เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ต.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เดี๋ยวจะมีกิจกรรมเนาะ เพราะที่นี่เขาขอเข้ามา เขาขอเข้ามาหมายความว่า เวลาก่อนเข้าพรรษา เราก็ขอขมาลาโทษ แล้วก็อธิษฐานพรรษา ว่าใน ๑ พรรษานี้เราจะทำดี เห็นไหม เราหวังปฏิบัติกันเพื่อคุณงามความดี แต่คนอยู่ด้วยกัน มันก็มีการผิดพลั้ง พลาดพลั้งไป

การพลาดพลั้งไป การกระทำโดยที่เจตนาและไม่เจตนานี้มันมีผลไง มันมีผลหมายถึงว่า ถ้าเราไม่ปฏิบัติ มันก็เป็นของพื้นๆ นี่แหละ แต่คนที่ปฏิบัตินะ มีคนจะมาถามปัญหานี้มาก ว่าเวลาภาวนาไปแล้วนี่เราไม่ได้ตั้งใจเลย แต่พอมันตั้งใจมันมีติมีเตียน มีคำด่าอะไรเกิดขึ้นมาจากหัวใจไง มันเกิดจากนี่แหละ ! “มันเกิดจากการกระทำที่เราไม่เข้าใจ”

แล้วพอมันเข้าใจนะ พระรัตนตรัยนะ... นี่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมนะ ถ้ามีใครคัดค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิ่ง.. จะนิ่งเพราะอะไร จะนิ่งเพราะถ้าท่านเทศนาว่าการไป ท่านทำสิ่งใดไป “บุคคลคนนั้นศีรษะจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง ! คนๆ นั้นจะตกนรกอเวจี”

ด้วยความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิ่ง ! นิ่ง ! แต่ขณะที่เขาทำไปนี่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาทำกรรมนะ เวลาเขาติเตียนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาติเตียน เขาถากถาง.. เขาว่าเขาทำแล้วเขาได้ประโยชน์นะ เพราะทางโลกเขาเป็นผู้กระทำใช่ไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิ่ง ! แล้วบอกว่าท่านไม่ตอบโต้ ไม่ทำสิ่งใด เพราะท่านเทศนาว่าการ เวลามีสิ่งใดปั๊บ ! ท่านจะนิ่ง ท่านจะหยุดเลย เพราะกรรมของคนนั้นมันจะรุนแรง

ครูบาอาจารย์ของเรามันก็เหมือนนิวเคลียร์ไง นิวเคลียร์ในทางสันติจะให้ประโยชน์มหาศาลเลย แต่ถ้าการทำลายนะมันก็ทำลายมหาศาลเลย แต่นิวเคลียร์.. อวิชชา.. ความไม่รู้ในหัวใจของเรานี้มันอยู่กับใจของเรา เราทำสิ่งใดไปนี่เราทำด้วยความไม่รู้ของเรานะ เราทำไปด้วยความไม่รู้ เราคิดว่าเราทำคุณงามความดีไป ไปวัดไปวานี่จะไปประพฤติปฏิบัติ ไปทำคุณงามความดีกัน แต่มันมีความแว็บเข้ามาในใจไง

หลวงตาท่านบอกว่า ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วยนะ นี่คนอายุ ๘๐ เป็นวัณโรค แล้วหนาวมาก.. หนาวจนติดลบ แล้วคนนอนอยู่ จนท่าน ฮ้า ! อย่างนี้ คือท่านผ่อนคลายของท่านไง นี่เวลาจิตมันแว็บขึ้นมานะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังว่า จิตมันแว็บขึ้นมาว่า “พระอรหันต์จะเผลอหรือเปล่าหนอ..” นี่มันคิดขึ้นมา เห็นไหม พอพวกเราคิดขึ้นมา...

