ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

บารมีธรรม2

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๓

 

บารมีธรรม ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอานี่เลยล่ะ ข้อ ๒๕๓. เนาะ

ถาม : ๒๕๓. เรื่อง “วิธีวัดบารมีตัวเอง”

กราบนมัสการพระอาจารย์สงบด้วยความเคารพเลื่อมใสครับ ผมอยากขอโอกาสถามอาจารย์ คำถามคือ เรามีวิธีการวัดบารมีตัวเองไหมครับ ว่าบารมีของเราจะเหมาะสมกับเพศนักบวชหรือเพศฆราวาส เพราะถ้าเราเลือกการตัดสินใจเป็นเพศนักบวชแล้ว กระผมกลัวบารมีไม่ถึง เกรงว่าจะไม่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปจนตลอดรอดฝั่ง เหมือนเรือล่มกลางคัน กระผมขอเมตตาท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะให้กระผมด้วยครับ

หลวงพ่อ : ไอ้นี่มัน พื้นฐาน เห็นไหม เวลาพระเราอยู่ในศาสนา เวลาใครบวชใหม่ๆ บอกว่าไม่สึก ! ไม่สึก ! ตลอดชีวิตทั้งนั้นแหละ แต่ไปถึงนี่ไปหมด ฉะนั้นเวลากรณีอย่างนี้เราไม่รู้หรอก

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้ในวงการพระ เห็นไหม เวลาส่งบัญชีกลางปี นวกะ.. ฐานของเจดีย์จะกว้างมาก พอขึ้นไป ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา เวลาส่งบัญชีกลางปีจะถามว่า “พระ ๑๐ พรรษาเหลือกี่องค์.. พระ ๒๐ พรรษาจะเหลือกี่องค์” ฉะนั้นพระพรรษามากๆ นี่จะเหลือน้อย.. เหลือน้อยไปเรื่อยๆ

ฉะนั้นเวลามันอยู่นานไปๆ ถ้านานไปแล้วภาวนาเป็นนะ ภาวนาดีนี่โอ้โฮ.. มีความสุขมาก แต่ถ้าภาวนาไม่เป็นนะ ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เขาก็บอกว่าอยู่เพื่อภพชาติสั้นเข้า เพราะเราทำคุณงามความดีตลอดไง ถึงจะไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีไป

ฉะนั้นบอกว่าเราจะรู้ว่าบารมีๆ เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปรารถนาพุทธภูมินะ แล้วหลวงปู่มั่นมาเป็นสาวก-สาวกะ นี่หลวงปู่มั่นทอนอำนาจวาสนาบารมีตัวเองไปเท่าไหร่

นี้เพียงแต่ว่าอยู่ที่ปัญญา... หลวงปู่มั่นเวลาท่านจะลาพุทธภูมินะ ท่านลาพุทธภูมิ ในความคิดไง ท่านบอกว่า “ถ้าเกิดตายๆ ไป จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังทุกข์ยาวไกลอีกมหาศาลเลย แต่ถ้าลาพุทธภูมิ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นสาวก-สาวกะ เห็นไหม ก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน”

สาวกภูมิกับพุทธภูมินี้มันเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน คือความสะอาดบริสุทธิ์เท่ากัน มันต่างกันที่วาสนา.. วาสนาตรงไหน ! วาสนาตรงที่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย

คำว่าอสงไขย เห็นไหม ดูสิเจือจานเขา นี่เจือจานมานะ เป็นกษัตริย์นะ ดูแลสังคมทุกอย่างมาตลอด มีแต่เสียสละๆๆ ตลอด อันนี้มันถึงว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เห็นไหม นี้มันมาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากไหน ก็มาจากจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กระทำมา

ถ้ากระทำมานะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านลาพุทธภูมิ นี่ท่านคิด เพราะคำพูดอย่างนี้.. เราเองเราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่นหรอก แต่หลวงปู่มั่นเล่าให้หลวงตาฟัง แล้วหลวงตาก็มาเล่าให้พวกเราฟัง ว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านพิจารณาของท่าน ว่าท่านจะลาพุทธภูมินี่ท่านคิดอย่างไร ทีนี้หลวงตาท่านอุปัฏฐากอยู่ เห็นไหม อยู่กันสองต่อสองตอนกลางคืนทุกคืน นวดเส้น แบบว่าอุปัฏฐาก มันก็มีเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

เวลาความคิดไง เราต้องคิดถึงมุมมองของหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นว่า “ถ้าเราจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้า... ก็รู้ ! แต่ยังต้องทุกข์ยากไปอีกขนาดไหน ยังเกิดตายอีก โอ้โฮ.. ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย นี่ยังไม่ได้ซักอสงไขยเดียวเลย” เพราะยังไม่ได้พยากรณ์ใช่ไหม หลวงปู่มั่นนี้ยังไม่ได้พยากรณ์นะ

แต่พอเวลามาคิดมุมกลับ “ถ้าเราสำเร็จในชาตินี้ !” ถ้าเราสำเร็จในชาตินี้ เห็นไหม “เราก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เลิกกันที ไอ้เกิดตายๆ นี่เลิกกันที !” แต่ถ้าเป็นสาวก-สาวกะนี้ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาบารมีตรงนั้นไง

นี่พูดถึงบารมี เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่าน แล้วพอรู้ของท่านทีนี้ย้อนกลับมา.. ย้อนกลับมาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า “กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” เวลาเราศึกษาสิ่งใดนี่เราจะดูภาพรวม ดูเฉพาะบุคคล แล้วเราดูสังคม แล้วมารวมตัวกันอย่างไร นี่กรรม.. ผลของวัฏฏะนี่มันจะลงตัวอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้เลยว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

คำว่าเจริญของพระเรา เจริญของผู้ปฏิบัติ คือมีพระอรหันต์เยอะ ! คือมีผู้สำเร็จมรรคผล แล้วผู้สำเร็จมรรคผลนั้นเอาความรู้จริงอันนั้นมาเผยแผ่ มาทำให้คนเข้าสู่มรรคผล... มันเจริญตรงนี้ ! มันไม่ได้เจริญที่วัตถุ ไม่ได้เจริญที่สิ่งใดๆ เลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวแท้ๆ เลย นี่วางศาสนาไว้ เห็นไหม ดูสิทั่วโลกเลยชาวพุทธนี่ แล้วการก่อสร้างต่างๆ พุทโธบูโดนี่ใหญ่ขนาดไหน มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากศรัทธาใช่ไหม ต้นขั้วมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวแท้ๆ เลย !

ฉะนั้นย้อนกลับมา.. ย้อนกลับมากรรมฐานเรา มาจากหลวงปู่มั่นแท้ๆ เลย ! หลวงปู่มั่นองค์เดียวแท้ๆ เลย ! นี่ความเจริญมันเจริญเพราะคนรู้จริงไง

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าบารมี.. วัดบารมีอย่างไร ถ้าอย่างนี้ปั๊บมันอยู่ที่เรา ว่าเราจะเอาจริงแค่ไหน ถ้าเราเอาจริงแค่ไหนนะ ถ้าคนจริงนี่เราสังเกตได้ สังเกตตั้งแต่หลวงปู่เจี๊ยะ.. หลวงตา.. หลวงปู่ชอบ ต่างๆ คนที่จะสิ้นสุดแห่งทุกข์มันมีสัจจะ พูดจริงทำจริง สว่างคือสว่าง อดอาหารกี่วันๆ ต้องอย่างนั้น ! ต้องอย่างนั้น !

นี่ไงมันมีตรงนี้ เห็นไหม ไอ้แค่นี้มันเป็นสมบัติจากภายในของเราใช่ไหม คนที่มีสัจจะ คนพูดคำไหนคำนั้นมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากหัวใจที่มันจริงของมันนั่นล่ะ ถ้ามันมีสัจจะตรงนี้ มันทำสิ่งใดมันจะมีโอกาสของมัน เห็นไหม แล้วบารมีอย่างนี้มันวัดกันที่นี่ แล้วเราดูสิเหมือนกับกรณีหาช้างเผือก เราหาช้างเผือกขึ้นมาเพื่อสร้างนักกีฬาอาชีพ เราไปมองหากันๆ เราหามาตลอด ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันมีแววตรงนี้ไง ถ้ามันมีแววตรงนี้ นี่บารมีมันอยู่ที่นั่น !

