เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ เม.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติเรา เวลาเขาปลูกต้นไม้กันเห็นไหม เขาว่าปลูกที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าเราไม่มีที่มีทางจะปลูกเราจะปลูกกันที่ไหน เวลาถนนหนทางมันเสียหายนะ เขาปลูกต้นไม้กันกลางถนนเพื่อประท้วงกัน เราจะปลูกต้นโพธิ์ในหัวใจสักต้นหนึ่งนั้นมันแสนยาก เราพยายามจะทำตัวเราให้เป็นคนดีเห็นไหม

เขาปลูกต้นไม้กันนะ เขาต้องดูแลรักษา การดูแลรักษานะ แล้วต้นไม้เห็นไหม เราปลูกต้นไม้ของเราต้นหนึ่ง แล้วเราก็รดด้วยน้ำร้อน รดด้วยสิ่งที่เป็นสารพิษให้มัน แต่ถ้าเราปลูกต้นไม้ ไม่มีใครเขาเอาน้ำร้อนไปรดต้นไม้หรอก เขาเอาแต่น้ำเย็นใช่ไหม เขาใส่ปุ๋ยพรวนดินมัน เพื่อให้ต้นไม้มันงอกงามขึ้นมา แล้วถ้าต้นไม้มันงอกงามขึ้นมา เขาจะได้ใช้ประโยชน์กับต้นไม้นั้น ถ้าเป็นต้นไม้เนื้อแข็งก็เพื่อจะใช้ร่มเงาของมัน แล้วต่อไปในอนาคตต้นไม้นั้นก็จะเป็นประโยชน์กับเราได้ด้วย ใช้ปลูกบ้านสร้างเรือนได้ทุกอย่างเลย

หัวใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะทำคุณงามความดีของเรา ต้นหัวใจของเรา ต้นหัวใจของเรา ต้นโพธิ์ ต้นโพธิในหัวใจ โพธิคือปัญญา ถ้าปัญญาจะเกิดขึ้นมาเห็นไหม เราจะปลูกหัวใจเราขึ้นมาให้มันเป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขของเรา มันจะเป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขของเราก่อนนะ เราไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เราจะมีความเป็นอยู่เป็นสุขของเราก่อน

ดูสิครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ท่านจะช่วยเหลือเจือจานคนอื่นได้นะ หัวใจเรามีแต่ความเร่าร้อน เราจะไปเจือจานใคร เราจะต้องปลูกต้นไม้ในหัวใจเราให้ได้ก่อน ในหัวใจเราจะปลูกโพธิ ปลูกต้นไม้นี้มันแสนยาก

เวลาต้นไม้เขาปลูกกันข้างนอกเห็นไหม เวลาคนพาลนะ เขาปลูกต้นไผ่ไว้ริมรั้ว แล้วต้นไผ่มันก็ออกหน่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหม มันก็รุกที่เขาออกไปเรื่อยๆ มันจะเอาที่เขานะ เทคนิคการจะเอาที่เขา เขาจะปลูกต้นไผ่เอาไว้ริมรั้ว แล้วมันจะงอกออกไปเรื่อยๆ แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันเป็นพาลเห็นไหม มันเพราะอะไร เพราะต้องการจะเอาของเขา แต่ถ้าของเราล่ะ เราจะปลูกในที่ของเรา ถึงจะปลูกริมรั้ว ถึงจะเอาความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันไปในที่เขา เขาจะตัดกิ่งจะเลาะกิ่งของเรา เพื่อไม่ให้ไปเป็นความเดือดร้อนของใคร

ใจของเราก็เหมือนกัน หัวใจของเรานะ หลวงตาท่านสอนประจำ”ให้ดูใจเรา ให้ดูในเรา” ใจเรามันขาดตกบกพร่องไหม ถ้ามันขาดตกบกพร่องนะ สิ่งนั้นเวลาโลกธรรม ๘ มา มันไหวตามไปหมดเลย

แต่ถ้าใจเราไม่บกพร่องนะ มันจะลมแรงมาขนาดไหน มันจะมาขนาดไหนนะ เราจะไม่ไหวไปกับมัน ถ้าเราไม่ไหวไปกับมันเห็นไหม แต่โลกมันมีไหม..มี

ธรรมะเก่าแก่นะ โลกธรรม ๘ เป็นธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า มันมีมาอยู่โดยดั้งเดิม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เวลาเขาไม่ถูกใจเขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาว่า เราก็กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพบูชาของเรา วัฒนธรรมประเพณีชาวพุทธเราวางไว้ในสังคมเห็นไหม เพื่อให้เราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข

แม้แต่คนมีการเสียสละ อยู่ในศีลในธรรม สังคมก็ไม่เอารัดเอาเปรียบกันนะ เราก็อยู่ของเราได้ แต่นี่มันเป็นจริงไหมล่ะ มันไม่เป็นจริงเพราะอะไร เพราะใจของคนมันเป็นแบบนั้น คนมีกิเลสหนา กิเลสหยาบ กิเลสบางต่างๆ กันไป แต่ถ้าคนมีความนึกคิด คนมีหิริโอตัปปะนะ คนมีความละอายแก่ใจ แล้วทำอะไรมันละอาย มันยอกใจ มันทำไม่ลง มันทำไปไม่ได้หรอก มันละอายใจ

แต่ใจของคนมันมีไหมล่ะ ถ้าใจของคนมันมีหิริโอตัปปะ มันมีความละอาย มีอะไรต่างๆ มันทำไม่ได้ แต่ถ้าคนมันไม่มีของมัน มันหยาบกร้านของมัน มันก็ทำของมันไป นี่เห็นไหม โลกธรรม ๘ เวลามันมีของมัน ในโลกมันอยู่แล้วมันต้องซัดสาดเราเป็นประจำ มันต้องซัดสาดเราอยู่แน่นอน มากหรือน้อย

เวลาเราบวชใหม่ๆ นะ เวลาเราทุกข์เรายากนะ เราจะเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชโลมใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนประจำนะ “ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรม ๘ อย่าหวั่นไหว อย่าเสียใจ ให้ดูเรา”

ท่านบอกเลยนะ “ในโลกธรรม ๘ นี้ ใครจะโดนแรงเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เวลาเผยแผ่ธรรมขึ้นมา แล้วลัทธิต่างๆ มันต่อต้าน มันต้องหาเหตุหาเรื่องของมันโดยธรรมดา ใครจะโดนโลกธรรมเสียดทานเท่ากับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี นี่พูดในธรรมนะ

ในพระไตรปิฎกพูดไว้อย่างนั้นตลอด เวลาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านจะให้กำลังใจพวกเราไง “ถ้าใครโดนโลกธรรม ๘ ใครโดนสิ่งต่างๆ เสียดสีนินทา ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง” ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมากกว่าเราเยอะนัก

ทำคุณงามความดีไง ทำดีแล้วมันดีของใคร ถ้าดีของโลกเห็นไหม โลกเขาก็ดีของเขาอยู่อย่างนั้น ตักตวงกันไปว่าคนดีเป็นของเขา แล้วถ้าไปบอกเขาว่านรกสวรรค์มี เขาหัวเยาะเอาอีกด้วยนะ “จะไปตกนรกเหรอ ถ้าตกนรกก็ช่วยเอาผมขึ้นที” เขาเสียดสีนินทาอีกต่างหาก เพราะใจเขาไม่เชื่อ

แต่ถ้าวันไหนใจเขาเชื่อนะ หลวงตาท่านพูดประจำ มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่ง เมื่อก่อนใครมาชวนไปวัดนะ ท่านบอกนะ พอชวนไปวัดนะจิตใจมันต่อต้าน มันคิดจะทำร้ายเขาเลยนะ แต่พอถึงเวลาแล้วเขาพัฒนาตัวเขาจนจิตใจเขาเป็นธรรม จนหลวงตาท่านไปสร้างวัดที่น้ำตกพลิ้ว จะมาอยู่ประจำนะ เวลาหลวงตามาท่านจะไปเฝ้าหลวงตาเลย แล้วท่านพูดให้หลวงตาฟังว่า “ใจของคนมันแปลก แต่ก่อนเขามาชวนไปวัด คิดจะฆ่าเขานะ หาว่าเขาเหยียดหยาม”

นี่เพราะใจมันต่อต้าน แต่พอสุดท้ายใจมันไปนะ ไปนอนวัดนอนวานะ ไปภาวนากับหลวงตานะ แต่เวลาพูดออกมาเห็นไหม คนคนเดียวเวลามันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนั้นนะ แต่ถ้ามันไม่เปลี่ยนแปลง เขามาชวนไปวัด มันหาว่าเขากลั่นแกล้ง เขาดูถูกเรานะ แต่พอจิตใจมันเปลี่ยนขึ้นมาเขาไปอยู่วัดเอง เขาพูดเอง เขาเห็นโทษในใจของเขา

โทษในใจของเรา เวลามันโทษเห็นไหม แล้วถ้ามันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลง นี่ถ้าจิตใจเรายังไม่เปลี่ยนแปลง เราก็จะดื้อด้านไปอย่างนี้ แต่ถ้าจิตใจเราเปลี่ยนแปลง มันเห็นโทษนะ มันเห็นโทษของมันเห็นไหม จะปลูกต้นโพธิ์แต่ละต้นมันแสนยาก ต้นไม้ทางโลกเขาจะปลูกกัน เขาปลูกแล้วเขาก็ต้องดูแลของเขา

ไอ้นี่จะปลูกโพธิ ปลูกปัญญาในหัวใจของคนนี้มันแสนยาก คำว่า “แสนยาก” เห็นไหม เวลาเราพูดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะพูดประจำ “ให้หมู่คณะ ให้พระภาวนามา การแก้จิตมันแก้ยากนะ ถ้าตอนนี้ภาวนามาผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ถ้าผู้เฒ่าไม่อยู่แก้ยากนะ ถ้าผู้เฒ่าไม่อยู่ใครจะแก้”

...ลูบๆ คลำๆ เอาแต่สารพิษหยอดใส่ต้นไม้ พอใครจะภาวนาเป็นขึ้นมาก็พากันออกนอกลู่นอกทาง มันจะพากันไปไหน คนไม่เป็นใครจะพา ใครจะนำ ใครจะดูแล

แต่ถ้าคนมันเป็นขึ้นมา มันรู้ขึ้นมาว่ามันจะทำอย่างไร เวลาเขาปลูกต้นไม้กันจากข้างนอก เขาต้องมีดิน มีน้ำ อะไรต่างๆ ให้พร้อมของเขา ถ้าปลูกหัวใจมันไม่มีสติขึ้นมามันจะปลูกกันที่ไหน ถ้าไม่มีสติมันขึ้นมามันจะหาพื้นที่มันที่ไหน ถ้าไม่มีสติขึ้นมามันก็เป็นอาการของใจ มีแต่ความคิดไปทั้งหมดเลย

พอมีสติขึ้นมามันก็มีสถานที่แล้ว เพราะมีสติมันก็มีคำบริกรรม มันก็มีสถานที่ขึ้นมา มีหัวใจขึ้นมา ถ้ามันไม่มีสติมันมีแต่ป่ารกชัฏนะ มันมีแต่เสือหมอบ มันมีแต่สัตว์ร้าย มันมีแต่งูเห่า งูจงอาง อยู่ในนั้นหมดเลย มันคอยฉก คอยจิก ในหัวใจเรา แล้วพอเราเจ็บขึ้นมาก็ “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้” แต่เวลามีสติขึ้นมาไม่ดูแลมัน

เราจะปลูกของเรา เริ่มต้นดูแลของเรา เราจะต้องตัดป่ารกชัฏนั้นให้มันโล่งเตียน ไม่ให้สัตว์ไม่ให้ภัยร้ายมันมาอยู่ในหัวใจของเราได้ ถ้าไม่ให้สัตว์ร้ายมันมาอยู่ในหัวใจของเราได้นะ พุทโธๆๆๆ พอจิตมันสงบมันโล่งเตียนหมดเลย มันมีความสงบ มันมีความพอใจ มันมีความสุขใจ ไม่มีสิ่งใดจะมาอยู่ในหัวใจเราได้เลย มันต้องปรับต้องถางของเรา

มันต้องปรับต้องถางของเราขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อประโยชน์กับเรา ไม่อย่างนั้นมันฉกมันกัดเรานะ ถ้ามันฉกมันกัดเราก็เจ็บปวดซักทีหนึ่ง แล้วเราก็รักษากันไป ถ้าโลกเขาโดนงูฉก งูกัด เขาต้องตายไป แต่ถ้ามันเป็นหัวใจเห็นไหม มันไม่ตาย มันไม่ตายนะ หัวใจนี่บีบบี้สีไฟขนาดไหนมันก็ไม่เคยตาย เวลาทุกข์ร้อนขนาดไหน เดี๋ยวมันก็ฟื้นขึ้นมา เวลามีสุขขนาดไหน เดี๋ยวมันก็จางไป

นี่โลกธรรม ๘ มันมีของมัน มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เป็นธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราจะทำของเรา เราจะปลูกปัญญาของเรา เวลาทำบุญกุศลนะเป็นเรื่องหนึ่ง เวลาจะภาวนาขึ้นมา พุทโธๆ เพื่อให้จิตมันมีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาเราจะไม่เป็นเหยื่อใคร เราจะไม่เป็นเหยื่อใคร เราจะทำของเรา เราจะมีปัญญาของเรา เราจะทำเพื่อประโยชน์กับเรา

เวลาถ้ามันยืนตัวขึ้นมาได้ มันจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้นะ มันไม่ต้องอาศัยใครมากนัก แต่เริ่มต้นเราต้องอาศัยครูบาอาจารย์ ถ้าเราไม่อาศัยครูบาอาจารย์เลยนะ มันเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เวลาทำสิ่งใดไปก็ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เหมือนเด็กๆ เลยเห็นไหม เด็กน้อยหยิบจับสิ่งใดได้ มันก็จับใส่ปาก อะไรจะกินได้ไม่ได้มันไม่รู้นะ มันใส่ปากไปหมดนะ พ่อแม่ต้องคอยดูแลมันนะ

จิตเวลามันพัฒนาขึ้นมาใหม่ๆ มันจะไปรู้อะไร พอไปเจอสิ่งใดเข้ามันก็ตื่นเต้น โอ้โฮๆ ไปหมดเลยนะ โอ้โฮๆ มันก็เป็นของใหม่นะ มันเป็นของเพิ่งจะเจอเท่านั้นเอง แต่เวลามันพิจารณาเข้าไป มันภาวนาเข้าไปนะ มันจะมีของมันเข้าไปเรื่อยๆ เราปลูกหัวใจของเรา เรารักษาหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา หัวใจของเราเราต้องดูแล

เวลาบุญกุศลเราก็ทำของเรา ธรรมเห็นไหม คบบัณฑิต เวลาไปวัดไปวา คนที่ไปทำบุญกุศลจะคบบัณฑิต แล้วในปัจจุบันนี้ไปวัดไปวามันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เราต้องตั้งสติของเรา เราจะทำเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ไม่มีสิ่งใดหรอก โลกนี้มันร้อนอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่ดับร้อนในหัวใจของเราแล้วใครจะดับให้

เราก็บอกว่า เราทำบุญกุศล บุญกุศลนั้นต้องให้ผลกับเรา นี่เห็นไหม ผู้ใดมีศีลมีธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง คุ้มครองจริงๆ ถ้ามีศีล ๕ ขึ้นมาเห็นไหม เราไม่เบียดเบียนไม่ทำลายใคร เรารักษาตัวของเรา ใครมันจะทำลายเรา ถ้ามันจะทำลายเรามันก็กรรมเก่า ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมามันคุ้มครองดูแลเรานะ การคุ้มครองดูแลเราโดยธรรม

แต่นี่เราไปเห็นเป็นปาฏิหาริย์ต่างๆ มันต้องเกิดปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้นมาถ้าเราสร้างบุญญาธิการมา เวลาเรามีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม บางคนเห็นไหมมีปัญญา ถ้ามีปัญญาเราจะมีจุดยืนของเรา มีสิ่งใดขึ้นมาเราใช้ปัญญาเรากรองก่อนว่าสิ่งนั้นมันถูกหรือผิด

ถ้าผิดเราไม่ไปตามเขา แต่ถ้าถูกเราส่งเสริมๆ เราจะส่งเสริมสิ่งที่ดีงามนะ ถ้าเราส่งเสริมที่ดีงามเห็นไหม เราส่งเสริมเขาบารมีมันเกิดตรงนี้ บางคนว่าไม่มีบารมีๆ ก็เราไม่ทำอะไรมันจะมีบารมีได้อย่างไร คนจะมีบารมีเห็นไหม ดูการเสียสละสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เสียสละมาตลอด แล้วเวลามันได้มา ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

พระก็แล้วแต่นะ เราไม่เคยปฏิบัตินะ เวลาเราปฏิบัติกันทุกคนอยากพบหลวงปู่มั่นมาก เพราะหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่จะสั่งสอน เป็นผู้ที่จะชักนำเราได้ เวลาพระปฏิบัติ ปฏิบัติใครได้คุณธรรมขนาดไหนก็อยากไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ใครปฏิบัติขนาดไหนก็อยากไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปกราบไปไหว้เพื่อความสุขใจความเจริญ ได้ชมบารมีธรรมของท่าน

นี่ก็เหมือนกัน คำว่า “บารมี” ถ้าเราไม่ได้ทำขึ้นมา มันจะมีได้อย่างไร บารมีมันอยู่ที่เราทำ แล้วบารมีเห็นไหม มันอยู่ที่ตัวบารมี คนไม่มีบารมีสร้างแต่ภาพ การสร้างภาพนั้นนะมันต่อหน้าลับหลังมันคนละเรื่องกัน ต่อหน้าเขาก็ว่าอย่างหนึ่ง ลับหลังเขาก็ว่าอย่างหนึ่ง

ถ้าคนมีบารมีนะ ไม่เห็นหน้ากันเขาก็เชื่อถือศรัทธา เขาก็เคารพของเขา ไม่ต้องเห็นหน้ากัน เพราะสิ่งนี้มันเป็นอำนาจวาสนา บารมีความเชื่อมันเกิดขึ้นมา ฉะนั้นเราเสียสละเราทำของเราก็เพื่อบารมีของเรา พอมันเกิดบารมีมันก็มีภาระ ใจมีกำลัง พอใจมีกำลัง คนเห็นไหม ดูสิ ทำไมคนอยู่ป่า อยู่เฉยๆ ทำไมเขาอยู่ของเขาได้ เราอยู่ในเมืองคนมหาศาล ทำไมเราอยู่ของเราไม่ได้ล่ะ ทำไมเราเหงาเราหว้าเหว่ล่ะ ทำไมคนเขาอยู่ในป่าเขาร่มเย็นเป็นสุขของเขาล่ะ ทำไมใจของเขามีหลักมีฐาน

นี่ไงถ้าใจเขาเข้มแข็ง เขาปลูกโพธิในใจของเขา เราจะปลูกโพธิในใจของเรานะ มันจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหนมันก็เรื่องหนึ่ง อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราฉลาดนะ เรามีสติเรามีปัญญา เรารดน้ำพรวนดินสิ่งที่ดีงามให้กับหัวใจของเรา เราอย่าไปเอาสารพิษ อย่าไปเอาสิ่งต่างๆ เข้ามาในหัวใจของเรา อย่าเอาสารพิษ แต่เวลาเราเทศนาว่าการทำไมเราพูดรุนแรง

คำว่า “พูดรุนแรง” เตือนเท่านั้น! เตือนเท่านั้น! เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านเทศน์ที่วัดนะ ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้ว่าคนฟังนะ ท่านว่านู่น ฝั่งโขงริมนู้นเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเวลาใครฟังเอาถึงสิ่งนี้ ทิ่มลงมาในใจของตัว มันจะเป็นความเจ็บปวดแสบร้อน

แต่ถ้าเราเตือนสตินะ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ว่าใคร ท่านว่ากิเลสในหัวใจทุกดวงที่มันมี ทั้งกิเลสในหัวใจผู้พูดด้วย มันสะเทือนกันไปหมด ถ้าใครมีสิ่งนั้นเห็นไหม น้ำนั้นถ้ามันสกปรกมันก็คือสกปรก น้ำนั้นถ้ามันสะอาดมันก็คือสะอาด ฉะนั้นเวลาธรรมะก็คือความสกปรกและความสะอาด

กุศล-อกุศล ถ้ากุศลคือความสะอาดความดีงาม อกุศลเป็นความชั่ว เราต้องแบ่งแยกคัดแยกเอาสิ่งอกุศลออกไป สิ่งนั้นเราไม่ดีเห็นไหม เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อดวงใจของเรา นี้เพื่อการกระทำนะ

ฉะนั้นเวลาเราจะสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา เราจะต้องพยายามตั้งสติ แล้วพุทโธของเรา ตั้งใจของเราขึ้นมา แล้วใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้วสิ่งนั้นเป็นเรื่องข้างนอก แล้วผู้ที่มีบารมี ผู้ที่มีสัจธรรมจะแก้ไขสิ่งนั้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีใครแก้สิ่งนั้นได้ ตื่นวัวตื่นควายเป็นอย่างหนึ่ง ตื่นมนุษย์นั้นอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เวลามันตื่นแล้วเอากันไม่อยู่นะ

แต่ถ้าใครมีบารมีนะ พูดเตือนแล้วจะเอาอยู่ แล้วเอาเป็นประโยชน์กับสังคมได้ ฉะนั้นเราต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเราก่อน แล้วจะเป็นประโยชน์กับสังคม เอวัง