เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราฟังธรรมไง ธรรมะนะ.. ธรรมะ.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นะ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทดสอบกับทุกๆ ลัทธิหมดแล้ว พอกลับมาฉันอาหารนะ ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว “จะโปรดใครดีกว่า.. จะโปรดใครก่อน..”

คำว่าจะโปรดใครนะ เขาต้องมีพื้นฐานไง ถ้าเขาไม่มีพื้นฐานนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานะ “จะสอนใครได้หนอ.. จะสอนใครได้หนอ”

คำว่าสอนใครได้หนอนี่มัน.. ก็เราจะสอน เหมือนเราสอนลูกเรานี่ “แล้วเราจะสอนอย่างไรให้ลูกเราเข้าใจได้หนอ..” มันทอดธุระเลยนะ เพราะแบบว่ามันจะทำอย่างไรดี.. ทำอย่างไรดี

สุดท้ายแล้วนะเวลาจะเอาใครก่อน เห็นไหม จะเอาอาฬารดาบสก็ตายไปแล้ว นี่ตายไปแล้ว.. เพราะอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๖ ได้สมาบัติ ๘ อุทกดาบสกับอาฬารดาบสก็ตายไปแล้ว อย่างนั้นก็ต้องเป็นปัญจวัคคีย์ เพราะปัญจวัคคีย์นี่อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี คำว่าอุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี คือได้ปฏิบัติมาเหมือนกัน ทำจิตสงบเหมือนกัน นี่ดูวุฒิภาวะว่าถ้าพูดแล้วเขาจะเข้าใจได้ไหม เขาจะมีโอกาสรู้ได้ไหม

นี่พอเวลาจะไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์นัดกัน เห็นไหม ด้วยความเห็นของโลก เราจะบอกว่าความเห็นของโลกนี่เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าความเห็นของธรรมล่ะ.. ถ้าความเห็นของธรรมมันลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ไง

ถ้ามันลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่เวลาจะไปโปรดปัญจวัคคีย์.. จะไปโปรดเขา จะไปช่วยเหลือเขา จะไปจุนเจือเขา เขานัดกันเลยนะบอกว่า “คนมักมากมาแล้ว.. คนมักมากมาแล้ว เราอย่ารับนะ อย่าต้อนรับ อย่าพูดด้วย อย่าต่างๆ” แต่ด้วยความคุ้นเคย ด้วยบุญอำนาจวาสนา เห็นไหม นี่ด้วยความเผลอไง พอนัดกันว่าไม่ต้อนรับ แต่ด้วยความคุ้นชินก็ยังต้อนรับ พอต้อนรับไปก็ยังมีความกระด้างกระเดื่องอยู่

“เธอเคยได้ยินได้ฟังไหม.. อยู่ด้วยกันมา ๖ ปีนี่ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้.. บัดนี้ว่ารู้แล้ว เธอจงเงี่ยหูลงฟัง”

เวลาเทศน์ธรรมจักรไป.. พอเทศน์ธรรมจักรนี่พระอัญญาโกณฑัญญะ เห็นไหม ควรจะสอนใครจะบอกใครนี่เขามีวุฒิภาวะแค่ไหน เขาจะรับรู้ได้แค่ไหน เขาจะมีความสามารถแค่ไหนที่จะเข้าถึงธรรม พอพระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังนี่

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”

เราท่องกันปากเปียกปากแฉะนะ แต่เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมากนะ

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ.. อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ..”

เพราะว่าอะไร เพราะมันเป็นการจะสื่อกันอย่างไร.. จะสื่ออย่างไร จะสื่อกับใคร แล้วใครจะรับได้ แต่พอรับได้ เห็นไหม นี่ตั้งใจจะสื่อ ตั้งใจจะไปโปรดปัญจวัคคีย์ พอปัญจวัคคีย์เปล่งอุทานเลย “นี่รู้ได้ ! รับได้ ! ทำได้ !” สิ่งที่ทำได้นะ พอทำได้ขึ้นมานี่มีความดีใจมาก.. ดีใจมาก นี่มีพยานนะ เพราะสงฆ์องค์แรกของโลกก็เกิดขึ้นมา

นี่พูดถึงผู้ที่จะรับได้.. ความที่จะรับได้นะ ถ้าเรารับได้เป็นวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ดูสิธรรมโอสถ นี่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเราต้องรักษาเป็นเรื่องธรรมดา การรักษานี่ การดูแลร่างกายเราเพราะอะไร เพราะเวลาเป็นนี่ เราเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ.. เราจะพยายามเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต.. เราจะเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม..

เราเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะของเราไว้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าในธรรมบอกว่า “กว่าเราจะได้ชีวิตนี้มา.. กว่าเราจะได้มนุษย์สมบัตินี้มา.. เราต้องมีทรัพย์ มีศีล มีมนุษย์สมบัติพอสมควรเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์มา”

จิตหนึ่งนะ ! จิตหนึ่งนี่ จิตนี้เกิดตลอด แต่เกิดในสถานะใด เกิดจากสิ่งต่างๆ นี่จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค.. นี้การเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่มันมีสมอง มันมีปัญญา เราเกิดมาในพุทธศาสนา นี่สิ่งที่เราเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ เพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ เพื่อไม่ให้ร่างกายนี้กดทับ.. ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ กดทับจิต

เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยนี่มันต้องเป็นกังวลแน่นอน มันต้องมีความวิตกกังวล มันต้องมีความทุกข์ยากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเราเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เพื่อรักษาให้ชีวิตนี้เข้มแข็ง ชีวิตนี้มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะเราประพฤติปฏิบัติเพื่อธรรม.. เพื่อธรรม เพื่อหัวใจ

นี่ร่างกายเราก็ต้องรักษาเป็นธรรมดา แต่หัวใจล่ะ หัวใจเอาอะไรไปรักษามัน.. ถ้าหัวใจนะ ถ้ามีศีลมีธรรม เห็นไหม “นี่โลกกับธรรม”

เวลาไปโรงพยาบาลถ้าไปโดยโลกนี่ว่า หมอหายไหม.. หมอหายไหม ทุกคนว่าหมอเมื่อไหร่จะหาย นี่ไปโดยโลก.. แต่ถ้าไปโดยธรรม เห็นไหม หน้าที่.. หน้าที่คือเราเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เราเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เราเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม

มันเป็นความจริง ! มันเป็นสัจจะความจริง.. ธรรมะ เห็นไหม

“มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”

คนเกิดมานี้ตายหมด ถึงเวลานี่มันต้องเป็นไปโดยธรรมดาของมัน แต่ถ้าเป็นทางโลก เวลาคนไปโรงพยาบาลว่า หมอเมื่อไหร่จะหาย.. หายไหม นี่วิตกกังวลนะ วิตกกังวลมาก ทุกข์มาก หมอรักษาได้ยาก

แต่ถ้าไปโดยธรรม เห็นไหม เราก็ไปเหมือนกันรักษาร่างกาย รักษาร่างกายเราเพื่อให้เป็นสิ่งที่เป็นพาหนะ เป็นเรือ เป็นผู้ที่ ร่างกายของเรานี้เป็นพาหะจะพาใจของเรานี้ไปสู่สัจจะความจริง

ฉะนั้นถ้าจิตใจมันเป็นธรรม ถ้าจิตใจเป็นธรรมเรารักษาตัวเราเอง.. ถ้าเรารักษาตัวเราเอง ใจดวงนั้น.. ธรรมโอสถ ถ้ามันมีธรรมในหัวใจ เห็นไหม นี่สิ่งที่รักษาก็รักษากันไป ถ้าโรคทางวิทยาศาสตร์นี่หายก็ได้ เป็นหวัดเป็นไอ ไม่ต้องรักษาก็หายก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นโรคบางอย่างต้องรักษา โรคบางอย่างรักษาอย่างไรก็ไม่หาย เห็นไหมโรคเวรโรคกรรม

