันไม่ลืม กรรมมันย่อยสลายลงไป ลึกเข้าไปอีก เข้าไปถึงปรมาณูนั้นไง เข้าไปอยู่ในปรมาณูนั้น

เช่นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใช่ไหม อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาร ปจฺจยา วิญฺญาณํ เห็นไหม วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทกับวิญญาณในถอดรูปนี่ มันย่อยแปรสภาพอันนี้ไปเข้ากับสภาพอันนี้ มันเลยไปเป็นวิญญาณที่ลึกลงไปในปรมาณูนั้น ตัวนี้ตัวจิตปฏิสนธิไง

ตัวปรมาณูนี่ตัวจิตปฏิสนธินะ เวลาไปเกิดนี่ แล้วความจำหรือกรรมทุกอย่างมันจะไปอยู่ที่นั่น ตัวไปเกิด ไปแสวงภพ ตัวจิตปฏิสนธิ แต่เพราะอย่างนี้พอปฏิสนธิมามันถึงจำชาติเก่าไม่ได้ เพราะชาติเก่ามันมาจำได้เฉพาะปัจจุบันนี่ จำได้วิญญาณ ตัวถอดรูปนี้ นี่มันย่อยเข้าไปแปรสภาพเข้าไป แล้วถ้าเราตัดเราก็ตัดเข้าไปอย่างนั้น พอตัดเข้าไปมันจะไปเห็นสภาพไง เห็นว่า อ๋อ! ปรมาณูตรงนั้นๆ ไง

ถึงบอกว่าเป็นคูหา เป็นคูหาของวิญญาณ เป็นคูหาของจิตใช่ไหม แล้วจิตนอนเนื่อง โอ๋! ชัดมาก ชัดมากเลย เป็นคูหาเพราะมันหมุนรอบไง มันเป็นปัจจยาการที่มันเกาะไว้ มันไม่แยกออกเป็น ๕ กอง มันเป็นคูหาเลย

อาจารย์มหาบัวท่านใช้คำว่า “ถ้ำ” ท่านบอกเลยนะ เวลาตัดหนทางเข้าไปเรื่อยๆ เหลน หลาน ลูก ตัวพ่อคือตัวในถ้ำไง ในถ้ำ ถ้ำเสือ เห็นไหม เราใช้คำว่า “ถ้ำ” หรือ “เขา” เวลาเราเข้าไปที่เขา เขานั้นยังไม่เจอถ้ำ ต้องเข้าไปปากถ้ำอีกเห็นไหม ถ้าตัวเขาคือตัวตอของจิต ตัวรับรู้ไง ตัวต้านกระแส ลมพัดมานี่พื้นที่ราบมันไปหมดเลย ไปกระแทกเขาแล้วไปพักอยู่ที่นั้น นั่นตัวปรมาณูไง ตัวนี้ซับไว้ๆๆ แล้วซับไม่ซับแบบเราด้วย

อย่างเราซับนี่ เราซับ เรียนมาเดี๋ยวก็ลืมหมด ที่เรียนมานี่ลืมหมดเลย เพราะเป็นสัญญา เป็นความจำ เป็นขันธ์ถอดออกมาจากข้างนอก แต่ลืมหรือไม่ลืมก็แล้วแต่ กรรมอันนี้มันจะไปนอนอยู่ตรงฐาน ตรงปรมาณูนั้น ตรงฐานของจิต รับประกันได้ บารมีธรรมมันอยู่ที่ตรงนั้น ตรงที่ตัวตอของจิตเลย ตัวใต้ก้นบึ้งของจิตตัวนั้น แล้วมันย่อยสลายแปรสภาพจากอันนี้เข้าไป มันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป นี่พูดถึงเรื่องเวลาพูดเรื่องของใจนะ มันมองเห็นอย่างนั้น แต่เวลาพูดออกมาข้างนอกนี่อธิบายแล้วยิ่งงง

เอ้า! แล้วมีตรงไหนว่ามา ถ้าอย่างนี้เข้าใจไหม เพราะว่าเวลาพูดเราไม่ได้พูดถึงขนาดนี้นะ แต่พอเวลามาอ่านหนังสือนี้ ฮื่อ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้หมด จักรวาลเดิมนั้นมันหลุดพ้นแล้ว ตัวจักรวาลเดิม ตัวที่ให้สีไม่ได้ ให้หาค่าไม่ได้ นับไม่ได้ อันนั้นมันเป็นเซนใช่ไหม อย่างนั้นถูกต้อง ไอ้ตรงนั้นมันแบบข้ามจากตรงนี้ไปสิ

แต่ตอนนี้เป็นคูหานะ เป็นคูหามีที่อยู่ใช่ไหม มีที่อยู่ยังมีตัวตนอยู่ เป็นตัวปรมาณูใช่ไหม ตัวตอ แต่พอระเบิดตรงนั้นทิ้งแล้ว เห็นไหม เพราะระเบิดตรงนั้นออกไปแล้ว นั้นถึงออกไปตรงที่ไม่มี ระเบิดออกจากตรงคูหานี้ออกไป ระเบิดคูหาทิ้ง ระเบิดถ้ำออก

