ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เนกขัมมบารมี

๓ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เนกขัมมบารมี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นปัญหานี่นะความลังเลใจ ข้อ ๓๘๐.

ถาม : ๓๘๐. เรื่อง “ใจลังเล” (ใจลังเลไม่ใช่ลังเลใจ.. ใจลังเล !)

หนูเพิ่งมาบริกรรมพุทโธค่ะ และตั้งใจตั้งแต่อายุ ๒๖ จะปฏิบัติธรรมและอยู่เป็นโสด ปัจจุบันหนูอายุใกล้ ๔๐ ค่ะ แล้วมีเหตุทำให้หนูคิด เกิดความลังเลใจที่จะอยู่เป็นโสดอย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ มันทำให้หนูเกิดกลัวความเหงาในบั้นปลายชีวิต ถึงแม้หนูก็ไม่ทราบว่าตัวเองจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน เกิดกลัวว่าปฏิบัติธรรมไม่ถึงไหน แล้วจะรู้สึกเสียใจที่ไม่มีครอบครัวในขณะที่สามารถมีได้ ขอความกรุณาเมตตา หลวงพ่อช่วยแนะนำด้วยค่ะ

หลวงพ่อ : นี่หนูตั้งใจ หนูเพิ่งมาบริกรรมพุทโธ..

“หนูเพิ่งมาบริกรรมก็นี่ใกล้ ๔๐ แล้ว แต่หนูตั้งใจมาตั้งแต่อายุ ๒๖”

การปฏิบัติธรรม เห็นไหม นี่แล้วคิดจะอยู่เป็นโสด คิดอยู่เป็นโสดนี่นะ ความคิดว่าเราอยู่เป็นโสดหรือเราอยู่ของเราไป นี่ถ้าความคิดอย่างนี้มีมาในหัวใจนี่นะมันทำให้คนๆ นี้มีบุญนะ.. มีบุญนะมีบุญ มีบุญเพราะอะไร เพราะเนกขัมมบารมี ! บารมีสิบทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเนกขัมมบารมี อนุปุพพิกถาใช่ไหมที่ว่าการเทศน์ของพระพุทธเจ้าครั้งแรก จะเทศน์เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องเนกขัมมะ

เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสวรรค์ เรื่องเนกขัมมะ นี่พระพุทธเจ้าจะเทศน์เรื่องนี้ก่อน เรื่องเนกขัมมะ ! เนกขัมมะคือพรหมจรรย์ พอพรหมจรรย์ถ้าจิตใจมีหลักปั๊บนะพระพุทธเจ้าจะเทศน์อริยสัจ เทศน์อริยสัจเลยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเทศน์อริยสัจ

เราบอกว่าพระพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจ พระพุทธเจ้าเทศน์นะเวลาสอนนี่จะสอนเรื่องของทุกข์ เรื่องของทุกข์.. ถูกต้อง แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องของทุกข์โดยที่คนยังไม่รู้จักทุกข์ โดยสามัญสำนึกของโลกยังไม่มีใครรู้จักทุกข์.. ไม่รู้จัก รู้จักแต่สิ่งที่อาการของทุกข์ เห็นไหม อาการของทุกข์ ความชราคร่ำคร่า ความพิไรรำพัน นี่ส่วนใหญ่เราจะไปทุกข์ตรงนั้นไง ตรงที่เศร้าหมองผ่องใส ไปพิรี้พิไรกับความรู้สึกของตัว

นี่ไงถ้าคนอย่างนั้นยังไม่รู้จักทุกข์ พูดเรื่องทุกข์เขาจะไม่เข้าใจ สังเกตได้เหมือนเด็กนี่ เด็กที่เวลามันมีความรู้สึกมีอารมณ์ปั๊บ เราจะพูดเหตุผลอะไรเด็กมันไม่ฟังหรอก เด็กมันมีความทุกข์ของมัน ไอ้เหมือนเรานี่นะใจเด็กๆ นะ เวลาเราทุกข์เรายากนี่เราทุกข์อยู่กับอารมณ์ไง ความพิรี้พิไรต่างๆ คือความคิด เราไปทุกข์ที่ความคิด ความรู้สึก ความรับรู้ เราไม่เห็นทุกข์หรอก เราไม่รู้จักทุกข์หรอก เราไปเห็นแต่เงาของทุกข์ ไปเห็นอาการของทุกข์ไม่ใช่ทุกข์นะ

ฉะนั้นบอกว่าพระพุทธเจ้าจะเทศน์เรื่องทุกข์นะ ทุกข์เกิดทุกข์ดับนะ พูดถึงแต่คนที่มีสัจจะ ไอ้ที่เราพูดกัน เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วบอกว่านี่ทุกข์นะ เป็นทุกข์ๆ นี้คือทฤษฎีหมดยังไม่รู้จักทุกข์หรอก แต่ถ้าเวลาใครทำความสงบของใจเข้าไป พอใจสงบแล้วนี่ ใจเป็นสมาธิ ใจมีความสงบนี่มันมีความสุข

แล้วเวลามันเสื่อมนี่ ทำไมเวลาคนภาวนาเป็นสมาธิ เห็นไหม เวลาคนภาวนาแล้วมีเสียงอะไรมากอกแกก เสียงกุกกิกมาถึงเรานี่เราจะโกรธมากเลย ทำไมมันโกรธล่ะ.. นี่คนภาวนา สังเกตได้เราอยู่ในที่วิเวกแล้วใครมาส่งเสียงดัง ใครมาทำเสียงที่รำคาญ อู๋ย.. บางทีฟิวส์ขาดเลยนะ พรวด ! เลยลุกเลย นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะ

นั่นน่ะถ้าจิตมันเป็นสมาธิ.. พอจิตเป็นสมาธิใช่ไหม พอจิตเป็นสมาธินี่ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมนั่นล่ะ นี่มันเกิดทุกข์ไง ถ้ามันเกิดทุกข์นี่ “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” ทุกข์ควรกำหนด ! ฉะนั้นพอจิตเราสงบ เวลาใครทำสมาธิหรือใครต้องการความสงบสงัด แล้วใครมาทำเสียงดังอึกทึกมันจะโกรธมาก โกรธมาก

นี่เพราะจิตมันเพื่อความสงบสงัดใช่ไหม แล้วถ้ามันคลายออกมา มันคลายออกมาก็เป็นเรื่องของโลก แต่เวลาสงบสงัดใครมาทำกระทบกระเทือนมัน นี่ความกระทบกระเทือนมันไม่พอใจ ความกระทบกระเทือนนั้นล่ะคือทุกข์ ความไม่พอใจคืออารมณ์.. ถ้าเราทำความสงบของใจใช่ไหม เราต้องการความสงบสงัด ใครมากระทบกระเทือนนี่ทุกข์มันเกิดแล้ว เพราะอะไร เพราะเราต้องการความสงัด เราต้องการความสงบใช่ไหม แล้วพอมันมีเสียงอึกทึกครึกโครมนี่เราไม่พอใจ ไม่พอใจคืออะไร คืออารมณ์ความรู้สึกแล้ว