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ธรรมโอสถนี่มันรักษาได้หมด กรรมก็รักษา กรรมก็ให้กรรมนี้.. กรรมดีกรรมชั่วให้กรรมนี้มันต่อเนื่องกันไป ให้มันผ่อนคลายกันไป.. มันผ่อนคลายได้ ทุกอย่างแก้ไขได้หมด ! เพียงแต่จะแก้ไขหรือไม่แก้ไขด้วยจิตดวงนั้นเท่านั้น ถ้าจิตดวงนั้นเหนือธรรมชาติ

ถ้าจิตดวงนั้นยังอยู่ใต้ธรรมชาติ จิตดวงนั้นอยู่ใต้กิเลส มันวิตกกังวลไปหมดแหละ เห็นไหม มันเป็นวิทยาศาสตร์ เราศึกษามาเป็นวิทยาศาสตร์เป็นความจำทั้งนั้นแหละ เราจำทฤษฏีมานี่เราทดสอบหรือยัง เรายังไม่ได้ทดสอบหรอก เราจำมาเห็นไหม นี่เขาบอกว่าโรคนั้นต้องเป็นอย่างนั้น โรคนี้ต้องเป็นอย่างนี้ พอบอกโรคเท่านั้นแหละขาอ่อนเลย

แต่ถ้าเป็นธรรมขึ้นมานะ โรคก็คือโรค.. แต่ถ้าหัวใจล่ะ ถ้าหัวใจไม่ตื่นเต้นไปกับมัน มันวางสิ่งนั้นไว้.. วางสิ่งนั้นไว้ตามความเป็นจริง เรารักษาใจของเรา เห็นไหม ถ้าใจเรารักษาของเราได้นะ สิ่งนั้นมันมาทีหลังไง

นี่ธรรมะที่เหนือธรรมชาติ เหนือสัจจะ เหนือความจริง เหนือเหตุเหนือผล.. มี ! แต่ความที่จะเห็นเหนือเหตุเหนือผลนั้น จิตใจนั้นจะต้องมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าจิตใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ นี่มันเห็นเหนือเหตุเหนือผลไปไม่ได้หรอก เพราะจิตนี้มันอยู่ใต้กิเลส มันอยู่ใต้อวิชชา มันอยู่ใต้ความไม่รู้ นี่มันจะเหนือเหตุเหนือผลไปที่ไหน

ถ้ามันยังอยู่ในการครอบงำของความไม่รู้นี่ มันจะเหนือเหตุเหนือผลไปได้อย่างใด แต่ถ้าจิตนี้มันพ้นจากอวิชชา พ้นจากการครอบงำ พ้นจากโลก พ้นจากวิทยาศาสตร์ พ้นจากทุกๆ อย่างหมดเลย.. นี่ถ้ามันพ้นสิ่งนั้นไปแล้ว เห็นไหม สิ่งนี้ต่างหากนี่ธรรมโอสถ

มันแก้ไขได้ มันเปลี่ยนไปได้ เพียงแต่ว่าอยู่ที่ว่าความพอดี ความเป็นไปของโลกกับธรรม ถ้าโลกกับธรรมเป็นอย่างนั้นนะ นี่พูดถึงหลักเกณฑ์.. ถ้าเรามีหลักเกณฑ์อย่างนี้ เรามีหัวใจอย่างนี้ เราเข้าใจได้ เราเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ

ถ้าเรื่องธรรม เห็นไหม นี่เรารักษาของเราพอให้ร่างกายนี้มันหมุนเวียนของมันไปได้ มันสืบต่อของมันไปได้ แล้วจิตใจนี้เป็นเรื่องของดวงใจ.. ดวงใจที่ท่านมีหลักมีเกณฑ์ ใครมีหลักมีเกณฑ์มากน้อยแค่ไหน ใครมีธรรมโอสถในหัวใจมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีธรรมโอสถในหัวใจนะ จุดยืนอันนั้นสำคัญมาก !