ฉะนั้นถามว่าให้วัดๆ ทุกคนนะเวลาเราพูด เวลาครูบาอาจารย์พูดนี่เหมือนหมอเลย หมอเวลาคนไข้มานี่ร้อยแปดพันเก้า เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยมา เขาทุกข์ยากมา เขาต้องมารำพันกับหมอ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์เวลาแก้การภาวนา เวลาเขาภาวนาติดขัดมา นี่มันจะวิ่งมาหาครูบาอาจารย์

เรื่องอย่างนี้ฟังมาเยอะมาก ! ใครๆ ก็อยากให้รู้ว่าบารมี เห็นไหม แล้วเวลาปฏิบัติไปเหมือนเด็กๆ เลย เด็กๆ มันเล่นกันนี้ประสาเด็กนะ เพียงแต่เราเทียบเฉยๆ เวลาเราภาวนาเหมือนเด็กๆ เห็นไหม เด็กภาวนาหัดใหม่นี่ พอภาวนาหัดใหม่ปั๊บ พอจิตมันเริ่มมีอาการนะ... โสดาบัน ! โสดาบัน ! มาถึงวิ่งมาเลยนะ “อย่างนี้ครับ.. อย่างนี้ครับ” คือต้องให้เราว่า “เออ..” ไง ถ้าไม่เออ.. นี่เป็นปัญหาเลย โอ๋ย.. หลวงพ่อเป็นปัญหาเลย

พอมันปฏิบัติไป ใครมาก็จะโสดาบัน.. โสดาบัน.. อย่างนี้แหละ นี่อันนี้เขาเทียบถึงบารมี เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าหลวงปู่เจี๊ยะนี่นะท่านเล่าให้ฟังเอง ท่านได้สกิทาคามีนะไม่มีใครรู้เลย ไม่บอกใครซักคำ ท่านพูดกับเราเอง เวลาเราอยู่กับท่าน ท่านพูดกับเราเองเลยว่าไม่บอกใคร ต้องขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นองค์เดียว ต้องไปบอกต่อหน้าหลวงปู่มั่น

พรรษา ๒ ออกจากวัดทรายงามขึ้นไปเชียงใหม่ นั่นล่ะได้ ๒ ขั้น ได้สกิทาคามี ไม่มีใครรู้.. แม้แต่หลวงปู่กงมาก็ไม่รู้.. แล้วท่านพูดเองท่านพูดกับเราเอง ไม่พูดให้ใครฟังเด็ดขาด เรื่องการภาวนาของหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านไม่เคยพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ต้องหลวงปู่มั่นเท่านั้น ! ต้องหลวงปู่มั่นเท่านั้น ! คนที่จะได้ฟังของท่านคือหลวงปู่มั่นองค์เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ !

นี่ท่านเล่าให้ฟังเองนะ ท่านเล่าให้เราฟังเอง เวลาอยู่กันตัวต่อตัว กลางคืนท่านเล่าให้เราฟังทุกคืน ทีนี้กรณีอย่างนี้เราก็จับ เห็นไหม จับถึงจริตนิสัย ว่าบารมีคนที่จะสิ้นกิเลส แล้วมาดูหลวงตาสิ ดูหลวงปู่เจี๊ยะสิ ดูหลวงปู่ชอบสิ พูดคำไหนคำนั้น ! แล้วเอาจริงเอาจังมาก

แล้วกรณีอย่างนี้คนที่จะรู้ดีที่สุดคือพ่อแม่ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างนี้มา พ่อแม่จะรู้เลยว่าลูกเราจริงแค่ไหน สั่งอะไรไปลูกทำได้ดีหมด แล้วบางคนสั่งไปแล้วมันพลิกไปพลิกมา เห็นไหม นี่โลเลไม่โลเลมันอยู่ที่ใจของเขา

อันนี้พูดถึงว่าวัดบารมีไง เพราะเรามีกรณีอย่างนี้ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา แล้วนิสัยมันชอบไง ชอบศึกษา เวลาครูบาอาจารย์ของจริงนี่เราชอบศึกษาชีวิต ศึกษาประวัติของท่าน แล้วศึกษาการภาวนาของท่านว่ามันวิกฤติขนาดไหน มันลำบากลำบนขนาดไหน เวลาจิตใครจะสงบได้มากได้น้อยแค่ไหน

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟังนะ นี่คนมีวาสนา ทั้งๆ ที่ไม่คิดจะบวชนะ.. ไม่คิดจะบวชนะ จะมีแฟนอยู่แล้ว ไม่คิดจะบวช ทีนี้พอบวชเข้าไป นี่คนมีวาสนา เห็นไหม “เราเป็นคนอายุ ๒๐ เศษๆ (๒๑) พวกคนจำศีลอายุ ๘๐-๙๐ เขายังนั่งสมาธิได้ แล้วมึงอายุ ๒๐ ข้าวก็แบกได้ อะไรก็ทำได้ ทำไมแพ้คนแก่ !”

นี่ไง นี่ความคิดของท่านนะ “ทำไมเราแพ้คนแก่ คนแก่เขานั่งสมาธิ ๒-๓ ชั่วโมง เอ้อ.. ไอ้เราก็กินข้าวชาวบ้าน บิณฑบาตเขามากิน แล้วทำไมสู้เขาไม่ได้” มันก็เลยตั้งแรงอธิษฐานขึ้นมา แล้วพอถึงสุดท้ายแล้วไม่นอน ท่านเล่าให้ฟังหมดล่ะเวลาท่านปฏิบัติมาอย่างไร โอ้โฮ.. ดูสิเวลาท่านพูดให้ฟัง เห็นไหม เวลานั่งตลอดรุ่ง ท่านว่า “คืนนี้จะนั่งตลอดรุ่ง.. ถ้ามันลุกออกไป มันไม่นั่งมันลุกออกไป.. ลุกออกไปขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอให้ธรณีสูบ” เนี่ย.. ใครจะไปกล้าอธิษฐานอย่างนั้น

บารมี ! บารมี ! เพราะบารมีของคนมันมีสัจจะ มันถึงทำของมันใช่ไหม นี่เวลาพูดกันเขาถึงว่าวัดบารมีของเรา

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้อย่างหนึ่ง.. เวลาคนที่ปฏิบัติขึ้นมา เล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา นี่อ่อนด้อยมาก ก็บอกว่า “นี่เข้มแข็ง.. เป็นสมาธิ.. มันเป็นปัญญา.. มันเป็นโสดาบันหรือยัง” ไอ้นี่มันเลื่อนลอยมากเลย แล้วเป็นอย่างนี้เกือบร้อยทั้งร้อย.. ร้อยทั้งร้อยภาวนามานะมันเพิ่งเริ่ม ประสาเรานะว่ายังไม่ทำอะไรเลย ถ้าจะกินข้าวก็เพิ่งจะกางโต๊ะ ยังไม่มีถ้วยชามด้วย มันบอกว่าเป็นโสดาบันแล้ว

นี่มันถึงแตกต่างกับครูบาอาจารย์ของเราไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำจริงทำจังนะ นี่พูดถึงบารมี เราก็วัดตัวเราเองสิ ว่าเราจะเลือกทางไหน.. ถ้าเลือกทางไหนนะถ้ามันเป็นจริงได้.. ถ้ามันเป็นจริงไม่ได้ เห็นไหม เพราะว่าเราอยู่กับหลวงตา บางคนไปบอกเลยว่าจะลาออกจากราชการมาอยู่วัด พวกอุบาสิกานี่บางคนท่านก็อนุญาต บางคนท่านก็ไม่อนุญาต.. บางคนท่านไม่อนุญาตนะ ท่านให้รับราชการไป แล้วภาวนาไปอย่างนั้น ท่านไม่อนุญาตหรอก แล้วพอท่านไม่อนุญาต บางคนก็เกรงใจก็ไม่กล้าทำ แต่ถ้าคิดด้วยตัวเอง มันจะลาออกจากราชการแล้วมาบวช ลามาปฏิบัติ

นี้เพียงแต่เราใช่ไหม มีแต่พวกเรานักปฏิบัติหลายคนมาก.. ต้องอายุราชการได้ ถ้าอายุราชการได้ลาออกเลย ถ้าอย่างนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างนั้นเพราะว่าเขาดำรงชีวิตของเขาได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็เห็นด้วย

ฉะนั้นเรื่องวาสนา.. ขณะคนเรานี่นะเวลาหิวมันก็อยากกินอาหาร เวลาทุกข์นะมันก็อยากจะหาทางออก ขณะที่เราประสบเหตุการณ์ในชีวิตนี่เราเห็นว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย เราก็อยากจะเป็นนักบวช เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ นี้พออยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอเราห่างมา เห็นไหม พออยู่ในนักบวชนี้มันก็อีกโลกหนึ่ง ! อีกโลกหนึ่งเลยนะ อีกโลกหนึ่งเลยเพราะเป็นโลกของนักบวชไง

พอโลกของนักบวช เห็นไหม เวลาเราคุยกับพระ เวลามีโยมเขามาอยู่วัด คนนั้นก็ภาวนาดี.. คนนี้ก็ภาวนาดี.. เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อนะ เพราะเราเป็นพระนี่เราภาวนามาเกือบเป็นเกือบตายไม่เห็นได้เลย เราบอกมันเป็นไปได้นะ เป็นไปได้เหมือนกับเรา.. เห็นไหม ก่อนที่เราจะไปวัดไปวานี่เราเบื่อหน่าย...

