เทศน์บนศาลา

ช้างตายทั้งตัว

๑๗ พ.ค. ๒๕๕๔

 

ช้างตายทั้งตัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรม วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ศาสนาจะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ ในธรรมะของเราบอกว่า “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม”

แต่ถ้ามีผู้มีบุญมีอำนาจวาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิด แม่ฝันว่า “ได้ช้างเผือก” ได้ช้างเผือกจุติลงมาในครรภ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญกุศล เป็นผู้ที่สร้างบุญญาธิการมามากถึงได้มีเชาว์มีปัญญา เวลาเกิดมาแล้วเวลาออกประพฤติปฏิบัติก็ยังต้องออกแสวงหาอยู่ถึง ๖ ปี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้วันนี้

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเป็นวันที่องค์สมเด็จ.พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น ค้นคว้าเรื่องแสวงหาสัจธรรม จะแสวงหาสัจธรรมเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้น แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นสาวก-สาวกะ เป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังเห็นไหม แต่เราก็ปรารถนาเพื่อจะพ้นจากทุกข์เหมือนกัน เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยไว้นี้เพื่อให้เราได้ประพฤติปฏิบัติกัน

เราเกิดมาชีวิตของเราก็มีความสำคัญ เพราะมีความสำคัญเห็นไหม เราถึงปรารถนาที่จะมีความสุข เราปรารถนาที่จะพ้นจากทุกข์ ความสุขทางโลกทุกคนก็เจือจานกันได้ ทุกคนก็แสวงหาได้

ความสุขทางโลกเห็นไหม มันก็มีเท่าที่เราประสบกันอยู่นี่แหละ มันก็มีเท่านี้ เพียงแต่ว่ามันเป็นอนิจจัง เราเสพแล้วเสพเล่ามันก็พัฒนาของมันไป เดี๋ยวก็เบื่อ เดี๋ยวก็อยากกันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นของที่ว่าเป็นเรื่องของโลกนี้ มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกประหลาดมหัศจรรย์สิ่งใดๆ เลย

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา รื้อค้นสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เพื่อเป็นความปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็เป็นอย่างนั้นหรือ มันก็มีตรงข้ามระหว่างไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

การแสวงหาความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันก็เป็นความพอใจของเราทั้งนั้น เราเกิดมาเห็นไหม ดูสิ เราก็ไม่อยากตาย เราก็อยากจะอยู่ค้ำฟ้าไปทั้งนั้น เราไม่อยากตาย ไม่อยากชราคร่ำคร่า ไม่อยากทุกๆ อย่าง อยากจะให้มันอยู่ของมันตลอดไป แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เห็นไหม ผลของวัฏฏะ ในเมื่อมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันเป็นอนิจจัง มันก็ต้องมีการเวียนไปเป็นธรรมชาติของมัน

แต่มันมีอยู่อันหนึ่งที่เป็นไปได้ อันที่เป็นไปได้คือความรู้สึกของเรานี่ไง อันที่เป็นไปได้คือหัวใจของเรานี้มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพยานกับเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเสวยวิมุตติสุข

คำว่าวิมุตติสุข สุขนี้มันเกิดจากไหนล่ะ เกิดจากหัวใจใช่ไหม เกิดจากความรู้สึกเห็นไหม เกิดจากที่มันพ้นจากวิมุตติไปแล้ว จิตวิมุตติไปแล้วมันทำลายกิเลสจนหมดสิ้นกระบวนการไปแล้ว มันเสวยแต่ความสุขตลอดเวลา เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ๔๕ พรรษานั้น ไม่มีทุกข์สิ่งใดเข้าไปในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

แต่ในปัจจุบันนี้ เวลาเราแสวงหาของเราอยู่นี้ มันก็มีความสุขความทุกข์ ความสุขความทุกข์เพราะอะไร? เพราะเวลามีความสุข เพราะร่างกายเราแข็งแรง เรามีจิตใจที่พยายามแสวงหา พอเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ชื่นใจ เราก็มีความสุขไง เรามีความสุข มีความคึกคัก มีความพอใจว่าเราก็จะพ้นจากทุกข์..จะพ้นจากทุกข์.. แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นไป เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติกันแล้วมันมีความสุขจริงหรือเปล่าล่ะ

เวลาเราคาดหมายนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นเทศนาว่าการนะ นิพพานนะมันจะหยิบเอาได้เลย นิพพานมันเอื้อมหยิบเอาได้เลย เพราะอะไร? เพราะใจของหลวงปู่มั่นท่านเป็นธรรม พอแสดงธรรมขึ้นมา เราก็แสวงหา เราฟังแล้วเราคิดตามไป มันจะหยิบได้นะ เพราะจิตใจเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะมีผู้นำทาง

เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษาเห็นไหม จิตใจมันคึกคัก จิตใจมันมีความอยากจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์นะ เราเกิดมามีอำนาจวาสนามาก มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะมันมีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว แล้วเรามีความเชื่อมีความศรัทธา

ดูสิ เขาเกิดมาในโลกตั้งกี่พันล้านคน เขามีความเชื่อความศรัทธามากแค่ไหน ถ้ามีความเชื่อก็ความเชื่อว่าชีวิตนี้ดีแล้ว ทุกอย่างดีแล้ว เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความดีเห็นไหม ความดีเวลาเราสวดมนต์กัน ความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีเจริญมากยังมีอยู่

แต่เวลาเราศึกษาว่าเป็นความดีแล้ว เราตีความเข้าข้างตัวเองว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนดี เราเป็นคนมีความสุขอะไรต่างๆ เห็นไหม มันก็เพลิดเพลินกับชีวิตนั้นไป แต่ของเราไม่ได้คิดอย่างนั้น ของเรามีครูบาอาจารย์คอยเทศนาว่าการ คอยเตือนสติเราว่าสิ่งที่เราคิดนั้น สิ่งที่ว่าเป็นความดีๆ ความดีนะ เด็กมันก็ดีได้ โลกเขาก็ดีได้ เขาทำของเขาได้ทั้งนั้น

แต่ความดีของเรา เราเกิดมามีชีวิตแล้ว เราเกิดมามีจิตใจ เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีร่างกายและจิตใจ ถ้าเราศึกษาของเราเห็นไหม เวลาเขาบริหารจัดการทางโลกเขา เขาต้องใช้ปัญญาของเขาเหมือนกัน เขาต้องใช้ปัญญานะ ต้องมีสติ มีเชาว์ปัญญาของเขา เขาถึงจะอยู่ในสังคมด้วยความสะดวกปลอดภัย