“โลกนี้มีเพราะมีเรา” จักรวาลนี้ เห็นไหม นี่แกนของโลกมี โลกหมุนไปในแกนของมัน นี่ไง ถ้าจิตนี้มันมีจุดยืนของมัน นี่ภวาสวะ ถ้ามันมีภพ มีสถานที่ มีต่างๆ ถ้ามันทำลายหมดแล้วล่ะ..

โลกนี้มีเพราะมีเรา นี่มันมีเรา เราก็สักแต่ว่า เราก็สักแต่ว่านะ มันเป็นกิริยาเท่านั้น มันเป็นเรื่องสอุปาทิเสสนิพพาน คือเศษส่วนเศษทิ้งแล้ว เศษทิ้งแล้วแต่เป็นประโยชน์กับพวกเรานะ.. เป็นประโยชน์กับพวกเราเพราะพวกเรามีผู้ชี้นำ พวกเรามีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม

นี่ธรรมเจดีย์.. ธรรมในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ธรรมในหัวใจของท่าน ธรรมเจดีย์ ธรรมแท้ๆ ที่เราจะเคารพบูชาของเรา.. การเคารพบูชานะ การเคารพบูชาทางโลก กับการเคารพบูชาทางธรรม

ถ้าเป็นทางธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “นี่เราอยู่ถึงภาคตะวันตก จะอยู่ไกลขนาดไหน แต่ปฏิบัติเหมือนเรา.. ปฏิบัติเหมือนเรา ! เหมือนอยู่ใกล้เรา.. อยู่ชิดติดแนบเรา จับชายจีวรเราไว้เลย แต่ไม่ทำตามเรา.. ไม่ทำตามเรา เหมือนอยู่ห่างไกล”

นี้ถ้าพูดถึงหัวใจที่เป็นธรรมแล้วนี่ มันอยู่ใกล้หรือไกลขนาดไหน แต่ถ้ามันเป็นธรรม ธรรมก็คือธรรม ความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง “เหตุและผลนั้นคือธรรม”

แต่ถ้าเป็นโลก เห็นไหม ดูสิครอบครัวเราเวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วยนี่เดือดร้อนกันไปหมดเลย เดือดร้อนอันนั้นมันเดือดร้อนแบบโลกๆ แต่ถ้าเวลาครูบาอาจารย์เจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม เราก็เดือดร้อน ! เราก็เดือดร้อน แต่ความเดือดร้อนของเรานี่ธรรมะเหนือธรรมชาติ

ธรรมที่เหนือโลกแล้วนะ เรื่องอย่างนี้ไม่ให้ตื่นเต้น ให้นิ่งๆ ให้อยู่แล้วดูพิจารณาไป ท่านพูดประจำนะ “ถ้าถึงที่สุดแล้วนะใครอย่ามาแตะเนื้อต้องตัวนะ ตัวเรานี้ใครอย่าแตะ ต้องปล่อยให้เราทำเราจัดการของเราเอง ใครอย่ามาแตะเนื้อต้องตัว ยิ่งวาระสุดท้ายใครอย่ามาแตะ ใครอย่าเข้ามาใกล้.. ใครอย่าเข้ามาใกล้ เราจะบริหารของเราเอง”

แล้วพอบริหารของเราเอง เห็นไหม นี่ธรรมโอสถ ! แล้วมันจะเป็นธรรม เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามาก

ฉะนั้นความเคารพ.. ความเคารพ ความระลึกถึง ความกตัญญู มันเป็นเรื่องของนามธรรม มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ใครจะวัดของใครได้ว่าใครมีความกตัญญูมากน้อยขนาดไหน ใครมีหัวใจคิดถึงครูบาอาจารย์ ใครมีหัวใจคิดถึงธรรม มีหัวใจที่เป็นธรรมมากน้อยขนาดไหน ธรรมกับธรรมรู้กัน แต่ถ้าสิ่งที่ไม่รู้ สิ่งที่เป็นโลก เห็นไหม แสดงกิริยาออกมามันก็เรื่องโลกๆ ไง เป็นเรื่องโลกๆ

