เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันโกนวันพระเป็นวันทำบุญนะ วันโกนเห็นไหมวันเตรียมตัว วันพระ พระผู้ประเสริฐ เราจะเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าเราจะเป็นผู้ประเสริฐเราจะประเสริฐที่ไหน คนเราเกิดมามีค่าเท่ากัน มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน มีร่างกายเหมือนกัน คนจะวัดคุณงามความดีกันที่ไหน

คนจะวัดคุณงามความดีกัน เห็นไหม วัดความดีกันด้วยค่าของน้ำใจ ถ้าค่าของน้ำใจแสดงออกเวลาเกิดวิกฤติขึ้นมา เวลาเกิดวิกฤติขึ้นมานี่เขาแสดงค่าน้ำใจของกัน เวลาช่วยเหลือเจือจานกัน เขาช่วยเหลือเจือจานกันนั้นเป็นเพราะมันเกิดวิกฤติ คนเราจะมีเพื่อนที่ดีต่อเมื่อเวลาเราตกทุกข์ได้ยาก เพื่อนที่ดีจะช่วยเหลือเจือจานเรา เวลาเราสุขสบายนี่เพื่อนเยอะแยะไปหมดเลย เวลาเราทุกข์เรายากเพื่อนเราจะเหลือกี่คนล่ะ

เพื่อนของเรา เห็นไหม นี่ค่าน้ำใจ เพราะ ! เพราะว่าเราทุกข์ยากเข้ามานี่เขาต้องเสียสละ เขาไม่ได้ประโยชน์ไปจากเราหรอก เขาจะมีแต่ความเสียสละ มีแต่จุนเจือเรา นี่คือค่าของน้ำใจ นี่คือบุญไง.. ว่าบุญคืออะไร บุญคืออะไร ถ้าเรามีค่าของน้ำใจนะ ในครอบครัวของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ในครอบครัวของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ในบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครอบครัวยิ้มแย้มแจ่มใส มีความร่มเย็นเป็นสุข พูดจากันรู้เรื่อง

แต่ครอบครัวไหนข้าวของเงินทองเขามหาศาล แต่ในครอบครัวเขามีแต่ความเร่าร้อน เห็นไหม ไว้ใจกันก็ไม่ได้ สิ่งใดก็ไม่ได้นี่มันน่าคิดนะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันทำไมเราไว้ใจกันไม่ได้ แล้วคนอื่นเราจะไว้ใจเขาได้อย่างไร ถ้าเขาไว้ใจได้หรือไม่ได้นี่มันอยู่ที่ศีลธรรม

ศีลธรรม เห็นไหม นี่ศีล ๕ ! ปาณาติปาตา เราจะไม่ล่วงเกิน เราจะไม่ล่วงเกินเขา เวลาปาณาติปาตาคือฆ่าสัตว์ให้ตกร่วง นั้นมันศีลขาดนะ ศีลด่าง ศีลพร้อย การเบียดเบียนกัน นี่สิ่งต่างๆ มันก็เป็นปาณาฯ เหมือนกัน

เวลาเราเปรียบกัน อทินนาทานา.. กาเมสุมิจฺฉานารา.. มุสา.. สุรา.. นั้นศีลธรรม เห็นไหม ถ้ามีศีล ศีลเป็นเครื่องวัดว่าการกระทำอย่างไรมันถูกต้องดีงามขนาดไหน ถ้าการกระทำของเรามันดีงามหมด มันดีงามของเรา ถ้าเราทำมีความสุข ดูสิ ดูสัตว์นะ สัตว์ที่ตัวมันแข็งแรงกว่า มันได้อาหารมามันต้องกินก่อน นี่ตัวเล็กตัวน้อยมันต้องรอคิวมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความแข็งแรง เรามีอำนาจวาสนา.. เรามีอำนาจเห็นไหม เวลาเรามีอำนาจเราลืมตัวเรา เราทำอะไรด้วยความพอใจมันก็เป็นสุขของเรา นี่เวลาคนลืมตัวนะ มีอำนาจขึ้นมานี่มันเหยียบนะ นี่เวลาช้างสารต่อสู้กันหญ้าแพรกแหลกลาญหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนเขามีอำนาจ เขาทำอะไรโดยที่เขาไม่มีศีลธรรมของเขา เขาทำด้วยความพอใจของเขา เขาก็มีความสุขของเขา