คือว่ามันสดชื่นไง มันกระทบกับความทุกข์ แล้วสิ่งต่างๆ ทางโลกนี่มันไม่ต้องการ พอมาภาวนาแล้วมันสงบได้บ้าง.. สงบได้บ้าง แต่ ! แต่ถ้าภาวนานานไปๆ นี่มันคุ้นชินกับอารมณ์นั้น คุ้นชินกับอารมณ์ความอยู่ในศีลในธรรมนี้ มันคุ้นชิน เห็นไหม

หลวงตาถึงบอกเลยนะ “นี่ถ้ามันคุ้นชินนะกิเลสมันจะพาลหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านแล้วมันภาวนาได้ยากไง” เห็นไหม พอภาวนาได้ยาก..

ฉะนั้นพระเรานี้เพราะมันสละทางโลกมานาน พอสละทางโลกมานาน เราไม่เคยสัมผัสกับเรื่องของโลกๆ นะ เราอยู่กับสังคมของพระนี่ พระผู้มีศีลด้วยกัน ก็อยู่ในสังคมของพระนี่แหละ พอสังคมของพระ ประสาเราว่า ของอะไรที่มันอดมันก็อยากใช่ไหม มันก็คิดออกไปข้างนอก ไอ้ข้างนอกก็คิดเข้ามาข้างใน

นี่มันต่างกันตรงนี้ไง เวลาเราบอกพระว่าเขาทำได้นะ ! เขาทำได้ แต่ ! แต่จะทรงไว้.. ทรงไว้ให้มันอยู่ต่อเนื่องนี่มันยาก ! ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้ามันต่อเนื่อง การปฏิบัติต่อเนื่องนี่สำคัญ ถ้าการปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง ผลมันจะได้น้อยไง มันก็เหมือนกับเราสงบชั่วครั้งชั่วคราวนั่นไง

นี้การต่อเนื่อง เห็นไหม เพราะมีการต่อเนื่องพวกเราถึงได้เริ่มอดอาหาร เริ่มบังคับตัวเอง เพราะสิ่งแวดล้อม สภาวะแวดล้อมมันทำให้จิตนี้มั่นคงได้ เพราะเราทำต่อเนื่อง เหมือนนักกีฬาอาชีพ เราเปรียบบ่อยว่าพระเรานี้เหมือนนักกีฬาอาชีพ คืออาชีพพระ ต้องปฏิบัติไป แต่พวกโยมนี้เหมือนนักกีฬาสมัครเล่น ถึงคราวที่เขาก็เรียกตัวไปแข่ง พอถึงอีกคราวก็ต้องกลับไปทำหน้าที่การงาน ไอ้นักกีฬาสมัครเล่นนี่ทำเป็นครั้งเป็นคราว แต่นักกีฬาอาชีพนี่มันต้องอยู่

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติอาชีพ.. นี่พูดถึงนะเขาถามเรื่องบารมี เราไม่ได้ตอบเลยเนาะ เราพูดไปไหนก็ไม่รู้ เพราะมันจะตอบเป็นตัวบุคคลมันเหมือนกับว่าเป็นการรับรอง แล้วถ้าผิดถูกขึ้นไป นี่มันต้องรับผิดชอบ

เราจะตอบว่าเห็นว่าบารมีของคน.. เห็นไหม ความแตกต่างของบารมีของผู้สำเร็จ คือตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา ท่านมีแนวคิดอย่างใด แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทางโลก เห็นไหม บารมีของเขา เขาคิดว่าเขาก็ทำได้ๆ แต่เวลามาส่งการบ้าน มาถามถึงการภาวนา มันเลื่อนลอยมากเลย ! มันเลื่อนลอยมากเลย ถ้าเลื่อนลอยมาก พอถึงเวลาแล้วพวกนี้จะล้มลุกคลุกคลาน

แต่ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมานะเขาต้องพิสูจน์ของเขา แล้วถ้าพิสูจน์ของเขา เขาจะรู้เองว่าตัวเองผิด.. ตัวเองผิด เพราะตัวเองเข้าใจผิดไง เข้าใจผิดว่าอารมณ์ที่เราสัมผัสนั้นเป็นมรรคเป็นผล แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ มันเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นการสร้างภาพ เป็นการก๊อบปี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา

แต่ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมานะ อย่างที่พูดเมื่อวานเห็นไหม ถ้าเป็นจริงขึ้นมา “ทำไมมันเป็นอย่างนี้... ทำไมเราโง่อย่างนี้.. ทำไมเราโง่อย่างนี้” ถ้าไม่เป็นจริงนะเราฉลาดมาก เราจะเก่งมาก เราจะรู้มาก

 

ทีนี้มันจะเข้ามาอันนี้ไง อันนี้ได้เรื่อง...

ถาม : ๒๕๔. สอบถามเรื่อง “ปัญญาที่เป็นวิปัสสนา” ครับ

๑. ปัญญาที่เป็นวิปัสสนานั้น จะต้องเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วออกมาพิจารณาใช่ไหม (นี่ข้อ ๑ นะ)

๒. ถ้าหากจิตสงบพอสมควร แต่ไม่สงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิ แต่เรานำจิตที่มีความสงบพอสมควรนั้นมาพิจารณาเวทนากาย เวทนา จิต ธรรม ก็จะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ อันนำไปสู่อัปปนาสมาธิใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : เวลาข้อที่ ๒ นี้มันเหมือนจะรู้ แต่ก็ไม่รู้อีกแหละ เอาข้อแรกก่อน..

ถาม : ปัญญาที่เกิดจากวิปัสสนานั้น จะต้องเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วออกมาพิจารณาใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : ไม่ใช่.. ไม่ใช่.. ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ.. สมาธินะ ! อุปจารสมาธิ มันเป็นที่เกิดของการวิปัสสนาญาณ.. อุปจารสมาธิเพราะจิตมันออกใคร่ครวญ.. ปัญญาจะเกิด เกิดตรงนี้เท่านั้น ! อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้

อัปปนาสมาธินะ ! เวลาสมาธิ ขณิกสมาธิ.. อุปจารสมาธิ.. อัปปนาสมาธิ..

คำว่าอัปปนาสมาธินี่มันมั่นคง อย่างที่ว่าทำต่อเนื่องแล้วมั่นคง เห็นไหม เวลาปฏิบัตินี่ปฏิบัติได้ แต่การรักษา การต่อเนื่องให้มันเจริญพัฒนาขึ้นไปนี่มันไม่มี

ฉะนั้นเวลาเข้าขณิกสมาธิ.. อุปจารสมาธิ.. อัปปนาสมาธิ.. คำว่าอัปปนาสมาธินี้มันเข้าถึงฐาน คือที่สุด ! ถึงฐีติจิต ! ถึงต้นขั้วของจิต ! ถึงการสงบที่ลึกซึ้ง ที่เป็นพื้นฐานที่มั่นคง ! การมั่นคงอย่างนั้น พอเข้าสมาธิโดยความมั่นคง สมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ ฉะนั้นเพียงแต่เข้าไปเพื่อพัก.. พักเพื่อความสงบ เพื่อความมั่นคง

เหมือนเราหาเงิน เห็นไหม เงินอยู่ที่ตัวเรานี่ไม่ปลอดภัย.. แต่เงินอยู่ที่ตัวเรา เงินจะใช้ต้องอยู่ที่ตัวเราใช่ไหม เราถึงจะใช้จ่ายได้ใช่ไหม แต่เงินที่ปลอดภัยต้องฝากไว้ในธนาคาร เงินในธนาคารเอาออกมาใช้ได้ไหมถ้าไม่เบิกออกมา เงินในธนาคารเราต้องไปเบิกออกมาถึงจะเอาออกมาใช้ได้นะ

เงินสดอยู่ที่ตัวเรานี่ใช้ได้ อุปจารสมาธิคือเงินยืม ยืมคือยืมเขามา ยืมเขาใช้ชั่วคราว ขณิกสมาธิแป๊บๆ ของถือเป็นว่าวิสาสะ ยืมกันไปยืมกันมา หยิบใช้ชั่วคราว.. แต่ถ้าเป็นเงินของเราในกระเป๋าเรานี่อุปจารสมาธิ นี่ตรงนี้มันเป็นประโยชน์ที่สุด !