ทีนี้พวกเราอยู่กันตรงนี้ไง พออยู่กันตรงนี้นะ ฉะนั้นถ้าอยู่ตรงนี้ถึงไม่รู้จักทุกข์ ทีนี้ไม่รู้จักทุกข์ใช่ไหม พอเวลาพระพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการนี่ต้องเตรียมความพร้อมของใจก่อน ถ้าคนที่ไปเทศน์ครั้งแรกหรือเทศน์กับผู้ที่เข้ามาในพุทธศาสนาใหม่ จะพูดเรื่องทาน ทำทานทำบุญกุศลจะได้เกิดเป็นเทวดา เห็นไหม เกิดเป็นเทวดา เทวดาก็มีนางฟ้ามีเทพบุตร ก็ยังเป็นคู่อยู่ เป็นคู่ทั้งนั้น พอเป็นคู่ทั้งนั้นนะ

เนกขัมมบารมี ! นี่เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสวรรค์ เรื่องเนกขัมมะ.. พอเรื่องเนกขัมมะ พอจิตใจพร้อมแล้วพระพุทธเจ้าถึงเทศน์อริยสัจ ทีนี้พอพระพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจก็เทศน์ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่แหละ แต่ก่อนจะเทศน์อริยสัจจะเทศน์เรื่องอนุปุพพิกถาไปก่อน นี่จะวางพื้นก่อน วางพื้นของใจไปก่อน

ฉะนั้นเราเริ่มมานึกพุทโธ พุทโธ เห็นไหม เราเริ่มมานึกพุทโธ นี่แล้วความตั้งใจไว้ แล้วถ้าปฏิบัติธรรมไม่ถึงไหน.. คำว่าถึงไหนไม่ถึงไหนนี้มันอยู่ที่วาสนาของคน

๑. อยู่ที่วาสนา

๒. อยู่ที่ความตั้งใจ

เรานี่มีวาสนามาก เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองเลยแหละ แต่ออกมาแล้วนี่ พอโตขึ้นมาแล้วเกิดมากับวาสนาเลย แต่ไม่ปฏิบัติไม่ทำนะมันก็ไม่ได้อะไร.. นี่อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แล้วอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของคนด้วย ! ถ้ามีวาสนามาก มีวาสนามากแต่ไม่ทำ ถ้าไม่ทำภพชาติมันก็หมดไปชาติหนึ่ง แต่ถ้ามีวาสนาด้วย แล้วขยันหมั่นเพียรด้วย เพราะว่า

“จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร”

มันต้องมีความเพียร มีความวิริยะ ความอุตสาหะ !

อันนี้พูดถึงว่าถ้าปฏิบัติธรรมไม่ถึงไหน ถ้าหนูกลัวเหงา.. “มันทำให้รู้สึกเกิดกลัวความเหงาในบั้นปลายของชีวิต” เราพูดนี่มันเป็นโลกกับธรรมนะ ถ้าพูดถึงในครอบครัวที่แบบว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นเสมอกัน มีความรู้สึกเหมือนกัน มันก็มีความสุขไปตลอดรอดฝั่งนะ แต่ในครอบครัวนี่ถ้าเกิดว่ามีความเห็นขัดแย้งกัน มันก็มีความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้ามีความทุกข์ขึ้นมา นี่เวลาเรากลัวเหงา ความเหงา ความเศร้าสร้อยมันเป็นอะไรนะ ที่ว่าเราหวังแล้วไม่สมหวังมันก็เป็นทุกข์

ฉะนั้นใจเรานี่หวังแล้วไม่สมหวังใช่ไหม แต่ทีนี้พอเราเหงาเพราะเราอยู่คนเดียวใช่ไหม ถ้าจิตใจเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นสมาธิเราต้องการความสงบ เราต้องการความสงัดมันจะเหงาไหมล่ะ มันไม่เหงาหรอก เราหลีกเร้นกันหาอะไร หาที่สงบสงัด ฉะนั้นถ้าเราหาที่สงบสงัดนี่มันไม่เหงา แต่ถ้าพอมันเหงา มันเหงาคืออะไรล่ะ ถ้ามันเหงานี่มันเหงาเพราะอะไร

มันเหงาเพราะ เหมือนกับคนนี่เราเข้าใจ เห็นไหม คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า.. เราเห็นว่าเขามีคู่คนนั้นมีความสุข ไอ้คนที่มีคู่นะว่าถ้ากูรู้อย่างนี้กูไม่มีก็ดี ถ้ากูรู้อย่างนี้กูไม่มีก็ดี เขาก็ปรารถนาความเหงาไง เพราะเขาหนีความเหงาไป เขาก็ไปเจอความทุกข์อีกอันหนึ่ง เห็นไหม เขาก็อยากกลับมาสู่ที่ความเหงา แต่ความเหงามันมีกับเราอยู่แล้วใช่ไหม แล้วพอเราอยู่คนเดียวนี่เนกขัมมบารมี ถ้าจิตใจไม่มีหลักปั๊บมันก็เศร้าสร้อย

แม้แต่พระ พระที่ปฏิบัติเวลาจิตเสื่อม เห็นไหม เวลาจิตเสื่อมมันก็ทุกข์ของมัน ฉะนั้นพอทุกข์ของมันปั๊บเราก็นี่ปฏิเสธไง เราก็ปฏิเสธอย่างนี้เพื่อ.. ถ้าชีวิตคู่มันจะมีความสุขกว่า เพราะอะไร เพราะความอยู่เป็นโสดนี่มันของจริง ของจริงเพราะเราสัมผัสได้ แต่ชีวิตคู่ยังไม่ได้สัมผัส มันก็คิดว่าถ้าชีวิตคู่จะดีกว่าความเป็นโสด

ฉะนั้นพอมันหนีจากความเหงาใช่ไหม จะไปใช้ชีวิตคู่เพื่อไม่เหงา เพื่อจะมีเพื่อนที่ปรึกษามันเลยตกนรกทั้งเป็นไง มันหนีจากเหงาไปแล้วมันจะไปตกนรกทั้งเป็น แต่ถ้ามันวิ่งกลับไปหานรกทั้งเป็นนะ ไอ้ความเหงานี่มันเป็นเรื่องธรรมดา

ในเมื่อมีการเกิด มีการเกิดก็มีเรา ในเมื่อมีการเกิดก็มีความรู้สึก นี่มันก็มีของมันอยู่แล้ว ทีนี้มันมีของมันอยู่แล้วในตัวมันเอง เหมือนเทียนนี่ เหมือนเทียนมันเผาไหม้ตัวมันเอง ความรู้สึกเรามันก็รู้สึกกับตัวเราเองเพราะของมันมีอยู่ใช่ไหม นี่มันถึงว่ากลัวเหงา อู้ฮู.. ถ้ากลัวเหงานะพระนี่ พระนะ ๔ แสนกว่าองค์ ก็ ๔ แสนกว่าเหงาก็แล้วกัน