จับเสือต้องเข้าไปในถ้ำเสือ อวิชชาอยู่ในถ้ำ ต้องเข้าไปในถ้ำนั้นแล้วไปทำลายกันในถ้ำนั้นอีกที แต่ก่อนจะถึงในถ้ำนั้น นี่เราปลูกต้นไม้ไว้นะ แล้วตัดออกหมดเลย ตัดต้นไม้นี้ให้เกลี้ยงเลย ให้ราบหมดเลย ไม่มีอะไรเลยเห็นไหม ว่าง โล่งโถงหมดเลย แต่เราไม่ได้ขุดรากถอนโคน มันยังงอกได้

นี่ก็เหมือนกัน เราละขันธ์วิญญาณที่ถอดรูปไปเป็นวิญญาณนอกไง ความรู้สึกเราละได้หมดเลย ละได้หมดแล้วมันก็ว่างไปหมดเลย ถ้าว่างหมดเลยมันก็เหมือนกับตัวอวิชชาเป็นตัวรากแก้วไง อยู่ในดินมองไม่เห็นเลย อยู่ในถ้ำ ไปขุดตรงนั้นขึ้นมาอีก ดึงถอนรากแก้วขึ้นมา ต้นไม้นั้นมันจะไม่เกิดอีก ถอนรากถอดออกไปจากใจแล้วธาตุนั้นจะไม่มี อันนั้นนะกลับไปสู่จักรวาลเดิม กลับไปอยู่ที่ของมัน

ถึงว่ามันไม่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากรูปหยาบมีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดจะฆ่าให้ตายได้นอกจากนิพพานเท่านั้น นอกจากนิพพานเท่านั้นรูปวิญญาณจึงจะสลายไป พอสลายไปก็กลับไปคงที่ไง อันนี้บอกว่าถ้าคงที่อยู่นี่ มันก็เหมือนกับเวลาเราอ่านหนังสือพวกฝ่ายมหายาน ฝ่ายเซนนี่ อะไรก็ปล่อยวาง ปล่อยวางหมด ปล่อยวางหมดแล้วมันก็ง่ายๆ นะสิ ถ้าปล่อยวางหมดแล้ว ใช่! เวลาพูดมันพูดอย่างนั้น เพราะพูดเพื่อไม่ให้ยึดมั่น แต่การกระทำแล้วเกือบตาย

การกระทำต้องทำอย่างสุดๆ แต่การปล่อยวาง เพราะเรากระทำนี่กิเลสมันแปลกมาก เวลากระทำไปแล้วมันยึดในการกระทำนั้น เราทำงานทุกอย่าง เราไปยึดในการกระทำ นี่ก็เหมือนกัน พอเราทำไปๆ นี่ ถ้าคนไม่เข้าใจนะ ขณะปฏิบัติธรรมอยู่นี่ มันจะทำให้ใจนี่เลยเถิดไป เลยเถิดไปในอัตตกิลมถาไง

อย่างเช่นที่ว่าพิจารณาจนข้าวนี่เป็นตัวหนอนจนกินไม่ได้ เห็นไหม พิจารณาจนแบบว่าเลยเถิดไป มันไม่ลงในมัชฌิมา พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ดึงมามัชฌิมาปฏิปทา ลงที่ระหว่างตรงกลางนั้น แต่นี่เขาบอกว่าให้ปล่อยวางเลย เห็นไหม แบบว่าเหมือนกับปล่อยวาง ลืมตาก็จบ ปล่อยจากมือมันก็จบ กำไว้ในมือคลายมือออกมันก็ออก เขาพูดง่ายๆ อย่างนั้นไง

แต่นี่มันพูดถึงวัตถุนี่นา โอ้โฮ! ก็อย่างที่ว่านะ น้ำผสมสีไปแล้ว เราวิเคราะห์สีออกจากน้ำนั้นยากขนาดไหน กิเลสในใจมันไม่มีตัวตน มันละเอียดกว่านะ มันจะยากขนาดไหน แต่ก็ต้องทำ มันทำได้

แต่ของเขาพูดง่ายๆ ไง ไม่ให้ยึดติดไง ที่ว่ากรรมได้อัตตกิลมถานุโยคของจิต ไม่ใช่อัตตกิลมถานุโยคในการกระทำของเรานะ เพราะเราทำงานไป แล้วเราจะยึด มันจะเลยเถิดไป เลยเถิดไป เลยเถิดไปให้มันเลยไปเถิด มันต้องมีผิดมีถูก ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ดีกว่าเราปฏิเสธฐานใหญ่ เจดีย์ใหญ่นี่ ถ้าเราปฏิเสธฐานใหญ่ เราจะไปยอดเจดีย์มันจะตั้งได้อย่างไร เห็นไหม ฐานนี้ใหญ่มาก พอขึ้นไปตัวเจดีย์นี่ชักเรียวลงๆ ยอดนิดเดียว แต่ฐานต้องใหญ่ ต้องใหญ่ตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา ต้องอยู่ ถ้าไม่อยู่แล้วมันเคลื่อนจากฐาน เขาปฏิเสธตรงนี้ก่อนไง เขากลัวไง เอายอดไง เอาประโยชน์ของยอดไง แต่ไม่เอาประโยชน์ของฐาน แต่ของเรานี่เอาประโยชน์ทั้งหมด ในนิพพานมีศีล มีภาวนา เอาประโยชน์ทั้งหมดมันก็มั่นคงกว่า ถ้าเอาแต่ยอด ยอดไปตั้งบนอะไร ก็เอาไม้ปักไว้สิ ยอดไม้เห็นไหม แล้วมันก็คลอนแคลน