แต่ถ้าเรามีเงินขึ้นมา เราจะใช้สอยขึ้นมา แล้วเรารักษาไว้ไม่ดี กลัวมันหาย รักษาแล้วมันจะเป็นพิษเป็นโทษเป็นภัยกับเรา เราก็ฝากธนาคารไว้ พอฝากธนาคารไว้ เวลาจะใช้สอยต้องเบิกจากธนาคารออกมา เวลาจะเข้าต้องไปฝากธนาคารไว้ แต่เงินมั่นคง ! เพราะอยู่ในธนาคารนี่มันมั่นคง เพราะมันปลอดภัยแน่นอน

อัปปนาสมาธินี่คือเงินในธนาคาร จิตนี้เข้าไปพัก ! พักเต็มที่เลย เงินในธนาคารนี่มันเหมือนกับว่าเราสละสิทธิชั่วคราวเลย เพราะเราเอาไปไว้ที่ธนาคาร

จิตมันเข้าสู่อัปปนาสมาธินี่มันไม่มีสิทธิ ! เพราะเราเสียสละชั่วคราว.. ชั่วคราวว่าเงินนี้ไปพักไว้ที่ธนาคาร อัปปนาสมาธินี่จิตมันลงอย่างนั้น เกิดปัญญาไม่ได้ ! ไม่ได้ ! แต่ถ้ามันจะเกิดปัญญา คือเราจะเอาเงินนี้มาเป็นของเรา เราต้องถอนออกมาไว้กับเรา เป็นของๆ เรา เราถึงใช้จ่ายได้ ถ้าออกจากอัปปนาสมาธิแล้ว มันถึงจะเกิดปัญญาขึ้นมา

ถ้าออกจากอัปปนาสมาธิ... ออกมาแล้วนะ ออกมายังเป็นไม่ได้ ออกมาขณิกะ อุปจาระก็เป็นไปไม่ได้ ! ถ้าเราใช้สมาธิไม่เป็น เหมือนเงินอยู่กับเรา เราเอาเงินเที่ยวมาอวดมาโชว์เขา นี่มันเป็นโทษกับเราทั้งนั้นเลย.. ถ้าเรามีสมาธิ เราบอกว่าเรามีสมาธิมีความสุขนะ คนมีเงินมีความสุขทุกคนแหละ คนมีเงินนะ โอ้โฮ.. ไม่หิวข้าวเนาะ คนมีเงินนะไม่อยากใช้จ่ายอะไรเลย อู๋ย.. มีความสุขมากเลย แต่ถ้ามันไม่มีตังนะ นู้นก็อยากได้ นี่ก็อยากได้ พอขาดเงินปั๊บ อู้ฮู.. อยากกินอยากอยู่ไปหมดเลย

จิตถ้าไม่มีสมาธิมันทุกข์ยากมาก จิตพอมีสมาธิแล้วนี่ไม่ทุกข์อะไรเลย เพราะมันมีเงินอยู่กับตัวมันเอง เพราะอะไร เพราะถ้าหิวเมื่อไหร่ ต้องการเมื่อไหร่มันใช้ได้ตลอดเวลา นี่ถ้าอย่างนี้ปั๊บ ถ้ามันมีเงินอยู่กับเรา เราไม่ได้ใช้ได้สอย เห็นไหม นี่มันเสื่อมค่าไปเอง

นี่ก็เหมือนกันถ้าเราอยู่กับสมาธิ.. สมาธิก็คือสมาธิ ปัญญาที่เป็นวิปัสสนา.. ปัญญาที่เป็นวิปัสสนาคือจิตสงบ ! ปัญญาที่เป็นวิปัสสนา คือจิตเป็นอุปจารสมาธิแล้วออก ! ออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม... เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมด้วยสมาธิ ! พอด้วยสมาธินี่มันสะเทือนหัวใจ ถ้าจิตเรามีสมาธิ จิตเรามีกำลังนะ ไปพิจารณาสิ่งใดนี่มันสะเทือนหัวใจ

แต่ในปัจจุบันนี้เราคิดโดยสมอง เราคิดโดยสัญญา เราคิดว่าเราพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม แล้วเราบอกว่านี่เป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นสติปัฏฐาน ๔... ไม่เป็น ! ไม่เป็น ! ไม่ใช่วิปัสสนา ! วิปัสสนาญาณคือการรู้แจ้ง แต่นี่มันไม่รู้แจ้ง มันรู้จำ

มันรู้จำเพราะอะไร เพราะว่าพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพราะว่าโจทย์นี้พระพุทธเจ้าตีแตกหมดแล้ว ครูบาอาจารย์เราตีแตกหมดแล้ว แล้วมันมีตัวอย่างอยู่แล้ว เราพิจารณาตามด้วยสมอง ด้วยความเป็นไป แต่พอพิจารณาแล้วมันก็มีความสะเทือนใจไง มีความสะเทือนใจคือว่ามันสัมผัสธรรม สัมผัสโดยสัญญา มันก็รู้ได้โดยสามัญสำนึกนี่แหละ ซึ้งใจมาก.. ซึ้งใจมาก แต่ฆ่ากิเลสไม่ได้ ไม่ใช่วิปัสสนา ! ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ !

แต่ถ้าเป็นวิปัสสนามันต้องเป็นสมาธิ.. สมาธิเพราะอะไร สมาธิเพราะมันเข้าสู่จิต เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิต เวลาถ้าออกมาสู่จิต จิตมันวิปัสสนาไป มันมีกระแส มันมีความกระเทือนเข้ามาถึงจิต ถ้ามาถึงจิต นั่นแหละวิปัสสนาเกิดที่นั่น !

วิปัสสนา เห็นไหม ปัญญาที่เป็นวิปัสสนามันเกิดจากสัมมาสมาธิ แล้วปัญญาที่เป็นวิปัสสนานี้ มันก็อยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่คุณสมบัติของจิต ถ้ามันเป็นขิปปาภิญญา เห็นไหม มันพิจารณาทีเดียว มันเหมือนกับมีดนี่คมมาก สับทีเดียวขาดเลย แต่โดยทั่วไปนะ มีดของเรานี่คมอยู่ แต่ว่าชิ้นเนื้อหรือสิ่งที่เราสับมันใหญ่มาก เราสับแล้วทีเดียวไม่ขาด สับแล้วต้องสับครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔

ฉะนั้นถ้าเราสร้างอำนาจวาสนาไม่ถึงกับทีเดียวขาด ขิปปาภิญญาเท่านั้นทีเดียวขาด แต่ถ้าเราพิจารณาของเราไม่ได้ เห็นไหม มันต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. นี่แล้วความสมดุลของมัน ถึงบอกว่าต้องมีจิตสงบ

สิ่งที่เขาทำกันนะ ที่ว่าเป็นวิปัสสนา.. วิปัสสนานั่นล่ะ เพราะอะไร เพราะเขาก็พูดได้ แล้วครูก็พูดได้ ผู้ที่ปฏิบัติก็พูดได้ เขาพูดเหมือนกันเลย ! ระหว่างครูที่สอนกับนักปฏิบัติ เขาพูดเหมือนกันเลย แล้วเข้าใจเหมือนกัน คิดดูสิว่าอาจารย์กับลูกศิษย์พูดได้เหมือนกัน เข้าใจได้เหมือนกัน นี่มันมีความลึกซึ้งอะไรไหม มันเป็นเรื่องโลกๆ ไหม มันเป็นเรื่องความจำไหม แล้วมันเป็นวิปัสสนาไหม ไม่ใช่หรอก !

นี่เพราะอะไร เพราะถึงเวลานะเขาจะเลือกผู้ที่จำแม่นๆ ผู้ที่ท่องได้ขึ้นมาเป็นอาจารย์สอน แล้วอาจารย์สอนเขาก็มีวาระของเขา แล้วก็หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ คืออาจารย์สอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์สอนอาจารย์ ก็ผลัดกันสอนอยู่อย่างนี้ แล้วความรับรู้ต่างกันอย่างไร แต่ถ้าเป็นกรรมฐานนะ.. “ไม่รู้พูดไม่ได้ !”

ครูบาอาจารย์ของเราถ้าไม่รู้อาการอย่างนี้ ถ้ารู้อาการอย่างนี้คือว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ฉะนั้นจิตสงบ คือเราต้องทำความสงบของใจแล้วออกใช้ปัญญา !

ฉะนั้นมันมาเข้าข้อที่ ๒ “ถ้าจิตสงบพอสมควร แต่ไม่สงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิ” มันมาถูกท่อนนี้ !

 

ถาม : ถ้าจิตสงบพอสมควร.. ไม่สงบถึงอัปปนาสมาธิ แต่เรานำจิตที่มีความสงบพอสมควรไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

หลวงพ่อ : เป็น !

ถาม : นำไปสู่อัปปนาสมาธิไหม

หลวงพ่อ : ไม่ !

