เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

“บ้านกับวัด” เราเกิดมาเห็นไหม คนไม่มีบ้านเขาต้องอยู่ที่สาธารณะ คนมีบ้านเขาก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เขามีความอบอุ่น เวลามีความอบอุ่นในสังคมโลก แต่พออยู่ชินชาเข้าไปแล้ว นี่เราก็ว้าเหว่ เราก็อยากไปวัด

“บ้านกับวัด” บ้านไม่เหมือนวัด วัดไม่เหมือนบ้าน แม้แต่เราพยายามสร้างบ้านสร้างเรือนของเรา ก็ยังเป็นความทุกข์ความยาก เวลาเราอยู่ทางโลก นี่คำว่าบุญกุศล.. บุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัย แล้วเราก็ทำบุญกันขนาดนี้ ทำไมเรามีความทุกข์ บุญกุศลนั้นปัจจัยเครื่องอาศัย

พระเรา เห็นไหม ดูสิ หลวงตานี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ บริขาร ๘ เทียบค่ากับทางโลกมันมีเท่าไหร่ แต่ด้วยความเชื่อถือศรัทธาของเขา นี่หาเงินหาทอง หาปัจจัยเครื่องอาศัย ฝากไว้กับประเทศชาติ

แต่ของเรานี่ พอเรามีแล้วทำไมเราทุกข์เรายากล่ะ เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา.. เวลาเราทำบุญกุศล นี่เราทำบุญกุศลแล้วต้องให้เราร่มเย็นเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุขนี้เราพอหรือเปล่าล่ะ ถ้าเราพอนะเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา

คนจนผู้ยิ่งใหญ่.. อยู่โคนไม้ก็มีความสุข มีความสุขเพราะควบคุมหัวใจได้ เห็นไหม เราอยู่ในบ้าน เราต้องการปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็แสวงหาของเราเพื่อความมั่นคง ถ้าความมั่นคงเราก็ดิ้นรนของเรา ถ้าความดิ้นรนของเรานะ บางคนปากกัดตีนถีบนะ บางคนก็มีความสุขความสำเร็จ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมทั้งนั้นล่ะ บุญกรรมมีการทำมา ทำมาแล้วมันมีโอกาสไง

จังหวะและโอกาสนี้คือบุญกุศล.. อำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ เราแข่งกันทุกๆ อย่าง แต่แข่งอำนาจวาสนาเราแข่งกันอย่างไร อำนาจวาสนา เห็นไหม เวลาประสบความสำเร็จ มันเป็นชั้นเป็นตอนของมันมา บางคนปากกัดตีนถีบขนาดไหน มันก็ปากกัดตีนถีบไป เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ทำของเรามา เราทำงานเหมือนกัน เราทำหน้าที่การงานเหมือนกัน ทำไมถึงประสบความสำเร็จไม่เหมือนกัน

นี่พูดถึงอำนาจวาสนานะ แต่ถ้าเรื่องของหัวใจล่ะ เห็นไหม นั่นเรื่องของบ้าน แล้วเรื่องของวัดล่ะ เรามาวัดนี่มาเสียสละนะ นี่เรามาวัดเรามาเสียสละ เสียสละที่ไหน ถ้ายึดมั่นถือมั่นเป็นความทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่เราเกิดขึ้นมาเป็นความทุกข์เพราะอะไร เพราะจิตมันยึด มันยึดว่านี่เป็นเราๆๆ

แม้แต่เรามองไปในเรื่องของโลก มองไปในเรื่องความเป็นอยู่ของเรา เราก็แบกหามจนทุกข์ขนาดนี้แล้ว แล้วจะต้องมีงานอะไรมาให้แบกหามอีก นี่งานทางธรรม เห็นไหม เราแบกหามทางโลกเราก็ทุกข์ขนาดนี้แล้ว จะแบกหามอะไรอีก นี้คิดกันอย่างนั้นไง

ไม่ได้แบกหาม ! ให้ปล่อยวาง ถ้าให้ปล่อยวาง พอบอกว่าจะปล่อยวาง มันก็ไปแบกความปล่อยวางไง มันไปแบกหามความปล่อยวางว่า “ฉันปล่อยวางแล้ว.. ฉันปล่อยวางแล้ว” มันปล่อยวางตรงไหนล่ะ มันไม่ได้ปล่อยวางมันไปแบกหามอีก แบกหามความปล่อยวาง แต่เวลามันอยู่ทางโลกมันก็ทุกข์ของมัน นี่บ้านกับวัด !