นั้นเขาพูดอย่างนั้น แต่มันก็เป็นประโยชน์ เพราะเขาว่าประโยชน์เพื่อการภาวนา จริงอยู่ปฏิบัติธรรมสูงกว่าทุกอย่าง แต่พออย่างนั้นปั๊บมันไม่ได้มองถึงฐานไง ไม่มองถึงพวกที่จะเดินตามมา มันถึงว่าไม่รอบ ปัญญานี้ไม่รอบ ถ้าปัญญารอบแล้วมันก็เป็นประโยชน์ทั้งหมด อันนี้เข้าใจก็ เออ! ยังคิดอยู่ว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ไหม? เข้าใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะงง อ่านแล้วจะงงมากนะ

แต่ถ้าพูดถึงถ้ามีหลักหน่อยจะไม่เขว รับประกันว่าไม่เขว อันนี้ถูกหมดๆ นะ ถูกหมดเลย ถูกหมดเลย ไหน! จิตนี้นี่ จิตนี้มันไปตลอด มันส่งออก มันก็ต้องหมุนรอบสิ จิตนี้เป็นตัวพลังงาน มันต่างกับวัตถุไง ธาตุรู้นะ ธาตุรู้กับธาตุรู้ก็เหมือนกัน ธาตุ! คำว่า “ธาตุรู้” กับ “ธาตุหิน” หินมันไม่หมุนรอบเพราะมันอยู่ของมันเฉยๆ ใช่ไหม แต่พลังงานไฟฟ้าทำไมไม่หมุนรอบ มันไม่หมุนรอบมันจะเป็นสติขึ้นมาได้อย่างไร เป็นความสุขได้อย่างไรจริงไหม เป็นของที่มันมีชีวิต มันต้องหมุนรอบสิ

อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ ถ้ามันหมุน ๑ รอบ มันก็เป็นหนึ่งความคิด ความคิดก็ไม่ได้นะ ความคิดนี่ออกไปเป็นขันธ์ถอดรูปแล้ว เป็นหนึ่งความรู้สึกในภายในไง อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาร ปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ นามรูป แล้วมาถึงภพชาติไง

ภพชาติหนึ่งก็ความรู้สึกหนึ่ง แป๊บๆๆ นี่ความรู้สึกหนึ่งในจิตนั้นน่ะ นั้นนะรอบหนึ่ง มันวงรอบอย่างนั้นแล้วมันถึงจะได้ครบความรู้สึกหนึ่ง อย่างนั้นฝ่ายเราฝ่ายพวกนักศึกษานี่ชอบอธิบาย อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา ...อธิบายอย่างนั้น นี่อธิบายนี้มันเป็นปัจจยาการที่เป็นทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าวางไว้แล้ว เราอธิบายได้ คือว่าไปเอาสมบัติของพระพุทธเจ้ามาแล้วก็มาวิเคราะห์กัน

แต่ถ้าคนเข้าไปเห็น หรือคนเข้าไปเข้าใจตรงนี้ มันอย่างที่ว่านี่ แป๊บๆๆๆๆ อธิบายตรงไหนว่ามา อธิบายตรงไหน แต่ถ้าความเข้าใจยอมรับ มันยอมรับหมด ใครรู้เท่าพระพุทธเจ้า ใครจะค้านพระพุทธเจ้าได้

อย่างพวกเราอย่างนี้ อย่างพวกเราเด็กๆ นี่ เกิดมานี่ พ่อแม่มีเงิน ๕ ล้าน ๑๐ ล้าน ใครจะไปค้านบอกว่า เงินพ่อแม่ไม่ให้เอา เราจะไปหาเอาใหม่.. เรื่องอะไร มรดกเราก็ต้องเอาไว้เว้ย เกิดมาพ่อแม่มีมรดกให้คนละ ๕,๐๐๐ ล้าน โอ้โฮ เรารีบตะปบเลย แต่เราก็ไม่รู้ว่า ๕,๐๐๐ ล้าน หาได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน เรากว่าจะหาเงิน ๕,๐๐๐ ล้านนี่เกือบเป็นเกือบตาย แต่พ่อแม่ให้เลย ให้มาเลย เราจะปฏิเสธได้หรือ

อันนี้ก็เหมือนกันนะ ปัจจยาการพระพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้ว แล้วเราไม่สามารถจะเห็น ตั้งทฤษฎีที่ให้เหมือนอย่างนี้ ยาก แต่นี้ท่านก็ตั้งมาเห็นไหม ว่ามันเป็นปรมาณูที่เคลื่อนไปเนาะ เป็นคูหา มันหมุนไปวงรอบแล้วเป็นคูหาของจิต แบบถูกต้อง คูหาของจิตจริงๆ