แต่ถ้าความสุขของเราล่ะ ความสุขของเรา เห็นไหม เราต้องมีศีล มีศีลคือความปกติของใจ ศีลนี่เราควรไหม เรามีความเมตตาขนาดไหน ดูสิ เวลาคนเราผิดพลาดขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอนะ รอว่าเขาจะมีความเข้าใจไหม เขาจะมีโอกาสไหมถึงได้แสดงธรรมนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราก็อยากจะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยแนะนำ ชี้นำเรา ว่าเราควรทำสิ่งใด แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เล็งญาณของท่าน นี่พูดไปเขาเข้าใจไหม เขาพอใจไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าถ้าเราเห็นเขาทำผิด เขาทำรุนแรงจนเกินกว่าเหตุ คนๆ นั้นเวลาเขามืดบอดของเขา เราพูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องนะ เราพูดไปเขาไม่รู้เรื่อง แล้วไปบอกเขาให้เขาเสียสละ บอกให้เขารู้จักการให้อภัย นี่เขาหัวเราะเยาะนะ เขาหัวเราะเยาะว่าคนนี้คนบ้าหรือเปล่าเนี่ย เขาเองมีศักยภาพ มีศักดิ์ศรี เห็นไหม

เหมือนวัยรุ่น วัยรุ่นมองหน้ากันก็ไม่ได้ เหยียบเงากันก็ไม่ได้นะ นี่ถ้าไม่มองหน้ากันแล้วมันจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้จะถูกต้องดีงามอย่างไร แต่เขาก็ถือ นี่ด้วยความศักดิ์ศรี ด้วยความคิดของเขา แต่ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา นี่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ผู้ใหญ่โดยร่างกาย ผู้ใหญ่โดยหัวใจ

ถ้าหัวใจมันเติบโตขึ้นมานะ หัวใจมันเติบโตขึ้นมานี่เราจะมีประสบการณ์ของจิตมันจะเห็นหมดล่ะ เวลาคนนะ เวลาหน้ามืดตามัวมีความรู้สึกอย่างไร เวลาหูตาสว่างขึ้นมานี่รู้สึกอย่างไร ถ้าเวลาหัวใจเป็นธรรมขึ้นมานี่รู้สึกอย่างไร

ดูลูกชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี พ่อแม่เลี้ยงมา นี่พ่อเป็นพระโสดาบันสร้างพระเชตวัน เห็นไหม เสร็จแล้วนี่ลูกชายไม่เอาไหนเลย ลูกชายไม่ยอมรับสิ่งใดเลย ลูกชายไม่ยอมรับแล้วยังคัดค้านด้วยนะ ดูสิ ถ้าพ่อแม่เราทำสิ่งใดเราจะคัดค้านว่าสิ่งนั้นไม่สมควร สิ่งนั้นไม่สมควร.. ไม่สมควรเพราะอะไร.. เพราะวัย วัยเรายังไม่ถึงสิ่งนั้น

นี้อนาถบิณฑิกเศรษฐี ลูกชายก็คัดค้านมาตลอดแหละ สุดท้ายแล้วจ้างให้ไปวัด จ้างให้ไปวัดนี่ไปก็ไปนอน นอนแล้วก็กลับมาเอาตังค์ เห็นไหม สุดท้ายแล้วเพิ่ม นี่ให้ฟังนะ.. ให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดว่าอะไร พอให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดว่าอะไรนะ พอฟังนี่ฟังแล้วมันมีเหตุมีผล เพราะคนเรามันมีเชาว์ปัญญาทั้งนั้นแหละ พอฟังขึ้นมานี่มันเอา

นี่กาลเทศะ ! สิ่งนี้ควรหรือไม่ควรเวลาทางโลกเขามีของเขา ทางโลกเห็นไหม กาลเทศะ ผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่เขาหน้ามืดตามัว เราไปพูดความจริงกับเขานะเราต้องมีอุบายบอกนะ ถ้าบอกนะ ถ้าผู้มีอำนาจบาตรใหญ่เขาเห็น เขาเชื่อฟังเรา หรือเขาเห็นผลประโยชน์นะ เขาจะซาบซึ้งบุญคุณของเรา แต่ผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่นะเขากำลังหน้ามืดตามัว เราไปพูดนะหัวขาด ! หัวขาดเลยล่ะ ! ตัดสินหัวขาด

นี่ก็เหมือนกันนะ เวลาลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นไหม ไปวัดก็ไปนอนแล้วกลับมาเอาตังค์ ไปแล้วมาแล้วเอาตังค์ เสร็จแล้วพออย่างนั้นบอกเพิ่มอีก ให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดว่าอย่างใด นี่เวลาคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันแทงหัวใจนะ มันแทงหัวใจเรา ถ้าคนมันฟัง เห็นไหม

ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ ถ้ามืดบอดนะ จิตใจมันมืดบอด เขาฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันไม่มีน้ำหนักไม่มีสิ่งใดหรอก แต่ถ้าผู้มีอำนาจบาตรใหญ่หูตาสว่างขึ้น สิ่งนั้นถูกหรือไม่ถูก ควรหรือไม่ควร เขาทุกข์เขายากไหม เขามีความสุขจากเราไหม เขาโดนเบียดเบียนจากเราไหม มันสะเทือนใจนะ เพราะทุกคนต้องการความสุขใช่ไหม แต่พวกเราหน้ามืดตามัวใช่ไหม เขาคิดอย่างนี้จะเป็นความสุข นี่ยัดเยียดให้เขา เขาทุกข์เกือบตายเขาไม่รู้เรื่องอ่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาขึ้นมา นี่ไปวัดไปวาก็ไปเอาตังค์ๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด ท่านพูดว่าอย่างไร นี่ธรรมมันคืออะไร ความเข้าใจเข้าใจอย่างไร ถ้าเข้าใจแล้วนี่ เราเข้าใจแล้วก็ยัดเยียดให้เขาเลย

มันยัดเยียดไม่ได้ ! ยัดเยียดไม่ได้เพราะอะไร ยัดเยียดไม่ได้เพราะคนเราวิชาชีพของคนมันแตกต่างกันไป ชาวนานี่เอาเครื่องทำสวนไปให้เขา เขาก็ใช้ไม่ได้ ชาวสวนนี่จะให้เขาไปไถไปหว่านเขาก็ทำไม่ได้ แม้แต่เครื่องมือการเกษตรกรรมเขายังใช้แตกต่างกันเลย

นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยของคนก็แตกต่างกัน สถานะความรู้สึกรับรู้ก็แตกต่างกัน ไอคิวก็แตกต่างกัน แล้วความเป็นอยู่วิชาชีพก็แตกต่างกัน มันถึงต้องมีอุบายเห็นไหม พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไป พอลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังนี่บรรลุธรรมนะ เป็นพระโสดาบันเหมือนกันนะ

ความสุขที่ไหน ความสุขที่ไหน.. นี่ไม่กล้าไปเอาตังค์นะ เพราะตังค์ เห็นไหม ตังค์คือว่าทรัพยากรอย่างนี้มันใช้ประโยชน์ได้ มันแลกปัจจัยเครื่องอาศัยได้ มันใช้เพื่อโลกได้ แต่หัวใจที่มีคุณค่ากว่านั้นไม่เอา นี่เพราะว่าเหตุนั้น เหตุที่ว่าอยากได้ตังค์ แต่เพราะว่าอยากได้ตังค์ก็ไปศึกษาไปแสวงหา

พอการศึกษาแสวงหานั้นมันสะเทือนใจนะ ไม่กล้าเอาตังค์.. อายมาก.. อายพ่อมาก พ่อเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย นี่ไม่รู้สิ่งใดเลยนะ เวลาจ้างให้ไปวัดก็ไป จ้างให้ไปฟังก็ไป แล้วก็มาเอาตังค์ๆ นี่จ้างไปเอาตังค์ไง จ้างให้ทำดี แต่พอมันมีความดีขึ้นมาแล้วไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องจ้าง ! มันละอายใจ เห็นไหม

นี่บุญกุศลเป็นแบบนี้ บุญกุศลมันเกิดจากความรู้สึก ความรับรู้ในหัวใจของเรา ถ้าเราพัฒนาขึ้นมาเราจะเข้าใจของเรา.. เราเข้าใจเห็นไหม แล้วเรามองคนที่ยังไม่เข้าใจนี่เราจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ

ความเข้าใจ ! ความเข้าใจของเขานี่มันต้องมีอุบาย มีวิธีการบอกเขา ถ้าเขาเข้าใจได้ เขาเข้าใจนี่กาลเทศะนะ เข้าใจแล้วยังมีกาลเทศะ

ในธรรมนะ เวลาพระโมคคัลลานะนี่ไปต่อว่าพระพุทธเจ้า “พระพุทธเจ้าสอนคนทั่วไปหมดเลย คนหน้าวัดไม่สอน” พระพุทธเจ้าบอกว่า “มันไม่เอา มันไม่เอานะ”

พระโมคคัลลานะบอกว่า “ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ” พระพุทธเจ้าบอกว่า “ไปลองดูสิ”

เวลาไปเทศน์เขานะเขาหันหลังหนีเลย หันหลังหนีนะ พอเขาแหงนหน้า.. เพราะพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์นะ เขาแหงนหน้าขึ้นไปก็เหาะขึ้นไปแสดงธรรมบนอากาศ เขาก้มหน้าลงดินเลย เขาไม่ฟังเลย เขาไม่สน คนหน้าวัดนะ อยู่ในพระไตรปิฎก !