ถ้าเราอยู่ทางบ้านของเรา เห็นไหม เราทำของเรา เราต้องมีปัญญาของเรา นี่ถ้าเราไม่ฉลาด ดูสิลูกของเรา หลานของเรา เราต้องการจะให้มีการศึกษา ให้มีเชาว์ปัญญา เพื่อจะให้มันฉลาด ให้มันทันคน ให้อยู่ในโลกนี้ด้วยความไม่เป็นเหยื่อของสังคมเขา เราก็พยายามจะสอนลูกหลานของเราให้ฉลาด แล้วเชาว์ปัญญามันสอนกันได้อย่างไรล่ะ

ในสภาวะแวดล้อมนี่ทำให้คนเป็นคนมีปัญญา สภาวะแวดล้อมมีความจำเป็นเหมือนกัน มีความจำเป็นในการฝึกฝน แต่ถ้าหัวใจดวงนั้นสร้างบุญกุศลมานะ สภาวะแวดล้อมอย่างใดเขาก็มีปัญญาของเขา นี่แล้วถ้ามีสภาวะแวดล้อมอย่างนั้นด้วย มันเสริมเข้าไปนะมันยิ่งมีปัญญามากเข้าไปใหญ่ สภาวะแวดล้อมนี้มันเป็นเรื่องการฝึกฝน เห็นไหม แต่เรื่องบุญกุศล เรื่องจริตนิสัย ความเป็นไปของใจ อันนี้อันหนึ่ง

นี้พอเรื่องของโลก.. ถ้าเราฝึกขนาดไหน มันก็ต้องฝึกทั้งนั้นแหละ เพราะว่าเวลาเป็นลูกเป็นหลานของเรา เราก็ต้องดูแลทั้งนั้นแหละ การดูแลการรักษานี้ก็เป็นหน้าที่ของเรา แต่ถ้ามันถึงที่สุด เห็นไหม ดูสิ การบริหารของนักบริหาร พอถึงที่สุดนี่พรหมวิหาร ๔ เราจงมีความมุมานะ มีความเมตตา มีความช่วยเหลือเจือจาน.. ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดเราก็อุเบกขา ถ้าไม่อุเบกขาเราอกแตกนะ ทำไมเป็นอย่างนั้น.. ทำไมเป็นอย่างนั้น.. เรายึดมั่นถือมั่นไปหมดล่ะ

ถ้าอุเบกขา อุเบกขาตรงไหน.. อุเบกขานะ ความอุเบกขาคือเราวาง แต่ไม่ใช่วางเขวี้ยงทิ้ง วางไม่เอา เราวางในหัวใจของเรา แต่เราต้องดูแลของเรา เพราะอะไร เพราะมันเป็นสายเลือด มันเป็นชาติตระกูล มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบ เห็นไหม คนยิ่งดีขนาดไหน ความรับผิดชอบเขายิ่งมาก

ดูสิ ความรับผิดชอบของผู้บริหาร เขารับผิดชอบทั้งองค์กรหมดเลย ผิดหรือถูกนี่เขาต้องรับผิดชอบหมด นี้ความรับผิดชอบอันนั้น มันเป็นความรับผิดชอบในหัวใจ แต่การทำงานล่ะ การทำงานมันก็เป็นงานของเรา มันก็เป็นการแบกรับของเรา เห็นไหม นี่เรื่องของบ้าน

เราจะบอกว่าเรื่องของบ้าน นี่ถ้าเราคิดนะ เพราะเฉพาะเรื่องของบ้าน เรื่องความเป็นอยู่ของเรามันก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว นี่เป็นมุมมองหนึ่ง แล้วมุมมองอย่างใดมันจะเป็นมุมมองย้อนกลับได้ การมีมุมมองย้อนกลับ ทวนกระแส เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทวนกระแส เรามองไปในชีวิตโลกเรานี่ เราก็แบกรับภาระจนทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว แล้วยังต้องไปมุมมองอะไรอีก

มันมุมมองได้ นี่เวลาบอกว่าคนเราทำงานมันเครียดแล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้ๆ ทำไมเรามีลมหายใจได้ล่ะ ถ้าเมื่อเรายังมีลมหายใจได้ เห็นไหม เพราะการมีลมหายใจนี้มันสืบต่อชีวิตเรา ชีวิตนี้มีคุณค่ามากนะ เพราะมีเราถึงมีทรัพย์ มีสมบัติ มีปัญญา มีเชาว์ปัญญา มีอะไร เพราะมีเรา ! ถ้าไม่มีเราของสิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน นี่ไงชีวิตถึงมีคุณค่ามาก เพราะยังมีชีวิตอยู่ถึงมีเรา