เพราะว่าอันนี้ปั๊บ เราก็เอามาเทียบกับอาจารย์มหาบัวที่ว่าอยู่ในถ้ำ ร่นเข้ามา เป็นอยู่ในถ้ำของตัวเอง นี่คูหาไหม ถ้ำคูหานี่เข้าไปได้หรือเปล่า อยู่ในถ้ำนะ แล้วก็ถือว่า ตรงนี้เป็นทองคำไง โอ๋! สว่างโล่ง สบาย สว่างโล่ง สบาย จนเราผ่านตรงนี้ไปนี่ “โอ๊ย! กองขี้ควาย” ท่านว่านะ พอระเบิดถ้ำออกไปแล้วกองขี้ควาย ไอ้ที่ว่าสว่างไสว ไอ้ที่ว่าความสุขนะกองขี้ควาย สิ่งที่เหนือกว่านั้นสำคัญกว่านั้นอีกมากมายนัก ไอ้ที่ว่ากับความสว่างนั้น เพราะความสว่างนั้นมันคู่กับความมืด

ถ้าพูดประสาเราที่ว่าสว่าง เอาไฟฟ้ามาเปิดมันก็สว่างจริงไหม แสงสว่างนี่เราสามารถเห็นได้ แล้วมันเสื่อมสภาพได้ ไม่มีอะไรคงที่ ของในโลกนี้ถ้าเป็นคู่อยู่ อันนั้นยังไม่คงที่ แต่ของอย่างไรที่อ้าปากไม่ได้เลย คงที่ของมันอยู่อย่างนั้น นี่กลับไปสู่จักรวาลเดิม กลับไปสู่ที่ของมัน แต่มันมีความรู้สึกตรงที่ว่าวงรอบนี่แหละ ต้องมีสิ ถ้าไม่มีมันจะเป็นธาตุรู้ได้อย่างไร มันก็เป็นธาตุหินสิ เห็นไหม

เราต่างกับเขา ธาตุของเรา ธาตุในหัวใจเรานี่ พลังงานในตัวเรานี่ มันต่างกับธาตุ ๔ เป็นอย่างนั้นไง มันต่างกับเขามาก มันถึงว่าเป็นนิพพานได้ มันก็เห็นว่าเป็นนิพพานทำไม แล้วปฏิบัติมาเพื่อให้เป็นหินหรือ คนเราปฏิบัติมาเพื่อให้เป็นท่อนหินท่อนไม้หรือ? ปฏิบัติมาเพื่อความสุขโว๊ย สุขมี สุขแท้ๆ สุขจริงๆ ด้วย สุขที่ไม่แปรปรวนด้วย ไอ้สุขอย่างนั้นมันสุกๆ ดิบๆ เห็นไหม สุขสักพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็ทุกข์อีก แต่มันก็พอใจเพราะกิเลสมันหลอก แต่ถ้าสุขอย่างนี้สุขแน่นอน สุขแน่นอน สุขที่ไม่แปรสภาพ

อย่างเช่นอย่างเรานี้ไม่ต้องคิดมากเลยนะ คิดที่บอกว่า “ตายแล้วไปไหนเท่านั้นล่ะ” ตายแล้วไปไหน แค่นี้ก็รัดคอตายแล้วนะ ตายแล้วไปไหนไม่ต้องห่วงนะ งง สงสัย แล้วก็กรรมดี กรรมนี่ขนาดทำความดีไว้มหาศาล เวลาตายถ้าลังเลมันก็ไปต่างกันแล้ว

โอ๊ย! การส่งออกนี่ มันต้องควบคุมการส่งออก ต้นกระแสของการคิดนี้ให้ถูกต้อง แล้วมันจะไปดี เพราะต้นกระแสของความคิดมันเหมือนกับเรายิงลูกหนูเห็นไหม ลูกหนูนี่มันต้องใช้สายรัดลากไปเห็นไหม ต้นของความคิดมันก็จะเอาใจไปนั้นนี่ไง ต้นความคิดพุ่งไปที่ไหนนะ ใจมันก็ไปตรงนั้นไง

อาจารย์มหาบัวบอกว่า “วัวตัวไหนก็แล้วแต่ มันจะแข็งแรงหรือมันจะอ่อนแอก็แล้วแต่ ถ้ามันอยู่ปากคอก คอกไหนเปิดก่อนมันไปก่อน” จิตที่คิดอย่างไรนะ เวลามันจะตาย ภพมันเสวยก่อน อันนั้นล่ะความดีมีขนาดไหนก็เหมือนหมูที่แข็งแรงแต่อยู่ก้นคอก วัวที่อ่อนแอ วัวที่ขี้โรค ความชั่วที่เราทำไว้นี่อยู่ที่ปากคอก ถ้าคิดอย่างนั้นก่อนเสวยภพชาตินั้นก่อน เสวยสิ่งที่ไม่ดีก่อน แล้วสิ่งดีก็เก็บไว้ในใจ เห็นไหม น่ะอยู่ในปรมาณู มาถึงเราก็เปิดมา มันก็พลิกแปรสิ