นี่ไง เวลาถ้าเขามืดบอดนะ เขาไม่รับรู้อะไรกับเราหรอก แล้วเขาจะเห็นว่าเราทำนี่ ดูสิ คนนี้แปลกเนาะ อยู่ดีๆ ก็หาเงินหาทองมาแล้วก็ไปเสียสละๆ เออ.. พวกนี้ไม่รู้จักเก็บรักษาเนาะ นี่เขาก็คิดของเขาไปอีกอย่าง เพราะเขาไม่คิดไง

แต่เขาคิดว่าถ้าเรามีบุญล่ะ.. ดูสิ ตอนนี้โลกเจริญมากนะ ดูจากทางยุโรปนะเมื่อก่อนเขาเจริญมาก เดี๋ยวนี้เอเชียเจริญขึ้นมาแล้ว พอเจริญขึ้นมานี่ เมื่อก่อนเราก็อยู่กันในป่าในเขา เราอยู่กันด้วยศีลธรรมจริยธรรม ตอนนี้เราจะมีความสะดวกสบายขึ้นมาแล้ว

แล้วมีสะดวกสบายขึ้นมาแล้วนะ สะดวกสบายหมายความว่าโลกเจริญ วัตถุเจริญ ความเป็นอยู่เจริญ แต่หัวใจคนถ้ามันเร่าร้อนนะ ถ้าเจริญอยู่กับกองไฟนี่นะมันมีความทุกข์มาก ถ้าโลกมันเจริญนะ แล้วหัวใจมันเจริญขึ้นมาด้วยนะ นี่เราจะดูนะว่าเวลาทางยุโรป ทางตะวันตก เขาเจริญขึ้นมานี่เขาเจริญขึ้นมาด้วยวัตถุ แล้วเขาหาอะไรเป็นที่พึ่งพิง

ในปัจจุบันนี้ของเรากำลังจะเจริญ แล้วถ้าหัวใจของเรานะเจริญแล้วด้วย หัวใจเจริญด้วยนะ ดูสิว่าความยั่งยืนของสังคมมันจะแตกต่างกันอย่างใด ความกตัญญูกตเวที ความรับรู้ถึงคุณนี่นะ ทางตะวันออกมีคุณค่ามาก แล้ววัตถุเจริญขึ้นมาด้วย แล้ววัตถุก็เจริญ เห็นไหม เมื่อก่อนวัตถุเราไม่เจริญ เรามีแต่ความกตัญญูกตเวที ลูกต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ต้องดูปู่ ย่า ตา ยาย เรื่องรัฐสวัสดิการของเรานะ รัฐบาลก็ไม่มีทุนรอนมารักษา

ทางยุโรปของเขา ตะวันตกของเขานี่เขามีรัฐสวัสดิการ เขามีทุกอย่างพร้อมเลย แต่หัวใจเขาว้าเหว่ ลูกของเขานี่ถึงเวลารัฐบาลเขาดูแล สวัสดิการเขาดูแล แต่เขาเหงาของเขา เขาทุกข์ยากของเขา

แต่ของเรา เห็นไหม ดูว่าความเจริญขึ้นมา ถ้าวัตถุเจริญด้วย จิตใจเจริญด้วย จิตใจมีคุณค่า ของเราจิตใจมันมีคุณค่าอยู่แล้ว เพราะว่าทางตะวันออกนี่มันเจริญกว่าเพียงแต่วัตถุเราด้อยกว่า

แต่ตอนนี้วัตถุมันจะมาแล้วเพราะอะไร เพราะโลกมันศึกษาทันกันได้ วิทยาศาสตร์ทางโลกมันศึกษาทันกันได้ วิชาชีพศึกษาทันกันได้ วัตถุมันทำทันกันได้ แต่หัวใจนี่ลงทุนมาก ! เราถึงต้องมีบุญกุศลของเราเพื่อหัวใจของเรามันมีที่พักที่อาศัย คนมีบุญเหมือนอยู่กลางแดดกลางฝนแล้วมีร่มอยู่ เห็นไหม ถึงฝนตกแดดออกเราก็ยังมีที่มุงที่บัง แต่ถ้าคนไม่มีบุญยืนตากแดดตากฝนนี่ต่างกันขนาดไหน

เราสร้างของเรา หาร่ม หาต่างๆ เพื่อบังแดดบังฝนของเรา ให้จิตใจเรามีที่พักที่อาศัย เราถึงแสวงหากัน เราถึงทำบุญกันเพื่อหัวใจของเรา เอวัง