พระ ๔ แสนกว่าองค์ นี่เราคนๆ เดียว พระตั้ง ๔ แสนนะ พระเมืองไทย ๔ แสนนะ แล้วยังพระทิเบต โอ้โฮ.. ยังพระอีกเยอะแยะเลย แสดงว่าเหงานี้เยอะมาก เราก็เป็นเหงาหนึ่งในเยอะมากจะไปวิตกกังวลอะไร.. ไม่ต้องกลัว ! ประสาเราว่า นี่เราคาดหมายกันไปเองว่าสิ่งนั้นจะดี.. สิ่งนั้นจะดี.. สิ่งนั้นจะดี แต่ลืมดูตัวเองว่าอะไรดี เราไปคิดว่าข้างหน้าจะดี.. ข้างหน้าจะดี.. ข้างหน้าจะดี แล้วก็จะวิ่งไปสู่สิ่งที่ว่าดี ตะครุบเงาไปเรื่อยๆ ตัวเองมันก็หลอกตัวมันเองไป

ฉะนั้นความเหงานี่ถ้าเรามีสติ ไม่มี ! มีสติใช่ไหมเราเทียบเคียงได้ โธ่.. ดูข่าวสิ ดูข่าวสิ่งที่ว่าในครอบครัวที่มีปัญหา เราจะบอกว่า อู้ฮู.. ยกภูเขาออกจากอก ยกภูเขาออกจากอกเลยเราไม่เจอปัญหาอย่างนั้น แต่เวลามันเหงานี่.. คนเรานะเวลามีปัญหาขึ้นมามันไม่มองที่ปัญหาของเรา มันไม่เห็นปัญหาของเรา มันไปเทียบเคียงปัญหาคนอื่นแล้วมันคิดไปหมด เหมือนกับวัตถุสิ่งของเลย ของอยู่กับเราถ้าใช้บ่อยมันจะไม่มีค่าเลย ลองเสียสละออกไปสิ โอ้โฮ.. คนหนึ่งเอาไปใช้อยู่ทำไมมันสวยงามขนาดนั้น

นี่ของที่หลุดออกจากเราไปแล้วจะมีค่า แต่ของอยู่กับเราไม่มีค่าเพราะอะไร เพราะใจมันไม่มีค่า ถ้าใจมันมีค่านะ.. “ในปัจจุบันนี้อายุใกล้ ๔๐ แล้ว หนูยังเกิดความลังเลใจ”

ความลังเลใจนี่นะ ความลังเลใจนี่มันจะแก้ไขได้ด้วยปัญญา ! ปัญญาคือใช้ปัญญา ปัญญาพิสูจน์กัน ปัญญาของเรา.. นี่ชีวิตที่เราเลือกเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตที่เราจะเปลี่ยนแปลงมันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราใช้ปัญญาของเรา แล้วเอามาหักลบคูณหารว่าอะไรมันจะมีน้ำหนักกว่ากัน ถ้ามันมีน้ำหนักกว่ากันนะ นี่เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าไม่บอกหรอกว่าเนกขัมมบารมีมันสูงส่งกว่า มันสูงส่งกว่าชีวิตการครองเรือน

การครองเรือนนี่นะศีล ๕ เพราะอะไร เพราะการครองเรือนมีศีล ๕ นี่กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ เพราะการครองเรือนในคู่ครองของตนไม่ผิดศีล ศีล ๕ เราครองเรือนนี่เรามีเพศสัมพันธ์ได้ แต่เวลาศีล ๘ เห็นไหม นี่ศีล ๘ มันสูงกว่าแล้ว.. ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ แล้วเนกขัมมบารมีนี่ศีล ๘ ศีล ๘ หมายความว่าอะไร หมายความว่าไม่นอนในที่สูงที่ต่ำ การละเล่นฟ้อนรำนี่เรามีศีลของเรา

ศีล ! ศีลคือข้อบังคับ แต่ถ้าจิตใจของเรานะ จิตใจของเรานี่เราถือของเราเองเลย เรามีของเราโดยปกติของเราเลยนะ อันนี้จะศีล ๒๒๗ หรือศีลอะไรก็ได้ ไม่ใช่นักบวชแต่ถือศีล ๘ ถือศีลอะไรก็ได้ ศีลคือความปกติของใจ ถ้าศีลคือความปกติของใจนี่มันมีคุณสมบัติของมันอยู่แล้ว ถ้าคุณสมบัติของมันมีมากกว่า มันถึงมีคุณค่ามากกว่าไง.. เนกขัมมบารมี !

ฉะนั้นผู้ที่อยู่เป็นโสด อยู่เป็นโสดโดยเราสร้างนะ.. นี่ทางโลกเขามี ไม่ต้องไปห่วงเลย ไอ้เรื่องนี้อย่าไปห่วง เราจะบอกเลยนะถ้าเรามีเงินมีทอง เราหาของเรานะ บั้นปลายชีวิตเราจะอยู่สุขสบาย แล้วถึงที่สุดแล้วเราช่วยตัวเองของเราได้ ไอ้ความเหงานี่นะเพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันเป็นความจริง อริยสัจเป็นความจริง

คนเกิดมานี่ ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีการทุกข์.. ที่ไหนมีการเกิด เห็นไหม นี่ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีการทุกข์ ถ้าที่ไหนไม่มีการเกิดที่นั่นไม่มีทุกข์ ฉะนั้นมันยังมีการเกิดอยู่ ทีนี้เกิดมาแล้วนี่ เกิดมาแล้วเราจะทำคุณงามประโยชน์อะไรล่ะ เกิดมาแล้วเราจะใช้ชีวิตเราอย่างไร เราจะแก้ไขของเราอย่างไร นี่เราแก้ไขชีวิตเราเพราะอะไร เพราะเราแก้ไขของเรา เรามีโอกาสนะอยู่คนเดียวมันมีเวลาทั้งวันเลยได้ภาวนาอย่างไรก็ได้ ถ้าเราทำงานกลับมาเราก็ปฏิบัติของเราได้ เราดูแลชีวิตของเราได้ ถ้าเราอยู่คนเดียวเรามีพ่อมีแม่ เราก็ดูแลพ่อแม่ไป ดูแลพ่อแม่ถึงที่สุด

เพราะธรรมดานี่ เพราะมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม ดูสิทางโลกเขาว่ากันหาคู่ไม่ได้เพราะว่าเหมือนกับเราเป็นคนบกพร่อง ไม่มีคู่ เขาคิดกันไปนู้นไง ไอ้ทางนี้ก็ ยิ่งพ่อแม่กับลูก เดี๋ยวนี้เราอยู่ในวัฒนธรรมไง ประเพณีวัฒนธรรมเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าประเพณีวัฒนธรรมเพราะอะไร เพราะกระแสสังคม โลกเขาเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเราจะออกจากวัฏฏะ-วิวัฏฏะ นี่กระแสสังคมเป็นอย่างนั้นเราจะออกวิวัฏฏะ ออกจากกระแสสังคม

กระแสสังคมให้ทุกข์เราหรือเปล่าล่ะ กระแสสังคมบีบคั้นเราหรือเปล่าล่ะ แต่ถ้าเป็นสัจธรรมของเราขึ้นมานี่ เราจะมีหัวใจของเราขึ้นมาอย่างไร สังคมก็คือสังคม สังคมไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สังคม แต่เราอยู่ในสังคมเพราะเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีหน้าที่การงานอยู่ในสังคมนั้น แต่สังคมไม่ใช่เราเราก็ไม่ใช่สังคมแต่เราอยู่ในสังคม ถ้าเราอยู่ในสังคมด้วยมีสติปัญญา นี่ถ้าพูดอย่างนี้ได้เพราะเรามีสติไง เรามีสติเรามีปัญญานี่เราพูดอย่างนี้ได้ ถ้าเรามีสติปัญญาเราก็มีจุดยืนของเราได้ พอเรามีจุดยืนของเราได้นะคนจะเข้ามาถาม..