มาฟังสิ มาฟังที่ว่าวัฏสงสาร เห็นไหม พลิกๆ เกิดๆ ดับๆ นี่ ตายมาแล้วกี่ชาติ ไม่มีคนไหนเลยไม่เคยเกิดไม่เคยตาย ไม่มีหรอก มานั่งอยู่นี้ทุกคนเคยเกิดเคยตายหมด แม้แต่ พระพุทธเจ้า แม้แต่พระอานนท์ เคยตกนรกมาก่อน อิติปินัง สาวกไง นี่เคยผ่านนรกมาก่อน เคยทำชั่วมา ทุกดวงใจเคยทำชั่วมา เคยทำความดี

แล้วเกิดมานี่ เราไม่ต้องมองไกล เรากลับมามองที่ตัวเรา กลับมาดูที่ตัวเรา สงสารตัวไหม สงสารไหม ว่าเราผ่านมาขนาดไหน เราเคยผ่านทุกข์มาขนาดไหน เราเคยผ่านกระทะทองแดงมาหรือยัง ถามตัวเองสิ ไม่เคยๆ ก็ไม่เคยในปัจจุบัน นี่กิเลสมันหลอก มันถึงให้เราเผลอกันไง ให้เราทำตามใจเราไง

พระพุทธเจ้าท่านสอน คำนี้มันลึกซึ้งมากนะ “สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ทำแล้วมานึกได้ภายหลัง แล้วเสียใจ สิ่งนั้นไม่ดีเลย” ปัจจุบันนี่ใครก็เอาไว้ไม่อยู่ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เราทำขึ้นมาแล้วนึกได้ภายหลัง แล้วมาเสียใจ ร้องไห้ ไม่ดีเลย แต่เวลาเราทำมันสู้ตัวเองไม่ได้ สู้ความอยากของใจไม่ได้ เห็นไหม เพราะอย่างไรมันก็ซับอยู่ที่ใจนั้นล่ะ นี่ถึงว่าถ้าอย่างนั้นแล้วต้องภาวนาให้เป็น ภาวนาให้เป็นเดี๋ยวนี้ สู้เดี๋ยวนี้ หัดเดี๋ยวนี้ไง กิเลสนี่ แค่ถ้ามรรคสามัคคีนะ มีเห็นไหม ที่ว่านั่งปุ๊บทีเดียวเสร็จเลยน่ะ นั้นนะขิปปาภิญญาไง สมัยพุทธกาลมีนะ

อย่างเช่น จะเข้ากรุงเทพฯ นี่เราไปตามถนน ถ้าคนที่มีฐานะเขาเอาเครื่องไปลงถึงเลย นี่มันแว็บไปเลย แต่คนไปเครื่องบินมันไม่เหมือนกับคนไปตามทาง คนไปตามทางมันจะเห็นวิว เห็นข้างทางไปหมด มันจะรู้หมด สภาพมันเป็นไปอย่างไร แต่ถ้าไปเครื่องบินแป๊บถึงเลย สมัยนั้นนะขิปปาภิญญา แบบผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แฟบๆๆ ไปเลย แต่สมัยนี้หายาก ว่าประสาเราเลย หายาก แต่ยังพอมี พอมี พวกนี้เป็นแล้วมันอธิบายไม่ได้ ยิ่งอธิบายยิ่งเป็นคนบ้า อธิบายไม่ได้ แต่ถ้าอย่างนี้ถึงบอกว่า ให้หัดภาวนาไง สิ่งที่ทำไปแล้ว ไม่มี

เวลาพระปฏิบัติมา หรือพวกเราที่ทุกข์ยากมานี่ เขาจะอ้างที่ว่า คนที่พาลทำความไม่ดีมานี่ ก็ต้องอ้างองคุลีมาลเห็นไหม องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ เกือบพันนะ แล้วจริงๆ แล้วเกินพันด้วย เพราะใหม่ๆ ฆ่าแล้วยังไม่ได้ตัดนิ้ว เกินพันนะ แล้วเกือบฆ่าแม่อยู่แล้ว แต่ตัวฐานใจเดิมมันมีความดีอยู่

ไอ้กิเลสมันถึงว่า จะดีจะชั่วขนาดไหนก็แล้วแต่ คนเรานี่จะมีจะมั่งมีจะศรีสุขขนาดไหน ไอ้ตัวในใจห้ามไม่อยู่ ถึงว่ามันถึงร้ายกาจมากเลย แล้วมันอยู่ที่ใจด้วย มันไม่อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจของตัว นี่ศาสนาสอนอย่างนั้นเลย ไม่ได้สอนให้สุขปัจจุบันนี้นะ สอนปัจจุบันนี้แล้วด้วย สอนสิ้นเลยด้วย ไม่สิ้นก็ให้ไปเกิดบนสวรรค์ ให้เกิดในที่สุขสบาย ไม่ให้เกิดทุกข์ๆ ยากอย่างนี้

ดูในโลกเราสิ แค่เกิดมานี่ บางคนนะ เกิดมาทุกข์ๆยากๆ เราเกิดอย่างนี้ พอใจแล้ว ชีวิตๆ หนึ่งมีขึ้นมีลง ไม่แน่นอน ชีวิตหนึ่ง เห็นไหม คนล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วก็ล้มอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรแน่นอนเลย แต่พอเรามาเข้าใจศาสนา เราเข้าใจคำสั่งสอน เข้าใจเรื่องกรรม ถ้าเข้าใจศาสนา ศาสนาคืออะไร เข้าใจเรื่องกรรม เข้าใจเรื่องการกระทำนี่ มันยิ้มสู้ไง มันยิ้มสู้