เรื่องโลกๆ เห็นไหม เรื่องโลกมันพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ของเขา ถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ของเขานั่นเป็นวิทยาศาสตร์นะ.. เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสูตรสำเร็จ เห็นไหม แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาของคน คนอย่างหยาบ คนอย่างกลาง คนอย่างละเอียด

ความหยาบๆ มันแสดงออกได้หยาบๆ.. อย่างกลางๆ ก็แสดงออกแบบโลกๆ นี่ชนชั้นกลาง.. แบบที่ละเอียดสุด ละเอียดในหัวใจนี่มันเข้าใจได้.. มันเข้าใจได้ มันรู้ได้ สิ่งนี้พิสูจน์ได้

“ศีล” เราจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกัน.. เราอยู่ด้วยกันนี่นะ สิ่งที่เป็นการแสดงออกนั่นล่ะเรื่องของศีลมันแสดงออกมาหมดแหละ

“ธรรม” ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม.. ต่อเมื่อแสดงธรรมก็แสดงออกมาจากความรู้สึกอันนั้น ดูปริยัติสิเวลาเขาแสดงธรรม เห็นไหม เขาต้องค้นคว้า เขาต้องทำวิจัยของเขาเพื่อเอามาแสดง แต่ถ้าในหัวใจนี่มันค้นคว้ามาตั้งแต่ปฏิบัติแล้ว

“นี่ปริยัติ.. ปฏิบัติ” การปฏิบัตินั้นคือการค้นคว้า การปฏิบัตินั้นคือการพิสูจน์ในหัวใจ การปฏิบัติคือการทดลองกับจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นได้พิสูจน์ ได้ตรวจสอบจนมันเป็นธรรมแล้ว ! แล้วมันจะไปค้นคว้าที่ไหน มันออกมาจากตรงนั้น ! ออกมาจากความจริงอันนั้น ! ถ้าความจริงอันนั้นมันออกมา นี่ธรรมรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรมออกมา ถ้าแสดงออกมา นี่แสดงออกมามันมีวาระซ่อนเร้น มันมีต่างๆ มันแสดงออกมาด้วยความ...

โลกเขามองออกนะ.. ถ้าโลกมองออก นี่เราจะเป็นผู้นำ หลวงตาท่านพูดประจำ “ผู้นำนี่หายาก.. จะหาผู้นำนี้หายาก” นี้ผู้นำนี่จะนำที่ไหน นำในจิตวิญญาณนี่นะมันนำจากความรู้สึก มันไม่ใช่นำแบบวัตถุ แบบโลก ไม่ใช่นำโดยอย่างนั้น การนำโดยหัวใจ.. ถ้าการนำโดยหัวใจ การนำโดยความรู้จริงนะ

นี่ธรรมะเหนือธรรมชาติ ! เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่หวั่นไหวไปกับโลกธาตุนี้ แม้แต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ ๓ โลกธาตุ.. จิตใจนี้พ้นจาก ๓ โลกธาตุ จิตใจนี้มันรู้ของมัน มันเข้าใจของมันนะ

ถ้าเข้าใจของมัน เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราจิตใจท่านเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจะต้องเทิดทูนให้ท่านบริหารจัดการของท่าน อย่าเอาความรู้ต่ำๆ ! อย่าเอาความรู้โลกๆ ! เข้าไปกดถ่วงให้สิ่งนั้นมันไม่สะดวก ถ้าเอาความรู้ต่ำๆ เอาความรู้ทางโลก เราจะบริหารของเรากันเอง

ธรรมอันนั้นใครคาดไม่ถึง ใครคาดไม่ได้ เราดูแลได้แต่ทางโลก เราดูแลได้แต่ความสงบเรียบร้อย เราดูแลได้แต่ทางร่างกาย นี้เราควรดูแล.. แต่หัวใจอันนั้นเหนือโลก ต้องปล่อยให้อันนั้นแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตามแต่จิตดวงนั้น

การแสดงธรรมเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา ธรรมของครูบาอาจารย์ท่านได้แสดงไว้แล้ว ท่านทำให้เราไว้แล้ว ให้ท่านแสดงของท่าน เพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เอวัง