เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี
สังคมมันซับซ้อนขึ้น ยิ่งสังคมซับซ้อนขึ้นมันก็ทำให้ประชาชน ให้พวกเราจิตใจเราซับซ้อนขึ้น ถ้าจิตใจเราไม่ซับซ้อนขึ้นเราจะเข้าใจสังคมนั้นได้อย่างไร.. สังคมมีแต่ความซับซ้อน แล้วยิ่งมีผลประโยชน์เข้าไป เห็นไหม สังคมซับซ้อนขนาดไหน ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราจะเข้าใจสังคมนั้นไม่ได้เลย
เวลาสังคมซับซ้อนเราก็ว่าซับซ้อน สังคมมาจากไหน? มันก็มาจากมนุษย์รวมกันเป็นสังคม แล้วมนุษย์รวมกันมนุษย์มาจากไหน? มนุษย์มาจากความรู้สึก มาจากความนึกคิด มโนกรรม ถ้ามโนกรรมมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง
ถ้าใจดวงหนึ่งเราได้ชำระล้างในหัวใจของเราแล้ว เราเข้าใจในเรื่องหัวใจของเรา เราก็เข้าใจเรื่องหัวใจของเราทุก ๆ คนทั้งนั้นล่ะ เราจะเข้าใจเรื่องหัวใจทั้งหมดเลย เพราะเราได้เข้าใจเรื่องหัวใจของเราแล้ว ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่องหัวใจของเรา แม้แต่หัวใจของเรายังไม่เข้าใจ แล้วเราจะเข้าใจเรื่องหัวใจของคนอื่นได้อย่างใด
หัวใจเราเราก็ไม่รู้ เห็นไหม เวลาภาวนาไปมันมีเหลือบ มีซับมีซ้อนของมันอยู่ในหัวใจนั่นล่ะ นี่เวลาพิจารณาว่าง ๆ หมดขนาดไหน เวลาว่างขนาดไหนแล้วใครเป็นคนรู้ว่าว่างล่ะ นี่เกิดดับ ๆ เอาอะไรมาเกิดดับ แล้วเกิดดับมันก็ไฟฉายไง ก็เปิดปิด เปิดดับอยู่นั่นไง ถ้าเกิดดับอย่างนั้นมันเป็นพระอรหันต์ ไฟฉายมันก็เป็นพระอรหันต์ทุกกระบอกเลย ก็กราบแม่งซะ กราบไฟฉาย เพราะมันเกิดดับเหมือนกัน
มันเกิดดับมันก็เป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่มันเป็นไปของมัน ถ้าเกิดดับอะไรเกิดดับ แล้วมันเกิดดับมาจากไหน แล้วใครรู้ว่ามันเกิดดับ มันต้องมีเหตุมีผลของมันสิ นี่เวลาเกิดดับนะ ไฟฉายแต่ละกระบอกกว่าจะทำเป็นไฟฉายได้ เห็นไหม เวลาถ่านไฟฉายแต่ละก้อน ขบวนการการผลิตเขามาขนาดไหน มันถึงมาเป็นพลังงานเข้ามาอยู่ในไฟฉายนั้น แล้วจะมาเกิดมาดับอยู่นั่น
ไอ้นั่นว่าเกิดดับ ไอ้นู้นก็เกิดดับ ใครก็เกิดดับ.. เกิดดับแล้วกิเลสมันดับได้ไหมล่ะ เวลาเกิดกิเลสก็เกิดด้วย เวลาดับกิเลสมันก็ดับด้วย แล้วมันไปนอนตัวใหญ่ ๆ ด้วย ไปฟักตัวมันขึ้นมา เกิดอีกทีหนึ่งมันจะกินหัวเอาเลยล่ะ เวลาเกิดขึ้นมากิเลสมันก็เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิด เวลาดับกิเลสมันก็ดับไป ดับแล้วไม่ดับธรรมดานะ ดับแล้วมันก็ไปฟักตัวมัน
ดูสิสังคมมันซับซ้อนอย่างนี้ ถ้ามันไม่มีผลประโยชน์จะไม่มีใครเขาเหลียวมามองเลย แต่เพราะมีผลประโยชน์ใช่ไหมถึงเหลียวมามอง นี่ไงเวลามันเกิดขึ้นมามันแล้วก็ขอเคลมไปด้วยไง ขออิงไปด้วย ขอเกาะกระแสไปด้วย แล้วขอเกาะกระแสไปด้วยเราก็เกาะกระแส อย่างนี้บอกว่าใจคับแคบ
ไม่ใช่ใจคับแคบ ถ้าเขามาก็มาช่วยงานสิ เขามาช่วยงาน เขามานี่เขาจะมากราบศพ เขาจะมาระลึกถึงคุณของหลวงตา เราก็โอเค แต่ไม่ต้องให้เขาแสดงออกขนาดที่ว่าเขามาเป็นผู้นำเราสิ นี่มันก็ต้องดูกาลเทศะเนาะ แต่เวลาทำงานก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ เวลาทำงานขึ้นมามันเครียดไปหมดเลย มันร้อยแปดพันเก้าเพราะสังคมมันซับซ้อนมาก แล้วอำนาจรัฐ อำนาจต่าง ๆ อำนาจของอิทธิพลต่าง ๆ มันก็เข้ามากดทับ แล้วนี่มันก็มีเส้นมีสายกันไปนะ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไง นี่สังคมมันเป็นอย่างนั้น ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นเราจะป้องกันได้อย่างไร แล้วสังคมเป็นอย่างนั้นนะ แล้วผู้นำสังคมยังไม่มีเซ้นต์อีก นี่ไม่รู้ว่าสังคมเป็นอย่างไรแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดี สิ่งใดใครมาร่วมก็ร่วมได้.. แต่มันก็ต้องมีขอบเขตของมันใช่ไหม ในสังคมของเรา ในบ้านของเราเราจะรับแขก เราก็รับแขกในห้องรับแขกของเราใช่ไหม เราจะให้แขกเข้าไปในห้องนอนเรา จะให้แขกเข้าไปในครัวของเรา จะให้แขกเข้าไปเปิดตู้เซฟเอาสมบัติของเราไปอย่างนั้นเลยเหรอ
เอาแขกมาก็ได้ สังคมเราก็สังคมกับเขา แต่สังคมก็มีขอบมีเขตของมัน ขอบเขตสังคมมีเท่านี้คุณก็ได้เท่านี้ อ้าว.. เขามาเราก็ต้อนรับเขาเท่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าเปิดเซฟให้เขาเลย เวลาใครมานี่กลัวจะไม่ใช่ลูกผู้ชาย ในเซฟฉันมีทองเท่าไหร่ มีเงินเท่าไหร่เปิดให้เขาเอาไปเลย อย่างนี้เป็นสังคมเหรอ มันไม่ใช่สังคม ไอ้นี่มันปล้นจี้ มันล้วงตับหมด
ถ้าสังคมมันซับซ้อน นี่เวลาพูดนะเห็นใจทั้งนั้นแหละ แต่อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันมาอย่างไรมันถึงมาอย่างนี้ได้.. คนเรา เห็นไหม ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเล็น เขาว่าอย่างนั้นไง นี่ก็เหมือนกัน เวลากองกันก็กองซะขยับไม่ได้เลย เวลาเขาจะทะลวงเข้ามา มันจะแน่นขนาดไหนเขาก็ทะลวงเอาหมดเลย
ฉะนั้นการที่เกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นไปแล้วแหละ แต่มันเป็นการกลับมา เป็นการพิจารณาว่าพวกเรานี่มีสติปัญญากันแค่ไหน ทำสิ่งใดก็แล้วแต่นะเราทบทวนได้ เวลาเราภาวนา เห็นไหม ทำไมจิตเราไม่ลง เวลาจิตมันลงไปแล้ว เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว ปัญญาพิจารณารอบนี้แล้วทำไมมันไม่สิ้นสุดของมัน
พิจารณาไปแล้วมันยื้อกันอย่างไร เราก็กลับมาทบทวน ทบทวนว่าแล้วเราควรจะทำอย่างไร เราจะตั้งสติให้มากขึ้นไหม เราควรจะมีสติแล้วเราควรจะพิจารณาให้มันแตกแขนงไปมากกว่านี้ไหม แล้วถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้ว มันรู้ทันแล้ว เราควรจะพิจารณาในมุมกลับไหม พอมุมกลับพิจารณาแล้วมันก็ยังไม่ปล่อย เห็นไหม พิจารณาตีให้แหลกไปเลย พอให้แหลกไปแล้วเราก็เริ่มต้นใหม่ นี่เราพิจารณาซับซ้อนไป พลิกแพลงไป ใช้อุบายไป มันมีของมัน
นี่ก็เหมือนกัน เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เราเอามาพิจารณาได้ เพื่อมาฝึกฝนปัญญาของเรา เป็นคติกับเราว่าอย่างนี้สมควรหรือไม่สมควร ถ้าไม่สมควรแล้วเราจะทำอย่างไร ใจเขาใจเรานะ เวลาใจของเรานี่เราปรารถนาดีกับเขา ปรารถนาดีกับคนนี้แล้วเขาไม่สนใจเลย แต่เวลาเราไปปรารถนาดีกับคนที่เขาไม่สนใจ เวลาคนที่สนใจเราไปปรารถนาดีกับเขา เขาก็ปรารถนาดีกับเรา
แล้วคนที่เขามีความซ่อนเร้นมา เห็นไหม จะปรารถนาดีขนาดไหน ไม่ปรารถนาดีขนาดไหนเขาต้องพลิกแพลงเข้ามา แล้วเวลาพลิกแพลงเข้ามา เวลาเราไม่สนใจเราก็ทำความเข้มแข็ง เราก็พยายามเข้มแข็ง พยายามอดทนได้ แต่เวลาจิตใจเราอ่อนแอ เขาทิ่มเข้ามานี่เราไม่ทันเกมเขาเลย
สิ่งนี้เป็นเรื่องของเกมของโลก แต่เวลาเกมในหัวใจเราล่ะ เกมในหัวใจของเรานี่นะเราเป็นผู้ชี้นำของเราเอง เวลามันเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นในใจของเราเอง มันเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่มีใครเข้ามาเสี้ยม ไม่มีใครเข้ามาทำให้มันขยายให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ เว้นไว้แต่กิเลสของเราเท่านั้นล่ะ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดว่าแม้แต่ปลาในสุ่ม เวลาสุ่มปลาแล้วเราจะจับปลาในสุ่ม เรายังจับปลาของเราไม่ได้เลย แล้วปลานอกสุ่ม ในแม่น้ำลำคลองนี่มันกว้างขนาดไหนเราไปจับมันได้อย่างไร เวลาไปจับมันขึ้นมาเขาต้องทอดแห เขาต้องมีเครื่องจับสัตว์น้ำเขาถึงจับสิ่งนั้นได้
กิเลสของเราในหัวใจของเรา มันอยู่ในหัวใจของเรา เหมือนกับอยู่ในสุ่ม ถ้าอยู่ในสุ่มเรายังค้นคว้าของเราไม่ได้ เรายังเข้าใจ เรายังจับปลาในสุ่มของเราไม่ได้ แล้วเราจะไปจับปลาที่ไหนล่ะ นี้ขนาดปลาในสุ่ม เห็นไหม ถ้าปลาในสุ่มนี่มันพลิกแพลงอย่างไร มันตลบตะแลงกับหัวใจเราขนาดไหน นี่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องเอาชนะตน
ถ้าเราเอาชนะเราได้นะ สิ่งนั้นมันจะมีการผิดพลาดได้ ถ้ามีการผิดพลาดได้อันนั้นมันเป็นเรื่องของกรรม เรามองด้วยเจตนาที่มากเลยว่าชุดนี้กลุ่มนี้เขาน่าจะเป็นคนดี แต่เวลาเขาทำสิ่งใดแล้วออกไปนี่เขาพลิกออกไปนะ เขาล้วงตับล้วงปอดเราไปหมดเลย
แต่กรณีอย่างนี้มันก็เป็นเวรเป็นกรรมของเขา เขาจะสร้างเวรสร้างกรรมขนาดไหนมันเป็นเรื่องของสังคมโลก แต่ความจริงของเราถ้าใจมันจริงขึ้นมามันแสดงออกได้ เขาต้องเคอะต้องเขิน เขาเรียกว่าจริงใจและไม่จริงใจ
ถ้าจริงใจนะ เห็นไหม เราจริงใจกัน ดูสิ เราทำงานกันหัวดำ ๆ นี่ตากแดดตากฝนด้วยความจริงใจนะ เราทำของเราแล้วเราก็แล้วกัน เราทำด้วยความเชิดชู เราทำด้วยความพอใจ แต่คนถ้าไม่จริงใจนี่เขาต้องมีเล่ห์มีเหลี่ยมของเขา แล้วอย่างนี้เราปิดกั้นไม่ได้
เวลาคนเขาเคารพบูชาหลวงตาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ คนเคารพบูชาหลวงตาด้วยสีเทา ๆ คนเคารพบูชาด้วยสีดำ ๆ เห็นไหม ไม่ใช่เคารพบูชา.. เคารพบูชาด้วยสีดำ ๆ หมายถึงว่าข้างหน้าฉากเคารพบูชา แต่หลังฉากของเขานี่เขาหวังผลประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ แต่คนเคารพบูชาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เราทำของเราด้วยน้ำใจของเรา
ทีนี้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะว่าเราเข้าใจสิ่งนั้นไม่ได้ พอรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี่ทำให้ผิดพลาดได้ เห็นไหม แต่ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์มันผิดพลาดได้เราก็ต้องแก้ไขกัน เว้นไว้แต่ถ้าเขาผิดพลาดรู้เท่าไม่ถึงการณ์จนไร้เดียงสานี่ต้องกันไว้.. คนโง่แล้วขยันนี่น่ากลัว เวลามันโง่แล้วมันขยัน แล้วมันควบคุมดูแลนี่มันทำเสียหายหมดนะ ถ้ามันกันออกไปได้
ทีนี้เวลาทำงานมันก็ต้องมีการกระทำใช่ไหม มันต้องมีผู้ดำเนินการ ฉะนั้นเวลาเราเหนื่อยเราล้ากันมันทุกข์ยากนะ นี่ค่าของน้ำใจ จะอยู่ถึงไหนก็แล้วแต่ถ้ามีความจริงใจต่อกัน เห็นไหม เราดูแลกัน แต่เวลาเราทำกันด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทีนี้คำว่าค่าน้ำใจนี่สำคัญมาก ถ้าเราเคารพบูชาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ จะอยู่ใกล้อยู่ไกลนี่มันห่วงหา มันเตือนได้ บอกได้ แต่ถ้ามันไม่สะอาด เป็นสีดำ ๆ นี่มันยิ่งอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลมันก็ทำลายไปทั้งนั้นแหละ แล้วมันเป็นที่เกิดผลประโยชน์ได้มันถึงจะมีปัญหาขึ้นมา ถ้ามันไม่มีผล ประโยชน์ขึ้นมาไม่ได้ มันจะไม่มีใครมามองหรอก เวลาเราทำงานกัน เห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำ ตากแดดหัวแดง ๆ นี่ใครจะมายุ่งกับเรา แต่นี้เพราะมันมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ แต่คนที่เป็นธรรมก็เยอะนะ สิ่งที่เป็นธรรมก็เป็นธรรม
ฉะนั้นโลกมันซับซ้อนนัก หัวใจเราก็ซับซ้อนนัก เรามองสิ่งใดแล้วเราต้องวางไว้.. วางไว้ เห็นไหม นี่เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกไง เราต้องวาง เพียงแต่ว่านี่เพราะต้องการเหตุต้องการผลเพราะต้องการความเข้าใจ เพื่อเหตุผลนั้นมันมาอย่างไร มันเป็นไปอย่างไร อย่างนี้เรามาศึกษาได้
ยิ่งมีการศึกษาเท่าไหร่ เราไม่มีความประมาทเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะราบรื่นเท่านั้น แต่ถ้าเราขี้เกียจ เราไม่ต้องการคิดสิ่งใดเลย ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่ภาระของเรา เราไม่รับรู้สิ่งใดเลยนะ ชีวิตเราจะอับเฉามาก เพราะเรามีแต่โลกทัศน์ของเรา เราคิดในหัวใจของเราไง โลกของเราอยู่กับเราคนเดียว แต่เวลาเราออกไปถึงสังคมเราจะไม่เข้าใจสังคมสิ่งใด ๆ เลย
แต่ถ้าเราเข้าใจนะ โลกของเราก็เป็นโลกของเรา อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก แต่เราก็เข้าใจโลกด้วย เพราะเราเข้าใจโลก เราจะบริหารจัดการ หรือเราจะอยู่กับโลกได้ด้วยความไม่เป็นเหยื่อไง ชีวิตเราก็เป็นเหยื่อกับกิเลสแล้ว กิเลสมันปิดบังหัวใจของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะต้องตายไปข้างหน้า แล้วเราชำระกิเลสของเราหรือยัง
ตอนนี้กิเลสมันปิดตาเราให้เรายุ่งแต่งานข้างนอก ไม่ยุ่งกับหัวใจของเรา ไม่ทำกิเลสของเราให้สิ้นไป แล้วเวลามันปิดตาของเรา เป็นเหยื่อกิเลสแล้วก็ยังเป็นเหยื่อสังคมอีก สังคมก็ว่านู้นก็ดี นี่ก็ดี นู้นก็หัน หันลงนรก ไอ้นู้นก็หันลงเปรต หันลงผี ก็หันไปกับเขา เราก็เป็นเหยื่อไปอีก เห็นไหม ถ้าเรารักษาใจของเราแล้ว มึงจะหันหรือไม่หันไม่เกี่ยวหรอก กูรักษาใจกูนี่ กูไม่ให้กิเลสหลอกกู แล้วถ้าใครจะหันไปไหนก็เรื่องของมันให้มันหันเข้าไป เราก็ไม่เป็นเหยื่อข้างนอก ถ้าเราไม่เป็นเหยื่อข้างในแล้ว เราจะไม่เป็นเหยื่อข้างนอกเลย
ฉะนั้นถ้าจะไม่เป็นเหยื่อต้องใช้ปัญญา ต้องศึกษา ต้องเข้าใจ ต้องทบทวน เขาเล่นเกมอะไร เขาทำอะไร เขาหลอกลวงอย่างไร เราทันเขาแล้ววางไว้ ไม่ใช่ศึกษาแล้วจะไปฆ่าไปแกงเขา ศึกษาไว้ป้องกันตัว ศึกษาไว้ดูแลพวกเรา ศึกษาไว้ให้เราไม่เป็นเหยื่อ เอวัง