เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ก.พ. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

เวลาคนอยู่คนเดียวมันเหงา เห็นไหม มันต้องตื่นตัว เวลาการปฏิบัตินี่ต้องตื่นตัวตลอดเวลา นี้การตื่นตัวเราต้องมีสติ ถ้ามีสตินะยับยั้งสิ่งใดได้มันก็จะตื่นตัว แต่ถ้าขาดสติมันก็ไหลตามไปหมดเลย

ในสังคมของโลกเขา เวลาเขามีการเบียดเบียนกัน การทำลายกัน เขาเรียกร้องความเป็นธรรมนะ เขาพยายามแสวงหาความเป็นธรรมของเขา แสวงหาความเป็นธรรมตามกฎหมาย ตามเจ้าหน้าที่ที่เขาจะตัดสินให้ได้ แต่ของเราปัจจุบันนี้เราจะมาหาความเป็นธรรมให้หัวใจของเรานะ

ถ้าเราจะหาความเป็นธรรมให้ในหัวใจของเรา ความเป็นธรรมที่เราจะหา นี่ตอนนี้กิเลสมันข่มขี่ในหัวใจของเรา เรารู้โดยสัจธรรม เรารู้โดยสัญชาตญาณ แต่เราพยายามจะเรียกร้องความเป็นธรรมในหัวใจของเรา เราจะทำอย่างไร.. การเรียกร้องความเป็นธรรมในหัวใจของเรา เห็นไหม เราต้องเรียกทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยเข้ามาสอบสวน

เวลาความคิดของเรามันเป็นฝ่ายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดจินตนาการของมันไป แต่ฝ่ายที่เป็นธรรมนี่เอกสารหลักฐานความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน.. ความเป็นธรรมเราแสวงหากันอยู่นี้ เห็นไหม เราทำความสงบของใจเพื่อหาหลักฐานไง หลักฐานนี่ความผิดเขาทำกันที่ไหน สิ่งที่เป็นหลักฐานที่เขาทิ้งไว้มันอยู่ที่ไหน เราหาหลักฐานเราไม่ได้ แล้วเราจะเอาความเป็นธรรมมาจากไหน

เวลาเรียกร้องความเป็นธรรมเขาบอกว่า เราไม่มีสิทธิที่จะร้องเรียกความเป็นธรรมเพราะเราไม่ใช่ผู้เสียหาย แล้วนี่ใครเป็นผู้เสียหายล่ะ ว่าเราเป็นผู้เสียหายเดี๋ยวเราก็ตายแล้ว นาย ก. เป็นผู้เสียหาย นาย ข. เป็นผู้เสียหาย นาย ข. ก็จะตายไปแล้ว แล้วผู้เสียหายมันอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วจิตมันเคยตายไหมล่ะ คำว่าจิตไม่เคยตายแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ.. ถ้ามันอยู่ที่ไหน เห็นไหม ที่เราเรียกร้องความเป็นธรรมกันอยู่นี้ เราพยายามแสวงหากันอยู่นี้ ถ้าใครไปทำความสงบของใจเข้ามานี่ โอ้โฮ ! โอ้โฮ ! นะ คำว่าโอ้โฮนี่เราไปเผชิญกับมันมา

นี่ความจริงมันอยู่ที่นี่ ความจริงมันอยู่ที่นี่ สิ่งที่กิเลสมันข่มขี่เรา กิเลสมันเป็นความคิด มันเกิดดับ ความเกิดดับ แล้วใจมันเกิดดับไหมล่ะ.. เวลาอารมณ์ความรู้สึกนี่มันเกิดดับ ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดดับ แล้วจิตมันเกิดดับไหมล่ะ ถ้ามันเกิดดับไม่ได้ เขาก็บอก “สันตติมันเกิดดับ นี่จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้วดับไป จิตดวงใหม่กลับมาจำๆๆ ” ไปจำอะไรของมัน