ชีวิตนี้มีค่ากว่าทุกๆ อย่าง ! ชีวิตนี้.. แต่เราไปมองค่ากันที่โลกธรรม ๘ ไง โลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทาไง ให้เขาชม.. เราไปมองที่นั่นไง ถ้าไม่มีเราเขาจะนินทาใครล่ะ เขาจะนินทาอากาศเหรอ

นี่เพราะมีเรา ! เพราะมีเรามันถึงมีคุณค่า ฉะนั้นมีเราถึงมีคุณค่า เพราะมีเราถึงมีสมบัติ มีพัสถาน มีทุกอย่างเพราะมีเรา ถ้าไม่มีเรานะสมบัติพัสถานนี่เครื่องอาศัย เวลาเราตายไปนะ สมบัติที่หาไว้กองอยู่เนี่ยไม่ไปกับเราหรอก มันเป็นของเราหรือเปล่า

สมบัติพัสถาน ชื่อเสียง เกียรติศัพท์ เกียรติคุณ เขาจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไอ้จิตดวงนี้มันจะไปตามอำนาจของมัน เรานี่.. ชีวิตเรานี่มันจะไปตามอำนาจวาสนา แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราฟังธรรมแล้วเราตั้งสติของเรา ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี่นะ เรามีสติยึดกับลมหายใจเรา ให้จิตมันอยู่กับลมหายใจ อันนี้มีคุณค่ามาก

ออกซิเจนนี่มีคุณค่ามาก เพราะมันดำรงชีวิต สมบัตินี่มันช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก สมบัติมันอยู่ในเซฟ ชื่อเสียงเกียรติคุณนี่มันอยู่ที่คนเขาชม แต่ไอ้ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่เรา ถ้าจิตมันเกาะลมหายใจไว้ เห็นไหม เกาะลมหายใจไว้เรื่อยๆ เกาะลมหายใจไว้เรื่อยๆ มันจะเป็นอิสรภาพ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเป็นเอกภาพของมัน

นี่ทวนกระแส.. มีมุมมองอีกมุมมองหนึ่ง มุมมองถึงการมีชีวิตไง มุมมองถึงการมีชีวิตของเรา มุมมองถึงความทุกข์ความยากของเรา มุมมองถึงการเกิดการแก่ของเรา ปัญญามันจะมีนะ มันจะสังเวชชีวิตเรานะ มันจะไม่ตื่นไปกับความคิดเดิมๆ แต่เดิมก็ตื่นกับความคิดเดิมๆ นะ เราต้องแสวงหา เราต้องทัดเทียมโลก เราต้องเทียมหน้าเทียมตาสังคม

เทียมหน้าเทียมตา.. นี่มันเทียมหน้าเทียมตาที่ความรู้สึกนะ คนนี่นะถ้าเขาพร่องอยู่เป็นนิจ เขามีเงินมากขนาดไหน มีศักยภาพมากขนาดไหน เขาก็ทุกข์ เพราะเขาพร่องอยู่ เขาแสวงหาของเขาอยู่ ไอ้เรามีเล็กๆ น้อยๆ แต่หัวใจเราอิ่มเต็มนะ นี่มันเทียมหน้าเทียมตาที่ไหนล่ะ มันเทียมหน้าเทียมตาที่ว่าเราไม่เดือดร้อนไปกับเขา

ใช่.. ความเป็นอยู่การใช้จ่ายเราก็อาจจะฝืดเคืองไปกว่าเขา แต่เราก็ใช้จ่ายในชีวิตของเราได้เราก็พอใจ ! ถ้าเราพอใจ เห็นไหม ถ้าเราพอ.. เรามีความพอใจของเรา นี่เทียมหน้าเทียมตาในใจของเรา แต่เพราะใจเราพร่อง เราจะเทียมหน้าเทียมตากับเขา แล้วเราก็เป็นเหยื่อนะ เราต้องพยายามปากกัดตีนถีบเพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาเขา แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ สิ่งนี้มันมาโดยผลไง