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องใช้สติใช้ปัญญามากกว่านั้น เพราะสติปัญญาแบบโลกๆ เขาเห็นไหม มีเชาว์ มีปัญญา มีอะไรต่างๆ เพื่อจะให้เราอยู่ในสังคมด้วยความมั่นคง แต่ขณะที่กิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา การปฏิบัติเป็นเรา เวลาเราปฏิบัติไปมันจะสมกับความจริงเราไหมล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีอำนาจวาสนา มีบุญญาธิการ เป็นอาจารย์ของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ดูสิ พระอัญญาโกณทัญญะตอนที่เป็นปัญจวัคคีย์เขามีปัญญานะ เขามีประสบการณ์ เขาอายุมากกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเป็นพราหมณ์ เขารู้ทุกสิ่งไปหมด

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีความจริงในหัวใจ แล้วไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เขาจะไม่ย้อนเอาเหรอ ปัญจวัคคีย์เขาเป็นพราหมณ์ พราหมณ์หมายถึงว่า เขามีทางวิชาการของเขา ไตรเวทย์นี่เขาท่องได้หมดนะ เขารู้กระบวนการ เขารู้ทฤษฎีทั้งหมด

แล้วสมัยพุทธกาลเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาอยู่ ลัทธิใดก็ว่าอาจารย์ของเขาเป็นพระอรหันต์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วไปศึกษากับเขา แล้วมันหันตรงไหนล่ะ มันไม่เป็นความจริงเห็นไหม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยมรรคญาณ ด้วยสัจจะความจริงตั้งแต่อานาปานสติจิตสงบเข้ามา แล้วรื้อค้นขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทำลายกิเลสหมดสิ้นไปเสวยวิมุตติสุขนะ สิ่งที่ประสบการณ์ตามความเป็นจริงเห็นไหม สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีคุณธรรม มันทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์ไปหมดนะ

เวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ พอเวลาเทศน์ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรมขึ้นมา มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” แล้วเทศนาว่าการไป

จะบอกว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเทศนาว่าการกับใครนี้ มีข้อเท็จจริง มีความจริง สิ่งที่มีชีวิตมันทำประโยชน์ได้หมด

ไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้อง ไปเทศน์ยสะ พอยสะออกมา “ที่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ “ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย ยสะ มานี่ ยสะ มานี่” จนเทศนาเอายสะมาได้ ยสะก็ได้เพื่อนมาอีก ๔๕ องค์ ถึงที่สุดแล้วเห็นไหม ๖๐ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

“เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” เห็นไหม ช้างที่มีชีวิต ไม่ใช่ช้างที่ตายแล้ว ช้างที่มีชีวิตมีคุณธรรมในหัวใจ ชี้นำได้ บอกได้ เหมือนหมอ หมอที่เป็นหมอนะ เวลาหมอเท้าเปล่าเห็นไหม เขามีเครื่องมือแพทย์ของเขาไป เขาไปรักษาคนไข้ได้ทั้งนั้นนะ นี่ก็เหมือนกัน

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก”

มีธรรมในหัวใจ มีธรรมาวุฒิ มีสิ่งที่เป็นธรรมโอสถไปเจือจานโลกเขา ธรรมโอสถในหัวใจของเราพร้อมแล้ว แล้วธรรมโอสถมันสามารถจะรักษาหัวใจของสัตว์โลกได้ ไปคนละทิศคนละทางเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง ชฎิล ๓ พี่น้องเขาก็มีนะ เขาบูชาไฟ เขามีฤทธิ์มีเดชของเขา เขาจับพญานาคได้ เขามีฤทธิ์มีเดชทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปทรมานชฎิล ๓ พี่น้องเห็นไหม นี่ไงสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่พิสูจน์ได้ สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่เป็นพญานาคขนาดไหนก็ทดสอบกันจนเขาลงใจ พอเขาลงใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อาทิตตฯเห็นไหม

“ตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน เสียงเป็นของร้อน หูเป็นของร้อน กลิ่นเป็นของร้อน”

“ร้อนเพราะอะไร?”

“ร้อนเพราะโทสัคคินา โมหัคคินา”

นี่ไง เพราะว่าอะไร เพราะว่าเขาบูชาไฟ พอเขาบูชาไฟ เขาเพ่งไฟ เขาเพ่งกสิณของเขา เขามีฤทธิ์มีเดชของเขา

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะไปแก้ใคร เวลาจะไปทรมานใครเห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ลึกกว่า รู้ซึ้งกว่า รู้ข้อเท็จจริงได้มากกว่า แล้วชี้นำได้ สิ่งที่ชี้นำได้ เวลาชี้นำให้ผู้ที่ฟัง ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก้าวตามได้ ถ้าก้าวตามได้เห็นไหม นี่ไงสิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่มีชีวิตมันชี้นำบอกกล่าว แล้วชักนำให้สิ่งนั้นเป็นตามความเป็นจริงขึ้นมา

แต่ถ้าช้างที่ตายแล้ว กลิ่นมันเหม็น กลิ่นมันเน่า ทำอะไรไม่ได้หรอก สิ่งที่มีคุณธรรม มีสัจจะความจริงเห็นไหม ถึงบอกว่าเป็นช้างที่มีชีวิต ช้างที่มีคุณธรรม จะเป็นประโยชน์

เวลาเขาเป็นสัตว์นะ ดูสิ เวลามันเป็นสัตว์ เขาอยู่ของเขาตามธรรมชาติของเขา แต่สัตว์ใหญ่มันเป็นประโยชน์ เวลาศึกสงครามเขาก็เอามาใช้ประโยชน์ สมัยโบราณเขาก็ใช้เพื่อการคมนาคมของเขา เขาใช้เป็นพาหนะของเขา เขาทำประโยชน์ของเขา แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้วมันจะไม่มีประโยชน์กับสิ่งใดๆ เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นช้างที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่พิสูจน์ตรวจสอบ แก้ไข ดัดแปลง ชักนำ ให้พวกเรามั่นคงในพุทธศาสนา

แล้วพวกเรามั่นคงในพุทธศาสนาแล้ว เราพยายามที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศาสนามันมีคุณประโยชน์แค่ไหนล่ะ? ดูสิ ถ้าศาสนานี้เป็นศาสนาประจำชาติ มันก็เป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับโลก ประเพณีวัฒนธรรมทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมให้อภัยกัน ให้มีความสามัคคีต่อกัน ทำเพื่อความอบอุ่น ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน อันนี้มันเป็นศาสนาประจำชาติ

