เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเด็กไร้เดียงสา ความไร้เดียงสาของเด็ก เห็นไหม แต่เวลามันมีความแง่งอนในใจของเขา เขาแสดงออกแบบไร้เดียงสา ความไร้เดียงสาของเขามันสะอาดบริสุทธิ์ ความรักของพ่อแม่ก็สะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์แบบโลกไง โลกมันบริสุทธิ์ แต่ ! แต่ความหมุนไปของวัฏฏะมันคงที่ไม่ได้ ความไร้เดียงสา ความสะอาดบริสุทธิ์แต่ว่าเป็นความกังวล เป็นภาระรับผิดชอบ

ความรับผิดชอบ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นธรรมไหม.. เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะเป็นหน้าที่ เป็นคุณงามความดีของเรา นี่คุณงามความดีของเรานะ ความผูกพัน ความรัก ความต่างๆ แต่มันมีซ้อนมาอีกอันหนึ่งไง ซ้อนมาอีกอันคือ “กรรมเก่า กรรมใหม่”

เวลากรรมเก่า เห็นไหม กรรมเก่า สิ่งที่มีปัญหากันมา สิ่งต่างๆ กันมา เราเกิดมาอภิชาตบุตร บุตรที่มันเกื้อกูลกันมา เกิดมาแล้วพ่อแม่มีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเด็กที่มันเกิดมานี่มันมีความขัดแย้ง อันนั้นมันเป็นกรรมเก่า แต่กรรมใหม่ก็คือลูกของเราไง กรรมเก่าก็คือสายเลือดของเรา พอสายเลือดของเรานี่ความผูกพันของใจ สิ่งนี้มันมีความกระทบกระเทือน ความกระทบกระเทือนคือมันไม่ได้ดั่งใจเราไง

แต่ถ้ามันไม่ได้ดั่งใจ.. ไม่ได้ดั่งใจนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าอภิชาตบุตรนี่ดีกว่าที่เราตั้งใจอีก เพราะอภิชาตบุตรดีกว่าพ่อดีกว่าแม่ ทำได้ดีกว่าไง สิ่งที่ทำได้ดีกว่าก็มี สิ่งที่ทำได้เสมอเราก็มี สิ่งที่ทำได้ด้อยกว่าก็มี ความด้อยกว่าความดีกว่าอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่มันมีมา มันเป็นเรื่องของกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่นะ ถ้าจิตใจของคนเข้มแข็ง.. จิตใจของคนเข้มแข็ง จิตใจของคนอ่อนแอ

ถ้าจิตใจเข้มแข็งนะ ดูสิสภาพร่างกายสภาพแวดล้อมอย่างไร ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ดูสิดูทางทิเบตนะ ทางทิเบตนี่ความเป็นอยู่ของเขา อากาศเขาเบาบาง เห็นไหม ความเป็นอยู่ของเขา นี่ความเป็นอยู่ในที่สูงไง แต่พระพุทธศาสนาสอนเขา เรื่องว่าชีวิตนี้ก็มีเท่านี้ ชีวิตนี้เป็นอนิจจัง

ถ้าสิ่งที่เป็นอนิจจัง เกิดมาแล้วเราสร้างคุณงามความดีของเรา นี่เพราะอะไร เพราะจิตใจของเขาเข้มแข็ง เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน แต่เขาก็อยู่ของเขา ด้วยความสุขของเขา ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสของเขา แต่ถ้าจิตใจอ่อนแอ เห็นไหม สิ่งที่เราเกิดมาแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นความทุกข์ยากไปหมดเลย ถึงจะอยู่ในที่ร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน อยู่ในที่อุดมสมบูรณ์ขนาดไหน แต่จิตใจมันไม่มีความพอใจของมันทั้งนั้นแหละ มันพยายามหาทาง

หาทาง เห็นไหม ความอยาก.. อยากจนไม่มีขอบเขต ความอยากนี่อยากทั้งนั้นแหละแต่ไม่รู้อยากอะไร แต่มันอยากไปเรื่อย เพราะอะไร เพราะเราไม่มีขอบเขต ว่าขอบเขตขึ้นมานี่ศีลธรรมไง ขอบเขตของมนุษย์.. มนุษย์มีขอบเขตแค่นี้ มนุษย์มีความต้องการแค่นี้ แค่นี้มันก็อยู่ได้แล้ว

ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าขอบเขตที่เรามีอยู่ สิ่งที่เราแสวงหามา สิ่งที่เหลือเราเสียสละของเรา เราเสียสละเพื่อใจของเรา เสียสละเพื่อบุญกุศลของเรา ความเสียสละของเรา เห็นไหม ความเสียสละสิ่งนั้นมันเป็นบุญกุศล แต่ถ้ามันมีขอบเขต ตัณหาความทะยานอยากมันไม่มีขอบเขตหรอก ไม่มีขอบเขตของมัน มันไปตามกำลังของมันหมดเลย แต่ศีล ! ศีลธรรมนี่มันมีขอบเขตแล้ว

ความขอบเขตของเรา เห็นไหม คนเกิดมา ถ้าคนมีธรรมในหัวใจนะคนเกิดมาก็แค่อาศัยหลับนอน ที่นอนหลับนอนแค่นี้ อาหารก็อาศัยแค่นี้ ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ปัจจัย ๔ ปัจจัยขาดไม่ได้ ปัจจัยนี่ อาหาร ๔ ในวัฏฏะ กวฬิงการาหารอาหารเป็นคำข้าว อาหารเป็นวิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนเจตนาหาร

จิตเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ มันต้องมีอาหารเป็นเครื่องดำรงเลี้ยงชีพของมัน เราหายใจอยู่นี้เป็นอาหารอันละเอียดนะ ออกซิเจนเป็นอาหารของร่างกายที่ละเอียด เราได้โดยธรรมชาติ เห็นไหม เราถึงบอกว่าสิ่งนี้.. ดูสิพระเรานะ นี่สิ่งใดถ้าล่วงทวารปากไปต้องประเคน ถ้าไม่ประเคนล่วงทวารปากไปเป็นปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน เพราะน้ำที่เป็นสาธารณะเรากรองเอาได้ไม่ต้องประเคน

แต่น้ำจำกัดส่วน.. น้ำจำกัดส่วน น้ำของผู้ที่มีเจ้าของ เขามีสิทธิของเขา เราไปหยิบฉวยของเขาไม่ได้ต้องประเคน อากาศก็ไม่ต้องประเคน อากาศมันมีของมัน เห็นไหม นี่อากาศต่างๆ ความจำเป็นของร่างกาย ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ไม่ฝืนความจำเป็นของชีวิตหรอก แต่สิ่งที่เกินกว่านั้น สิ่งที่เกินกว่านั้นมันไม่ต้องใช้ก็ได้

ดูพระเราสิฉันเพื่อดำรงชีวิต แต่โลกเขาฉันเพื่อกาม ฉันเพื่อเกียรติ.. เกียรตินี้สำคัญมาก เวลากินเพื่อเกียรติ กินเพื่อกาม กินเพื่อตัณหา กินเพื่อดำรงชีวิต เห็นไหม แต่พระเรานี่ฉันเพื่อดำรงชีวิต ชีวิตนี้ไว้ทำไม ชีวิตนี้มีค่ามาก.. ชีวิตนี้มีค่ามาก เพราะชีวิตมีความรู้สึก ความรู้สึกเวลามันเปลี่ยนแปลงนะ พอเวลามันเปลี่ยนแปลง นี่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนเป็นคนๆ หนึ่งเลย คนๆ หนึ่งนะ มีความรู้สึก มีความเข้าใจผิดสิ่งใด นี่กิเลสตัณหามันครอบงำอยู่ แต่ถ้าเรามีปัญญา มีการใคร่ครวญออกมา นี่เราเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย

ถ้าดำรงชีวิตอยู่นี่มันเปลี่ยนแปลง นี่ไงพันธุกรรมทางจิต ! จิตได้เปลี่ยนแปลงได้กระทำ.. เรามาทำบุญกันนี่มาดัดแปลงของมัน มันเปลี่ยนแปลงมันปรับพันธุกรรมของมัน เพราะ ! เพราะว่าถ้าจิตใจ นี่ทุกคนอยากจะสุขสบายนะ ทุกคนอยากกินอิ่มนอนอุ่น ไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหนเลย มันจะมีความสุขความสบายของมัน