ศาสนาพุทธ ! เขาบอกว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา” เรามีปัญญานะ ทางวิทยาศาสตร์เราคิดหาเหตุหาผลหรือทำวิจัยนี่ถูกต้องนะ “กาลามสูตร.. ไม่ให้เชื่อ !” ให้ทำวิจัย แต่เวลาเราไม่เชื่อนี่เราจะหาเหตุผลไง เราไม่เชื่อสิ่งนี้ปั๊บ เราจะหาเหตุผลในทางลบเข้าไป.. เข้าไป

“ไอ้ตรงหาเหตุผลทางลบนี่แหละเป็นกรรม”

เพราะถ้าเราไม่เชื่อ.. คำว่าไม่เชื่อ มันก็ต้องหาเหตุผลทางลบ พอหาเหตุผลทางลบนี้ก็เพื่อให้สมกับความเชื่อของตัว ถ้าหาเหตุผลให้สมกับความเชื่อของตัว อันนั้นแหละมันเกิด ถ้ามันเกิดด้วยความรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ เห็นไหม

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ท่านจะพาให้ขอขมา”

ฉะนั้นเวลาเราเห็นแก่หัวใจของสัตว์โลก... หัวใจของสัตว์โลกจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ เวลาไปนั่งภาวนา เวลาทำใจให้สงบขึ้นมา มันจะผุดขึ้นมาไง แล้วมันผุดขึ้นมานี่มันก็ไม่ได้ทำ ! เราก็เคารพครูบาอาจารย์มหาศาล.. อาจารย์เราก็รัก.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็เทิดทูนบูชา แต่เวลาปฏิบัติไป พอจิตมันสงบ ทำไมสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาล่ะ.. ทำไมมันขับดันขึ้นมาออกจากใจล่ะ..นี่ไงมันเกิดมาจากตรงนี้ !

“ฉะนั้นเราขอขมาลาโทษ ! เราขอขมาลาโทษ ! จะตั้งใจก็ดี.. หรือไม่ตั้งใจก็ดี.. รู้ก็ดี.. หรือไม่รู้ก็ดี.. ขอขมาลาโทษกับพระรัตนตรัย ! พระพุทธ.. พระธรรม.. พระสงฆ์.. เราขอขมาลาโทษ”

สิ่งนี้เราไม่รู้ไง แล้วสิ่งที่ไม่รู้ เห็นไหม ดูสิเชื้อโรคเราไม่รู้ นี่เรากินเราใช้ประโยชน์กับสิ่งนั้นโดยเต็มมือเราเลย เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเชื้อโรค แต่ถ้าใครรู้ว่าเป็นเชื้อโรค เป็นภัยไข้เจ็บใครจะกล้าไปใช้ นี่มันใช้ไม่ลงหรอก ดูอย่างอากาศเห็นไหม อากาศที่เราหายใจกันอยู่นี่ ถ้าอากาศเป็นพิษนะตายหมดเลย แต่นี่เราไม่รู้ไง เพราะมันมองไม่เห็นด้วยตา มันไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษ

เวลาอวิชชา.. มารนี่มันครอบงำหัวใจเรามา เราเกิดมานี่ก็เพราะมันนี่แหละ เราเกิดมาเพราะอวิชชา เราเกิดมาเพราะมีตัณหาความทะยานอยาก เราถึงเกิดมานั่งกันอยู่นี่ไง แต่เราก็ยังทำบุญกุศลกันมาพอสมควร เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์

มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์มีการเจือจานกัน.. สัตว์ ! สัตว์เวลามันทำร้ายกันนะ มันเป็นอาหารนะ มันเอาชีวิตต่อชีวิต แลกกันเพื่อการดำรงชีวิตของเขา นั่นเป็นเรื่องของสัตว์

เรื่องของสัตว์เพราะอะไร “นี่อบายภูมิ ๔” เกิดในวัฏฏะนี่จิตเคยเกิดมาทั้งนั้นแหละ เราเคยเกิดเป็นเสือเป็นสาง เคยกินเขามา... เราก็เป็นนกเป็นปลา ไปให้เขากิน.. เป็นทั้งนั้นแหละ !

เราเกิดมานี่ เรารู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ มันอยู่ในหัวใจของเรา.. มันอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นผลของวัฏฏะไง ! ผลของวัฏฏะ... เวลาเกิด เวลาเป็นไป เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยนี่ทุกคนไม่อยากเป็นหรอก แต่ทำไมมันเป็นล่ะ.. ทำไมมันเป็นของมันล่ะ แล้วไม่ต้องการ มีใครบ้างอยากเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีใครอยากเป็นหรอก ! แต่มันเป็นขึ้นมา เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย เราเกิดมานี้ร่างกายชราภาพไป มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของสสาร เป็นเรื่องของชราคร่ำคร่า นี่โรคชรา ! โรคอุปาทาน คิดจนเป็นไง... อุปาทานนี่เห็นไหม โรคเครียด ! พอเครียดขึ้นมาแล้วมันเป็นทั้งนั้นแหละ

นี่โรคเครียด ! นี่เรื่องอุปาทาน ! แล้วก็โรคกรรม !