เราจะพูดอย่างนี้นะ พูดว่าถ้าเราอยู่คนเดียวแล้วเราประสบความสำเร็จทั้งหมดเลย แล้วเวลาทางสื่อสารมวลชนเขาเห็นเขาจะมาสัมภาษณ์ อยู่คนเดียวมีความสุขไหม เหงาไหม เขาพยายามจะค้นหา โลกตอนนี้นะเขาหากัน เขาหาว่าใครทำอย่างใดเพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก ถ้าเราอยู่คนเดียว เราอยู่คนเดียวนะถ้าเราเนกขัมมบารมี เรามีเนกขัมมบารมี.. แล้วนี่เห็นไหมหนูเพิ่งมากำหนดพุทโธ

ถ้าเราอยู่คนเดียวแล้วกำหนดพุทโธ ถ้าเรามีพุทธะล่ะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ทรัพย์ที่หาอยู่ในโลกนี้มันเป็นทรัพย์ที่เป็นสาธารณะ เราจำเป็นต้องแสวงหามา เป็นหน้าที่การงานเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ทรัพย์ของโลก.. แล้วถ้าอยู่คนเดียวเราพุทโธ พุทโธ นี่พุทโธ เห็นไหม เราบอกเลยนะเขาหาทรัพย์กันเราหาพุทโธ

ถ้าหาพุทโธ.. เวลาหลวงปู่มั่นไปอยู่กับมูเซอ นี่ไปอยู่กับเขานะมันด้วยเวรด้วยกรรม ไปกับมหาอะไรจำชื่อไม่ได้แล้ว ไปกับลูกศิษย์ ไปถึงนะพอธุดงค์ไป ไปถึงชาวบ้านเขาเห็นมานี่เขาบอก ชาวบ้านเขาคิดกันเองเขาประชุมตีเกราะกันว่านี่เสือเย็น.. เสือเย็นคือเสือสมิง เขาจะมาทำร้าย นี่มาทำร้าย เห็นไหม ไม่ให้เข้าไปใกล้ หลวงปู่มั่นท่านรู้ถึงว่าชาวบ้านเขาประชุมกันแล้วเขาคิดอย่างนั้น ท่านบอกกับลูกศิษย์นะ มหาทองสุข บอกมหาทองสุขนะ

“มหา.. เรานี่นะจะแก้ไขเขา ตอนนี้มันจะทุกข์จะยากหน่อย เราก็ต้องทนอยู่นะ เราไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าเราไปจากที่นี่ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านนี้เลยตายไปอย่างน้อยเขาเกิดเป็นเสือเป็นสัตว์ เพราะเขามีเจตนาอย่างนั้น แล้วถ้ามากกว่านั้นเขาจะตกนรกอเวจีไป ฉะนั้นเราจะไปไหนไม่ได้”

มันจะลำบากมันจะทุกข์ขนาดไหน เพราะตัวท่านท่านไม่กลัวหรอก แต่ไปกับมหาทองสุข บอกให้มหาทองสุขว่านี่ต้องเข้มแข็งนะ ต้องอดทนหน่อยนะ เราจะแก้ไขความรู้สึกนึกคิดของประชาชนหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลย ฉะนั้นท่านก็ทนอยู่ที่นั่นแหละ ฉะนั้นพวกประชาชนนะเขาก็คิดว่านี้เป็นเสือเย็น เขาก็ส่งคนมาเฝ้า ส่งคนมาดูแล มาเป็นเดือนสองเดือนนะ เขาก็ไปประชุมกัน

“เอ๊ะ.. ไม่เห็นทำอะไรเลย วันๆ เห็นพอฉันข้าวเสร็จก็เดินไปเดินมา เดินไปเดินมา ไม่ใช่แล้ว ถ้าใช่เสือเย็น ใช่สิ่งที่เป็นโทษ เวลาเป็นเดือนเขาต้องมีมีปฏิกิริยา เขาต้องทำร้ายเราแล้ว นี่ไม่เห็นทำลายอะไรเราเลย เห็นแต่วันๆ เดินไปเดินมา อย่างนั้นลองส่งคนเข้าไปหาท่านซิ ไปถามท่านตรงๆ เลยว่ามันเป็นอะไร”

สุดท้ายแล้วก็ส่งคนเข้าไป ส่งคนเข้าไปหาท่าน..

“นี่ท่านสององค์นี้มาทำไม”

“โอ๋ย.. มาภาวนา ! มาภาวนา !”

“ภาวนาอย่างไร”

“ก็ภาวนาพุทโธ พุทโธนี่” หลวงปู่มั่นบอกว่า “พุทโธเราหาย เรามาหาพุทโธ”

“ถ้าอย่างนั้นถ้าพุทโธหายนี่ชาวบ้านจะช่วยหาให้ได้ไหม”

“อู้ฮู.. ถ้าชาวบ้านช่วยหายิ่งดีใหญ่ ยิ่งได้เจอเร็ว”

“แล้วมันหาอย่างไรล่ะ”

“หาก็ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ”

พอไปพุทโธ พุทโธเข้า นี่อำนาจวาสนาของเขา หลวงตาเล่าประจำ เป็นผู้ใหญ่บ้าน พอจิตมันสงบโอ้โฮ.. มันเห็นสว่างไปหมดเลย พอมันสว่างปั๊บมันก็มองไปที่จิตหลวงปู่มั่นไง อู้ฮู.. มันไม่หาย มันสว่างอยู่นั่นมันหายที่ไหน เราต่างหากคนโง่ เราไม่รู้เรื่อง เช้าขึ้นมาอู้ฮู.. ตีเกราะไปทั้งหมู่บ้านเลย ไปขอขมาลาโทษ เห็นไหม พอขอขมาลาโทษ สุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นก็บอกมหาทองสุข ตอนนี้เราจะไปไหนก็ไปได้แล้ว

ฟังคำนี้นะ นี่ผู้เสียสละเขาเข้าใจผิด เขาเข้าใจว่าพระสององค์นี้เป็นเสือเย็น แล้วมานี่มามุ่งทำลายเขา มามุ่งทำลายเขาเขาบอกว่าต้องให้คนไปเฝ้า ให้คนไปดูแล พอไปดูแลท่านก็ใช้อุบายของท่านพลิกแพลงความรู้สึกของเขา พอพลิกแพลงความรู้สึกของเขาแล้ว พอใจเขาสงบได้เขาเห็นว่าสิ่งที่พวกเราคิดมันเป็นอกุศลหมดเลย พวกเรานี่คิดผิดหมดเลย ท่านเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์มากกว่า ต้องยกทั้งหมู่บ้านไปขอขมาลาโทษนะ พอขอขมาลาโทษเสร็จ ทีนี้ก็มีความศรัทธาใช่ไหมก็สร้างกุฏิให้ก็กระต๊อบนั่นแหละ ทำทางจงกรมให้