แต่ของเราศาสนาประจำหัวใจ ถ้าเรามีความตื่นตัว เรามีการประพฤติปฏิบัติ เรามีความจริงใจของเราขึ้นมานะ เราจะเอาศาสนาประจำใจของเรา ถ้าเราจะเอาศาสนาประจำใจของเรานะ เราหาที่พึ่งของเรา เราหาครูบาอาจารย์ของเราที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ที่ชี้นำเราได้ ดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ ท่านเป็นช้างที่มีชีวิตนะ ท่านเป็นช้างที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง ท่านแก้ไข ท่านดัดแปลง

เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการกับลูกศิษย์นะ “หมู่คณะ ให้ปฏิบัติมานะ แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้” ท่านห่วงขนาดนั้นนะ ละล้าละลังๆ เพื่อความมั่นคงของศาสนา เพื่อให้ศาสนานี้มั่นคง มั่นคงที่ไหน ถ้ามันมั่นคงขึ้นมาผู้นำต้องมั่นคงก่อน ผู้นำถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาศาสนานั้นจะมั่นคง ท่านพยายามจะสืบทอดมา นี่คือช้างที่มีชีวิต

ทำสิ่งใดจะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนเห็นไหม เอาประโยชน์ตนให้ได้ก่อน ถ้าประโยชน์ตนไม่ได้สอนใครไม่ได้หรอก ถ้าประโยชน์ตนไม่มีนะ สอนใครไม่ได้ นี่ธรรมโอสถ แล้วเราเอากิเลสโอสถไปให้คนอื่นมันไม่มีประโยชน์หรอก กิเลสโอสถไม่มีใครเขาอยากได้ เพราะในหัวใจเราก็กิเลสเต็มหัวใจอยู่แล้ว ธรรมโอสถสิเขาอยากได้ เขาอยากได้ธรรมโอสถเพื่อมาปราบกิเลสในหัวใจของเรา

ฉะนั้นการแสวงหาครูบาอาจารย์ เราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพยายามวางรากวางฐานของท่านไว้ ฉะนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตจะแก้ไขได้ คนเผลอคนขาดสติ คนทำสิ่งใดไม่ได้ ท่านจะคอยกระตุ้น คอยบอกให้เป็นประโยชน์กับเรา คอยกระตุ้นเรา คอยบอกเรา สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก นี่สิ่งที่เป็นคุณธรรมมันก็จะเป็นคุณธรรม ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต

แต่ถ้ามันช้างที่ตายแล้วนะ ช้างตายทั้งตัวแล้วเอาใบบัวมาปิดด้วย ช้างตายทั้งตัวในพุทธศาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแม่จะคลอด เวลาจะจุติ เห็นช้างเผือกเข้ามาในครรภ์จุติมาเกิด แล้วเวลาเกิดมาเห็นไหม ในบรรดาสัตว์เดรัจฉาน รอยเท้าช้างใหญ่ที่สุด ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

สิ่งต่างๆ นี้มันประเสริฐเลอเลิศมาขนาดไหน ถ้าประเสริฐเลอเลิศมา มาเพราะความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงมันมีของมัน มันจะเป็นความเป็นจริงของมัน แต่ถ้าไม่มีความจริงล่ะ เห็นไหม ช้างตายทั้งตัวแล้วเอาใบบัวมาปิด ช้างตายมันคืออะไร? ช้างตายคือธรรมโอสถ ในใจมันไม่เป็นความจริง มันไม่มีความจริง มันมีแต่กิเลสโอสถ ถ้าเป็นกิเลสโอสถนะ ทำสิ่งใดมันแก้ไขกิเลสในหัวใจของหมู่คณะไม่ได้ มันทำไม่ได้หรอก ถ้ามันแก้ไขสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เห็นไหม

เวลาลูกศิษย์ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องการล่ะ ต้องการธรรมโอสถก็เอาปริยัติไง ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีใช่ไหม ธรรมและวินัยนั้นมีอยู่แล้วใช่ไหม สิ่งนั้นเป็นอะไรล่ะ? ก็เป็นสัญญา ถ้าเป็นสัญญามันจะไปแก้กิเลสได้อย่างไร มันเป็นสูตรสำเร็จเห็นไหม สูตรสำเร็จมันแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่! แต่มันเป็นเวรเป็นกรรมของผู้ที่เชื่อถือนะ เป็นเวรเป็นกรรมของผู้ที่เชื่อถือเพราะอะไร เพราะเห็นไหม

“จิตสงบก็พิจารณากายสิ เวลาจิตสงบก็พิจารณาเวทนา จิต ธรรม พิจารณาได้ทั้งนั้นนะ”

แล้วมันฟังแล้วมันจริงไหมล่ะ? มันจริงตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของมันตายแล้ว มันเป็นสัญญา

แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันจะพิจารณาอย่างไร? เวลาจิตมันสงบแล้วมันจะพิจารณากายพิจารณาอย่างไร? แล้วกายมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วเวลาเป็นกายขึ้นมา มันเป็นกายโดยสัญญา เป็นกายเพราะเหตุใดล่ะ? จิตมันสงบแล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ? ถ้าช้างตายนะ มันพูดไม่เป็นหรอก แล้วมันไม่รู้ด้วยว่าอะไรเป็นกาย อะไรเป็นเวทนา อะไรเป็นจิต อะไรเป็นธรรม

แต่ถ้าช้างเป็นๆ ช้างที่มีชีวิตนะ มีชีวิตเพราะอะไร? มีชีวิตเห็นไหม ดูสิ ดูช้างที่มีชีวิตนะ สัตว์ที่มีชีวิตมันกินพืช มันกินพืชต่างๆ พอมันกินเข้าไปมันขับถ่าย ความขับถ่ายของมัน เพื่อประโยชน์กับสภาวะแวดล้อม

สภาวะแวดล้อมมันจะอยู่ได้เพราะสัตว์นะ เพราะสัตว์มันต้องมีสิ่งมีชีวิต พอมีสิ่งมีชีวิตมันก็ต้องดำรงชีพของมัน มันต้องหาอาหารของมัน แล้วมันต้องขับถ่ายของมัน มูลของมันก็จะเป็นปุ๋ยกับแผ่นดิน มันจะเกิดพืชใหม่ขึ้นมา มันจะหมุนเวียนของมันไป นี่ช้างที่มีชีวิตมันจะไปเป็นประโยชน์กับสภาวะแวดล้อม มันจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ อย่าง นี่เป็นสัตว์นะ

แต่ช้างตายล่ะ ช้างตายทั้งตัวแล้วเอาใบบัวมาปิด เวลาเอาใบบัวมาปิด พอช้างมันตายมันจะเกิดอะไรล่ะ มันก็เกิดหนอนไง มันก็เกิดแมลงวัน อีแร้งมันจะมาจิกกิน แต่เอาใบบัวมาปิดไว้

ใบบัวคืออะไรล่ะ? ใบบัวคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง คือธรรมนะมันมีอยู่ มันไม่เป็นประโยชน์กับสิ่งใดเลย สภาวะแวดล้อมนั้นก็ไปไม่ได้