แล้วอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิเวลาเป็นพระขึ้นมานี่ครูบาอาจารย์บอกว่าอยู่แบบหมู หมูมันกินแล้วก็มานอน มันกินมันนอนตามสะดวกสบาย นี่อยู่เหมือนหมู อยู่เหมือนสัตว์ แต่เราเป็นคนมีชีวิตนะ เราไม่ใช่สัตว์ใช่ไหม เราต้องมีปัญญาของเราใช่ไหม ถ้าปัญญาของเรานี่เราต้องแก้ไขของเรา ความแก้ไขการกระทำของเรา การกระทำนี่พันธุกรรมทางจิตมันได้เปลี่ยนแปลงของมัน เรามาทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลนี่หัวใจมันได้ขยับเขยื้อน

ดูสิเช้าขึ้นมาเขาให้ออกกำลังกาย ถ้าออกกำลังกายแล้วร่างกายจะแข็งแรง นี่เราทำเราออกกำลังกายทางจิต จิตมันมีของมัน มันต้องหวงต้องแหนของมัน.. เราเสียสละ เราฟังเทศน์ฟังธรรม เรามีการกระทำของเรา ชีวิตนี้มันมีการเคลื่อนไหว ชีวิตนี้มันมีการกระทำ ถ้าจิตใจมีความเข้มแข็งขึ้นมา.. ความเป็นจริงนะ สิ่งที่เป็นจริงนี่ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่การพลัดพราก มันพลัดพรากอย่างไรเท่านั้นเอง

ถ้าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราเตรียมพร้อมหรือยัง เห็นไหม เวลาเราออกจากบ้านมานี่ รถราของเราเตรียมพร้อมมา เรามีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งหมดเราจะไปไหนก็ได้ เราได้ทำบุญกุศลไว้ บุญกุศลนี้มันเป็นเครื่องดำเนินของจิต จิตมันได้อาศัยบุญกุศลนี้เป็นเครื่องเกิด เกิดดีเกิดชั่วเกิดต่างๆ อาศัยเครื่องนี้ไปเกิด ! นี่สิ่งที่ไปเกิด เห็นไหม แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้เพื่อไม่เกิด !

ถ้ามันไม่เกิดใช่ไหม.. ที่ไหนมีการเกิด ชาติปิ ทุกขา ทุกข์ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์คืออะไร “ชาติปิ ทุกขา.. มีการเกิดที่ไหน มีความทุกข์ที่นั่น” มีความทุกข์อย่างนี้มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง เราถึงบอกว่าทุกคนบอกว่าเห็นทุกข์ๆ ไม่เห็นหรอก ! เห็นอาการของทุกข์ เห็นวิบาก เห็นผล.. เห็นผลเพราะมันเป็นอารมณ์

ทุกข์มันเกิดที่ไหนล่ะ ดูสิที่ไหนมีสถานที่รองรับ ที่นั่นมีน้ำหนัก นี่ความทุกข์ความเห็น ความคิดความอ่านต่างๆ มันเกิดที่ไหนล่ะ มันเกิดบนจิต แล้วถ้าจิตมันมีอยู่ เห็นไหม นี่ที่เกิดมาความทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ เวลามันเกิดมันมีอะไรกระทบกระเทือนจิตนั้นล่ะมันถึงได้มีอารมณ์ออกมา อารมณ์ที่มันกระทำออกมานี่มันเป็นเพราะอะไรล่ะ มันมีตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาเข้ามานี่มันจะไล่ต้อนเข้ามา

ถ้าไล่ต้อนเข้ามา.. นี่ไง นี่ถ้าจิตใจคนเข้มแข็ง จิตใจคนเข้มแข็งนะสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เห็นไหม เราอาศัยอยู่นะ อาศัยอยู่เพื่อทำคุณงามความดี ชีวิตนี้มีความสำคัญตรงนี้ เวลาเราทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ถ้าผู้ใดปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ชีวิตนี้เหลือ สอุปาทิเสสนิพพาน.. เศษเหลือทิ้งไง ! ถ้าเศษเหลือทิ้ง.. คำว่าเศษเหลือทิ้งๆ เศษเหลือทิ้งเพราะเหตุใด เศษเหลือทิ้งเพราะใจมันหลุดพ้นออกไป ใจมันหลุดพ้นออกจากสภาวะที่บีบคั้นอยู่นี้ไง