อย่างเช่น เมื่อก่อนเราภาวนาใหม่ๆ นี่จะเป็นหรือไม่เป็นไม่รู้ มันพูดคำนี้จริงๆ นะ มันสอนตัวเองตลอด จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ จะทำอย่างเดียวคือว่าเร่งความเพียร คิดอย่างนี้ตลอดเวลา เพราะมันมั่นใจมาก มันมั่นใจในคำสอน เรามั่นใจ

เพราะทีแรกต้องไปดูพระธาตุก่อน ไปดูพระธาตุหลวงปู่มั่น ไปดูพระธาตุแล้วมันบอกเลยล่ะ อะไรก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่สน หน้าที่คือว่าทำความเพียรอย่างเดียว เดินจงกรม นั่งภาวนา ลูกเดียว อะไรก็มีพร้อม ยกเว้นขาดแต่ความเพียร ขาดแต่ความจริงจังของเราเท่านั้น นี่เวลาปฏิบัติมาต้นๆ ทำอย่างนี้มาตลอดนะ ทำอย่างนี้มาตลอด อะไรก็ช่างไม่เกี่ยว ความเพียรใส่เข้าไป

เหมือนกับต้มน้ำนี่ หน้าที่เราคือใส่ฟืน ไม่มองหม้อน้ำด้วย ใส่ฟืน ใส่ฟืนอย่างเดียว ใส่ฟืนๆ แล้วรอให้น้ำมันเดือด เราทำอย่างนั้นมาตลอดนะ จริงๆ! ไม่อย่างนั้นมันจะอยู่ได้อย่างไร ๗ วัน ๗ คืนนะ เขาจัดเวรมาเฝ้าเลย เขาไม่เชื่อ จัดเวรมาเฝ้าเลยว่ามันอยู่ได้ ๗ วัน ๗ คืน ไม่กินนะ ไม่กินแล้วไม่นอน อยู่ทางจงกรม ๗ วัน ๗ คืน เดินนี่เซตก เซตกตลอด เพราะมันสั่งตัวเองอย่างนั้นล่ะ

หน้าที่ของตนเองคือความเพียรอย่างเดียว ความเพียร ความจงใจ เร่งเข้าไปอย่างเดียว ผลไม่ต้องไปพูดถึงมัน เพราะผลนี่ใครก็เอามาพูดได้ เหตุสำคัญที่สุด เหตุของเราไง ถึงบอกว่าเวลาฟังอย่างนี้แล้วเสียวไง พอพูดถึงเรื่องวัฏฏะ เรื่องความไปนี่ โธ่! คิดสิไปไหน เอ้า! มันจริงๆ นะ ถ้าเราไปไหนนี่ เหมือนกับเราเป็นหนี้ ถ้าเกิดว่าถ้าหนี้มันหมดเราจะไปไหน อย่างเช่น เราจะไปเดินทาง เราไปเครื่องบินนี่ ต้องซื้อตั๋วใช่ไหม ถ้าเราไม่มีตั๋วจะไปได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน พอเวลาเราฉีกตั๋วทิ้งๆ แล้วเราจะไปได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน วิญญาณนะ มันขาดไปๆ พร้อมกับขาดไปๆ นะ แล้วมันจะไปไหนมันก็หมดนะสิ มันก็ต้องมีเหตุที่ใจ สวรรค์มี นรกมี จริงอยู่ แต่ในเมื่อเชื้อมันไม่มี บัตรไม่มี เรามีบัตรใช่ไหม ไปซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็ต้องให้เราไปสิ ไปไหนก็ต้องให้เราไป มีบัตร มีทุกอย่าง มีสิทธิพร้อม ถ้าเราไม่มีเราไปไม่ได้ อยากจะไป แต่โทษนะ เขาก็ผลักออกมา วิ่งเข้าไปหาเขาก็ผลักออกมา

นี่เหมือนกัน ถ้าภาวนาแล้วมันขาดออกไปแล้ว ไม่ไปไหน! ในตัวมันเอง สุขของตัวมันเอง ผลักได้คือว่าสวรรค์ในอกนรกในใจ ก็เหตุนี้นี่จริง แล้วพอตายจากนี้ไป ไปสวรรค์ที่มีก็จริง เพราะมันเป็นที่อยู่ของจิต เหมือนกับเราแปรสภาพแล้วนี่ ออกที่นี่แล้วไป แล้วไปไหนนี่ ไปนั่งในศาลานี้ แล้วเราไม่ไปไหนกันเลยนะ อยู่ศาลาแล้วก็อยู่กันอย่างนี้ เราก็อยู่ที่นี่ แต่นี่มันเป็นได้ มันต้องกลับบ้าน