วิบาก.. วิบากคือโดยผล โดยผลของคุณงามความดี ผลของคุณงามความดีนี่เราไม่ปฏิเสธหรอก ตำแหน่งหน้าที่ ทรัพย์สมบัติใครปฏิเสธมัน ใครก็อยากได้ทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่เดือดร้อนจนต้องแสวงหา จนต้องทุกข์ยากไปกับมันไง

ฉะนั้นสิ่งนี้มันเป็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม แต่ถ้ามันพอ ใจมันพอ.. มันพอใจของมัน มันเป็นความสุขของมัน เรามีความสุขแล้ว เขาจะกินอาหารมื้อละกี่แสนกี่ล้าน เขาอิ่มหนำสำราญ เรากินอาหารมื้อละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท เราอิ่มเราก็พอใจ เราก็อิ่มเหมือนกัน เราก็พอใจ

นี่เทียมหน้าเทียมตา.. ถ้าเทียมหน้าเทียมตาที่นี่ เราจะไม่เป็นเหยื่อของโลกธรรม เห็นไหม แล้วถ้าเรามาวัดๆ นี่ถ้าเรามีลมหายใจ เราเกาะลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่นี่ มีสติสตังของเราขึ้นมา มันจะเห็นเลยนะ “ความสุขจริงๆ มันอยู่ที่ไหนน้า.. ไอ้ของที่ว่าความสุขจริงๆ ไอ้สิ่งที่อยากได้จริงๆ มันอยู่ที่ไหน.. มันอยากได้แก้วแหวนเงินทอง หรืออยากได้ความสุขอันนี้” ถ้ามันมีสติอย่างนี้ เห็นไหม เรามีสติ..

“นี่บ้านกับวัด” บ้านเขาต้องแสวงหา บ้านเขาต้องเทียมหน้าเทียมตาสังคมโลก วัด.. วัดคือความอิ่มเต็มของใจ วัดคือมีสัมมาสมาธิ วัดคือมีหลักเกณฑ์ของใจ ถ้ามีหลักเกณฑ์ของใจ..

นี่การแสดงออก.. ตาเป็นหน้าต่างของใจ ถ้าจิตใจของคนมันหิวมันโหย มันจะพูดดีขนาดไหนนะ แต่มันโหยหาทางสายตา มันโหยหาทางการแสดงออก แต่ถ้ามันอิ่มเต็มของมันนะ มีอะไรมากองมันก็ไม่สนใจ ไม่สนใจหรอก ไร้สาระ ! เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นเหยื่อไง มันเป็นเหยื่อทำให้จิตใจเราออกไปข้างนอกไง

เพราะมีชีวิตมันถึงมีเรา มันถึงมีสมบัติทั้งหมด ฉะนั้นถ้าเรารักษาเราแล้ว สมบัตินี้เอาวางไว้ นี่ถ้าคนเขามีคุณธรรมนะ สิ่งนี้เขาจะเจือจานเพื่อประโยชน์นะ ดูสิ พ่อแม่ที่ดี ก่อนที่จะเสียชีวิตนะเขาจะแบ่งของเขาให้ลูกๆ ให้พอกัน ให้เท่ากัน ให้สมฐานะกัน เพื่อเราล่วงไปแล้วไม่ต้องมีปัญหากัน เห็นไหม เขาสละตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งนั้นแหละ เขาสละออกหมดแหละ

แต่ถ้าของเรานะ เราไม่สละของเราออกไป สิ่งนั้น.. นี่จิตใจคนไม่เหมือนกัน จิตใจคนไม่เท่ากัน นี่เรื่องของบ้าน บ้านเราก็ต้องแสวงหาของเรา แล้วถ้าเราไปวัด เห็นไหม สิ่งที่เป็นคุณงามความดี สิ่งที่เป็นความจริง ทรัพย์สมบัตินี้เป็นทรัพย์ของทางโลก เป็นสมบัติสาธารณะ ทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์คือบุญกุศล คือความเสียสละ

บุญกุศลมันอยู่ที่ไหน โยมทำบุญวันนี้มากน้อยขนาดไหน อีกปีหน้านะ โยมคิดถึงข้าวของที่สละวันนี้นะ มันยังอุ่นๆ อยู่เลย แต่ถ้าของนี้เก็บไว้พรุ่งนี้มันก็เน่าแล้ว แต่ถ้าอาหารที่เสียสละวันนี้นะ อีก ๑๐ ปีข้างหน้านึกถึงอาหารจานที่สละวันนี้ มันยังอุ่นๆ อยู่เลย มันยังเป็นๆ อยู่เลย เห็นไหม