นี่ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันตั้งอยู่บนอะไร ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่มันบังคับอะไร ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันทำสิ่งใด.. มันทำสิ่งใดอยู่ นี่มันทำเพื่อประโยชน์อะไรล่ะ นี่มันทำสิ่งใด

เวลาเราใช้ปัญญาๆ ปัญญาทางโลกนะ เราต้องมีอาชีพสัมมาอาชีวะ เห็นไหม นี่เวลาสัมมาอาชีวะ มิจฉาอาชีวะ สิ่งที่ว่าเป็นอาชีวะมันมีความจำเป็น มันมีเวรมีกรรมมานะ อาชีวะเราถึงได้เกิดในสถานะนั้นๆ ถ้าสถานะนั้นๆ เราจะหาทางออกอย่างใด เราจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด เราจะเปลี่ยนแปลงมีการกระทำของเรา นี่สิ่งที่เป็นอาชีวะ

ถ้าสัมมาอาชีวะ เห็นไหม ดูสิเวลาเราบวชมา นี่สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่เขาได้มาปฏิคาหก ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ได้มาด้วยความเศร้าหมอง ได้มาสิ่งใดก็แล้วแต่ นี่ความได้มา มีการกระทำ การเสียสละ เสียสละแล้วก็มีความพอใจของเขา นี่ปฏิคาหก ! ผู้ให้ ผู้รับ.. ผู้รับนี่รับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา

เวลาพระในสมัยพุทธกาล เห็นไหม เช้าบิณฑบาตว่าวันนี้จะได้อะไร ไม่ไปบิณฑบาตเลย วันนี้ไม่ให้กิน วันนี้ไม่บิณฑบาตดัดนิสัย นี่เพราะยังไม่ได้ออกจากวัดไปเลยนะ มันคิดไปแล้ววันนี้จะได้อะไรตกบาตรมาบ้าง มันพอใจสิ่งใดมันอยากได้ตามใจของมัน เห็นไหม นี่ดัดนิสัย

สัมมาอาชีวะ ! สัมมาอาชีวะทางโลก สัมมาอาชีวะคือการดำรงชีวิต สัมมาอาชีวะของพระ นี่มรรค เห็นไหม วิญญาณาหาร.. ความคิด จิตมันกินอาหาร จิตกินอารมณ์ เพราะว่าอารมณ์ความรู้สึกเรานี่มันเสวยแล้ว มันกระทบแล้ว ถ้ามันกระทบแล้วกระทบในสิ่งที่ดี.. นี่สัมมาอาชีวะ คิดที่ดี บิณฑบาตนี่ไปโปรดสัตว์ เห็นไหม แต่ต้องโปรดตัวเราก่อนนะ

สัตตะผู้ข้อง ! เราก็ข้องในตัวของเราจะไปโปรดสัตว์ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจะไปโปรดใคร ถ้าเราเอาตัวรอดเรานะเราโปรดสัตว์ เห็นไหม โปรดสัตว์นี่เนื้อนาบุญของโลก เราเป็นภิกษุผู้ดำรงชีวิต เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร นี่ไปโปรดสัตว์.. โปรดสัตว์เขาให้ชีวิตเรานะ อาหารที่เราได้ฉันของเขาเพื่อดำรงชีวิต แต่ชีวิตนี้เราได้ประพฤติปฏิบัติของเรา เราแก้ไขของเรา เราพยายามทำความสงบของใจ ใช้ปัญญาของเรา เราฉันอาหารนั้นแล้วนั่งสมาธิภาวนา เห็นไหม

ในทานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ คราว พระพุทธเจ้าบอกไว้นี่มีผลมาก “คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน.. อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ฉันอาหารของเขา นี่ฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วนั่งสมาธิภาวนาจนสิ้นกิเลสไง นี่ฉันอาหารของเขานี่โปรดสัตว์ ! ถ้าจิตใจของเราเป็นสัจธรรม เรามีความเป็นธรรม เป็นเนื้อนาบุญของโลก เห็นไหม นี่โปรดสัตว์ แต่การโปรดสัตว์ต้องโปรดตัวเราให้ได้ก่อน ถ้าเราโปรดตัวเราได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา มันจะเป็นสิ่งที่เป็นคุณงามความดีกับเรา

ถ้ามันทำคุณงามความดีกับเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์นะ มันเป็นประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับสัตว์โลก นี่พูดถึงประโยชน์นะ แล้วถ้าประโยชน์ตัวเราล่ะ เราทำสิ่งใดมันถึงจะเป็นประโยชน์กับตัวเรา ถ้าประโยชน์กับตัวเรา.. นี่เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรา เห็นไหม เวลาเรื่องของในครอบครัวเรื่องของต่างๆ เราก็ต้องปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขทั้งนั้นแหละ แต่เราปรารถนาความสุข นั้นคือเรื่องการเสียสละ

นี่เราปรารถนาให้เขามีความสุข ถ้าเขามีความสุขใช่ไหม เราอนุโมทนาไปกับเขา โลกเขาเป็นอย่างนั้นกันใช่ไหม เวลาเราพยายามจะทำบุญ เราต้องหาสิ่งใดมาทำบุญว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ความยาก เราเห็นเขาทำคุณงามความดี เราอนุโมทนาไปกับเขาอันนี้มันก็เป็นบุญแล้ว.. แต่จิตใจของคนมันเห็นแล้วมันขัดแย้งไง มันไม่ยอมรับ มันอนุโมทนาไปกับเขาไม่ได้ มันก็เลยไม่เป็นบุญไง

นี่แล้วมันมีการแข่งขัน การแข่งขันนั้น ถ้าแข่งขันทำคุณงามความดี เห็นไหม โดยธรรมชาติของมนุษย์มีการแข่งขัน มีการคัดเลือก มีการคัดแยกว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ เวลาความสามัคคี.. ความสามัคคีไม่ใช่คิดแบบเดียวกัน ความสามัคคีนี่มันคิดต่างได้ แต่ความคิดต่าง เวลาถึงสรุปแล้วเราจะควรทำสิ่งใดให้องค์กรนั้นมันมีความเข้มแข็ง นี่ความสามัคคี

ไม่ใช่ว่าความสามัคคีต้องเห็นเหมือนกันหมด มันเป็นไปไม่ได้หรอก ความที่เป็นไปไม่ได้เพราะว่าจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน แม้แต่คนคิดในแนวทางเดียวกันมันก็มีอย่างหยาบ มีอย่างกลาง มีอย่างละเอียด ความคิดที่ละเอียดกว่ามันก็บอกว่าควรทำที่เข้มข้นกว่า ความคิดอย่างกลางก็ว่านี่แค่นี้พอดี ความคิดอย่างหยาบก็ว่าทำแค่นี้ก็เสร็จแล้ว.. แม้แต่คิดในทางเดียวกันมันก็มีเข้มข้นแตกต่างกัน แต่ถ้ามันมีความเข้มข้นแตกต่างกันแค่นั้นล่ะ เห็นไหม

นี่ไงความสามัคคี นี่คือองค์กรนั้นเป้าหมายนั้นเพื่อประโยชน์.. แต่ว่าความเห็นต่างไม่เป็นไร เพราะความเห็นต่างนี่เราเห็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่ามุมมองของเรา ความรู้สึกของเรา นี่ความรู้สึกของเราที่เข้มข้นกว่ามันก็ชัดเจนกว่า มันก็ต้องมีน้ำหนักมากกว่า ถ้าความคิดของเรามันเป็นระดับปานกลาง ระดับที่อย่างหยาบ มันก็คิดได้ว่าทำอย่างนี้ก็พอแล้วๆ แต่พอแล้วนี่พอแล้วเพื่อสิ่งใด พอแล้วเพื่อประโยชน์สิ่งใด เห็นไหม นี้ถึงว่าความสามัคคี

ความสามัคคี นี่สามัคคีของสังคมนะ แล้วความสามัคคีของร่างกายเราล่ะ ถ้าร่างกายเรามันสมดุลสามัคคีกัน เห็นไหม เราจะอยู่สะดวกสบายมาก แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรามีคำ บริกรรมของเราใช่ไหม ถ้าจิตมันสามัคคีกัน มันรวมลงเป็นสมาธิ ถ้ามันลงเป็นสมาธินี่มันสามัคคีกัน มันไม่ขัดแย้งกันมันยิ่งมีความสุขใหญ่เลย !

แล้วถ้าเกิดมันมีปัญญา ปัญญามันเกิดมันแยกแยะ มันคัดแยกของเรา เห็นไหม ปัญญามันแยกแยะ มันคัดแยกของมัน นี่ความดีมันเกิดเป็นชั้นๆ ขึ้นไปทั้งนั้นแหละ แล้วความดีของใคร ความดีนี้มันเป็นประโยชน์กับใคร.. นี่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งนะ จิตใจมันเข้มแข็งมันมีการกระทำ แต่ถ้าจิตใจอ่อนแอ เห็นไหม จิตใจอ่อนแอ เวลาทำสิ่งใด..

โลกนะเดี๋ยวนี้เพราะเราดูแลกัน เห็นไหม เวลาเมื่อก่อนนะ สมัยก่อนทุกอย่างมันไม่สะดวกสบายแบบนี้ ทุกคนจะเข้มแข็งนะ นี่หุงหาอาหาร สมัยก่อนเราไม่มีหม้อไฟฟ้า เราต้องหุงหาอาหารกันด้วยการเช็ดน้ำ ทุกคนจะต้องทำเป็น เดี๋ยวนี้มันเจริญขึ้นมาหมดแล้ว แล้วเวลาเจริญขึ้นมา นี่คนอ่อนแอไปเรื่อยๆ

ต่อไปนี้.. เห็นไหม เขาว่าธุรกิจทางโลก ธุรกิจบริการมันจะได้เงินมากที่สุด ธุรกิจกรรมกรแบกหาม ดูสิชาวไร่ชาวนาต้องลงทุนลงแรงด้วยสภาพร่างกายมาก แต่อย่างนี้มันเป็นอาหารนะ ธุรกิจบริการนะถ้าโลกหยุด โลกพลังงานไม่มีเขาก็อดตายหมดนะ แต่อาหารนี่ การเกษตรมันจะทำให้ชีวิตเราอยู่ของเราได้

ฉะนั้นที่ว่าโลกนี้มันเจริญ.. คนเราก็อ่อนแอ พออ่อนแอไปนะ สิ่งที่เราทำได้มันเป็นวิชาความรู้ เห็นไหม นี่ความรู้มันไม่ต้องแบกหาม.. ความรู้ของเรา เราควรแสวงหา นี้พอเวลาคนมันอยู่ที่ความสะดวกสบายจนเคยตัว พอเคยตัวทุกอย่างจะสะดวกสบายไปตลอด คำว่าสะดวกสบายนี่มันมีจริงอยู่หรือเปล่าล่ะ

สิ่งที่มันมีอยู่จริง มันสะดวกสบายเพราะสังคม นี่ทุกอย่างเราแสวงหาได้ เราแลกเปลี่ยนมาได้ แต่ถ้าเกิดเวลาอัตคัดขาดแคลนขึ้นมานี่สิ่งนั้นมันเป็นอย่างใด.. ถ้าจิตใจคนมันเข้มแข็งนะ สิ่งใดเราก็รักษาได้ สิ่งใดเราก็ดูแลของเราได้ ถ้าเราทำของเราได้นี่จิตใจเข้มแข็ง ความรู้อันนี้มันเป็นความรู้ของเรา นี่ปัญญาทางโลก แล้วปัญญาทางธรรมล่ะ

ปัญญาทางธรรมมันมีเหตุมีผลของมันมากกว่านั้นนะ แล้วปัญญาทางธรรมนี่ ดูสิสภาวะแวดล้อมที่ดีจะทำให้คนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข สภาวะแวดล้อมที่ดีจะทำให้คนนิสัยดี คนที่สภาวะแวดล้อมดีมันจะไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน.. นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันมีการกระทำมันต้องมีสภาวะแวดล้อมของมัน มันจะมีสติของมัน มันมีสมาธิของมัน แล้วมันถึงเกิดปัญญา ถึงเกิดมรรคญาณ

มันต้องมีสภาวะแวดล้อมที่ดี เราทำสภาวะแวดล้อมจิตใจให้ดี ถ้าใจให้ดีมันมีสติปัญญาของมัน เห็นไหม มันทำคุณงามความดีของมัน เวลาปัญญามันเกิดนะ มันเกิดโลกุตตรปัญญานะ เราจะเกิดความลึกลับ ความมหัศจรรย์นะ.. ความมหัศจรรย์ นั่นไงสภาวะแวดล้อมของโลกเขา ดูสิดูการดำรงชีวิตของเขา ความที่คนเขามีปัญญาของเขา เขาอยู่ของเขา เขามีองค์ความรู้ของเขา เขาดำรงชีวิตของเขาด้วยความเข้มแข็งของเขา

จิตใจของคนที่ภาวนาเป็น จิตใจของคนภาวนาแล้วมีเหตุมีผล เห็นไหม มันมีเหตุมีผลนะ แล้วจิตใจที่มีเหตุมีผล นี่มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง.. จิตใจที่ไม่มีเหตุมีผล จิตใจทางโลกนี่มันเป็นมารยาสาไถย เป็นมายาภาพหมด ดีแต่ปาก ! พูดแต่ปาก ! นี่ทำงานด้วยปาก ! แต่เวลาภาวนาขึ้นมานะ ดูสิเราทำงานด้วยกำลังของเรา เราทำด้วยมือของเรา

เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาของเรา ดูสิเวลาภาวนานี่ภาวนาด้วยความคิด มันไม่ได้ภาวนาด้วยภาวนามยปัญญา นี่จิตใจมันแตกต่างกัน ผลมันให้แตกต่างกัน.. เหตุแตกต่างกัน ผลจะต้องแตกต่างกัน ทีนี้ผลแตกต่างกัน เห็นไหม “โลกียธรรม โลกุตตรธรรม”

โลกียธรรม.. ดูสิเวลาเราเสียสละนี่มันโลกียธรรม เกิดจากบุคคล เกิดจากโลกทัศน์ เกิดจากใจ การกระทำนี่เรื่องโลกๆ ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรมมันจะเข้ากับสภาวธรรม จะเข้ากับหัวใจของคนที่ถึงธรรม.. ถ้าถึงธรรม เห็นไหม มันเป็นคุณงามความดี มันเป็นประโยชน์ มันไม่มีหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีมารยา มันเลยสบายใจไง ดูสิเราไม่มีมารยาต่อกันนะมันเรื่องความสะอาดบริสุทธิ์นะ แต่มารยาสาไถยนั่นน่ะมันทำให้ต้องระวัง

สิ่งที่ระวังนะ.. โลกเป็นแบบนี้ โลกพร่องอยู่เป็นนิจ โลกถึงได้เป็นที่ร่ำร้อนนัก ธรรมเป็นความร่มเย็นเป็นสุขนะ ฉะนั้นความร่มเย็นเป็นสุข ต้องให้ความร่มเย็นเป็นสุขในใจของเรา ถ้าใจเราร่มเย็นเป็นสุข เราต้องการให้คนทุกคนร่มเย็นเป็นสุขด้วย

ความรักของพ่อของแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ ! ความรัก ความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรัก ความเมตตาของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราที่สิ้นกิเลส ความรักอันนั้น เห็นไหม มันยิ่งเป็นความเมตตา นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยความเมตตา มองด้วยความเมตตา พยายามชักนำด้วยความเมตตา

ความเมตตานะ.. เพราะว่าถ้าเป็นความรักมันก็เป็นพวกเขาพวกเรา แต่ถ้ามันเป็นความเมตตานะ หัวใจทุกดวงใจนะมีค่าเท่ากัน ชีวิตมีค่าเท่ากัน ทุกคนมีสิทธิจะพ้นจากทุกข์เหมือนกัน สิทธิและโอกาสของจิตใจนั้น ของดวงใจนั้น เห็นไหม นี่ทุกคนมีสิทธิเหมือนกัน.. ความเสมอภาคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเสมอภาคของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านพยายามจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะชักนำพวกเราไป ชักนำพวกเราให้พ้นจากทุกข์นะ ไม่ให้ตกค้างอยู่ในโลกนี้เลย

เราอยากจะพ้นทุกข์กัน เราอยากจะสิ้นกิเลสกัน ฉะนั้นสภาวะแวดล้อมของใจ เราจะต้องรักษาที่ใจของเรา ทำที่ใจของเรา แล้วเราจะพ้นจากทุกข์ เอวัง