อัปปนาสมาธินะ ถ้าคิดอย่างนี้ คือใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ไม่เข้าถึงตรงนี้ ปัญญาอบรมสมาธินี่มันปล่อย.. ถ้าอัปปนานี่มันจะต้องลึกกว่านั้น.. คำว่าอัปปนามันลึกกว่านั้นเพราะมันเข้าไปเป็นเอกเทศเลย ตัวมันจะเป็นของตัวมันเอง

ฉะนั้นตรงนี้มันไม่ใช่ประเด็น ! คำว่าประเด็น คือคำว่าอัปปนาสมาธิมันเป็นประเด็นขึ้นมาเพราะเขาบอกว่า “ต้องเข้าสู่อัปปนาสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติที่นั่น” มันเลยเป็นประเด็นขึ้นมา แต่ความจริงนี่มันไม่ใช่ เพราะอัปปนาสมาธินี้มันเป็นปัญญาขึ้นมาไม่ได้ ! สมาธิก็คือสมาธิไง อัปปนาสมาธิคือเข้าไปพักอย่างเดียว ! แล้วออกมา ออกจากอัปปนาสมาธิมา มันถึงจะเกิดวิปัสสนา มันถึงจะเกิดปัญญา

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้ ที่มันเป็นประเด็นขึ้นมาเพราะว่าคนไม่เข้าใจไง พอไม่เข้าใจแล้วบอกว่า “ต้องเข้าอัปปนาสมาธิแล้วถึงจะเกิดวิปัสสนา” ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! แล้วมีไม่ได้ด้วย ! แต่คำว่าอัปปนาสมาธินี่มันเป็นที่พัก มันเป็นขั้นของสมาธิ มันไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาเลย ไม่เกี่ยวเลย !

ฉะนั้นอัปปนาสมาธินี่จะทำหรือไม่ทำ.. ไม่จำเป็น ! ไม่จำเป็น เพียงแต่ว่า.. ๑. คนนี่นะทำไม่เป็น ๒. แล้วไม่ใช่อัปปนาสมาธิจริง เพียงแต่เป็นความคาดหมายว่าเป็นอัปปนาสมาธิ.. แล้วการคาดหมายของคนมันแตกต่างกัน มันเลยเป็นประเด็นขึ้นมาว่าอัปปนาสมาธินี้เป็นอย่างไรไง

อัปปนาสมาธินี่นะ เหมือนว่ามีภาชนะอันหนึ่ง แล้วเราเติมน้ำเต็มภาชนะนั้น นั่นคืออัปปนาสมาธิ พอเต็มภาชนะนั้น สิ่งใดๆ ใส่เข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะน้ำมันเต็มภาชนะนั้น

จิตถ้ามันปล่อยวางเป็นเอกเทศของมันแล้ว มันเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เห็นไหม คำว่าน้ำเต็มภาชนะมันก็แค่นั้นเอง อัปปนาสมาธินี่แค่นั้นจริงๆ นะ ! อัปปนาสมาธิก็คืออัปปนาสมาธิ แล้วอัปปนาสมาธิจะเป็นอะไรต่อไป หลวงตาถึงบอกว่า “ขั้นของสมาธิ ! ขั้นของสมาธิ มันน้ำล้นแก้ว.. น้ำล้นฝั่ง.. แค่นี้” แค่นี้เองจริงๆ แต่ถ้าเราออกจากอัปปนามาใช้เป็นอุปจาระ หรือเป็นอะไรต่างๆ แล้วใช้ปัญญาไป มันจะเป็นวิปัสสนาไปข้างหน้า ! มันจะเป็นวิปัสสนาไปข้างหน้า

แต่ถ้าไม่มีสมาธินะคือไม่มีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำนะทำอะไรไม่ได้เลย โลกนี้นะขาดน้ำไม่ได้เลย น้ำนี่สำคัญมาก การดำรงชีวิตก็น้ำ อุตสาหกรรมก็น้ำ เกษตรก็น้ำ ทุกอย่างใช้น้ำหมดเลย ถ้าไม่มีสติไม่มีสมาธิ การกระทำไม่มี.. ไม่มีหรอก !

คำว่าไม่มีนะ ไม่มีหมายถึงว่า มันไม่เข้าสู่องค์มรรค มันไม่เข้าสู่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเข้ากับสัญญาเราไง มันเข้ากับความรู้สึกไง เพราะว่าเรื่องสัญญาอารมณ์ เรื่องของความคิดมนุษย์.. จิตนี้มันเป็นความมหัศจรรย์ เพราะมันคิดได้ มันนึกได้ มันปรุงแต่งได้.. พอมันคิดได้ มันนึกได้ มันปรุงแต่งได้ มันก็คิดว่าเป็นน้ำได้ พอมันคิดว่าเป็นน้ำได้แล้ว เห็นเขากินน้ำกันก็แหม.. สดชื่นนะ เราก็ อึก ! กินน้ำเหมือนกัน เออ.. เราก็สดชื่นเหมือนกัน มันคิดได้

นี่ไงมันเป็นเพราะเหตุนี้ไง โลกถึงได้หลอกลวงกันได้ไง หลอกลวงกันได้เพราะว่าโลกมันเป็นอย่างนั้น น้ำนี่มันต้องสัมผัสมันถึงจะรู้ว่าเป็นน้ำนะ น้ำนี่เป็นสสาร เป็นวัตถุ แต่ความคิดความรู้สึกมันไม่ใช่น้ำ แต่เราเปรียบเทียบให้เห็นว่ามันมีความจำเป็นไง นี้ความรู้สึกมันสำคัญอย่างนั้น ฉะนั้นพอมันคิดอย่างนั้นใช่ไหม ด้วยความคิดของคนว่า “มันไม่ใช่อัปปนาสมาธิหรอก”

เมื่อวานก็มีคนมาถาม ว่าเขาทำสมาธิ เขาได้สมาธิแล้วนี่ควรจะทำอย่างไรต่อไป แล้วเขาฟังเทศน์หลวงตา คลื่น ๑๐๓.๒๕ ตลอดเลย เขามาจากกรุงเทพฯ ดีมากๆ เลย แล้วจิตเขาเป็นสมาธิอยู่แล้ว เราบอกว่าเราไม่เชื่อโยมเลยว่าเป็นสมาธิ ไม่เชื่อ.. โยมพุทโธ พุทโธนี่ แล้วพุทโธ พุทโธแล้วมันก็นิ่ง.. นิ่งอย่างไร พุทโธ พุทโธแล้วก็แว็บใช่ไหม ไม่เชื่อเลยนะ ! แต่เวลาคนพูดไปนะ คนพูดไปนี่ใครเป็นคนวัด

เมื่อวานเขามา ๒ คน เราบอกว่าเราไม่เชื่อว่าเป็นสมาธิ พอเราบอกว่า “มันแว็บหายใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วอย่างนั้นมันเป็นสมาธิเหรอ”

“ผมว่ามันเป็นไง”

“นี่มันเป็นภวังค์แล้ว”

“เออ.. หลวงพ่อพูดถูก” เขาว่า..

นี่ไง เขาเป็นเองนะ ! เขาเป็นเอง แล้วเขาก็เข้าใจเองว่าเป็นสมาธิ แล้วอัปปนาสมาธิมันยิ่งกว่านี้อีก มันละเอียดกว่านี้อีก นี่ขนาดว่าเข้าสมาธิ.. เขายังว่าเป็นสมาธิๆ แล้วพอบอกว่าเขาเป็นสมาธิแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อไป..

เราบอก เมื่อวานเราบอกเขาแล้ว พุทโธชัดๆ ! พุทโธชัดๆ ต้องเกาะพุทโธไว้ เป็นสมาธินี่มันชัดๆ กับเรา จิตนี้มันมีความสงบ รู้ซึ่งๆ หน้า มันรู้.. มันมีความชัดเจน เห็นไหม

อย่างที่หลวงปู่ชาพูดนี่ถูก “น้ำนิ่งแต่ไหล ! น้ำนิ่งแต่ไหล” มันนิ่งอยู่มันมีพลังงานของมัน ยิ่งจิตเป็นสมาธินี่มีกำลังมาก.. ไอ้นี่น้ำนิ่งแต่ไหล แรงดันน้ำนี่เขาต้องยกน้ำให้สูงขึ้น เพื่อให้แรงดันน้ำมันมี ถ้าแรงดันน้ำมันนิ่ง น้ำนี่มันไม่มีออกซิเจน น้ำมันต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา

นี่ไง ถ้ามันเป็นสมาธิแล้วพลังงานมันอยู่ที่ไหน ไอ้นี่ไม่มีพลังงาน ไม่มีสิ่งใดเลย เมื่อวานมานะเราบอกว่าไม่ใช่ พอบอกว่าไม่ใช่เขาก็ยอมรับ แต่ก่อนหน้านั้นคือคิดว่าใช่ แล้วไปพูดกับใครๆ ใครๆ ก็ว่าใช่ ถ้าใครๆ ก็ว่าใช่ เขาก็บอกว่าเขาได้แล้ว เขาได้สมาธิแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อไป เราบอกว่าเราไม่เชื่อ.. ไม่เชื่อหรอก เพราะอะไร เพราะคนได้สมาธิมันไม่พูดอย่างนี้

โดยปกตินี่... เราทำกันไม่เป็นเลยนะ เราทำกันไม่ได้เลยนะ เราสวมชื่อกัน เราอ้างชื่อกันว่าจิตเราเป็นสมาธิ แค่เราดูแลความประพฤติ ดูแลให้เราเรียบร้อย นี่เราก็ว่าเป็นสมาธิแล้ว มันไม่ใช่หรอก !