สภาวะแวดล้อมนะ ดูสิ ถ้าที่ไหนเขาล่าสัตว์ ล่าทุกๆ อย่างไป ป่าเขานั้นถ้ามันขาดจากสัตว์ พืชมันก็จะไม่เจริญงอกงาม สภาวะแวดล้อมจะเสียหายไปหมด แต่ถ้ามันมีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ สภาวะแวดล้อมมันก็จะดีไปหมด

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าคำว่า “สัญญา” มันก็ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เวลาธรรมฟังได้หมด แต่แก้ไขจิตของลูกศิษย์ไม่ได้ แก้ไขของผู้ที่จะภาวนาไม่ได้ พอภาวนาไม่ได้เห็นไหม ดูสิ ช้างตาย ช้างตายมันก็มีแต่ตัวหนอน ถ้าเป็นอาหารมันก็เป็นอาหารของสัตว์ มันไม่ได้เป็นคุณธรรมในหัวใจ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันต้องมีความจริงขึ้นมานะ ฉะนั้นสิ่งที่ว่าช้างตายทั้งตัวแต่เอาใบบัวมาปิด

แต่ช้างที่เขามีชีวิตนะ ใบบัวนั้นมันเป็นอาหารได้ คำสอนคำสั่งของครูบาอาจารย์ มันเป็นประโยชน์กับหัวใจ ถ้ามันเป็นสิ่งที่มีชีวิตนะ คำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์นั้นเราเอามาดำรงชีพได้ แล้วเวลาเรากินเข้าไป อาหารนั้นเป็นอาหาร ไม่ใช่เอาใบบัวนั้นเที่ยวมา...เพราะช้างมันตาย มันไม่รู้จักว่าใบบัวว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์หรอก

แต่ช้างที่มีชีวิตนะ ใบบัวนั้นจะเป็นประโยชน์ มันจะเป็นอาหารได้ ถ้ามันเป็นอาหารได้ เวลากินเข้าไปมันขับถ่ายออกมา ร่างกายนั้นก็จะเจริญเติบโตขึ้นมา คำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์มันเป็นประโยชน์มาก ถ้าเราเอามาเพื่อประโยชน์กับเรา แต่ถ้าคำสั่งคำสอนนั้นเอามาปิดเอาไว้ เอามาพอกไว้ มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะอะไร เพราะมันอยู่ที่คุณสมบัติของช้าง ถ้าช้างมันเป็นมันเป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าช้างมันตายก็ตัวช้างนั้นมันเน่าเหม็น แล้วใบบัวนั้นมันเป็นประโยชน์กับสิ่งใดล่ะ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาคำชม คำสั่ง คำสอน เวลาลูกยอ เวลาท่านยอขึ้นมายัดเข้าไปในก้นเรานะ แล้วท่านสูบลม โอ้โฮ มันพองนะ โอ้โฮ มันดีใจนะ แต่ถ้าเวลาท่านสอน คำสั่งคำสอนมันเหมือนคำดุ คำเอ็ด คำบอกเราให้เป็นคนดี สิ่งนั้นมันกลับเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นช้างเป็นนะ เขาจะเห็นว่าใบบัวก็เป็นประโยชน์

สิ่งที่ว่าใบบัวนะ รากเหง้าบัวก็เป็นประโยชน์ ใบบัวเอาไว้มันเป็นอาหาร รากบัวมันเป็นยา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านบอกเรา ท่านเตือนเรา มันก็เป็นยา รากบัว รากเหง้าบัว เอาไปต้มมันเป็นยานะ มันทำให้ร่างกายพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย

ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน เวลาคำสั่งคำสอนมันก็เพื่อจะแทงกิเลสเราไง มันไม่ได้แทงตัวเรานะ มันแทงกิเลสเรา ถ้ามันแทงกิเลสเราได้เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านที่เป็นธรรม ท่านเป็นสิ่งที่มีชีวิตนะ ท่านจะบอกเราให้เราก้าวเดิน จิตใจเราก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จิตใจเราจะพัฒนาขึ้นไป

ถ้าจิตใจเราพัฒนาขึ้นไปเพราะอะไรล่ะ เพราะธรรมโอสถไง เพราะเหง้าบัวนั้นไง เพราะสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นไง ทำให้เราหายจากโรคจากภัย ทำให้เราหายจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ไงถ้าจิตใจมันเป็นธรรมมันจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต แล้วมันจะพัฒนาของมัน จิตใจจะพัฒนาของมัน

แต่ถ้ามันตาย ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด แล้วอ้างแต่ใบบัวนั้นๆ แล้วตัวมันเน่าเหม็นอยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาจะมีสติมีปัญญา จะทำสิ่งใดก็เพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ตนต้องให้ได้ก่อน ถ้าประโยชน์ตนไม่ได้ ประโยชน์คนอื่นไม่ได้หรอก

แต่นี่ประโยชน์ตนไม่ได้ แต่เอาใบบัวมาปิดไว้ แล้วก็อ้างแต่ใบบัว อ้างแต่ใบบัว แล้วให้คนอื่นจะมาติเตียนติฉินนินทาไม่ได้เลย จะเข้ามาทำสิ่งใดไม่ได้เลย อันนั้นมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ

ที่พูดอย่างนี้ เพราะวันนี้มันเป็นวันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ศาสนานี้กว่าจะปักหลักลงมาได้ ผู้ที่รื้อค้นมานี้ต้องสร้างบุญญาธิการมาขนาดไหน สร้างบุญญาธิการมาแล้ว เวลาจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังจะต้องไปค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี เห็นไหม ?

ดูสิ เวลากั้นลมหายจนสลบไปถึง ๓ หน รื้อค้นๆ มา ศาสนานี้กว่ามันจะได้มาเป็นสมบัติของชาวพุทธเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาหาสิ่งนี้ไว้ให้เรา หาสิ่งนี้ไว้เป็นหลักฐานให้เรา แล้วดูสิศาสนานี้ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานวันวิสาขบูชา มา ๒,๐๐๐ กว่าปี

แล้วกึ่งพุทธกาล หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านมารื้อค้น ท่านมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นรากเป็นฐานขึ้นมา แล้วเราชุบมือเปิบๆ สิ่งใดก็จะมาตักตวงเอาๆ แต่ทำไมไม่ทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ความจริงนะ ช้างเป็นกับช้างเป็นเขารู้กันนะ ช้างเป็นเขามาเห็นช้างตายมันนอนอยู่ เวลาช้างพิการล่ะ เวลาช้างมันพิการ ดูสิ มันน่าสังเวชไหม พอมันพิการมันเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็ต้องรักษามัน

