เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี
เวลามาฟังธรรม ฟังธรรมคืออะไรล่ะ เราตั้งใจฟังธรรม ถ้าฟังธรรมแล้วมันสะเทือนหัวใจนะ เวลาฟังธรรมสิ่งใดที่มันเข้าไปถึงหัวใจเราแล้วขนพองสยองเกล้า เวลาธรรมมันแทงหัวใจนี่ขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนหัวใจไง ถ้ามันสะเทือนหัวใจคนๆ นั้นจะมีสิทธินะ สิ่งนี้คือผิวบางไง แต่ถ้าผิวหนามันก็ต้องลงจอบลงเสียม เวลาลงจอบลงเสียมจะเอาขวานถากนี่เขาว่ารุนแรง
ความรุนแรงขนาดไหน พ่อแม่รักลูกนะ ดูสิ ดูสัตว์นะ สัตว์ที่มันเกิดมา เห็นไหม สัตว์บางชนิดพอเกิดมามันโตได้เองเลย สัตว์บางชนิดพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู มนุษย์นี่พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู เวลาพ่อแม่ทะนุถนอมขนาดไหน.. การทะนุถนอม การกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมานี้ด้วยความรักความผูกพันนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนลูกศิษย์ เห็นไหม พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่น ท่านพูดไว้เลย การแก้จิตนี้แก้ยากนะ
เราสังเกตได้ไหมเวลาเราเลี้ยงลูกของเรา เวลาลูกของเราดื้อ ลูกของเราไม่ยอมฟัง มันพูดแล้วเข้าใจได้ง่ายไหม แต่ถ้าพ่อแม่คนไหนเลี้ยงมาแบบเพื่อน คุยกันได้ ปรึกษากันได้ เด็กมันจะเปิดเผยนะ มีสิ่งใดจะบอกพ่อบอกแม่ แต่ถ้ามีการเก็บกด เรามีความเข้มงวดเด็กมีอะไรจะไม่บอกเรา เด็กมันจะทำตามประสาของมันเอง มันตัดสินใจของมันเอง
ความตัดสินใจของเด็กมันจะผิดหรือจะถูกล่ะ มันผิดทั้งนั้นแหละ เพราะความตัดสินใจของเขา เวลาเขาคบเพื่อนของเขานะ เขาบอกเพื่อนของเขานี่ดีมากเลย พ่อแม่มีแต่ดุแต่ด่า เพื่อนเขานี่ดีมากเลย เพราะอะไร เพราะเขาเข้ากับเพื่อนเขาได้..
จิตของคนเป็นปุถุชน จิตของคนที่เป็นคนหนา เวลาพูดสิ่งใดว่าธรรมะๆ เหมือนกันๆ เข้ากันได้แหละ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราพูดออกมานี่เราเข้าใจไม่ได้เลย เด็กฟังผู้ใหญ่ขึ้นมา เด็กรับคำติเตียนจากผู้ใหญ่ได้ยาก เห็นไหม เวลาพระบวชใหม่นี่ทนคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ได้ยาก นี่มันอยู่ในนวโกวาทนะ
นี่พูดถึงหัวใจ แก้จิตนี้แก้ยากมาก การแก้ยากมากมันต้องรู้ถึงการกระทำนั้น แต่ของเรามองด้วยทางโลก โลกเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งใดต้องพิสูจน์ได้ สิ่งใดต้องพูดได้ แต่เวลาธรรมะมันลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์หลายเท่านัก เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นวิทยาศาสตร์ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ พอเราบอกธรรมะเป็นธรรมชาติพวกเรานี่หูผึ่งเลยนะ โอ้โฮ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ เข้าที่ไหนก็ธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติมันมีที่สิ้นสุดของมันไหม มันหมุนของมัน มันจบของมันเมื่อไหร่ มันไม่มีเลย