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยของเรานี้เป็นได้ ๓ ทาง

ทางที่ ๑ คือมันชราคร่ำคร่า โดยสภาพของมันตามความเป็นจริง..

ทางที่ ๒ คือด้วยอุปาทาน ด้วยความนึก ด้วยความตรึก.. ตรึกจนเป็น..

ทางที่ ๓ คือกรรม !

กรรมนี่เห็นไหม เราจะพยายามแก้ไขกัน เหตุที่เราเรื่องกรรมนี้ เราจะเอาแต่กรรมดี กรรมดีทำให้ร่างกายแข็งแรง.. กรรมดีทำให้เรามั่นคง.. กรรมดีทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง.. เราถึงทำคุณงามความดีกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ สอนอย่างนี้ ! สอนให้ใช้ปัญญา แต่ปัญญานี้มันต้องเป็นปัญญาปัจจุบัน... แล้วปัญญา เห็นไหม บอกว่าเป็นปัญญา แล้วบอกว่านี่มันมีกรรมๆ เกิดมาทุกข์ยากอย่างนี้ แล้วมันกรรมอะไรล่ะ เราก็จะย้อนอดีตชาติกัน จะหาเหตุหาผลกัน อันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วนะ

“สิ่งใดทำแล้วเสียใจ.. ร้องไห้.. สิ่งนั้นไม่ดีเลย”

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำมาแล้วนี่เราไม่รู้.. ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นทำมา แต่ในปัจจุบันนี้เรารู้ ! ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม มนุษย์สมบัติมีคุณค่ามาก.. มนุษย์สมบัติให้มีรู้ร้อน รู้หนาว รู้เย็น รู้ดี รู้ผิด รู้ถูก รู้ชั่ว รู้ดี

แต่เรามีสติปัญญาควบคุมเราไหมล่ะ.. เราไม่มีสติปัญญาเพราะเราไม่ได้ฝึกฝน เราปล่อยให้สติปัญญา ปล่อยให้จิตใจเราอ่อนแอ เราปล่อยตัณหาความทะยานอยาก ปล่อยมันจนเคยตัว เราไม่เคยบังคับตัวเราเองเลย เราไม่เคยควบคุมดูแลเราเลย

เวลาเราทำอะไรก็จะเป็นความลำบากลำบนไปหมดเลย ถ้าเราปล่อยตามสบายนี่เป็นเรื่องความดีทั้งหมดเลย แต่ความดีนี้ ถ้ามันเป็นความดีจริง มันก็ดีจริงๆ แหละ แต่ความดีโดยตัณหาความทะยานอยาก หรือดีด้วยอวิชชา เราก็ไม่รู้ไง เราไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีจริงไง

ฉะนั้นเราจะต้องมีศีล ! ศีลมันเป็นเครื่องกลั่นกรอง เห็นไหม พอมีศีลมีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองขึ้นมา พอนั่งภาวนา ตอนเวลานั่งภาวนานี่มันเป็นเรื่องจริงเลยล่ะ ! เพราะเวลานั่งภาวนาแล้วมันเป็นโดยเหตุโดยปัจจัย โดยความเป็นจริงหมดเลย ไม่มีใครบังคับได้ ไม่มีใครควบคุมได้ ไม่มีใครจะคิดได้ ไม่มีใครจะจินตนาการได้

“ภาวนามยปัญญามันจะเกิดโดยสัจจะ โดยข้อเท็จจริง”

ฉะนั้นเวลาเราทำบุญกุศล เราทำทาน รักษาศีล แล้วภาวนา ทำใจของเราให้สงบ แล้วพยายามสร้างขึ้นมาให้เป็นสัจจะ ให้เป็นอริยสัจจะ.. ถ้ามันเป็นสัจจะขึ้นมาแล้ว นี่ไงมันแก้ไขกันตรงนี้ไง ! ถ้าแก้ไขตรงนี้ปั๊บ ! มันจะพ้นเวรพ้นกรรมได้ไง