ถ้าสมาธิอย่างนี้ เวลาเราพูดนะเราพูดมุมกลับ.. เราพูดมุมกลับเวลาคนปฏิบัติเราบอกว่าสมาธินี่มีอยู่โดยดั้งเดิม ทุกคนมีสมาธิอยู่แล้ว มีสมาธิอยู่แล้ว โดยปัจจุบันนี่เรามีสมาธิอยู่ ถ้าเราไม่มีสมาธิเราคือคนบ้า แต่สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิของปุถุชน สมาธิของมนุษย์ไง แต่ถ้ามันปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค นี่มันต้องการสมาธิมากกว่านี้ไง “สถานะ” เห็นไหม ดูสถานะของประชาชน สถานะของข้าราชการ สถานะมันคนละสถานะเพราะเขาได้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาใช่ไหม

จิตก็เหมือนกัน ! จิตมันเป็นประชาชน มันเกิดมาเป็นมนุษย์มันต้องมีสติปัญญาของมัน แล้วอย่างนี้เป็นสมาธิเหรอ... สมาธิมีอยู่โดยดั้งเดิมคือสมาธิของปุถุชนไง สมาธิของคนที่เป็นมนุษย์ไง ถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วเราไม่มีสติ ไม่มีสมาธินี่เราบ้าแล้ว เพราะปัจจุบันนี้เรามีสติ เห็นไหม ดูสิ เด็กสมาธิสั้น เด็กสมาธิยาว

นี่ก็เหมือนกันมันมีสมาธิมาก สมาธิน้อย มันก็เป็นผลของการดำรงชีวิตที่มั่นคง แต่ถ้ามันใช้ปัญญาไม่เข้าสู่ธรรม... ถ้าเข้าสู่ธรรมปั๊บสมาธิในมรรคมันต้องลึกกว่านั้น ถ้าลึกกว่านั้นแล้วทำอย่างไร ถ้าทำอย่างนั้นแล้วมันเป็นมาได้

ฉะนั้น เราบอกว่านี่เพราะฟังเทศน์ หรือฟังมากไป มันก็เลยคิดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น.. จะต้องเป็นอย่างนั้น.. เพียงแต่ว่าถ้าเขาไม่พูดคำว่า “เข้าอัปปนาสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดที่นั่นนะ” ประเด็นมันไม่เกิดเลย ประเด็นมันเกิดขึ้นมา เพราะเขาบอกว่า จิตต้องเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาอัตโนมัติไปข้างหน้าไง เพราะเขาคิดว่า อัปปนาสมาธิแล้วนี่มันเหมือนกับเงิน มันจะแลกเปลี่ยนทุกอย่างออกมา มันไม่ใช่แล้ว !

อัปปนาสมาธินี่เอาเงินไปฝากธนาคารไว้ ใช้อะไรไม่ได้เลย ต้องถอนออกมา ถ้าถอนออกมาแล้วมันก็เป็นอุปจาระคือว่าคลายออกมา อุปจาระเพราะว่าจิตมันออกรู้ ถ้าจิตไม่ออกรู้แล้วมันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร อัปปนาสมาธิคือมันเข้าไปพักอยู่ คนนอนหลับทำงานได้ไหม ทำงานไม่ได้หรอก เขาต้องคนตื่น พอตื่นขึ้นมาถึงขยับแขนขยับขาได้ ถ้าคนนอนหลับนี่ทำงานอะไรไม่ได้หรอก

อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่า.. แต่สุขมาก ! แล้วถ้าทำได้เราก็สาธุ.. แต่ประสาเรา อย่างพวกเรานะเราไม่ต้องมีเงินร้อยล้านแล้วค่อยใช้เงินหรอก เรามีเงินล้าน ๒ ล้าน มีเงินบาท ๒ บาทเราก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าเรามีเงินร้อยล้านก็ดี แต่เงินร้อยล้านกว่าจะหาครบร้อยล้าน แล้วถึงจะมาเริ่มต้นใช้เงิน เราตายก่อน เข้าอัปปนาสมาธินี่เหมือนเงินร้อยล้าน ไม่จำเป็นต้องหาเงินร้อยล้านนั้น เรามีเงินกี่บาทเราก็ใช้ทำประโยชน์กับชีวิตของเราได้แล้ว

จิตมันสงบแล้วใช้ปัญญาไปได้เลย.. ใช้ปัญญาไปได้เลย ! ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ นี่ถูกต้อง มันจะเป็นปัญญาแล้วอบรมสมาธิขึ้นมาให้ใจมั่นคงขึ้น แล้วใช้ปัญญาอีกมันจะลึกซึ้งเข้าไป แล้วเรารู้เองเลย... รู้เองเพราะถ้ามีสมาธิปั๊บมันจะทะลุทะลวงไปทุกอย่าง ปัญญามันจะคิดได้หมดเลย แต่ถ้าขาดสมาธิแล้วนะ พอจิตมันเสื่อม สมาธิมันเสื่อมมันก็จะละล้าละลัง แล้วความคิดมันก็ไม่ชัดเจน

ถ้ามันชัดเจนคนปฏิบัติไปแล้วมันจะรู้เลย นี่เขาเรียกภาวนาเป็น คนภาวนาเป็นจิตฉวยสิ่งใดเป็นประโยชน์หมด เหมือนช่างเห็นไหม เชิงช่างเขาหยิบฉวยสิ่งใดนี่เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย เราไม่ใช่ช่างนะ เครื่องมือวางอยู่ยังไม่เข้าใจเลยว่าอันนี้อะไรไม่รู้จัก โยนทิ้งเลย.. ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องมือช่างนะ เราไม่เข้าใจเราโยนทิ้งเลย อันนี้มันเกะกะ อันนี้มันไม่เป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่นี่แหละของจำเป็น แต่ถ้าเป็นช่างขึ้นมา ไม่มีเครื่องมือเลยเขายังใช้สิ่งทดแทน ใช้ปัญญาของเขาแก้ไขเอาเหตุการณ์นั้นผ่านไปได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน เราภาวนาไปถ้าเราทะลุปัญญานั้นได้ !

นี้สอบถามเรื่องปัญญาที่เป็นวิปัสสนา... กรณีมุมกลับนะ เรื่องอัปปนาสมาธินี่เราเห็น เรารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วเขาก็พูดมาอย่างนี้ เราถึงรู้ว่าเขาไม่รู้จริง ไอ้คนรู้จริงหรือไม่รู้จริง ไอ้คำพูดนี่มันจะฟ้องหมดแหละว่าตัวเองพูดถูกหรือพูดผิด แล้วพอพูดผิดไปแล้วมันติดกับคำพูด ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นปัญหาสังคมไปแล้ว อัปปนาสมาธิเลยกลายเป็นปัญหาสังคมไปเลย...

ไม่เป็นไร ! อัปปนาสมาธิเข้าได้ก็ได้ หรือเข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อันนี้อันหนึ่งนะ..

 

ถาม : ๒๕๕. อยากทราบวิธีการหลุดออกโลกธรรม ๘ ครับ

หลวงพ่อ : โอ้โฮ !

ถาม : โยมอยากทราบวิธีการหลุดออกจากโลกธรรม ๘ ค่ะ

หลวงพ่อ : โลกธรรม ๘ นี่นะ ถ้าจะหลุดได้จริงต้องพระอรหันต์เท่านั้นแหละ เพราะพระอนาคาก็ยังติด กิเลสของพระอนาคา.. อยากให้เขารับรู้ อยากให้เขาเชื่อฟัง.. กิเลสของพระอนาคาไปดูในพระไตรปิฎกสิ กิเลสของพระอนาคานะยังมีอยู่ ๕ แล้วถ้าเกิดอยากให้เขารับรู้ อยากให้คนเขาเชื่อฟังนี่คือลาภสักการะไง ถ้าพระอนาคายังติดเลย ถ้าติดโลกธรรม ๘ หรือเปล่า...