แต่ถ้าเป็นธรรมะนี่มันเหนือธรรมชาติ เพราะมันเข้าใจสรรพสิ่งแล้วมันวางไว้ตามความเป็นจริง แล้วมันออกมาจากความเป็นจริงนั้น นี่วัฏวน.. ผลของวัฏฏะ ผลของการหมุนเวียนไปของสัจธรรม แต่อริยสัจจะล่ะ เรารู้สัจธรรมอันนั้น เห็นไหม เรารู้แล้วออกมาจากสัจธรรมอันนั้น.. นี่ไงสิ่งนี้นี่พ่อแม่กับลูก พ่อแม่ผ่านประสบการณ์การกระทำมา จิตใจของครูบาอาจารย์มันผ่านสภาวะแบบนี้มา นี่พ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา
ถ้าพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา เวลาพูดสิ่งใดนี่เราจะรู้ได้ยาก เหมือนเด็กๆ นะว่าพ่อแม่ทำไมคอยติคอยเตียน คอยบอกคอยเร้าตลอดเวลา พ่อแม่คอยบอกคอยเร้าเพราะอะไร นี่คำพูดเหมือนกันแต่ความเห็นแตกต่างกันไป ดูสิ เราเชื่อเพื่อนของเรา เรารักเพื่อนของเรา แต่เพื่อนของเราประสบการณ์ชีวิตเขามีไหม ออกไปทางโลกนี่โดนหลอกทั้งนั้นแหละ
นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เราศึกษากัน ปัญญาศึกษาธรรมะนี่พูดกันรู้เรื่องไปหมดแหละ เหมือนวัยรุ่นเหมือนเด็กมันคุยกัน เหมือนเด็กมันรักกัน แต่ผู้ใหญ่มองแล้วว่าสิ่งนี้โตไปข้างหน้าเขาจะเสียใจกับชีวิตของเขา เด็กคนไหนถ้ามีความเชื่อพ่อเชื่อแม่นะ แล้วมีความมุมานะ มีการศึกษาจนจบกระบวนการศึกษาของเขาไป เขามีงานทำของเขาไป เวลาเขาระลึกขึ้นมา ดูสิทำไมนักปกครอง นายกรัฐมนตรี ทำไมถึงวันครูนี่ระลึกถึงครูล่ะ ครูนี่ประสิทธิ์ประสาทวิชามาให้ ครูนี่ทำให้เราเป็นคนดีขึ้นมา ครูนี่สอนเรามาขนาดนี้ มันระลึกถึงคุณเขาไหมล่ะ ก็ระลึกถึงคุณของเขานะ นี่เขาสอนเรามาขนาดไหน เขาให้วิชาความรู้เรามา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราบอกว่าศึกษาได้ เราทำของเราได้ พูดกันเยอะนี่ เราก็ปฏิบัติของเราเองได้ ครูบาอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอน.. ใช่ ! ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอน แต่มันทำให้เวลาเราสั้นเข้านะ นี่ถ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์นะอย่างน้อยเสียเวลา.. อย่างน้อยนะเสียเวลา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึง เวลาท่านจับจุดและต่อมของจิตได้ นี่ว่างๆ ว่างๆ หมดเลย จิตนี้มหัศจรรย์นัก ว่างทั้งนั้นแหละ ว่างไปหมดเลยมันมหัศจรรย์
ความมหัศจรรย์นี่เรื่องโลกทั้งหมดเลย เหมือนเด็กๆ มันรู้ของมันได้ไง แต่พอไปเจอจุดและต่อมงงไปหมดเลย แล้วท่านพูดเอง ถ้าหลวงปู่มั่นยังอยู่นี่เราจะผ่านไปได้เลย นี้เพราะหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว เราต้องเสียเวลาเหลียวซ้ายเหลียวขวา หัดหมุนไปหมุนมาหาทางออก หมุนอยู่นั่นล่ะ ๘ เดือน กว่าจะจับจุดได้ว่าควรจะไปทางไหน
นี่ไงถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ อย่างน้อยเสียเวลาเนิ่นช้า เราจับผิดจับถูกอยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วสิ่งนี้มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์นะ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เพราะอะไร เพราะมันมีทฤษฎี ถ้าเราพิสูจน์ทางทฤษฎีแล้วค่าทางเคมีมันแตกต่างออกไป นี่มันพิสูจน์ได้ทั้งนั้นแหละเพราะมันเป็นวัตถุ แต่หัวใจของคนมันแตกต่างเยอะมากเลย เยอะเพราะอะไร เพราะว่าอำนาจวาสนาบารมีของคน