กลับบ้านก็เหมือนกัน ไอ้หัวใจที่ทำดีทำชั่วนี่แหละ ความดีความชั่วในใจมันคิดอยู่ตรงนั้นไง ก็เหมือนที่ยิงลูกหนูไปนั้นล่ะ คิดถึงอะไรตรงนั้นใจมันไป ใจมันไป คิดดีไปดี คิดชั่วไปชั่ว คิดนี่ พอคิดเราพูดได้นี่ เพราะเราเห็นภาพ แต่ลองหลับตาสิ เราคิดสิ เวลาคนตายเป็นอย่างนั้นล่ะ มันนึกไม่ออก ถ้าของเราไม่ได้ทำไว้นะ นี่บุญกุศลทำแล้วมันซับลงที่ใจ ไม่นึกมันก็รู้ ไม่ให้ใครมาบอกเพราะประสบเอง เช่น เราประสบอุบัติเหตุ เราประสบเองนี่ โอ้โฮ! มันจะซึ้งมากเลย ใครมาเล่าก็ไม่ซึ้งเหมือนเราเล่า นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญทำกับมือ ใจมันรู้

ข้าวนี่มาจากไหน ทำงานมาเมื่อวานนี้ แลกเงินเดือนมา เอาเงินไปซื้อมา เราทำกับมือ ใครจะหลอกได้ มันก็ซับลงที่ใจสิ ซับลงที่ใจ คิดถึงมันก็ไปสิ บุญนี่อยู่ที่การกระทำ แต่ถ้าไม่ได้ทำนะ สอนเด็กนั้นสิ บอกเด็กมัน ทำบุญอย่างนั้นๆ มันไม่เป็นหรอก มันไม่เป็น เพราะมันไม่เคยทำ ใจก็เหมือนกัน เป็นอย่างนั้นซับไปๆ เราละออกหมดเลยนี่ โอ้โฮ ! แล้วมันจะไปไหนล่ะ มันก็อยู่ที่ตัวมันเองนั้นแหละ มันก็กลับไปอยู่จักรวาลเดิม (หัวเราะ) มันกลับไปอยู่จักรวาลเดิม

มีคนมาบอกว่า อย่างคนศึกษาพระไตรปิฎกไปแล้วไม่ค่อยเชื่อ เพราะบอกว่าในพระไตรปิฎกนี่ อย่างพระพุทธเจ้าพูดถึงว่าชาติที่แล้ว เห็นไหม ว่าที่พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้นน่ะ เรื่องเหตุการณ์นั้นมันพิสูจน์ได้ว่ามันมีก่อน ๒,๕๐๐ ปี เขาถึงบอกว่า พระไตรปิฎกนี่อาจจะเป็นนิทานก็ได้ เขาว่าอย่างนั้นนะ พระไตรปิฎกเป็นนิทานก็ได้ เพราะเรื่องนี้เก่าแก่ พระไตรปิฏกก็มี แล้วพระไตรปิฎกนี้ไปอ้างถึงเขา คนนั้นมันมาพูดอย่างนั้น จริง ! จริงสิ ทำไมอ้างไม่ได้

คนนี้เวลาอ้าง อ้างเตี่ยของตัวใช่ไหม เตี่ยตัวก็ต้องอ้างถึงก๋งใช่ไหม เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าพูดถึงว่าเราเคยเป็นตรงนั้น อืม.. ขนลุก เราสร้างบารมีมา ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าสร้างมานี่ สร้างมาเป็นพระอะไร? พระเวสสันดรใช่ไหม เป็นพระเวสสันดรมา เวลาพูดก็พูดกลับไป เราเคยเป็น ก็พูดถึงอดีต ทำไมมันจะไม่ไปตรงกับอดีตนั้นล่ะ

ก็พูดถึงเรื่องอดีตชาติโว๊ย ไม่ใช่เรื่องปัจจุบันนี่ แล้วพอๆ เขาไปอ่านเขาก็บอกว่า โอ้! มันมีก่อนพระไตรปิฎก อ้าว ถ้ามันมีหลังถึงจะบอกว่าพระไตรปิฎกมันผิด เพราะอะไร เพราะพระไตรปิฎกพูดก่อน เรื่องมันยังไม่เกิด ก็เรื่องมันเกิดพูดตามเหตุตามผล พูดตามความเป็นจริง แล้วมันจะผิดไปตรงไหน

อันนี้คนไม่เข้าใจพูดเรื่องอดีตชาตินี่ เรื่องอดีตชาติใช่ไหม ก็ต้องพูดถึงเรื่องอดีตสิ แล้วเราก็ต้อง ถูกต้องสิ โอ๋! ๒ อสงไขย เห็นไหม ๔ มหากัป พระพุทธเจ้าสร้างบารมีมา มันขนาดไหนล่ะ จนสาวไปไม่ได้ แล้วจะพูดถึงอดีตไม่ได้ พูดถึงแล้วบอกว่าไม่เชื่อ เอ้า! ก็ไม่ได้คิดถึงตรงนี้นี่ ไม่คิดถึงเรื่องภาวนานี่ ลองย้อนกลับสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณลองย้อนกลับไปดูสิ ย้อนกลับไปที่ชาติที่แล้วมันก็ต้องเลือนไปในชาตินี้แล้ว แล้วเลือนไปกี่พันชาติ กี่แสนชาติ แล้วทำไมมันจะเข้ากันไปไม่ได้ โลกนี้มันกี่ล้านๆ ปีล่ะ