จิตใจของเราถ้ามันยังไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา มันช้างตาย มันตายอืดอยู่ในหัวใจเรา ปฏิบัติไปนะ ดูสิ เวลาเราภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หัวทิ่มบ่อเลยล่ะ มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นนะ แล้วถ้ามันเป็นความทุกข์ความยากแล้วมันเป็นความดีขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ มันมีสติมีปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร สมาธิมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตไง ดูลูกช้างนะ ลูกช้างมันอยู่ในฝูง มันไร้เดียงสา มันน่ารักนะ มันไร้เดียงสาอยู่ในฝูงนะ

พวกเราก็เหมือนกัน เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ เราเป็นลูกช้าง ถ้าเราเป็นลูกช้างนะ เราจะประพฤติปฏิบัติตัวเราขึ้นมาอย่างไร จิตใจของเรามันจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นมา มันมีสติมันมีปัญญาของมัน ถ้ามีสติมีปัญญาของมัน จิตใจนี้จะพัฒนามา ถ้าพัฒนาขึ้นมานะ ครูบาอาจารย์ท่านวางหลักฐานให้เราไว้แล้ว ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะช้างเป็นกับช้างเป็นเขาจะรู้กัน มันแก้ไขได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันพลิกแพลงได้

“นี่จิตสงบแล้วพิจารณากายสิ” พิจารณาอย่างไร? เราก็ล้มลุกคลุกคลานใช่ไหม เราก็อยากให้คนชี้นำ เราอยากให้คนบอกเรา ถ้ามีคนบอกเราเห็นไหม แล้วมันจะพิจารณาอย่างไร

ช้างเป็นนะ เขามีเทคนิค เขามีอุบาย เขาไม่บอกตรงๆ หรอก เขาใช้อุบายให้เราฝึกฝน ดูสิ เวลาแบบว่าให้ปลากับให้คันเบ็ดไปให้มันตกปลา ตกปลาเป็นแล้วทำเป็นขึ้นมา ตกปลาแล้วได้ปลามันก็จะรู้ของมัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราสงบแล้วเราพิจารณากายเราจะทำอย่างไร ถ้าทำอย่างไรครูบาอาจารย์ท่านรู้หมด แล้วมันจะทำให้จิตใจเราพัฒนานะ ลูกช้างมันจะโตขึ้นมา..โตขึ้นมา..

ถ้ามันช้างตายมันพูดเป็นสูตร พูดเป็นสูตรสำเร็จ เพียงแต่ลูกช้างนั้นมันไร้เดียงสา มันไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด มันเห็นคนตัวโตกว่าชักนำไปมันก็ไปตามเขา แต่มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราจะรู้ได้ การประพฤติปฏิบัติมันทันกันได้ โลกนี้ในการศึกษามันทันกันได้ เราต้องทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา

ถ้าเราทำความเป็นจริงของเราขึ้นมานะ เราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจะรู้ของเรา พอรู้ของเราขึ้นมา กาลามสูตรไม่เชื่อสิ่งใดเลย มันเชื่อในการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วมันก็แปลกใจด้วย แปลกใจว่าเราปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ทำไมสิ่งที่เขาพูดออกมามันไม่เป็นอย่างที่เราว่าเลย

สังเกตได้ไหม เวลาเราฟังเทศน์นะ ถ้าเทศน์ปฏิบัติ เริ่มต้นผู้ที่ศึกษาทางปริยัติมา จะเข้าใจ เราศึกษา เราอ่านของเรามานะ ธรรมวินัยอ่านแล้วซาบซึ้งมาก แล้วเวลาพระเทศน์ให้ฟังก็ยิ่งซาบซึ้งใหญ่ แต่พอเราไปฟังเทศน์พระกรรมฐานนะ เราจะงงเลย เราจะไม่เข้าใจ แต่พอเราฟัง เราตั้งสติของเรา แล้วพยายามใช้ปัญญาของเรา จนมันดูดดื่ม จนมันเข้าใจ มันฟังธรรมโดยเนื้อธรรมแล้ว มันจะซาบซึ้งหัวใจ

แล้วย้อนกลับไปฟังเทศน์ปริยัติสิ เราก็เริ่มงงแล้วนะ ทำไมมันฟังแล้วมันไม่รู้เรื่อง แต่ทำไมเมื่อก่อนมันรู้ล่ะ ทำไมเมื่อก่อนว่าดี แล้วพอมาฟังเทศน์กรรมฐานก็ว่าไม่เข้าใจ แต่พอมาเข้าใจในเทศน์กรรมฐานแล้วนะ ย้อนกลับไปฟังเทศน์ปริยัติ เราจะงงแล้ว มันไม่มีน้ำหนัก ไม่มีสิ่งใดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เหมือนกันที่ว่าถ้าหัวใจเราปฏิบัติได้แล้ว เราจะเข้าใจเรื่องนี้ จากปริยัติมาเป็นปฏิบัติ พอเริ่มปฏิบัติขึ้นมามันก็มีความจริงในหัวใจเราขึ้นมา พอมีความจริงในหัวใจเราขึ้นมา เราพิสูจน์ได้เลย อะไรผิดอะไรถูก

สิ่งใดถ้ามันเป็นกระแสสังคม เป็นกระแสโลก รับฟังไว้แล้วพิสูจน์ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อๆ ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วถ้ามันเข้ากันได้ มันเป็นความจริงขึ้นมา เหมือนเราฟังเทศน์ปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม มันจะชี้เข้ามาในหัวใจของเรา พอมันชี้เข้ามาในหัวใจของเรา เรามีความรู้สึก มีความละอาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอาย มีความเกรงกลัว มันจะเริ่มมีการกระทำ

ถ้ามีการกระทำขึ้นมา พอมีศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นความจริงขึ้นมานะ เรารู้ได้แล้ว แล้วเราจะก้าวเดินต่อไปให้เป็นคุณประโยชน์กับเรา มันจะเป็นคุณประโยชน์กับเรานะ ถ้าเราทำตามความเป็นจริง

ทรัพย์สมบัติจากภายนอก เราหามาเพื่อดำรงชีวิต ทรัพย์สมบัติของเราจากภายใน เวลาจิตมันมีอวิชชาเห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ เวลาคนเวียนตายเวียนเกิด ผลของวัฏฏะ เราเกิดมาจะไม่สมความปรารถนา สิ่งที่อยากได้อยากเป็นมันก็ไม่ได้ดั่งใจ สิ่งที่ไม่ต้องปรารถนามันก็มีมากับเรา เห็นไหม