สิ่งที่เราเสียสละออกไป นี่บุญกุศลเพราะเราเสียสละออกไป มีเจตนานี่มันซับลง สมบัตินะ.. นี่แร่ธาตุมันทำบุญไม่ได้ แร่ธาตุนี่คนฉลาดเท่านั้นเอามาเป็นประโยชน์ ทรัพย์สมบัติของเราเป็นแร่ธาตุ จิตใจของเรานี่มันมีเจตนา มีความคิดที่ดี มันเสียสละสิ่งนี้ออกไป เราเป็นคนเสียสละออกไป เราเป็นคนรับรู้

นี่บุญอยู่ตรงนี้ ! นี่อำนาจวาสนาอยู่ตรงนี้ ! จริตนิสัย นี่พันธุกรรมทางจิตมันตัดแต่งด้วยวิธีนี้ ! ตัดแต่งด้วยการเสียสละ ตัดแต่งด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตัดแต่งด้วยสติปัญญา มันตัดแต่งพันธุกรรมของมัน จิตใจมันจะพัฒนาขึ้นไป เชาว์ปัญญามันเกิดตรงนี้ ! แล้วถ้าเชาว์ปัญญามันเกิดตรงนี้ นี่บุญกุศลมันเกิดที่นี่ แล้วเรายิ่งมาพัฒนา ยิ่งมาวัดนะ นี่มาพิจารณาของเรา มาแก้ไขของเรา มันจะเห็นคุณค่าของมันนะ เป็นอริยทรัพย์

“ทรัพย์และอริยทรัพย์” ทรัพย์นี้เป็นทรัพย์สาธารณะ บุญกุศลนี้เป็นอริยทรัพย์จากภายใน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อันนี้มันเป็นอามิส มันเป็นคราว มันเป็นอนิจจัง มันหมดได้ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม อยากมีปัญญา นี่กำหนดพุทโธ พุทโธ

นักเรียนนี่ ใครอยากเรียนเก่งๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ท่องพุทโธไว้ถ้าจิตมันสงบ เดี๋ยวพอไปเรียนหนังสือนี่ยอดเยี่ยมเลย อยากจะเรียนเก่งๆ แล้วท่องเข้าไป ท่องเข้าไปแล้วมึนหมดเลย เห็นไหม พุทโธนี่มันทำให้จิตมันสะอาด จิตมันมีกำลังของมัน ไปศึกษานะ เราจะศึกษาแล้วเราจะเข้าใจ

อ่านเพื่อความเข้าใจกับอ่านเพื่อให้ได้มากมันต่างกันนะ อ่านศึกษาเพื่อความเข้าใจ นี่เราสอบเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเราเข้าใจ เรารู้หมดล่ะ อ่านได้มากเลย แต่เบลอไปหมดเลย นี่มันไม่เป็นประโยชน์

ถ้าเรามากำหนดใจที่นี่ “วัดกับบ้าน” เห็นไหม เขาบอกว่ามันเกื้อหนุนกัน ถ้าเกื้อหนุนกันเป็นทางโลก แต่ถ้ามันเป็นทางธรรมนะ เราประพฤติปฏิบัติของเรา จิตใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาเราจะรู้จริงของเรา

“บ้านกับวัด” นี่อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าจิตใจเวียนตายเวียนเกิด เราเป็นฆราวาส เรามาบวชเป็นพระ นี่พระก็มาจากมนุษย์.. แต่เวลาเป็นพระขึ้นมามันก็มีสมณสารูป พระควรทำตัวอย่างไร พระนี้ไปเห็นภัยในวัฏสงสาร จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา เพื่อเอาจิตนี้รอดพ้นจากอำนาจของความรู้สึกของเราเอง

มาร เห็นไหม เวรกรรม เป็นความรู้สึกความนึกคิดนี้ มันครอบงำจิตเรา ครอบตัวพลังงาน แล้วตัวพลังงานนี่มันปลดเปลื้องจนเป็นอิสรภาพ มันเป็นความลึกลับ เป็นความมหัศจรรย์ที่โลกรู้ไม่ได้ แต่ใจดวงนั้นรู้ได้ ใจดวงที่ประพฤติปฏิบัติ ใจดวงที่ปลดเปลื้องนี่มันรู้ของมันได้ ถ้ามันรู้ไม่ได้ มันปลดเปลื้องไม่ได้ มันเป็นปัจจัตตังไม่ได้ เป็นสันทิฏฐิโกไม่ได้ มันพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ เอวัง