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าเป็นโลกธรรม ๘ นี่เราละไม่ได้หรอก เราอยู่กับเขา แต่ถ้าเราเข้าใจเขาตามความเป็นจริง เราจะเข้าใจเขา แล้วเราจะวางเขาได้บ้าง ถ้าเรามีสติปัญญานี่ โลกธรรม ๘ เราจะวางได้บ้าง แต่ถ้าบอกว่า แหม.. จะให้ละโลกธรรม ๘ ไม่มีโลกธรรม ๘ นี่...

พระพุทธเจ้านะ.. นางอรดีหรือนางอะไรนี่แหละที่จ้างคนไปด่าพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ มีคนจ้างไปด่านะ คนที่อิจฉาตาร้อนนี่จ้างคนไปด่า แล้วในลัทธิศาสนาอื่นๆ เห็นไหม เขาเอาผู้หญิงเข้าไปฟังเทศน์บ่อยๆ เสร็จแล้วนะกลับมานี่เขาก็เอาหมอนผูกเข้าไป แล้วก็ชี้หน้าพระพุทธเจ้าเลยนะ “ดีแต่สอนคนอื่น ทำดิฉันท้องอยู่นี่ไม่รับผิดชอบ”

เทวดาทนไม่ได้.. เทวดาแปลงกายเป็นหนูแล้วเลื้อยเข้าไป แล้วไปกัดเชือกขาด พอเชือกขาดแล้วหมอนนั้นก็ตกลงมา พอตกลงมานี่ชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์เลยนะ นี่โลกธรรม ๘ ไหม..

แม้แต่พระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาของเรานะ.. นี่ เพราะว่ามันเป็นลัทธิอื่นไง เขาก็วางแผนใช่ไหมให้สาวกของเขาเข้าไปฟังเทศน์บ่อยๆ ฟังเทศน์บ่อยๆ ไปกลับๆ พอไปกลับบ่อยๆ ก็ไปกลางคืนบ้าง ไปเช้าบ้าง สุดท้ายแล้วนะเขาก็เริ่มทำครรภ์ของเขามากขึ้นๆ แล้วพอถึงที่สุดแล้วเขาจะเอาเรื่องไง พระพุทธเจ้านั่งเทศน์อยู่นี่แหละ ชี้หน้าพระพุทธเจ้าเลย

“ดีแต่สอนคนอื่น ทำดิฉันอยู่นี่ทำไมไม่รับผิดชอบ”

พระพุทธเจ้าพูดว่าอย่างไรรู้ไหม “เธอกับเรานี่รู้กันสองคน.. ทำหรือไม่ทำสองคนนี่รู้กัน” สองคนรู้กัน คนอื่นไม่รู้ด้วย แล้วพระพุทธเจ้าตอบนะ เทวดาก็มากัดเชือกนั้นขาด

นี่พูดถึงว่า บอกว่า “อยากจะให้หลุดจากโลกธรรมไง” ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ยังโดนโลกธรรมเลย แต่โลกธรรมอย่างนี้โดนโดยสังคม แต่มันไม่เข้ากระเทือนใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันพ้นจากสิ่งนี้ไปแล้ว

คำว่าพ้นนะคือเรารักษาใจเราไง เราจะย้อนกลับมาตรงนี้ไง.. ย้อนกลับมาว่า

“โยมไม่สามารถบังคับให้โลกหรือทุกๆ อย่าง เป็นไปดังความปรารถนาของเรา แต่ถ้าโยมอยากจะหลุดจากโลกธรรม ๘ โยมต้องกลับมารักษาน้ำใจของโยมเอง ว่าโยมเกิดมากับโลกธรรม.. แล้วโยมจะบริหารโลกธรรมนี้อย่างใดให้ชีวิตเรามีความร่มเย็นเป็นสุขพอสมควร”

คำว่าพอสมควรนะ... แต่ถ้าโยมจะบอกว่า จะไม่ให้มีสิ่งใดกระทบกระเทือนเราเลยนี่ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ! แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์.. เป็นศาสดา.. มีฤทธิ์นะ ! เราพูดบ่อย พูดกับพระนี่นะ ถ้าพูดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์ พระโมคคัลลานะ เห็นไหม เวลาพราหมณ์นิมนต์ไป.. “จะเหาะไปบิณฑบาตทวีปอื่น จะพลิกง้วนดินขึ้นมา” เวลาพูดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็ต้องทำได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องมีมากกว่านั้นไง

แล้วอย่างนี้ถ้าใช้ฤทธิ์ทีเดียวก็จบหมด แต่ถ้าใช้ฤทธิ์ไปแล้วนี้มันสร้างเวรสร้างกรรมไง อย่างเช่นคนๆ นี้เข้าใจผิด เขาจ้างมาด่าพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าจะทำร้ายเขาหรือใช้ฤทธิ์ไปนี่ เห็นไหม มันมีเวรมีกรรมไหม

เทวทัตจะฆ่าพระพุทธเจ้า จ้างนายแม่นธนู ๔ คนไปยิงพระพุทธเจ้า แล้วก็จ้างให้อีก ๔ คนไปยิงนายแม่นธนู เป็น ๑๖ คน คนที่จะไปฆ่าพระพุทธเจ้า ๔ คน พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ไปนั่งฟังเทศน์ ฟังไปฟังมาขอบวช พอบวชแล้วเป็นพระอรหันต์เลย ไอ้ ๔ คนที่จะฆ่าไอ้ ๔ คนนี้นะก็ว่า “เมื่อไหร่จะมาซักที.. เมื่อไหร่จะมาซักที” มันนาน ก็เดินไปหาพระพุทธเจ้า.. ๑๖ คน พระพุทธเจ้าจับบวชหมดเลย เป็นพระอรหันต์หมด นี่เขาจะไปฆ่าพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าเทศน์จนเป็นพระอรหันต์เลย

ฉะนั้นสิ่งที่ว่ามีฤทธิ์มีเดช การกระทำอย่างนี้... เวลาทำอย่างนี้มันทำได้เพราะอะไร เพราะว่านี่เขาต้องมีวาสนาของเขา แล้วเรื่องโลกธรรม ๘ เรื่องกรรมนี้มันเป็นเรื่องอจินไตย แล้วมันลึกลับมาก.. ลึกลับอย่างไร ลึกลับว่า เรามานั่งกันอยู่นี้ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วหรือชาติก่อนใครทำอะไรกันมา

เวลาเราอยู่ด้วยกัน เห็นไหม ทำไมเรามองกัน เราอยู่ด้วยกัน ทำไมบางทีเรามีความผูกพันต่อกัน บางทีเราอยู่ด้วยกันทำไมเรามีแรงต้านในใจของเรา แรงต้านนี่ เราไม่เคยเจอหน้ากันเลย เราเพิ่งมาพบเห็นหน้ากันครั้งแรก แต่ทำไมมันมีแรงต้านในใจล่ะ ทำไมเราไม่เคยพบเห็นกันเลย พอมาเจอกันครั้งแรก เอ้อ.. คนนี้... นี่มันมีของมันนะ แล้วอย่างนี้ โทษนะ.. ฟังให้ดีนะ..

“มันเป็นความรู้สึกของเราคนเดียว ! คนที่เราคิดมีความรู้สึกกับเขา เขาไม่มีความรู้สึกกับเราหรอก.. เขาไม่มีความรู้สึกกับเราหรอก ! แต่เรามีความรู้สึกคนเดียว”

ถ้าเขามีความรู้สึกกับเรานะ พอเราเจอคนที่เราถูกใจ เราเจอคนที่เป็นบวกนะ เขาต้องคิดเป็นบวกกับเราสิ ทำไมเราคิดเป็นบวกกับเขา สักพักเดียวเขาล่อเราเละเลย ถ้าอย่างนั้นเราคิดคนเดียวหรือเปล่า เขาคิดกับเราด้วยหรือเปล่า.. ถ้าเขาคิดกับเรานะ เราคิดบวกกับเขา เขาคิดบวกกับเรา.. จบ แต่เราคิดบวกกับเขานะ เดี๋ยวเราเจ็บปวดแล้ว เราคิดคนเดียว.. นี่กรรมของใครกรรมของมัน เห็นไหม

ฉะนั้นสิ่งๆ นี้ เราต้องกลับมารักษาที่ใจเรา.. เราจะบอกว่า “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่ได้” ในเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมา แดดออกนี่มันก็คือธรรมชาติ.. สังคมของมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ โลกธรรม ๘ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเป็นธรรมะเก่าแก่ มีตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดศาสนาของพระพุทธเจ้า แล้วมีอยู่ท่ามกลาง และอนาคตมันก็มีอย่างนี้ เพราะมันเป็นสันดานของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของจิต

จิตมันเป็นอย่างนี้ เพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเป็นธรรมะเก่าแก่ แล้วเราอยู่กับธรรมะเก่าแก่ ธรรมะเก่าแก่นั้นมันพิสูจน์ใจของเรา เราถึงจะต้องรักษาใจของเรา แล้วมันก็จะอยู่ที่เวรที่กรรม

บางคนบอกเจอเจ้านายดีมาก.. เจอเจ้านายดีมาก บางคนบอกทำไมเจ้านายของหนูไม่ดีเลย.. ไม่ดีเลย เห็นไหม นี่เวรกรรมของคน !