ผลของวัฏฏะเราเลือกไม่ได้ เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมที่เราเกิดมาร่วมกัน ฉะนั้นพอเราเกิดมาร่วมกัน มันเป็นผลประโยชน์ของเรา มันเป็นผลประโยชน์คือถ้าจิตใจเราเป็นความจริง จิตใจเราปฏิบัติจริง มันจะเกิดอริยทรัพย์จากภายในหัวใจของเรา

ถ้าหัวใจเราเกิดมีอริยทรัพย์ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีขึ้นมา มันเป็นสมบัติของใคร? มันเป็นสมบัติของเรา ฉะนั้นสิ่งที่เราเกิดมา ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือสังคม ฉะนั้นเราจะเอาสังคมเป็นใหญ่ เราจะเอาสภาวะแวดล้อมเป็นใหญ่ หรือเราจะเอาความเป็นจริงในหัวใจเราเป็นใหญ่ ถ้าเราเอาความเป็นจริงในหัวใจของเราเป็นใหญ่ ในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องปฏิบัติตามความเป็นจริงนั้นขึ้นมา

ฉะนั้นสิ่งที่เป็นกระแสสังคมนั้นเราไม่ปฏิเสธ กระแสสังคมคือกระแสสังคม ใครจะปฏิเสธมันได้ เพียงแต่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลส กระแสสังคมนะ เสียงที่เขาทำขึ้นมา สิ่งต่างๆ ที่เขาสร้างเป็นกระแสขึ้นมา มันเป็นกิเลสหรือเป็นธรรมล่ะ มันไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น มันเป็นกระแสสังคม มันเป็นเสียง มันเป็นสื่อ มันเป็นต่างๆ

แต่ถ้าจิตใจของเรามีสติปัญญาเห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลส แต่มันจะเป็นกิเลสต่อเมื่อเราเชื่อ มันจะเป็นกิเลสต่อเมื่อเราแสวงหา มันจะเป็นกิเลสต่อเมื่อเรากินเหยื่อ ฉะนั้นรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลส แต่หัวใจเราต่างหากเป็นกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

จิตใจของเรามันมีกิเลสอยู่แล้ว มันมีความแสวงหา ความอยากประพฤติปฏิบัติ มีความอยากได้ธรรมะ แล้วเวลาเขาเอารูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมารเอามาล่อเรานะ แล้วเราก็เชื่อไปๆ มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ? มันไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นเพราะเราเองต่างหากไม่มีจุดยืน เราเองต่างหากไม่ได้ตรวจสอบหัวใจของเรา

ถ้าเรามีจุดยืนในหัวใจของเรา เราต้องพิสูจน์ก่อน พิสูจน์ว่ากระแสสังคม สิ่งต่างๆ ที่เป็นสื่อต่างๆ มันเป็นความจริงหรือเปล่า? ถ้ามันเป็นความจริง มันก็เป็นความจริงของเขา ไม่ใช่ความจริงของเรา

ความจริงของเรา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจะพิสูจน์ได้ว่ามันจริงหรือไม่จริงขึ้นมาทันทีเลย ถ้ารูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แล้วมารในหัวใจเราก็มี ถ้ามารในหัวใจของเรามี ตรงนี้ต่างหากมันถึงเป็นความจริง มันอยู่ที่ตรงนี้ต่างหาก

ถ้าตรงนี้เกิดขึ้นมา เราตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วเราพยายามฝึกของเราขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ สมาธิอบรมปัญญาก็ได้ ถ้ามันเกิดกระบวนการตามความเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ ไอ้ที่ว่าช้างเป็นช้างตายเดี๋ยวเราก็พิสูจน์กันได้ เราพิสูจน์ได้เลย เราพิสูจน์จากความเป็นจริงๆ ตัวเป็นๆ ในใจเรานี้ ตัวเป็นๆ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นๆ เดี๋ยวนี้ เป็นปัจจุบันนี้ เพราะเวลามันเป็นความจริงขึ้นมามันรู้ได้หมดเลย แต่นี่เพราะตัวเป็นๆ มันไม่มี เราถึงไปตื่นกระแสเห็นไหม

ช้างตายนะ กลิ่นเหม็นเน่ามันขจรขจายไปทั่วนะ แต่ใบบัวนั้นพยายามจะปกปิดกลิ่นนั้นไว้ แล้วพวกเรานะ พวกเราเป็นไปกับกระแสเขาทำไม ถ้าพวกเราไม่ไปตามกระแสเขา สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งนั้นใช่ไหม หน้าที่ของเราทุกคนก็อยากประพฤติปฏิบัติ

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าพูดถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขไปแล้วนะ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ไปหมดแล้วนะ ฉะนั้นสิ่งที่เราเกิดมากึ่งพุทธกาล ถ้าวันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา พุทธศาสนาอยู่ที่ไหน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ถ้าพุทธศาสนาตามความเป็นจริง ถ้าจิตใจของเรามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาเพราะเหตุใด? เป็นจริงขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ถ้าจิตใจหมายถึงพุทธะ เวลาจิตมันสงบเป็นสัมมาสมาธิ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะมันตื่น มันเบิกบาน มันถึงมีสติ มันถึงมีปัญญา

ถ้ามันตื่น มันเบิกบาน มันมีสติ มีปัญญา ขึ้นมาแล้วนะ แล้วมันจะใคร่ครวญหัวใจเราอย่างไร พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” จิตใจสงบขึ้นมาก็เห็นร่มเงาของจิตมันมีสติปัญญาขึ้นมา มันเบิกบานต่อเมื่อมันจะแสวงหา เบิกบานต่อเมื่อมันจะออกไปพิจารณาให้มันเป็นวิปัสสนา

วิปัสสนาเห็นไหม พอวิปัสสนาขึ้นมา วิปัสสนาในอะไร? ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม แล้วเวลามันเบิกบานแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันสะเทือนหัวใจขึ้นมา มันรู้ได้เลย รู้ได้ว่าถ้าจิตสงบก็พิจารณากายสิ จิตสงบก็พิจารณาเวทนาสิ จิตสงบก็พิจารณาธรรมสิ แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ? มันจะพิจารณาอย่างไร? ก็พิจารณาแบบสูตรสำเร็จ แบบช้างตาย

แต่ถ้าพิจารณาความจริงเห็นไหม เวลาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลามันรู้มันเห็นขึ้นมามันสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจนี่ไปบอกช้างตายช้างมันยังไม่รู้นะ มันนอนตายอยู่อย่างนั้น ตัวหนอนเต็มท้องช้าง ไปบอกมันเลยว่า ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วมันจะทำอย่างไรต่อไป เขาไม่รู้อะไรกับเราหรอก เขาไม่รู้

เพราะถ้าเขารู้เขาก็เป็นช้างเป็น ถ้าช้างเป็นขึ้นมามันมีการเคลื่อนไหว ดูสิ เวลาช้างมันหาอาหารของมัน เวลามันเหยียบย่ำไปตัวมันใหญ่ เสียงมันดังนะ แต่ช้างตายมันนอนนิ่ง แล้วนุ่มนวล โอ้โฮ มารยาทสุดยอด

จิตใจของเรา ถ้ามันผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันรู้ได้ แล้วมันพิจารณาของมันไปนะ พอมันพิจารณาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วพิจารณาไปแล้วมันหลุดไม้หลุดมือ เวลาจิตของเราเห็นไหม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ

จิตของคนนะ สมาธิมันมีเจริญแล้วเสื่อม แต่ถ้าไม่มีสมาธินะ จิตมันไม่มีสมาธิขึ้นมา การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นโดยสัญญาอารมณ์ เห็นโดยจินตมยปัญญาก็มี จิตใจของคนมันลึกลับซับซ้อนมาก จิตใจของคน จิตใจของสัตว์โลกลึกลับซับซ้อนเพราะอะไร? เพราะการเกิดการตายไม่มีต้นไม่มีปลาย

คำว่า “ไม่มีต้นไม่มีปลาย” ดีก็ทำ ชั่วก็ทำ พอดีก็ทำชั่วก็ทำมันก็เป็นพันธุกรรมทางจิต เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เวลามันดีขึ้นมา มันดีสุดๆ นะ เวลาดีขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ คนมีฐานะเวลาดีขึ้นมาจะแจกทรัพย์สมบัติเลย จะออกบวช มีเงินเท่าไหร่จะแจกหมด ทรัพย์สมบัติไม่เอาแล้ว ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของโลก จะเอาอริยทรัพย์ เวลาบวชไปแล้วขึ้นมาภาวนานะ ถ้าไปรอดก็ดีไป ถ้าไปไม่รอด เวลาจิตใจของคนเวลามันดี

เวลามันร้ายล่ะ เวลามันร้ายขึ้นมามันจะเอาแต่ได้ของมันเลยล่ะ เอาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม จิตใจของคนเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย แล้วเวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา มันพ้นจากดี เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายขึ้นมา ให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ แล้วเรารักษาขึ้นมา ละล้าละลังนะ เดี๋ยวเจริญแล้วเสื่อม เดี๋ยวเสื่อมแล้วเจริญ เวลาเจริญขึ้นมามีหลักมีเกณฑ์ เวลาเสื่อมไปคอตกเลย แล้วเวลามันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วนะ เวลาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม

อย่างสูตรสำเร็จอย่างที่เขาพูดกัน “จิตสงบก็พิจารณาสิ เดี๋ยวก็ผ่านกาย เดี๋ยวก็ผ่านเวทนา เดี๋ยวก็ผ่านจิต ผ่านธรรม”

มันผ่านอย่างไร? มันผ่านอย่างไร? เพราะช้างมันตาย พอมันผ่านแล้วก็ให้ค่ากัน เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวธรรมะมันจะออกทะเล เดี๋ยวธรรมะโจรสลัดมันจะปล้น

เราทำของเราให้ตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา พอจิตมันสงบ พอมันออกรู้ พอออกพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม พอพิจารณาเข้าไปแล้วมันก็มีการกระทำ มีการกระทำปัญญามันก็หมุน ปัญญาหมุนจิตมันก็หมุน จิตมันก็เคลื่อน พอจิตมันเคลื่อนขึ้นไปเคลื่อนด้วยอะไร เคลื่อนด้วยมรรคญาณ มันจะเคลื่อนเพื่อชำระล้างของมัน พอชำระล้างขึ้นมา พอทำงานไปแล้ว ดูสิ ในเครื่องยนต์ต่างๆ เวลาทำสิ่งใดไปมันมีอายุของมันนะ มันต้องเปลี่ยนสายพาน มันต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง มันต้องเปลี่ยนทุกอย่าง เพราะแม้แต่เครื่องยนต์มันยังมีอายุใช้งาน

แล้วเวลาจิตของเรานะ เวลามันสงบขึ้นมา มันพิจารณาขึ้นมามันไม่มีอายุการใช้งานเลยเหรอ? มันเป็นจริงตลอดไปเลยเหรอ? มันเป็นไปไม่ได้หรอก! มันเจริญแล้วเสื่อมเห็นไหม

พอมันเจริญขึ้นมา มันดีงามขึ้นมา ดูสิ เวลาจิตมันสงบแล้ว เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วมันพิจารณาของมันไป เหมือนเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ติดเครื่องแล้วมันจะมีกำลังของมัน มันจะเป็นประโยชน์ของมันแล้วมันขับเคลื่อนของมันไป แล้วใช้งานมันไปสักพักเห็นไหม น้ำมันมันก็หมด ทุกอย่างมันก็ต้องมาซ่อมแซมของมัน

จิตของเราก็เหมือนกัน จิตของเราเวลามันสงบขึ้นมาแล้ว มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันพิจารณาไป ถ้ามันดี โอ้โฮ มันสดชื่น มันดีงามมาก มันจะมีความสุขความสงบระงับของมัน แต่เวลามันใช้ไปแล้วนะ สิ่งนั้นก็สึกหรอ นี่ไงสึกหรออะไร? สมาธิก็สึกหรอ สติก็สึกหรอ พอสึกหรอขึ้นมามันก็ล้มลุกคลุกคลาน พอล้มลุกคลุกคลานมันก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ กลับมาสร้างเห็นไหม น้ำมันเครื่องก็ต้องถ่าย สายพานอะไรที่มันชำรุดแล้วก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนใหม่ก็กลับเข้าไปทำใหม่ พอกลับเข้าไปทำใหม่มันก็ใช้ปัญญาของมันขึ้นไป

มันทำของมัน ฝึกฝนของมัน นี่ไง ช้างเป็นๆ เขารู้วิธีการ เขารู้จักวิธีการนะ งวงนะมันจะไปเอาอาหารมากินอย่างไร กินเข้าไปแล้วมันต้องมีน้ำหนักแค่ไหนมันถึงอิ่มเต็มของมันขึ้นมา ถ้ามันอิ่มเต็มของมันขึ้นไปแล้วนะ เวลามันขับถ่ายออกมา มันมีประโยชน์กับสาธารณะ ประโยชน์กับสิ่งต่างๆ

พอปฏิบัติขึ้นมา เวลาผู้ที่ปฏิบัติเป็น โอ้โฮ มันอยากเทศน์อยากสอน มันจะถ่าย ถ้ามันถ่ายขึ้นมานะ มันถ่ายรดตัวเองมันจะไม่มีประโยชน์อะไรนะ ถ้ามันถ่ายมันก็เป็นประโยชน์