เวรกรรมนี่พ้นได้นะ ! กำนี่พอแบก็หาย.. กำก็แบออกสิ ! แบออก.. แบออก.. ทำไมมันไม่แบล่ะ เวลามันทุกข์ก็ปล่อยสิ ! ทำไมมันไม่ปล่อยล่ะ.. ปล่อยก็ปล่อยโกหกไง ปล่อยกันแต่เอาหน้าเอาตาไง ว่าปล่อยๆ แล้วปล่อยจริงหรือเปล่า ! ของมีอยู่ปล่อยไม่ได้หรอก.. ของมีอยู่มันจะหายไปโดยธรรมชาติไม่ได้หรอก.. เป็นไปไม่ได้ !

“มันจะเป็นไปได้ด้วยมรรคญาณ.. มันเป็นไปได้ด้วยสัจจะความจริง” มันรู้มันเห็นนะ คนเราเห็นไหม ดูสิ ในทางการแพทย์ ถ้าคนเป็นโรคแล้วหายนี่เขาไม่เชื่อหรอก ! เขาต้องมีการรักษา มันต้องมีเหตุมีผล

นี่ก็เหมือนกัน เราเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจของเรามีตัณหาความทะยานอยาก เราเกิดมานี่มีกิเลสทั้งนั้นแหละ ! จะมั่งมีศรีสุข ทุกข์ทนเข็ญใจ เหมือนกันหมด ! มีค่าเท่ากันหมด ! เกิดเป็นคนเหมือนกัน กินเหมือนกัน ถ่ายเหมือนกัน แต่หัวใจไม่เหมือนกัน.. หัวใจไม่เหมือนกันด้วยบุญด้วยกุศลนี่ไง มันด้วยการกระทำของเราไง

ฉะนั้นสิ่งนี้ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราเกิดมาในพุทธศาสนา มีครูบาอาจารย์ เห็นไหม วันนี้ถึงจะให้ตั้งใจ นี่พูดก่อนให้เข้าใจ พอเข้าใจแล้ว มันทำออกมาจากใจไง

ถ้าเราเข้าใจว่าเราทำเพื่อใคร การกระทำของเราทุกๆ อย่าง ทำเพื่อหัวใจของเรานะ ! ทำให้ไอ้ที่ไม่รู้นี้.. ไอ้หัวใจที่มันไม่รู้เรื่องอะไรนี้แหละ.. ไอ้ที่ว่ามันเก่งๆ นี้.. มันไม่รู้จักตัวมันเองนี้แหละ... ทำเพื่อมัน ! ทำเพื่อมัน !

ฉะนั้นเดี๋ยวจบนี่แล้วจะให้เริ่มต้นนะ ให้เริ่มต้นแล้วให้ นะโม ตัสสะ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน แล้ว “ระตะนัตตะเย...” เนาะ.. ถ้าผู้นำมีใครนำได้ แล้วไปพร้อมๆ กัน ขอขมาลาโทษกับอริยสัจ กับสิ่งที่เป็นความจริง แต่พวกเรามันทำไม่จริง เพราะมันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพ ขอเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจ

“แก้วสารพัดนึก ! พระพุทธ.. พระธรรม.. พระสงฆ์.. เป็นพระรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึก”

นึก เห็นไหม นึกจะทำทานก็ได้ทาน.. นึกจะได้รักษาศีลก็รักษาศีล.. นึกจะภาวนาไม่ได้ ! “นึกจะภาวนาต้องเป็นภาวนามยปัญญา” มันจะเกิดขึ้นด้วยสัจธรรม มันจะเกิดขึ้นด้วยมรรคญาณ มันจะเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของเรา แล้วเราจะมหัศจรรย์กับหัวใจของเรามาก.. เราจะมหัศจรรย์กับพุทธศาสนามาก.. แต่พวกเราเข้ากันไม่ถึง พวกเราก็เลยงงๆ กันอยู่นี่ไง.. งงๆ แล้วพอใครมาชี้ทางไหนก็ไปกับเขา เพราะความอยากได้

ฉะนั้นตั้งใจนะ ! เสร็จแล้วจะให้ทำพิธีเนาะ ขอขมากัน มาเริ่มต้นเนาะ.. เอวัง