คำว่าสันตติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นว่าขบวนการของจิตมันเป็นแบบนี้ สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ เห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง แล้วสังขารในขันธ์ ๕ ล่ะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.. สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งล่ะ แล้ว อวิชชา ปัจจยา สังขารามันเป็นอย่างใด นี่มันหยาบละเอียดแตกต่างกันอย่างใด

ความหยาบ ละเอียดแตกต่างกัน เห็นไหม นี่จะเรียกร้องความเป็นธรรม เรารู้จักไหมว่าใครเป็นธรรม ใครโดนรังแก ใครเป็นคนเบียดเบียน แล้วคนเบียดเบียนมันอยู่ที่ไหน นี่ความเรียกร้องความเป็นธรรมของเรา เราจะต้องขยันหมั่นเพียรของเรา เราเรียกร้องความเป็นธรรมของเรานะ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก หมายถึงว่ามันเข้าไปเผชิญหน้า มันไปรู้ไปเห็นของมัน

ดูสิ เวลาเราฟังข่าว เขาบอกว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าอย่างนั้น นี่ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าของเขาถูก อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเขาถูก ต่างคนต่างอ้างตามความเห็นของตัวว่าของเขาถูกๆ แต่เราเข้าไปเจอความจริงนั้นเองใครจะมาอ้างล่ะ ใครจะเรียกร้องสิทธิอะไร เราไปรู้ไปเห็นของเราเอง นี่เราเรียกร้องความเป็นธรรมของเรา เราถึงขยันหมั่นเพียรนะ

ความขยันหมั่นเพียร ดูสิ เวลามันหมุนเวียนไป แล้วสิ่งที่เป็นชีวิต เห็นไหม คำว่าผลของวัฏฏะ เราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันนี่เป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของเวรของกรรม ทีนี้ผลของวัฏฏะมันมีจากเวรจากกรรมมา นี่สิ่งสภาวะแบบนี้เราจะแก้ไขของเราไปอย่างไร มันมีที่มาที่ไปไง สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาไม่เกิดขึ้นโดยลอยมาจากฟ้า ไม่เกิดขึ้นมาโดยเปล่าประโยชน์ มันเกิดขึ้นมามันต้องมีเหตุมีผลของมัน

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนา ชีวิตความเป็นอยู่นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ ชีวิตความเป็นอยู่ เห็นไหม พูดถึงถ้าจิตใจเราเข้มแข็งก็สละทิ้งได้เลย ดูสิ เรามาเป็นนักบวช นักบวชมันก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งนี่แหละ แล้วเวลาเป็นนักบวชขึ้นมาบอกว่าแก่เฒ่าจะไม่มีใครดูแล.. นี่ถ้าเราทำจิตใจของเรานะ ถ้าจิตใจของเราเราอิ่มเต็มของเรา จิตใจของเรามันมีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราเรียกร้องความเป็นธรรม เราแสวงหาความเป็นธรรม จิตใจเราเป็นธรรม พอความเป็นธรรมขึ้นมาแล้วมันเห็นสิ่งนี้ไร้ค่า เห็นไหม เขาว่าเศษส่วนที่มันทิ้ง

สอุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นเศษเหลือทิ้งจากจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่ในปัจจุบันนี้จิตของเรามันเป็นปุถุชน ฉะนั้นมันไม่ได้เป็นเศษเหลือทิ้งไง มันเป็นเราไง นี่นู้นก็ของเรา นี่ก็ของเรา จิตใจก็เป็นของเรา พอของเรามันก็ยึดเข้ามาๆ มันก็แสวงหา มันก็เรียกร้อง มันก็บกพร่อง แต่จิตที่เป็นธรรมมันอิ่มเต็ม เห็นไหม พออิ่มเต็มก็เห็นว่าเป็นเศษ