เพราะตอนไปอยู่ท่านพูดเองว่าไปอยู่โคนต้นไม้ใหญ่มันเป็นรากต้นไม้ มันมีรากต้นไม้มันขวางดินอยู่ เดินจงกรมก็ต้องเดินอย่างนั้นแหละ เดินอยู่เป็นหลายๆ เดือน เวลาพวกชาวบ้านเขาไปทำให้ก็ติหลวงปู่มั่น นี่มาเดินอยู่ได้ ทางไม่เรียบก็ไม่ทำ ไม่มีใครบอกมาอยู่ทุกข์อยู่ยาก นี่ปรับทางให้ใหม่หมด ทำทางจงกรมให้ ทำที่พักให้ พอทำให้หลวงปู่มั่นท่านก็อยู่ อยู่เพื่อศรัทธา อยู่เพื่อเจริญศรัทธาของเขา

เสร็จแล้วนะหลวงปู่มั่นท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านใช้ชีวิตของท่านเพื่อประโยชน์กับท่าน ถ้าท่านอยู่ที่นั่นท่านก็ได้ชาวบ้านตำบลนั้นตำบลเดียว ท่านก็บอกว่าท่านจะต้องไป พอท่านจะต้องไปเพราะว่าท่านจะต้องเผยแผ่ธรรมไป ไปต่างๆ ไปแก้ไข ไปแสดงธรรมเพื่อให้คนมีความเห็นถูกต้อง เวลาจะลาจากกัน อู้ฮู.. ร้องไห้นะ “ตุ๊.. ตุ๊ไปแล้วตุ๊กลับมานะ ตุ๊.. ตุ๊อยู่ที่นี่ถ้าตุ๊ตายพวกผมก็เผาให้ตุ๊ได้นะ ตุ๊ต้องการอะไรพวกผมจะหาให้ได้หมดเลยนะ ตุ๊ไปต้องกลับมานะ ตุ๊อย่าไปนะ” เดินออกมานะร้องไห้แบบเด็กๆ

หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าเก็บบริขารเสร็จเดินออกมา คุยกันตกลงแล้วนะก็ดึงกลับ ไปไม่ได้ร้องไห้ก็ดึงกลับ กลับมาก็มานั่งพูดนั่งเทศน์จน เออ.. ให้ไปๆ พอเดินออกไปก็ไปดึงกลับ ไปดึงกลับ

นี่พุทโธ ! พุทโธ ! หนูเพิ่งมาบริกรรมพุทโธ เห็นไหม พุทโธนี่หลวงปู่มั่นไปสอนชาวมูเซอจนมูเซอเขาได้ประโยชน์ขึ้นมา.. ถ้าเราบริกรรมพุทโธ ในเมื่อเรามีงานทำอยู่เราก็ทำงานของเรา แต่ถ้าเวลาเราบริกรรมพุทโธนี่เราจะเอาอริยทรัพย์ของเรา ทรัพย์สมบัติทางโลกเราก็แสวงหา แสวงหาเพื่อดำรงชีวิตของเรา แต่ถ้าทรัพย์ภายในที่เราบอกว่าเราจะอยู่เป็นโสด เรากลัวความเหงา

เราจะบอกว่าความเหงานี่เจอแน่นอน ไม่มีใครประกันบอกว่าเราจะไม่เหงาไม่ได้หรอก มีคู่ก็เหงา ! ลองสิ มีคู่มีลูกก็เหงา เวลาลูกมันไปเที่ยวไม่กลับมา มันไปกินเหล้า ตี ๒ ตี ๓ จะนั่งเฝ้ามันก็เหงา นี่ความเมามันจะแก้ความเหงาได้อย่างไร อ้าว.. คนมีลูกจะรู้เนาะ เวลามันไปคบเพื่อนมันไม่กลับ ตี ๓ ตี ๔ นั่งเฝ้าประตูยิ่งเหงากว่าอีก ตัวเองก็คิดถึงลูก กลัวลูกจะไปเจออุบัติเหตุ กลัวลูกไปเที่ยวแล้วมันจะมีปัญหากัน อู้ฮู.. ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ เหงาด้วยทุกข์ด้วย ไอ้นี่เหงาเฉยๆ เหงาไม่ทุกข์ (หัวเราะ)

ถ้ากลัวเหงา นี้เขาบอกว่า “ถ้าหนูปฏิบัติไม่ได้แล้วจะรู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่มีครอบครัวขณะที่ยังมีได้” ฉะนั้นถ้าพูดตอนนี้ ถ้าพูดไม่ดีเขาจะไปมีครอบครัวเลย แต่ถ้าพูดดีขึ้นไปนี่ใครจะประกันความเหงาเขาล่ะ เห็นไหม คำถามมันมัดมาหมดเลยไงว่า “แล้วหนูจะรู้สึกเสียใจที่ไม่คิดมีครอบครัวในขณะที่สามารถมีครอบครัวได้”

ฉะนั้นตอนนี้อายุใกล้ ๔๐ เราจะบอกว่าที่เราพูดนี่เป็นธรรม ! เป็นธรรมคือสัจจะความจริงเพื่อประโยชน์กับสังคม.. ในชีวิตของคนนะบางคนคิดดีมาก เราอยู่กับพระนี่มันเจอปัญหามาหลายหลาก มันมีพระเพื่อนที่รู้จักหลายคน คนๆ หนึ่งบ้านเขาอยู่สมุทรสาครหรือกระทุ่มแบนมีโรงถลุงเหล็ก แล้วบวชมาพ่อแม่ตามแล้วตามอีก หนีสุดๆ ไปอยู่ไหนนานไม่ได้กลัวข่าวไปถึงพ่อแม่ พอถึงพ่อแม่ปั๊บเขาจะเอารถตามทันที พ่อแม่ถือว่า.. พ่อแม่เป็นคนจีน พ่อแม่บอกว่าลูกชายคนโต ตามประเพณีเขาต้องเป็นคนถือกระถางธูปตอนเขาตาย พ่อแม่ก็ไม่ยอม

พ่อแม่บอกว่าเขาใช้ประเพณีเป็นการบังคับ บังคับว่าลูกชายคนโตต้องมาอยู่กับเขา แล้วเวลาเขาตายไปแล้วลูกชายคนโตต้องเป็นคนถือกระถางธูปให้เขา แล้วเขาก็พยายามตามลูกชายเขาให้สึก ให้สึกตลอด ลูกชายก็ไม่ยอม หนีๆ บวชเป็นพระมาตอนนี้หลายสิบพรรษาแล้ว แล้วพ่อก็ไม่ยอม ถือสิทธิ์ตามประเพณีไง

นี่เราจะบอกว่าเวลาคนเขาออกบวช เขาออกบวชเขาออกแสวงหา แล้วในครอบครัวของเขาพยายามจะเอาเขาออกมา ก็เหมือนเรานี่แหละเหมือนเรา แต่เรานี่มันเป็นความคิดของเราใช่ไหม อันนั้นมันเป็นการบีบคั้นของครอบครัวเลย นี่อันนั้นอันหนึ่ง.. แล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่งเหมือนกันนี่ก็รวยมาก อู้ฮู.. พ่อแม่นี่ตามอย่างเดียว แต่ไอ้พวกเราคนทุกข์คนยากมันไม่คิดจะบวชเนาะ ไอ้พวกเราที่พ่อแม่ให้บวชมันไม่มีใครอยากจะบวช พ่อแม่ร้องไห้ให้บวชมันยังไม่ยอมบวชเลย

เราจะบอกว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ชีวิตของโยม เห็นไหม โยมบอกว่าโยมอยู่ในสภาพแบบนี้โยมมีความคิดอย่างนี้ เราพูดออกมานี่ให้เห็นว่าแม้แต่คนอื่นเขาก็มีปัญหาเหมือนกัน นี้ปัญหาของคนนี่อยู่ที่เวรกรรมของคน ถ้าเวรกรรมที่มีพละ พละวาสนามันดี มันมีโอกาสนะมันจะทำไหมล่ะ ถ้ามันมีโอกาสมันไม่ทำ มันก็จบของมันไป

แต่นี้เราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาแต่เรามีความคิด มีความรู้สึกมีความนึกคิดอย่างนี้มันเป็นอริยทรัพย์ พุทโธ พุทโธนี่เรานับคุณธรรม พุทโธ พุทโธ สติไง แต่เวลาเราทำงานทางโลก เราหาเงินหาทองของเรา หาเงินหาทองก็เพื่อใช้จ่าย ฉะนั้นถ้าเราใช้จ่าย เห็นไหม เราไปอยู่วัดอยู่วานะ ถ้าวัดที่ดีนะเขาดูแลเราได้

ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ดูพระนี่ เห็นไหม พระก็บิณฑบาตฉัน แล้วถ้าเป็นหัวหน้าที่ดี คำว่าหัวหน้าที่ดีนี่ดูการบริหารจัดการสิ หัวหน้าที่ดีนะมันแสดงออกได้ด้วยการปกครองดูแล ด้วยความเสมอภาค หัวหน้าที่ไม่ดีนี่มันอะไรนะ ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะกลัวเขานี่มันมีความลำเอียงหมด ถ้าหัวหน้าที่ดีมันจะมีความปกครองที่เสมอภาค ถ้าเสมอภาคนี่เวลาเราไปประพฤติปฏิบัติ ที่นั่นเขาเลี้ยงเราได้

เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยนี่นะ เราอยู่ทางโลกเราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติโดยเอาวิกฤติเอาความจริงเลย นี่วัดที่ดีๆ เขารับดูแลเราได้ ฉะนั้นเวลาเราไปวัดนะทุกคนจะพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้จริงๆ นะ วัดไหนก็ไม่อยากไปหรอกเพราะมันมีเจ้าแม่ เจ้าแม่ประจำวัดนั้นแหละ

ฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ เจ้าแม่มันก็ต้องมีเป็นธรรมดา มีเป็นธรรมดาเพราะอะไร มีเป็นธรรมดาเพราะว่า

๑.ในเมื่อเขาอยู่เขาต้องบริหารจัดการ เขาต้องดูแล การดูแลด้วยความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบดูแลนี่ต้องรับผิดชอบ

๒.แต่การดูแลโดยไม่รับผิดชอบนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ

ทีนี้รับผิดชอบปั๊บ ถ้าเราเห็นว่ารับผิดชอบนี่เป็นกติกา เป็นข้อวัตร เราก็ว่านี้เป็นกฎเป็นเจ้าแม่แล้ว แต่ถ้าเขารับผิดชอบ ถ้าเราทำแล้วทำถูกต้อง ทำถูกต้องทำตามศีลธรรมแล้วเขามาเบียดเบียนอันนั้นสิเจ้าแม่ อันนั้นถึงจะทำผิดจริง แต่นี้เราก็ผิด เราก็ทำแต่ความพอใจของเรา เราก็ทำอะไรตามแต่ใจตัวเองของเรา พอเขามาว่าก็ว่าเขาเป็นเจ้าแม่ เขารักษากฎนะ เขาไปรักษากฎที่ดี อันนี้อันหนึ่ง

แต่ถ้าเราทำดีของเรานะ เราทำตัวเราดีทำต่างๆ ดี สิ่งนั้นถ้าเขาทำถูกต้อง ทุกอย่างทำถูกต้องหมด เห็นไหม นี่ทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ความอยู่นั้นถูกต้อง นี้พูดถึงเวลาไปปฏิบัติที่วัด

เราจะบอกว่าสิ่งที่เราคิดนี่นะ ความลังเลใจนี่ลังเลใจเพราะอะไรรู้ไหม ลังเลใจนี่ ดูสิเวลาเราศึกษาธรรม เห็นไหม การฟังธรรม.. การฟังธรรม เมื่อก่อนสมัยพุทธกาลไม่มีเทคโนโลยี การฟังธรรมต้องฟังจากปาก นั้นการฟังธรรม แล้วธรรมที่ออกมาจากใจพระพุทธเจ้า ธรรมที่ออกมาจากใจของครูบาอาจารย์.. นี่การฟังธรรมนี้แสนยาก ! การฟังธรรมนี่แสนยาก หาได้ยากมาก

นี้เราเกิดเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เราได้ฟังทุกวันเลย นี่สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เราได้ยินได้ฟังไง พอครูบาอาจารย์ท่านพูดเป็นเกร็ด โอ้โฮ.. บางคำนี่มันสะเทือนใจเรามาก สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง.. สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว เราฟังแล้วนี่โลเล เห็นไหม นี่ใจโลเล ใจลังเล

สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ฟังทุกวันเลย ฟังธรรมทุกวันเลย นี่ฟังธรรมพระพุทธเจ้าทุกวันเลย.. เขาบอกฟังธรรมนี่ ภาคปฏิบัติฟังธรรมนี่มันจะสุดยอดมาก นี้ฟังธรรมเอาไมค์เสียบหูไว้เลย ทำไมมันไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย

การฟังธรรมนี่มันตอกย้ำ ! ตอกย้ำ เห็นไหม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำ สิ่งที่ตอกย้ำนี่ เพราะว่าตอกย้ำมันเกิดปัญญา เกิดการใคร่ครวญ เห็นไหม ถ้าเกิดใคร่ครวญนี่เกิดปัญญา เกิดปัญญานี่การฟังธรรม ผลของการฟังธรรมนะจิตใจผ่องแผ้ว.. สิ่งที่สุดเวลาฟังธรรม จิตลงถึงสมาธิได้