ดูสิ รสนิยมของคนแตกต่างกันไหม ทัศนคติของคนแตกต่างกันไหม ความรู้ความเห็นของคนแตกต่างกันไหม เวลาภาวนาไปนี่ไม่มีใครเหมือนใครเลย ไม่มี ! ถ้าใครเหมือนใครวิทยานิพนธ์นั้นซ้อนแล้ว ได้ลอกวิทยานิพนธ์นั้นมาแล้วเขาไม่ให้ผ่านหรอก วิทยานิพนธ์ซ้อนไม่ได้ ถ้าซ้อนมานี่กรรมการไม่ให้ผ่านเด็ดขาด แต่เวลามันปฏิบัติขึ้นมา พิจารณากายเหมือนกันทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ
ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี หลวงปู่เจี๊ยะ นี่พิจารณากายเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันซักคน เพราะถ้ามันเทียบเคียงขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ถ้าเหมือนกันคือสัญญา เหมือนกับวิทยานิพนธ์ได้ลอกเลียนเขามา เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่ไงเวลาการกระทำมันถึงว่าจริตนิสัยคนแตกต่างกันอย่างใด
ฉะนั้นการแก้จิตมันแก้ยาก นี้คำว่าแก้ยาก เวลาประพฤติปฏิบัติมันจะยากจะง่ายขนาดไหน มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี อยู่ที่เราทำบุญกุศลกันนี่แหละ สิ่งที่ทำบุญกุศลเราเสียสละ เราทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เขาได้ใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์จากเรา นี่เขาจะรู้หรือไม่รู้ เราจะรู้หรือไม่รู้ เขาได้ใช้ประโยชน์จากเรา นี่คือบุญกุศลทั้งนั้นแหละ นี่คืออำนาจวาสนา นี่คือการกระทำคุณงามความดี แล้วคุณงามความดี เขาจะรู้หรือเขาจะไม่รู้แต่เขาได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราแสวงหามา เราได้เสียสละออกไป สิ่งนั้นเป็นประโยชน์จากเราเพราะจิตมันเป็นผู้มีมโนกรรม มีความคิด มีความจงใจ มีความตั้งใจ มันไปพัฒนาการอันนี้ไง พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่ง เห็นไหม
จิตใจสาธารณะ ! ปัจจุบันนี้เขาหาคนจิตใจที่เป็นสาธารณะนะ มีแต่คนที่จิตใจเห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวเอาตัวรอดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันสะสมขนาดไหนก็แล้วแต่เราอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก แต่เวลาเราอยู่กับสังคม ถ้าเราเป็นคนที่มีจิตใจสาธารณะ คำว่าสาธารณะไม่ใช่ว่าเราต้องหมดเนื้อหมดตัวถึงเป็นสาธารณะ คำว่าสาธารณะนี่เรามีอะไรเราเจือจานได้ จิตใจของเรามันไม่คับแคบ
สิ่งใดจะมีค่ากับน้ำใจของมนุษย์ ดูสิ แค่ขับรถบนถนน ถ้ามีน้ำใจต่อกันนี่บนถนนการจราจรไม่ติดขัดแล้ว นี่ต่างคนต่างจะไป ต่างคนต่างปิดกัน เห็นไหม ค่าของน้ำใจ ความคิดอันนั้นแค่นั้นแหละ แต่พอเวลามันแสดงออกมามันขัดแย้งกันไปหมดเลย ค่าของน้ำใจมีคุณค่ามาก แล้วนี่ค่าของความรู้สึก มโนกรรมค่าของน้ำใจนี่มันพัฒนาของมัน
ดูสิ เวลาคนมีคุณธรรม อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่โคนไม้ก็มีความสุข เราอยู่ตึก ๒๐ ชั้น ๓๐ ชั้นมีแต่ความเร่าร้อน แต่ครูบาอาจารย์เรานี่อยู่โคนไม้ เห็นไหม เหมือนนกมีปีกกับหาง เช้าขึ้นมาบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้วเก็บบริขารบินไปๆ ชีวิตมีเท่านี้ ทุกคนก็เข้าใจ แต่ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันสะสมนี่มันแก้ไม่ได้หรอก แก้ไม่ได้ ! ชีวิตมีเท่านี้ แต่เวลาเริ่มต้นปฏิบัติ เห็นไหม ศีลเราก็ต้องบังคับตัวเรา ทำสมาธิพุทโธ พุทโธ นี่ชีวิตมีเท่านี้ก็ปล่อยมันสิ ทำไมชีวิตมีเท่านี้แล้วต้องบังคับล่ะ ทำไมชีวิตมีเท่านี้ต้องตั้งสติล่ะ
ต้องตั้งสติ ! ต้องตั้งสติเพื่อหาต้นขั้วของเรา.. นี่ปฏิสนธิจิต ต้นขั้วของความรู้สึก ต้นขั้วของมโนวิญญาณที่เกิดเป็นมโนกรรม ต้นขั้วของมัน นี่สัมมาสมาธิเข้าไปสู่ตรงนั้น ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิเข้าไปสู่ตรงนั้น มันจะไปแก้ไขตรงไหน เวลาแก้ไข เห็นไหม นี่จิตใจเป็นสาธารณะ ทุกอย่างสังคมเป็นสาธารณะ อารมณ์ความรู้สึกของเราเป็นกระแสสังคม จะไปแก้ที่กระแสสังคม
กระแสสังคมเกิดจากมนุษย์รวมตัวขึ้นมาเป็นสังคม ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคลก็แต่ละบุคคล เห็นไหม นี่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะ มันเข้ามาถ้ามันบังคับ ต้องบังคับเข้ามาก่อน บอกว่ามันเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งมันก็มีเท่านี้เอง ก็ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย มันก็มีของมันอยู่แล้ว
เพ้อเจ้อ ! ความเพ้อเจ้ออันนี้จะเพ้อเจ้อได้เพราะมันมีทฤษฎีรองรับ ทฤษฎีที่รองรับคือพระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารองรับ เพราะมีทฤษฎีรองรับเราถึงเพ้อเจ้อกันได้ ความเพ้อเจ้อตามทฤษฎีนั้น เพ้อเจ้อตามพุทธพจน์ ! พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์ไม่เถียง แต่เถียงคนพูดพุทธพจน์
แต่ถ้าเราบังคับตัวเราก่อน เราพิจารณาตัวเราก่อน จิตใจเราเป็นอย่างนั้นมันถึงจะเป็นว่าเหมือนกับนกมีหางกับปีก ถ้าผู้ใดมีมรรคญาณทำลายอวิชชาในหัวใจอันนั้นแล้ว ชีวิตเขามันถึงเป็นอย่างนั้นไง แต่ของเราไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะชีวิตก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่เป็นอย่างนั้นแบบขี้ลอยน้ำ เป็นแบบนั้นแบบเกิดในวัฏฏะแล้วไม่ได้ผลสิ่งใดจากวัฏฏะนี้เพราะเกิดตายฟรีๆ แต่ถ้ามีการกระทำขึ้นมาแล้วชีวิตถึงจะเป็นอย่างนั้นไง
นี่ชีวิตเป็นอย่างนั้น เกิดในวัฏฏะ เห็นไหม เกิดแล้วก็ตาย.. ผลของวัฏฏะ ผลของการเกิดและการตาย พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกก็เป็นผลของธรรมชาติ นี่พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกโลกมันหมุนของมันไป นี่ก็เหมือนกัน การเกิดและการตายชีวิตนี้เป็นเท่านั้น แต่มันเท่านั้นไหมล่ะ มันไม่จบเพราะอะไร เพราะมันมีอวิชชา มันมีตัณหาความทะยานอยาก โดยที่ว่าเราจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธมันมีของมัน นรกสวรรค์ใครจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธมันมีของมัน
นี่ผลของวัฏฏะ จิตนี้หมุนเป็นผลของวัฏฏะ ! มันเป็นเช่นนั้นเหรอ มันเป็นอย่างนั้นเหรอ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ.. มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อเมื่อมีมรรคญาณ เมื่อมีอริยสัจ มีสัจธรรมเข้าไปแก้ไขเข้าไปดัดแปลงของมัน แล้วมันได้ชำระความสะอาดของมันแล้วมันถึงเป็นเช่นนั้น ! มันจะเป็นเช่นนั้นต่อเมื่อมีการกระทำ มีความเป็นจริงขึ้นมามันถึงเป็นเช่นนั้น แต่นี่มันนกแก้วนกขุนทอง เห็นไหม
แก้จิตแก้ยากอย่างนี้ ยากเพราะผู้รู้จริงเห็นจริงมันมีข้อเท็จจริงในหัวใจ แต่ของเรานี่ไม่มีข้อเท็จจริงมีแต่ความจำ มีแต่ความเข้าใจ ความเข้าใจนี่มันเป็นโลกียปัญญา เป็นการศึกษา เป็นทฤษฎี เป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา.. ทุกคนพูดถึงภาวนามยปัญญาผิดหมด คำว่าผิดหมดเพราะอะไร เพราะพูดออกมามันแตกต่างกันอย่างไร ภาวนามยปัญญากับสุตมยปัญญา จินตมยปัญญามันแตกต่างกันอย่างไร
ทีนี้ผู้รู้จริงมี หลวงตาท่านพูดอยู่ คนรู้จริงมีอยู่นะ
เราพูดไปนี่ปล่อยไก่วันละ ๔ เข่ง ๕ เข่งอายเขานะ ไก่นี่ปล่อยทุกวัน ปล่อยออกไปได้อย่างไร แต่ถ้าคนรู้จริงเขาไม่ปล่อยของเขานะ ไก่ของเขาเขาเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่มีใครเขาปล่อยหรอก นี่ไงผู้รู้จริงเขามี พูดสิ่งใดไปผู้รู้จริงเขารู้ได้ ฉะนั้นเราศึกษาของเรา เราทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ
นี่แก้จิต.. เราทำบุญกุศลของเรานี่เป็นอามิส เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วเราสร้างเนื้อสร้างตัวของเราขึ้นมา จนถึงที่สุดแล้วมันอยู่ของมันได้โดยไม่ต้องอิงสิ่งใด ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลย สุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราก็แสวงหากันอยู่ ในปัจจุบันนี้เราปรารถนาให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุขนี้มันอยู่ที่การกระทำ
นี่กรรมดี กรรมเก่า กรรมใหม่ ทุกคนมีกรรมเก่ามานะ กรรมเก่าคือจริตนิสัย คือการกระทำมา คนเขาปรารถนาดีกับเรานะ เขาจะช่วยเหลือเจือจานเรามหาศาลเลย แต่ถ้าเขาทำผิดใจเรานะเราทุกข์มากเลย.. นี่จริต เห็นไหม นี่กรรม มีคนเขาพยายามจะช่วยเหลือเจือจาน แต่ความเข้าใจผิด ความที่ช่วยเหลือเจือจานไม่ตรงกับจริตเราเราก็ไม่พอใจ
นี้มันถึงเป็นจริต กรรมนี่ถึงเขาทำดีขนาดไหน ถ้ามันมีกรรมต่อกันมันก็เห็นผิด แต่ถ้าเขามีกรรมดีต่อกันเขาจะส่งเสริมกัน การกระทำกันนี้ผลของวัฏฏะนะ แต่ถ้าเราถึงที่สุดแล้วนี่แก้กรรม แก้กรรมคือการประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วพ้นจากกรรมทั้งหมด มันเป็นผลของวิบาก วิบากคือเรื่องของสถานะ..
สอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นี่กระทบ อย่างพระโมคคัลลานะยังโดนโจรทุบตาย แต่เวลานิพพานไปแล้วไม่มีสิ่งใดกระทบได้อีกแล้ว ไม่มี ฉะนั้นสอุปาทิเสสนิพพานคือวัตถุที่เหลือจากการที่เราประพฤติปฏิบัติจนจิตใจพ้นจากทุกข์ไปแล้ว แต่ยังเหลือร่างกายนี้อยู่ เหลือชีวิตนี้อยู่เพื่อประโยชน์กับโลก เอวัง