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความเป็นไป ความชราภาพ มันเป็นเรื่องเศษทิ้งทั้งนั้นแหละเพราะมันเป็นวัฏจักร มันเป็นกงกรรมกงเกวียนที่มันต้องหมุนเวียนไปอย่างนี้ ถ้าจิตใจมันอิ่มเต็มแล้ว ในเมื่อใจมันไม่เดือดร้อน ไม่มีอะไรไปทำให้สั่นไหวได้ เขานอนอยู่ในป่าจะไม่มีใครดูแลมันก็สบายใจ แต่ถ้าเราเป็นปุถุชน เราแสวงหา เราทุกข์ใจ เราเดือดร้อน เราดิ้นรนของเรา มันก็เลยพร่อง มันก็เลยไม่เป็นธรรม

ถ้าเราเป็นธรรมซะอย่างหนึ่ง เห็นไหม คือจะบอกว่าในเมื่อเป็นธรรมแล้วมันไม่ต้องการสิ่งใดเข้ามาวุ่นวายเลย แต่เพราะความเป็นธรรมอันนั้นทุกคนถึงจะเข้ามาอุปัฏฐากดูแล เพราะว่าอะไร เพราะเขาแสวงหาของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เนื้อนาบุญของโลก เขาต้องการบุญกุศล อันนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าเขาแสวงหาของเขา ไม่ใช่เป็นความเรียกร้องของใจที่เป็นธรรมนั้น แต่ใจที่บกพร่องมันเรียกร้องแสวงหามันเลยไม่มี แต่ที่เขาไม่เรียกร้องไม่แสวงหามันจะมี เพราะสิ่งนั้นมันเป็นเนื้อนาบุญของโลก มันเป็นสิ่งที่เขาแสวงหาเพื่อประโยชน์กับเขากัน

นี่พูดถึงผลของวัฏฏะไง แล้วผลของวัฏฏะมันเกิดจากอะไรล่ะ ผลจากวัฏฏะเกิดจากปฏิสนธิ จิตไปเกิดในไข่ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่สิ่งนี้ตัวจิตนั่นล่ะเป็นตัวไปเกิดมันถึงได้ผลวัฏฏะมา เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นวัฏฏะที่จิตนี้หมุนเวียนไป

ทีนี้เราเรียกร้องหาความเป็นธรรมๆ ทำให้จิตนี้มันไม่หมุนไปไง ถ้าไม่หมุนไปวัฏฏะมันก็เก้อๆ เขินๆ อยู่นั่นแหละ วัฏฏะมันมีอยู่ สวรรค์ นรกมันมีอยู่ มันมีของมันอยู่อย่างนั้นล่ะ ถ้าจิตมันไม่ไปมันจะมีผลอะไรกับเรา มันมาบีบคั้นเราไหม สวรรค์ นรกมันบีบคั้นเราไหม นรกมันจะตามมาเก็บผลประโยชน์จากเราไหม นรกมันจะมาตามเก็บอะไรกับเรา

แต่นี้มันไม่ได้ตามมาเก็บ เพียงแต่เรามีกระแส มีความสัมพันธ์เพราะจิตนี้เคยเกิดในนรก ในสวรรค์มา ฉะนั้นเวลาจิตเคยเกิดในนรก สวรรค์มา เห็นไหม ดูสิ ผู้ที่มาจากข้างบน เวลาความรู้สึก ความนึกคิด ความสัมพันธ์มันมีปฏิพันธ์ของมัน เวลาเกิดมาจากนรกอเวจี เห็นไหม หยาบๆ แล้วดื้อดึง นี่ผลของมันมี ทั้งๆ ที่มันจะมาเก็บผลประโยชน์อะไรจากเรา ในเมื่อปัจจุบันเป็นเรา แต่ในเมื่อเราเคยผ่านสิ่งนั้นมา พันธุกรรมของจิต จิตมันเคยผ่านพันธุกรรมของมันมา มันเคยเห็น มันเคยได้ซับสิ่งนั้นมา มันฝังใจมา การแสดงออกของใจมันเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น แต่ใจของเราล่ะ ใจของเราเราดูแลใจของเรา คำว่าโลกเขาหาความเป็นธรรม นี่เขาต้องเรียกร้องหานะ เขาต้องหาคนช่วยเหลือเจือจานเขา เขาต้องดิ้นรนของเขา เวลาเราประพฤติปฏิบัติมันเป็นเรื่องของเรา มันเป็นเรื่องจิตใจของเรา เป็นเรื่องความขยันหมั่นเพียรของเรา เป็นเรื่องสติปัญญาของเรานะ เราไม่ต้องไหว้วานใคร

มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเรา เราจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่เพราะจิตใจของเรา นี่จิตใจของเรา เรามีสติมีปัญญา เราเห็นว่า ดูสิเวลามันพลัดพรากมีทุกข์ขนาดไหน ของมันอยู่กับเรา แม้แต่พลัดพราก ความอาลัยอาวรณ์ ความห่วงหาอาลัยกันนี่กิเลสตัวสุดท้ายนะ กิเลสตัวหยาบๆ มันก็เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่เวลามันอาลัยอาวรณ์มันต้องพลัดพราก สิ่งนี้เราไม่รักษาไม่ดูแล มันจะให้ผลกับจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเรานะเราทำสิ่งนี้ เห็นไหม

นี่ทรัพย์ ! ทรัพย์จากข้างนอก ทรัพย์จากข้างนอกเป็นสมบัติพัสถาน คนฉลาดรู้จักใช้สอยมันจะเป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น.. ทรัพย์สมบัติจากภายนอก คนโง่ คนยึดติดกับมันนี่เป็นภาระรับผิดชอบนะ เป็นขี้ข้ามัน มันสั่งได้หมดเลย ถึงเวลาแล้วต้องไปเคารพบูชามัน แต่ถ้าคนที่มีปัญญา ทรัพย์จากภายนอกเขาใช้ประโยชน์ของเขาได้ แล้วทรัพย์จากภายในล่ะ

ความสุขความทุกข์จากหัวใจ คนโง่ คนหยาบ เขาต้องได้รับทรัพย์อย่างนั้นเขาถึงมีความสุขของเขา เขาไปลูบไปคลำนี่มันเป็นความพอใจของเขา แต่ถ้าคนฉลาดเขาเสียสละของเขาออกไป สิ่งที่เป็นบุญกุศลของเขาขึ้นมามันเป็นในหัวใจของเขา นี่พูดถึงอามิส

อามิส ผลที่เกิดจากอามิส ความสุขอามิสเกิดจากอามิส แต่มันก็จากตรงนี้แหละ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เกิดจากหัวใจ เกิดจากความหยาบช้า เกิดจากความขัดข้องหมองใจนี่แหละ แต่มีสติปัญญา รู้จักสละ รู้จักแก้ไข รู้จักดัดแปลง เห็นไหม นี่มันจะเข้ามาสู่ความปกติ ถ้าเข้ามาสู่ความปกติ สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งนั้น เราก็เป็นเรา เรามีหน้าที่รักษาเราก็รักษาของเรา เป็นสมบัติของเรา คนทำบุญกุศลมามันเป็นธรรมมันได้มา

โอกาส เห็นไหม วาสนาคือโอกาสของจิตใจดวงนั้น โอกาสจังหวะของเขา เขาประสบความสำเร็จของเขา อันนี้เป็นบุญของเขาเราปฏิเสธไม่ได้หรอก สิ่งที่มันจะมีมันก็คือมี สิ่งที่มันไม่มีมันก็คือไม่มี แต่ถ้าทางโลก สิ่งที่ไม่มีมันก็ฉ้อฉลกันให้มันมีขึ้นมาให้ได้ แต่ถ้าเป็นธรรมเป็นไปไม่ได้

เวลาผลของวัฏฏะนะ เวลาไปเกิดในนรกอเวจี นี่เวรกรรมไม่มีใครไปทอนเอาเลย มันก็เป็นกับจิตดวงนั้น เวลาบุญกุศลก็เหมือนกัน มันเป็นเพราะจิตมันทำมา มันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าจิตมีสติปัญญาขึ้นมามันแก้ไขขึ้นมา เห็นไหม นี่ไม่ต้องเรียกร้องจากใครเลย เวลาผู้ที่สำเร็จแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ใครทรมานมา ! ใครทรมานมา !” สิ่งที่ทรมานนี่ครูบาอาจารย์ชี้นำมา แล้วเราทำของเรามา เห็นไหม ถ้าเราทำของเรามามันเป็นของเรา

ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายใน.. ถ้าทรัพย์จากภายในนะ ดูสิว่ากุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรมคือทรัพย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือวิชาการ คือทฤษฏี สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะนี้เป็นอนัตตา เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริงนี่กุปปธรรม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมา อกุปปธรรมมันเป็นของเราเอง อกุปปธรรมนั่นล่ะธรรม นี่อริยทรัพย์ที่มันเป็นอกุปปธรรมมันเป็นคงที่กับใจดวงนั้น

นี่ไงที่เรียกร้องความเป็นธรรมๆ ถ้าใจมันเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม อกุปปธรรม ! อฐานะที่จะแปรสภาพ ธรรมแท้ๆ ธรรมที่ในหัวใจ นี่เราเรียกร้องกันอย่างนี้ เราแสวงหาสิ่งนี้ แล้วสิ่งนี้จะขึ้นมาได้ อย่างอื่นสัมผัสไม่ได้ ไม่มีสัมผัสได้ ดูสิพระไตรปิฎกมันก็เป็นกระดาษเปื้อนหมึก พิมพ์นั่นน่ะ

ตัวหนังสือมันรู้สึกไหม ตัวหนังสือมันมีความรู้สึกไหม สรรพสิ่งมีความรู้สึกไหม หัวใจมันมีความรู้สึก หัวใจมีความทุกข์ร้อน หัวใจมีการแก้ไข นี่มรรคญาณที่มันเกิด นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดอย่างไร เกิดจากมรรคญาณอย่างไร เกิดจากหัวใจอย่างไร แล้วไปทำลายใจดวงนั้น นี่พูดถึงเรียกร้องความเป็นธรรม

ที่พูดนี้ต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ที่พูดนี้ให้เราอย่าท้อแท้ ในเมื่อเรามาวัดมาวา เราเสียสละเวลาของเรามา เวลามันกลืนกินทุกๆ อย่าง แล้วเรียกร้องคืนไม่ได้ วันคืนมันล่วงไปๆ เรามีโอกาส มีจังหวะแล้วเราจะต้องมีความขยันหมั่นเพียร ทีนี้ปฏิบัติแล้วมันเครียด มันทำแล้วไม่ลงเราก็หมั่น เราขยันในเหตุ ก็พุทโธของเราไป สร้างสติของเราไป เราไม่มีสิทธิเรียกร้องให้มันเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญาหรือไม่เป็นปัญญา เป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ หน้าที่ของเรา เราตั้งสติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา เราใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรา

หน้าที่ของเราสร้างเหตุ ถ้าเหตุสมควรสมดุลของมันแล้วนี่มันเป็นธรรม เรียกร้องความเป็นธรรม พอเป็นธรรมแล้วจิตมันก็ลงสู่สมาธิ เพราะมันเป็นธรรม ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันวิปัสสนาของมันแล้วนะ ผลของมันก็เข้าไปถอดถอนกิเลส.. มันเป็นที่ตรงนั้นไง เราถึงต้องสร้างเหตุ เราไม่มีสิทธิเรียกร้องว่าต้องเป็นตามความปรารถนาของเรา มันจะเป็นความเป็นจริงขึ้นมาต่อเมื่อมันสมดุล มรรคสามัคคีเป็นความจริงของมัน มันจะให้ผลเราตามนั้น เอวัง