 

ถาม : ๒. ถ้าผู้ร่วมงานในห้องไม่คุยกัน แต่อีกฝ่ายพยายามคุยด้วย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมคุย จนในที่สุดก็เกิดไม่คุยกันจนเกิดผลเสียหายต่องาน จะแก้ไขอย่างไรเจ้าคะ

หลวงพ่อ : เราเป็นพระ.. เราไม่ใช่ผู้บริหาร.. เราจะบริหารกิเลสคนน่ะ..

อย่างนี้นะ.. ทุกที่นะผู้ที่เป็นเจ้านายนะเราก็อยากให้สังคมเราดีทั้งนั้นแหละ เราทำตัวเราดีเป็นตัวอย่างก่อน.. ตามธรรมนะ หลวงตาท่านพูดอยู่ที่วัดหลวงตา ท่านบอกว่า “หมู่คณะอย่ามองกัน ให้มองท่าน ให้ท่านเป็นตัวอย่าง ท่านทำเป็นตัวอย่าง” ถ้าเรามีตัวอย่างแล้วเราทำได้

๑.ตัวอย่างดี แล้วคำสั่งนะเราจะต้องทำตัวของเราก่อน “อย่าทะเลาะกันๆ” แต่ไอ้ตัวเองไปกัดเขาทั่วเลยแล้วบอก “อย่าทะเลาะกันๆ” ไอ้ตัวนั้นแหละสำคัญ ถ้าเราทำตัวเราดีนะ บารมี.. นี่ย้อนไปที่บารมี เขาเกรงใจคือบารมี

ความเกรงใจนะ.. พระเดชมันก็ต้องมี พระคุณมันก็ต้องมี ใช้พระเดชอย่างเดียวก็ไม่ได้ คนไม่ใช่สัตว์ ! คนนะ มันเห็นคนทำดี มันเห็นอันนั้นอยู่ในใจแต่มันไม่พูดออกมานะ แต่พูดออกมาเมื่อไหร่ก็จบ คนเราเวลาเกรงใจ เวลามีอะไรในใจนี่มันจะอยู่ในใจมันไม่ค่อยพูดหรอก แต่ถ้าวันไหนพูดออกมานะก็คือจบ

ฉะนั้นสิ่งนี้เราต้องทำไว้ แล้วบางอย่างนี่มันสุดวิสัย เห็นไหม เวลาธรรมของผู้บริหาร... อุเบกขา เวลาที่เราจะต้องการงานของเราให้เป็นไปได้ บางอย่างที่เราไม่ได้ดั่งใจ แต่มันพลิกแพลงแล้วจะให้จบได้ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง

นี่เรื่องของการบริหาร เรื่องของโลกนะ !

 

ถาม : ๓. โยมพยายามจะไม่ส่งจิตออกนอกกาย ยิ่งดึงจิตเข้ามาอยู่ในกายมันยิ่งออกไป แถมจิตดวงนี้ปรุงแต่งไวมาก ไล่ตามไม่ทันเจ้าค่ะ ขออุบายกำราบจิตดวงนี้ด้วยค่ะ

หลวงพ่อ : พยายามส่งจิตไม่ออกนอก พอมีความพยายามแล้วมีสตินี่มันจะหยุด จิตนี้แปลก.. ถ้ามีสติปั๊บ คิดอยู่นี่ไม่คิดเลย แต่แป๊บเดียวคิดอีกแล้ว

สตินี้สำคัญมาก แล้วอยู่ที่การฝึก ถ้าพยายามจะไม่ส่งจิตออกนอก เอาง่ายๆ เลยนะ ถ้าเราพยายามส่งจิตไม่ออกนอก ถ้าเราไม่ได้ทำงานอยู่ พุทโธนี่.. คำว่าพุทโธนี่นะมันเป็นกำปั้นทุบดิน คำว่าพุทโธ นี่ถ้าเราบอกไม่ให้จิตส่งออกข้างนอก เราก็คอยดูมัน มันแฉลบตลอด

ฉะนั้นเอาไม่ให้มีปัญหาดีกว่า เราเลยเอาจิตเรา เอาความคิดไปเกาะพุทโธไว้เลย บริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม มันไม่ต้องมาต่อรองกันว่าเอ็งจะแลบไม่แลบ เอ็งจะส่งไม่ส่ง ไอ้นี่.. “จะไม่ส่งจิตออกข้างนอก” นั่นมันก็ส่งแล้ว ก็มันคิดแล้วไง “จะไม่ส่งจิตออกนอกนะ !” ไอ้ที่ว่าไม่ส่งนี่มันส่งไปแล้ว แล้วเราจะเริ่มต้นกันตรงไหนล่ะ

“ฉะนั้นถ้ามีสตินะ.. สติมันทันมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าสติมันทันความคิดมันก็หยุดได้” แต่ถ้าเราคิดอยู่ เรายังคิดว่าจะหาทางออกอยู่ เรายังคิดวิธีการอยู่ ให้พุทโธซะ ! พุทโธนี่ง่ายๆ เลย พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนพุทโธมันหยุด แล้วมันพุทโธไม่ได้เราจะใช้ปัญญา นั่นล่ะมันทันแล้ว.. มันทันจิตแล้ว

ฉะนั้นพอมันทันจิตแล้วนะเราใช้ปัญญาไปก็ได้.. แต่ถ้ามันไม่ได้ พุทโธไว้ก่อนเลย อย่าไปต่อรองว่าจะทำอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ เราต่อรองนั่นแหละกิเลสมันหลอกทั้งนั้นล่ะ กิเลสมันกำลังปั่นหัวอยู่แต่ยังไม่รู้ตัวนะ กิเลสมันกำลังปั่นจิ้งหรีดอยู่ แล้วจิ้งหรีดโดนปั่นอยู่ ยังคิดว่าตัวเองทันกิเลสนะ

ฉะนั้นเราตั้งสติไว้ เอาง่ายๆ ถ้าพุทโธก่อน ทีนี้บอกถ้าพุทโธแล้วมันเครียด พุทโธไม่ได้.. พุทโธไม่เครียดหรอก ถ้าเวลาเราสับสนนี่นะ เรายังจับต้นชนปลายไม่ได้นะ มันไม่มีทางออก ให้กลับมาพุทโธนี่ง่ายที่สุด !

พุทธานุสติ.. เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ในใจเลย เราพุทโธ พุทโธ พุทโธ คิดถึงพระพุทธเจ้าไว้ตลอดเลย เรากอดพระพุทธเจ้าไว้เลย สิ่งนี้มันทำให้เราไม่ต้องมาสับสน แล้วถ้าจิตมันดีขึ้นทุกอย่างดีขึ้น แล้วจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จะส่งออกหรือไม่ส่งออก เดี๋ยวค่อยว่ากัน

แต่นี้เหมือนกับเรานะไม่มีตังเลย อยากซื้อนู้นซื้อนี่ ถ้ามีตังจะซื้ออะไรก็ได้.. สติยังไม่มีเลย แล้วว่า “ไม่ให้ส่งออก.. ไม่ให้ส่งออก” มันไปหมดแล้ว ! ถ้าเราหาตังก่อน พอหาตังขึ้นมาได้เราค่อยมาแก้ไขเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ทันก็พุทโธก่อน เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธจนมันหยุด เห็นไหม เราใช้ปัญญาต่อไป บางคนใช้ปัญญาไล่ความคิดไป พอหยุดแล้วทำอย่างไรต่อ.. ถ้าหยุดนะ ถ้ามีสติอยู่กับความสุข แต่ถ้ามันหยุดแล้วมันมีการเคลื่อนไหวให้พุทโธเลย พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธถ้าจิตมันนิ่งมันอะไรนี่ เห็นไหม ถ้ามันบริกรรมไม่ได้เราก็ใช้ปัญญา นี่มันก็ย้อนกลับปัญญาอบรมสมาธิ.. สมาธิอบรมปัญญา.. นี่มันทำได้ !

คนทำงานเป็น ทุกอย่างเป็นผลงานหมด คนทำงานไม่เป็น มันก็ขลุกขลักบ้างเป็นธรรมดา จะบอกว่าคนทำงานไม่เป็นแล้วไม่ทำเลยมันไม่ใช่ ! คนทำงานไม่เป็นก็พยายามทำของเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราเนาะ

นี่พูดถึงว่าจิตส่งออก.. ถ้าส่งออกแล้วมันเป็นทุกข์ใช่ไหม เราพยายามดึงไว้เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง