เทศน์เช้า วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมะ.. ธรรมะเห็นไหม ว่าเหนือธรรมชาติ เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติต่อเมื่อเป็นพื้นฐานพื้นเพ เหมือนเรานะการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถ้าเรามีการศึกษาขั้นพื้นฐาน พอศึกษาขั้นอุดมศึกษาขึ้นไปต่างๆ พื้นฐานของเราจะดี ถ้าพื้นฐานของเราไม่ดี นี่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ
ถ้าธรรมะมันเป็นธรรมชาติ เห็นไหม การเกิด การมีอยู่ การเป็นไปมันคืออะไร สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ แต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ถ้าเรารู้ขั้นพื้นฐานแล้วนี่เราจะออกจากความพื้นฐาน ความพื้นฐานนี้มันทำให้เราติดพันอยู่ เราจะหลุดพ้นออกไปได้อย่างใด เราจะหลุดพ้นออกไปจากความสามัญสำนึก ความเป็นไปของเรา
ความสามัญสำนึก ความเป็นโลก.. ความเป็นโลกนี่เวลาขึ้นปีใหม่เขาอวยพรกัน ขึ้นปีใหม่ขอให้มีความสุข ขอให้มีความเจริญตลอดปีใหม่ นี่ก็ปีใหม่มาแล้วมีความสุขไหมล่ะ.. ความสุขของเรา ความสุขตอนเฉลิมฉลองปีใหม่นี่มีความสุข แต่ชีวิตของเรามันพร่องอยู่เป็นนิจ การพร่องอยู่ออกไปนี่ความพร่องของใจ ถ้าใจมันพร่องอยู่มันเอาความสุขมาจากไหน
คนเราขาดแคลน แม้แต่หิวข้าวมันก็ต้องมีอาหารใส่ท้องเข้าไปมันถึงมีความสุข จิตใจมันพร่องอยู่นี่มันจะเอาความสุขมาจากไหน.. ถ้าความสุขของมัน เห็นไหม ในพุทธศาสนา ถ้าเรารู้จักมันพอ เรารู้จักเพียงพอ เรารู้จักความพอเพียง เรารู้จักชีวิตของเรา ชีวิตเป็นอย่างนี้ นี่สิ่งที่เราวิ่งเต้นแสวงหากันอยู่นี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย
ชีวิตนี้นะ นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิด กำเนิด ๔ ! การเกิดในไข่ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ เห็นไหม การเกิดในโอปปาติกะ การเกิดในครรภ์ การเกิดต้องมีอาหาร อาหารของวัฏฏะ คนเกิดมาต้องมีอาหารดำรงชีวิต แม้แต่จิตมันยังมีความรู้สึกเป็นอาหารของมัน ถ้ามันไม่มีความรู้สึกเป็นอาหาร จิตมันดำรงชีวิตของมันอยู่ได้อย่างไร.. เราเกิดมาเราเป็นคนนี่เราต้องมีอาหาร ฉะนั้นเราต้องมีอาหาร เราถึงต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเพื่อดำรงชีวิต
นี้จิตของมัน เห็นไหม ฟังธรรมๆ ธรรมะนี่เตือนหัวใจของเรา ถ้าธรรมะเข้าไปเตือนหัวใจของเรา ธรรมะสร้างให้เรามีสติมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะปรินิพพานนะ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย
เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด ! ถ้าไม่มีความประมาท.. เราไม่มีความประมาท เรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่จิตใจมันจะอิ่มเต็มขึ้นมาตรงนี้ไง ถ้าจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ มันอิ่มเต็มขึ้นมานี่มันไม่พร่อง มันไม่มีความทุกข์
นี่อวยพรปีใหม่ขอให้มีความสุขเถิด.. ความสุขเราจะหาของเราเอง เราตั้งสติของเราเอง ถ้าเราพอ เห็นไหม ทุกอย่างเราพอหมด เราเข้าใจ สิ่งนี้มันเป็นเพราะมีเหตุมีปัจจัยมา ทำไมเรามีทุกข์ ทำไมเราขาดแคลน ทำไมเดี๋ยวเราอุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์เพราะเราแสวงหา เราทำหน้าที่การงานมา เราได้ปัจจัยมา เราก็แลกปัจจัยเครื่องอาศัยมามันก็สมบูรณ์ เวลาเราใช้สอยไปมันบกพร่อง มันก็บกพร่อง พอบกพร่องเราก็แสวงหามัน
นี่โลกนี้เป็นอนิจจัง ! ถ้าโลกนี้เป็นอนิจจัง เรามีสติปัญญา เราเข้าใจสิ่งนี้ได้นี่เราก็ไม่มีความทุกข์ ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้มันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะเราไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ เราต้องการตามความพอใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราต้องการตามความพอใจของเรา เราก็วิ่งเต้นไปตามตัณหาความทะยานอยาก.. นี่ไงใจมันพร่อง ถ้าใจมันพร่องมันจะเอาความสุขมาจากไหน แต่ถ้าปัจจัยมันอิ่มเต็ม เห็นไหม นั่งอยู่โคนไม้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ความสุขเกิดจากการที่เรามีสติ เรามีปัญญา เรามีปัญญาใคร่ครวญ เราเข้าใจสัจธรรมว่ามันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ! ถ้าเกิดปัญหา เกิดวิกฤติ เห็นไหม ถ้าเราไม่แก้ไขวิกฤตินั้น เราก็เป็นปัญหาในวิกฤตินั้นด้วย
ถ้าเราเกิด.. ธรรมชาติ ! เราเกิดมาในธรรมชาติ นี่ธรรมชาติที่มันหมุนไปในวัฏฏะ ธรรมะที่มันเปลี่ยนแปลง เราเป็นธรรมชาติ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปกับธรรมชาตินั้นด้วย.. แต่ถ้าเรามีสติใช่ไหม เรามีสติปัญญาเราวางธรรมชาตินั้นไว้ เราเข้าใจกฎธรรมชาตินั้นไว้ เราเอาหัวใจของเรา
นี่ไงมันถึงต้องมีสติ มีปัญญา มีการใคร่ครวญ มีการพิจารณาของมัน ถ้ามีการพิจารณาของมัน มันจะมีมรรคญาณ เห็นไหม มรรคญาณเกิดจากไหนล่ะ.. เราบอกนี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทุกคนมีปัญญาหมดเลย แต่ปัญญาขี้โกง โกงแม้แต่ตัวเองนะ โกงให้ชีวิตนี้ผัดวันประกันพรุ่ง พรุ่งนี้ก็ได้ มะรืนก็ได้ มันโกงไปวันหนึ่งๆ นะ มันโกงตัวมันเองก่อน พอมันโกงตัวเองแล้วมันก็ไปโกงคนอื่น มันผลัดวันไปเรื่อยนี่มันโกงมาแล้วนะ มันไม่มีสัจจะ
ถ้ามีสัจจะนะ เรามีสติ เห็นไหม ธรรมะคืออะไร.. นี่ปัจจุบันธรรม ! ปัจจุบันนี่ทุกวินาทีเรามีสติปัญญา เรามีปัญญา เรามีสติพร้อมกับทุกๆ วินาทีอยู่กับปัจจุบันตลอดไป มันจะมีอะไรล่ะ ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน ปัจจุบันเคลื่อนไปก็คือปัจจุบันเคลื่อนไป ไอ้นี่มันมีเมื่อวานนี้ แล้วก็มีพรุ่งนี้ แล้ววันนี้ก็โกงมันซะ วันนี้เอาไว้พรุ่งนี้ก่อน.. ถ้าเราไม่มีปัญญามันโกงตัวเองนะ
นี่ว่าปัญญาของเรา ปัญญาของเรานี้เป็นปัญญาทางโลก เขาเรียกว่าโลกียปัญญา.. ปัญญาทางโลก โลกียะ เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต เขาคิดคอมพิวเตอร์ เขาเขียนโปรแกรมนะ นี่เวลาไปปริ้นมามันจะมีข้อมูลออกมา เห็นไหม เขาต้องใส่ข้อมูลเข้าไป ไม่อย่างนั้นมันไม่มีข้อมูลออกมาหรอก แล้วความคิดมันเกิดบนอากาศเหรอ ความคิดมันเกิดที่ไหนล่ะ
ความคิดมันเกิดจากจิต เกิดจากเรา เกิดจากภวาสวะ แล้วแต่ว่าจิตแต่ละดวงก็ความคิดแตกต่างหลากหลายกันไป แล้วแต่จริต แล้วแต่นิสัย แล้วแต่กรรมของคน ความคิดจะไม่มีเหมือนกันเลย.. ถ้าความคิดไม่เหมือนกัน นี่ลายพิมพ์ของจิต ลายพิมพ์นิ้วมือไม่เหมือนกันเลย กรรมของคนไม่เหมือนกันเลย ! แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ตั้งสติ เห็นไหม ให้ตั้งสติ ถ้ามีสตินะ การทำสิ่งผิดพลาดจะน้อยลง แล้วนี่เราอวยพรปีใหม่กัน เราให้ของขวัญกัน เราให้ของขวัญ
นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลนี่เราให้ของขวัญตัวเองนะ ให้ของขวัญตัวเอง ถ้าสิ่งที่เราเสียสละออกไปนี่มันเป็นวัตถุธาตุ แต่หัวใจของเราได้ซับสมสิ่งที่เป็นบุญกุศลลงไปที่หัวใจแล้ว สิ่งที่สละออกไปนั้นเป็นวัตถุ แต่จิตใจเรามีคุณค่าเหนือกว่านั้นเราถึงสละสิ่งนี้ได้ เราสละสิ่งนี้เพื่อฝึกใจของเราให้มีการเสียสละ เห็นไหม เวลามันทุกข์มันโศก มันมีความขัดข้องหมองใจ อันนี้มันเกิดจากอะไรล่ะ มันก็เหมือนวัตถุนั่นล่ะที่เราจะเสียสละได้ ถ้าเราไม่ฝึกหัดการเสียสละ เราไม่ฝึกหัดไว้เลย เวลาอะไรที่มันบีบคั้นใจนี่เราจะเริ่มต้นตรงไหน
นี่ทุกคนบอกทุกข์ไม่อยากได้ อยากได้ความสุข อยากสมความปรารถนา แล้วสมความปรารถนามันปรารถนามาจากอะไรล่ะ.. ถ้ามันปรารถนา เห็นไหม ถ้าปรารถนานี่บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิษฐานบารมี !
อธิษฐานบารมีคือตั้งเป้า พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็สร้างบุญญาธิการ สร้างสมบุญญาธิการนี่อธิษฐานบารมี นี้แรงปรารถนาเราปรารถนาอะไรล่ะ ถ้าเราปรารถนาแล้วมีการกระทำไหมล่ะ ถ้าปรารถนาแล้วกระทำ นั้นถึงจะเป็นประโยชน์ ถ้าปรารถนาแล้วไม่กระทำนะ
นี่อธิษฐานบารมี.. บารมี ๑๐ ทัศนะ !
ฉะนั้นสิ่งที่เวลาเราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นโลก นี่สิ่งที่เราปรารถนาเป็นโลก แต่ถ้าสิ่งที่เป็นผลการกระทำ ผลของการกระทำมันดัดแปลง เห็นไหม ดัดแปลงเพราะอะไร เพราะเราอาบเหงื่อต่างน้ำนะ นี่เวลาเราอาบเหงื่อต่างน้ำเราว่าทุกข์มาก ทุกคนจะบ่นเลยว่าทำงานนี่เหนื่อยมาก ! เหนื่อยมาก ! เวลามาวัดให้นั่งเฉยๆ นะ ลมหายใจเข้าให้นึกพุท ลมหายใจออกให้นึกโธนี่มันไม่ทำ เวลาทำงานก็ว่าเหนื่อย เวลาให้นั่งเฉยๆ มันก็ไม่ยอมทำ แล้วจะเอาอะไรล่ะ จะเอาอะไร
นั่งเฉยๆ นี่นั่งดูใจของตัว รักษาใจของตัวให้มีสติของตัว เพื่อให้ใจมันเต็ม.. มันรู้จักนะ รู้จักแยกรู้จักแยะ ชีวิตมีเท่านี้แหละ ถ้าชีวิตมีเท่านี้นะ เรามีเครื่องอาศัยพอประมาณ แต่หัวใจที่มันบกพร่องอยู่นี้เราจะทำอย่างไร เห็นไหม นี่เขาอวยพรปีใหม่กันนะ เราจะอวยพรให้ตัวเราเองนะ เราจะหาสติปัญญา ! หาสติปัญญา.. สติปัญญาที่เกิดขึ้นเองนี้เรียกว่าโลกียปัญญา ดูฟ้าแลบสิ ดูลมพัดสิ มันเกิดอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ลมมันจะเกิดขึ้น นี่ฟ้าแลบมา เกิดการสันดาปมา มันจะเกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง
ความคิดมันเกิดจากจิต ! ความคิดมันเกิดจากจิต ! ความคิดที่เกิดขึ้นมานี้เราควบคุมไม่ได้ พอมันเกิดขึ้นมานี่มันฟาดงวงฟาดงาใส่เรา ไม่พอใจชีวิตนี้หมดเลย ไม่พอใจอะไรซักอย่าง ไม่พอใจแม้แต่ตัวเอง แล้วก็ไม่พอใจความไม่พอใจด้วย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร.. ไม่รู้จะทำอย่างไร นี่โลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดการควบคุมไม่ได้ !
แต่ถ้าเรามีสตินะ เรามีสติเราใช้ปัญญาไล่เข้าไป เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ ! พอปัญญาอบรมสมาธิถึงที่สุดแล้วมันดับ มันเกิดดับๆ แล้วมันดับที่ไหน แล้วมันเหลืออะไร นี่มันเหลือภวาสวะ เหลือภพ นั่นล่ะสัมมาสมาธิ.. แล้วถ้าใช้ปัญญา นี่พุทธศาสนาปัญญาเกิดตรงนี้
ภาวนามยปัญญา ศาสนาพุทธนี่ศาสนาแห่งปัญญา คือปัญญาที่ทำให้เราพ้นจากกิเลส ปัญญาที่เราให้เหนือธรรมชาติ เพราะการเกิดและการดับนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง จิตที่มันมีความคิดเกิดดับมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เอาธรรมชาตินี้ตั้งสติปัญญาขึ้นมา แล้วมันจะเกิดปัญญาที่เราจะมีความลึกลับมหัศจรรย์ ถ้าไม่มีความลึกลับมหัศจรรย์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ท้อใจหรอก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนามาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อค้นอยู่ ๖ ปี ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เล็งญาณแล้วเล็งญาณอีกเลย ใครมีวุฒิภาวะพอจะทำได้.. ใครมีวุฒิภาวะพอจะทำได้ เห็นไหม
นี่ท้อใจนะ เพราะมันเป็นปัญญาคนละปัญญากับกิเลสไง ปัญญาของเรานี่ปัญญาของกิเลส กิเลสมันพาใช้ กิเลสมันเอาปัญญานี้มาอ้างอิง เราว่าปัญญาๆ นะ ปัญญามันก็ตัดแข้งตัดขาเรามาตลอดเลย นี่บอกว่าปัญญาๆ ปัญญาโกงตัวเองไง ปัญญาผัดวันประกันพรุ่งไง ปัญญาจะเอานิพพานที่มันลอยมาจากฟ้าไง ปัญญาที่จะให้คนหยิบยื่นให้ไง แต่มันไม่คิดถึงปัญญาที่สร้างขึ้นเอง ปัญญาที่พยายามรื้อค้นขึ้นเอง ปัญญาที่พยายามจะชำระล้างตัวเอง แล้วมันเป็นปัญญาส่วนบุคคล
นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะมาลาไปปรินิพพาน เธอจงสมควรแก่เวลาของเธอเถิด พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรก็เอานิพพานของพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เอานิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป แล้วนี่ต่อมาพระอานนท์ประพฤติปฏิบัติก็ถึงนิพพานเหมือนกัน
นี่ส่วนบุคคล ! ส่วนบุคคล ! ส่วนบุคคล เห็นไหม มันเหนือธรรมชาติไง ธรรมชาติใครจะเอาไปล่ะ นี่อากาศ ฟ้า ดิน ใครจะเอาไปด้วยล่ะ มันก็อยู่ที่นี่อยู่ของมันอยู่อย่างนี้แหละ แต่ความรู้สึก ความทุกข์ ความสุข ความเข้าใจ เป็นสัจธรรมในหัวใจนี่มันไปกับเรา เวลามาทุกข์มากับเรานะ แล้วมาพุทธศาสนานี้เราแก้ไขของเรา แล้วมีความสุข เราจะเอาธรรมของเราไปกับเรา เอาสมบัติของเราไปเลย
ทิพย์สมบัติ ! ทิพย์สมบัตินี่มันเป็นผลของวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เป็นอริยะ ที่เป็นทรัพย์ของใจนี่มันจะไปกับใจนี้ นี้ถึงจะเป็นความสุขจริงไง
ปีใหม่อวยพรกันนะ อวยพรกันนี่มันเป็นสมมุติ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นหน้านักขัตฤกษ์เพื่อความรื่นเริง เพื่อความเป็นสุข เพื่อความผ่อนคลายของสังคม.. สังคม เห็นไหม ดูสิ เวลาเราต้มน้ำมันต้องมีไอน้ำ นี่มันต้องมีทางออก มันต้องผ่อนให้ไอน้ำมีทางออกได้ สังคมนี่มันมีการผ่อน มันมีการต่างๆ อันนี้เป็นวาระของสังคม แต่วาระของเรา ความจริงของเรา ปฏิบัติของเรา เพื่อชีวิตของเรา เอวัง