ฉะนั้นสิ่งที่ว่ามันจะหายลังเลใจต่อเมื่อเราใช้ปัญญา เราใช้ปัญญา ใช้การเหตุผลของเรา ไตร่ตรองชีวิตของเรา.. นี่ไตร่ตรองชีวิตของเรา ชีวิตนี้มันเป็นความทุกข์ ทุกข์ประจำโลกนะ ทุกข์ประจำโลกนี่แปลก เหมือนคน เหมือนผู้ชายกินเหล้า กินสุรากินเหล้า พอกินเหล้าเมานะ อืม.. เลิกแล้ว ไม่อยากกิน พรุ่งนี้เช้าไม่ทันเช้ามันกินอีกแล้ว นี่ไงมันกินซ้ำกินซาก เห็นไหม

ความลังเลใจมันมีอยู่อย่างนี้ เพราะเราลังเลใจ พอลังเลใจเหมือนโลกไง โลกนี่งานมันไม่มีวันจบหรอก งานของโลก เห็นไหม ทุกข์ของโลกมันเหมือนคนกินเหล้า พอกินเหล้าเข้าไปนี่มันก็เบื่อ พอเบื่อเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็กินอีก นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์ของโลก ความเห็นของโลก ความโลเลของโลก แต่ถ้าเป็นธรรม ธรรมมันจบนะ

เนกขัมมบารมี แล้วประพฤติปฏิบัติ.. ทุกข์ไหม ทุกข์ ! ทุกข์มาก นั่งสมาธิก็ทุกข์ ใครบอกเลยนะบอกว่ามานั่งสมาธิแล้วมีความสุข จะไม่ทุกข์เลยนี่ลองนั่งดู ทุกข์น่าดูเลยล่ะ แต่ทุกข์เพื่อจะเป็นสุขไง เห็นไหม เวลาเราอยู่โดยความสุขสบายของเรา เวลาคนเจ็บคนป่วยไปหาหมอสิ หมอฉีดยา หมอผ่าตัดเพื่อการหาย ผ่าตัดนะ เปลี่ยนอวัยวะนะแล้วเย็บเข้าไป ดูแลรักษาบาดแผลนั้น

เราจะแก้กิเลส เห็นไหม ทุกข์ประจำโลกเขาก็ทุกข์ของเขา แต่ทุกข์ประจำโลกทุกข์เหมือนไปโรงพยาบาลผ่าตัด ไปโรงพยาบาลผ่าตัด นี่ผ่าตัดกิเลสมันถึงต้องต่อสู้มันจะทุกข์กว่าไหม ความทุกข์ประจำชีวิตเรานี่ก็ทุกข์ๆ สุขๆ นี่แหละ แต่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาลนั่นทุกข์จริงๆ นะ มีดกรีดเลยล่ะ ทนไม่ไหวต้องวางยาสลบนั่นล่ะ

การนั่งสมาธิ ภาวนา จะต่อสู้กับกิเลสมันเป็นแบบนั้น ธรรมโอสถ ! มันมีความทุกข์ไหม.. มี แต่หาย ! ถ้าเราไม่รักษา เราทุกข์แล้วทุกข์เล่านะ เก็บไว้เพาะเชื้อไว้ นี่ถนอมไว้ดูแลไว้มันจะทุกข์ตลอดไป แต่ถ้าเราตั้งใจ เราตั้งใจเราต่อสู้ ทุกข์ไหม.. ทุกข์ แต่ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราพอใจ ทุกข์เพราะเรารู้ว่าทุกข์อย่างนี้มันจะทำให้เราสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทุกข์อันนี้มันจะทำให้เรามีโอกาส มันจะมีความตั้งใจ มันจะมีความจงใจของมัน มีการต่อสู้ของมัน

ทุกข์ไหม.. ทุกข์ แต่ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ ! ทุกข์เพื่อจะจบจากทุกข์ ! แต่ถ้าเราทำอยู่อย่างนี้มันไม่มีวันจบ มันจะต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ ลูบๆ คลำๆ กันไปอย่างนี้ นี่ใจมันโลเล แต่ถ้าใจมันเป็นจริงนะ ทุกข์ไหม.. ทุกข์

ในพระไตรปิฎกมีมากที่แบบว่า ดูพระรัฐปาลสิกว่าจะได้บวช เห็นไหม พ่อแม่มีลูกชายคนเดียวไม่ยอมให้บวช พอไม่ยอมให้บวชก็อดอาหาร พออดอาหารนี่พ่อแม่มีลูกคนเดียวนะ แล้วลูกคนเดียวนี่ก็ไปตามเพื่อนมาให้เพื่อนมาช่วยกล่อม เพื่อนก็ไปพูดไปช่วยกล่อมพระรัฐปาล พระรัฐปาลบอกเลย “เป็นอย่างไรก็ตาย อดอาหารจนตายถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต”

แต่ก่อนหน้านั้นพระเจ้าสุทโธทนะไม่ได้ขอพระพุทธเจ้าไว้นี่บวชได้ แต่พอพระเจ้าสุทโธทนะขอไว้ไง เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเอาสามเณรราหุลมาบวช นี่ก็ขอไว้ถ้าใครจะบวชพ่อแม่ต้องอนุญาตก่อน

นี้พ่อแม่ไม่อนุญาตเพราะพ่อแม่มีลูกชายคนเดียว อดอาหาร ! อดอาหาร ! เอาเพื่อนมาพูดด้วยมาเกลี้ยกล่อม เพื่อนบอกว่ามีตายกับบวช ! มีตายกับบวช ! จนเพื่อนมาพูดกับพ่อแม่นะ ถามพ่อแม่เพราะว่าเป็นพ่อแม่ของเพื่อนสนิทกัน ถามว่าแม่อยากเห็นหน้าลูกไหม.. อยาก ถ้าแม่อยากเห็นหน้าลูกแม่ต้องให้บวช ถ้าแม่ไม่ให้บวชแม่จะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกแล้ว ก็อดอาหารตาย อดจนตาย

เพราะพระรัฐปาลกับเพื่อนเขารู้กัน บอกว่าถ้าไม่ได้บวชตายอย่างเดียว จนพ่อแม่ต้องอนุญาตให้บวช พอบวชไปแล้ว เห็นไหม บวชไปปฏิบัติ ปฏิบัติหนีไปนะปฏิบัติแล้วก็ธุดงค์ไป ธุดงค์ไปนะพอกลับมา กลับมาเพราะว่าเขาต้องวนกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าบ้างไง พอกลับมานี่ไปเห็นไงเห็นคนใช้นะ คนใช้เอาของบูดเอาอาหารที่บูดไปเททิ้ง พระรัฐปาลเดินมาเลยนะบอกว่า “น้องหญิงทำไมจะไปเททิ้ง อย่าเททิ้งเลยเทใส่บาตรอาตมา”

เทใส่บาตรนะ ใส่บาตรเลยของเน่านะของบูดแล้ว ทีนี้พอเทใส่บาตรนี่คนใช้มันจำมือได้ มันจำมือพระรัฐปาลได้ก็ไปบอกแม่ไง บอกแม่ว่าลูกชายมา ! ลูกชายมา ! ลูกชายมาแม่ก็ดีใจมากนิมนต์มานะจัดอย่างดีเลยเพราะแม่ก็เสียใจ เสียใจเพราะว่าคนใช้เล่าให้ฟัง บอกของทำแล้วนี่มันเสียมันเน่า มันบูดแล้วจะไปเททิ้ง พระรัฐปาลมาก็บอกว่าก็อยากจะโปรดแม่ไง “อย่าเททิ้งเลย เทใส่บาตรอาตมาเถอะ” ก็เทใส่บาตรของเสียนั่นล่ะ พระรัฐปาลก็ไปฉัน นี้คนใช้ไปเห็นเข้าก็ดีใจก็เลยไปบอกแม่ แม่ก็ไปคิดรันทดไงว่าลูกเราสมบัติในบ้านเต็มไปหมดเลย หนีไปบวชแล้วมาขอของบูดๆ กิน