ไม่เชื่อ ว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็เป็นกรรม อย่างอาจารย์ท่านว่านะ ของเรามีอยู่แล้ว นี่เราพูด ที่จะเตือนก็เตือนตรงนี้ ตรงที่เกิดมานี่แล้วมาเจอ เหมือนตอนนี้ โอ้โฮ! ตลาดกำลังดีนะ การค้ากำลังคล่องตัว เพราะอะไร เพราะศาสนธรรมมีอยู่ ครูบาอาจารย์มีอยู่ ทุกอย่างการปฏิบัติกำลังพร้อมทุกอย่าง ร่างกายก็แข็งแรง เหมือนกับการค้ากำลังคล่องตัวเลย แต่เรานอนจมอยู่ เวลาตลาดวายแล้วขายไม่ออก ก็โอ๋! ฉันจะขายๆ เออ! แล้วตอนนั้นแล้วจะรู้จัก พอตลาดวายแล้ว แหม! ฉันจะปฏิบัติ แต่ตอนนี้นะ ตอนนี้ๆ พร้อมทุกอย่างเลย พร้อมหมดเลย พูดถึงว่า โอ้โฮ! กำลังคล่องตัว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อก็หมด เห็นไหม ถ้าเชื่อปั๊บ ฟังสิ พระพุทธเจ้าบอกไง ทรัพย์ของมนุษย์เรานี่ที่ประเสริฐที่สุดคือศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อ ถ้ามีศรัทธานี่ อย่างมานี่เพราะอะไร ถ้าไม่ศรัทธา ไม่เชื่อในบุญ มาทำไมกัน ศรัทธามันเป็นตัวลากไปหมดเลย หัวรถจักรไง รถไฟไง หัวรถจักรนี่จะลากไปหมดเลย

นี่เหมือนกัน ความเชื่อ ความศรัทธานี่ลากไปหมดเลย พอศรัทธาแล้วลากไปแล้ว ค่อยไปพิจารณาว่าถูกหรือผิด ภาวนาไปผิดอยู่แล้ว ลากมาก่อนแล้วมาพิจารณา ถ้าลากมาแล้วก็มาภาวนาไง ผิดแล้วก็แก้ให้ถูก ถูกๆๆ ถ้าถูกไปแล้วก็ค่ามันต้องถูกไปด้วย แล้วถูกก็ตัวที่ว่านี่ ปฏิบัติแล้วไปยึด กูทำแล้ว กูทำแล้วไง แบกเหล็กมาเจอทอง ไม่เอาล่ะ ฉันแบกมาไกล มันไม่กล้าทิ้ง เหนื่อยไง ยึดว่าฉันแบกมานาน เหมือนกันปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติไปๆ มันตัดไม่ได้ มันจะทำลายหัวใจเราได้อย่างไร

โอ๋! ถึงเวลามันต้องทำลายสิ ตัวนี้ภาวนามยปัญญาไง ปัญญาที่ไม่มีตัวตน ปัญญาที่ขับเคลื่อนมาจากการที่เราเข็นขึ้นไปนี่แหละ เราเข็นขึ้นไปนี่ สมาธิเห็นไหม จิตเป็นหนึ่ง ก็พิจารณาไป พอออกจากพิจารณา ออกจากสมาธิอันละเอียด สมาธิกลางๆ หรือหยาบๆ พิจารณา เห็นไหม พอกลางๆ นี่มันก็มีเรามีเขา เพราะมันบังคับได้ พิจารณาไปเรื่อย ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนสมาธินั้นละเอียดจนไม่มีตัวตน

ปัญญานี้มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาของธรรมจักร มันหมุนเคลื่อนตัวมันเอง โดยเราส่งขึ้นไปจากแรงขับเคลื่อน แรงส่งของการกระทำของเรา แล้วมันจะหมุนมันเอง แล้วมันจะตัดกิเลสเอง ตัดกิเลสในใจของเราเอง แล้วเรากลับไปอยู่กับจักรวาลไง เพราะไม่มีเจ้าของ

แต่จริงๆ แล้วมี มีพวกเราเป็นเจ้าของ แต่ก่อนจะตัดต้องตัดอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นมันตัดไม่ได้ เพราะการเป็นเจ้าของมันแบ่งแยก มันแบ่งแยกให้เราตัดเป็นที่ๆ ไง มันมีเจ้าของ มันก็ตัด อู๊ย เจ็บ ไปไกลๆ หน่อย จะตัดมือไม่ได้ไง กลัวเจ็บไง ผลักไว้ๆ ไง เห็นไหม แต่ถึงเวลามันตัดเข้าไปเรื่อยๆ จนแขนขาด ขาดหมด!

นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปัญญาของการจินตนาการ แต่เริ่มจากการจินตนาการนี่แหละ แต่ถึงตรงนั้นแล้วไม่ใช่จินตนาการ จินตนาการไม่ได้ ถ้าจินตนาการผิด จินตนาการนี้เป็นโลกียะ มันจะหมุนของมันเอง นี่ธรรมจักร นี่จักรของธรรม จักรที่ฆ่ากิเลส จักรอันนี้ประเสริฐ เกิดจากการกระทำของเรา เกิดจากรั้วรอบภายใน เกิดจากพุทธะทุกองค์ที่ขึ้นมานี่ เกิดมาแต่ในนี้ ฮื้อฮือ! ยิ่งพูดยิ่งมัน....(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)