อู้ฮู.. เสียใจนะ พอเสียใจก็นิมนต์เลย พอรู้ว่าลูกมาก็ให้คนไปนิมนต์นะ ก็จัดอาหารนิมนต์ แล้วขนเลยเอาทองคำเอาทุกอย่างมากองไว้เลย สมบัติเมื่อก่อนไม่มีธนาคารเขาก็เก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็นิมนต์พระรัฐปาลมาฉัน พอนิมนต์พระรัฐปาลมาฉันก็ปรารภกับลูก “ลูก.. สมบัตินี่ทำอย่างไรล่ะ สมบัตินี้มันเยอะแยะไปหมดเลยทำอย่างไร” ลูกชายพระรัฐปาลบอกว่า “ให้ขนใส่รถเข็นนะแล้วไปดั้มพ์ทิ้งแม่น้ำ” โอ้โฮ.. แม่ช็อกเลย

เพราะพระอรหันต์ ! ไปปฏิบัติจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์จะเห็นทองคำไหม เห็นทรัพย์สมบัติไหม แต่พ่อแม่ติดไง พ่อแม่ติดนี่พ่อแม่ถามว่า “ลูก ทองคำนี่สมบัตินี่เต็มไปหมดเลย แล้วพ่อแม่ก็ไม่มีใครดูแลเลยแล้วจะทำอย่างไรล่ะ” พระรัฐปาลบอกว่า “ให้ใส่ล้อ แล้วไปถึงแม่น้ำให้ดั้มพ์ทิ้งไปเลย”

เพราะมันติดไง พ่อแม่ติดทรัพย์สมบัติใช่ไหม แต่พระไปถึงไหนแล้ว พระนี่พ้นไปแล้วไง แต่พ่อแม่ยังติดอยู่ ! ยังติดอยู่.. นี่ไงพูดถึงดูบุญสิ บุญของพระรัฐปาลกับพ่อแม่ของพระรัฐปาล พ่อแม่ของพระรัฐปาลมีเงินมีทองมาก แล้วมีลูกชายคนเดียว กว่าลูกชายจะได้บวชนะ กว่าลูกชายจะได้บวชเอาชีวิตนี้เข้าแลก เอาชีวิตนี้แลกอดอาหาร มีบวชกับตาย ไม่ได้บวชก็ตาย

ถ้าพ่อแม่ต่อรองกับลูกมันก็ต่อรอง นี้มีคนกลางเอาเพื่อนมาต่อรองแทน พอเพื่อนต่อรองแทนเพื่อนก็ไปถามพ่อแม่ว่าอยากเห็นหน้าลูกไหม.. อยาก ถ้าอยากเห็นหน้าต้องให้บวช ถ้าไม่ให้บวชจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว ถ้าตอนนั้นมันก็ตัดทอนกันไปเลย พระรัฐปาลก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่นี้เพราะสร้างบุญกุศลมาพอสมควร สุดท้ายแล้วก็ยอมให้บวช ยอมให้บวชก็ธุดงค์ไป ปฏิบัติไปจนสิ้นกิเลส แล้วกลับมา นี้พระรัฐปาล.. ชื่อรัฐปาล รวยมาก

นี้เราจะพูดให้เห็นว่า แม้แต่บุคคลอื่นเขาก็มีอุปสรรคมหาศาล เขาก็เอาตัวเขารอดได้ พยายามหาทางเอาตัวรอด.. นี้เรา ผู้ที่ใจลังเล เราใจลังเลแต่เราก็มีพื้นฐานอยากปฏิบัติใช่ไหม ฉะนั้นสังคมโลกเป็นอย่างนี้ แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ บ้านนอกคอกนาเขายังมีเบี้ยยังชีพ คนแก่คนเฒ่าคนนั้นเป็นคนดี ชาวบ้านเขาจะดูแล.. ชาวบ้านเขาจะดูแล

ถ้าเราแก่เราเฒ่า ! ถ้าเราแก่เราเฒ่า เราปฏิบัติดีเราปฏิบัติชอบ เรามีสหธรรมิก เรามีพวกมีหมู่คณะเขาจะดูแลกัน ถ้าเราแก่เราเฒ่า เราฉลาด เราไปบ้านพักคนชรา คนชราก็มีคนดูแล มันมีปัญญานี่มันแก้ไขได้ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้คนแก่คนเฒ่าที่เขาพอใจไปบ้านคนชราเยอะนะ เพราะไปที่บ้านพักคนชราเขาอบอุ่น นี้เพียงแต่พวกเราคิดกันเองว่าบ้านพักคนชราเหมือนเราไม่ดูแลพ่อแม่เรา แต่พ่อแม่เรา..

นี่เราพูดถึงทางโลก ! แต่ถ้าพูดถึงทางธรรมนะ พูดถึงทางธรรม พูดถึงทางวัด ผู้ที่ปฏิบัติกัน พระหรือวัดปฏิบัติเขาจะดูแลกัน เขาจะเป็นหมู่คณะดูแลกัน สิ่งนี้เขาจะดูแลกันถ้าใจเป็นธรรม.. ตอนนี้มันก็เป็นการวัด วัดว่าเราได้สร้างบุญกุศลมามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราได้สร้างบุญกุศลมา เราจะมีหมู่คณะที่ดี เราจะมีเพื่อนที่ดี เราจะมีคนที่เข้าใจเราดี แต่ถ้าเราไม่ได้ทำของเรามาเราก็สร้างของเรา กิเลสในหัวใจของคนมันร้ายกาจนะ กิเลสในใจนี้ร้ายกาจมาก

นี้เราจะตอบเรื่องนี้ เพราะเราจะบอกว่าเข้ากับทุกๆ คนไง ตอบคนนี้กลับได้ทุกๆ คนเลย อ่านซ้ำอีกทีหนึ่ง

“หนูเพิ่งมาบริกรรมพุทโธค่ะ และได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่อายุ ๒๖ ปี ว่าจะปฏิบัติธรรมและอยู่เป็นโสด ปัจจุบันหนูอายุใกล้จะ ๔๐ ปีแล้วค่ะ แล้วมีเหตุทำให้หนูเกิดความลังเลใจที่จะอยู่เป็นโสดอย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ มันทำให้หนูเกิดกลัวความเหงาในบั้นปลายชีวิต ถึงแม้หนูก็ไม่ทราบว่าตัวเองจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน เกิดกลัวว่าปฏิบัติธรรมไม่ถึงไหนแล้วจะรู้สึกเสียใจที่ไม่คิดมีครอบครัว ในขณะที่ยังสามรถจะมีครอบครัวได้ค่ะ” จบ เอวัง