ครูบาอาจารย์ท่านจะควบคุมดูแล เวลาใครอยากเทศน์อยากสอน ท่านจะบอกว่า “ยังไม่ต้องเทศน์หรอก เทศน์สอนตัวเองให้ได้ก่อน เทศน์เอาใจตัวเองให้ได้ก่อน” สงบระงับไว้ แล้วพิจารณาของเราเข้ามา เทศน์ไปทำไม? เวลาเทศน์ออกไปแล้วนะ พลังงานของเรา เราใช้ไปแล้ว พอใช้ไปแล้วนะ ยังมาวิตกกังวลอีกนะ วิตกกังวลว่าพูดไปแล้วมันจะบาดหมางใครไหม พูดไปแล้วมันจะถูกจะผิดไหม เพราะ! เพราะเรายังไม่รู้จริง เวลาภาวนาไปมันจะเห็นของมัน มันจะรู้ของมัน ก็รู้แค่รู้ ก็แค่รู้ มันยังไม่ได้ฆ่ากิเลส

ถ้ามันฆ่ากิเลสนะ กระบวนการมันจะต่อเนื่องไป จิตสงบแล้วพิจารณาซ้ำมันก็ปล่อย พอปล่อยมันเป็นตทังคปหาน คำว่า “ตทังคปหาน” คือมันปล่อย แต่กิเลสไม่ตาย กิเลสมันเหนียวแน่น กิเลสเห็นไหม ดูสิ จิตนี้ผลของวัฏฏะๆ จิตที่มันตายเกิดตายเกิดมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันซับซ้อนมาขนาดไหน แล้วแก่นของกิเลส กิเลสมันอยู่ มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับใจนะ ดูสิเวลาใจหามัน ทำสมาธิขึ้นมาก็เกือบเป็นเกือบตาย แล้วเวลาจะฆ่ามัน พอไปปฏิบัติกิเลสมันก็เอาคอพาดเขียงเลยนะ เรามาถึงธรรมโอสถก็ซัดเลยนะ โอ้โฮ กิเลสตายดิ้นพราดๆ ต่อหน้าเลย

นี่คือความคิดความเห็น ความนึกไป แต่ถ้าเป็นจริงนะ กิเลสนะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ว่าเราคิดว่าอวิชชามันเป็นยักษ์เป็นมาร แต่พอเจอตัวจริงเข้ามานี่นะ โอ้โฮ มันอ้อยสร้อย มันนุ่มนวลยิ่งกว่านางสาวจักรวาลอีก คิดดูสิของที่มันสวยงาม ที่มันน่ารักขนาดนั้น ใครจะไปทำลายมัน ก็ไปยอมจำนนกับมันไง เวลาภาวนาไปแล้วนะ ก็ไปยอมจำนนกับกิเลสนะ “อ๋อ กิเลสเป็นธรรมเนาะ ธรรมเป็นกิเลสเนาะ อ๋อ มันเป็นอันเดียวกันเนาะ มันเป็นมรรค ผล นิพพานเนาะ” แล้วมันก็นอนจมอยู่กับกิเลส กิเลสมันไม่ปล่อยให้เราไปง่ายๆ หรอก

ฉะนั้นสิ่งที่เราจะเอาชนะ เราจะฆ่ากิเลส มันเอาชนะตนเอง ความจะเอาชนะเรานะ ความจะเอาชนะเรา สรรพสิ่งนี้เป็นเราหมดเลย ความดีความชอบเป็นของเราหมดเลย แล้วเรากล้าทำลายไหม? เราไม่กล้าทำลายอะไรเลย เพราะมันเป็นเรา มันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นปัญญาของเรา มันเป็นวุฒิภาวะของเรา เรารู้เราเห็นไปหมดเลย นี่ไง จะพิจารณาซ้ำๆ ไป พอซ้ำเข้าไปมันจะเริ่มชัดเจน เริ่มปล่อยวาง

การปล่อยวางแล้วนะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การทำนาทำในที่เดิม เรามีนาอยู่เราก็ทำนาของเรา ปีแล้วปีเล่า ปีละ ๓ หน ๔ หนเราก็ทำนาในที่เดิมของเรา ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรามันเกิดขึ้นมา เรามีความชำนาญมากขึ้น เราเกี่ยวข้าว ยุ้งฉางเราจะมีข้าวมีอาหารเต็มไปหมดเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิปัสสนาไปรอบหนึ่งมันก็เกิดปัญญา ปัญญาเกิดรอบหนึ่ง ถ้ามันปล่อยวางได้ ตทังคปหานปล่อยวางได้มันก็เกิดปัญญา เกิดการแยกแยะ เกิดความชำนาญงานของมัน ทำซ้ำเข้าไปนะพิจารณาแล้ว พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าเวทนาไม่เป็นเรา เราไม่เป็นเวทนา เวทนาเกิดจากจากสิ่งใด พิจารณาแล้วมันปล่อย ปล่อยก็ซ้ำรอบหนึ่งๆ ทำบ่อยครั้งเข้าๆ การชำนาญการของมันเห็นไหม ความชำนาญการของมันถึงที่สุดแล้วเวลามันขาด นี่ไงเวลาขาด กายขาด เวทนาขาด จิตขาด ธรรมขาด

เวลาขาดนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งใดๆ เลย แต่สิ่งที่เป็นเราๆ เห็นไหม ดูสิ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลสเห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไปยึดมั่นมันถึงเป็นกิเลส

ขันธ์ ๕ ก็เหมือนกันเห็นไหม ขันธ์ ๕ เป็นเรา เราเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นขันธ์ ๕ เวลาเรายึดมันก็เป็นทุกข์ไปหมดนะ แต่เวลากิเลสมันขาดไปแล้ว ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ? ใครเป็นคนทุกข์ล่ะ? แล้วทุกข์เวลามันขาดออกไป มันขาดออกไปอย่างไรล่ะ เวลามันชำระล้างแล้ว อะไรชำระล้างมันล่ะ เวลามรรคญาณมันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างไร

นี่ไงถ้าช้างเป็นๆ นะ เขาบอกเทคนิคกัน เขาจะชักจูงกันไป มันจะเป็นประโยชน์นะ เราเป็นลูกช้าง เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเทคนิคสิ่งที่มีชีวิต มีการสืบต่อ มีการพัฒนาขึ้นไป มันก็จะเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ช้างตาย! ช้างตายมันเป็นสูตร พูดเป็นสูตรไม่ใช่พูดธรรมะ พูด! พูดเป็นสูตร แล้วมีเนื้อหาสาระไหม เพราะมันไม่มีเนื้อหาไม่มีสาระ มันก็เลยมีแต่กลิ่นเหม็นไง แต่เอาใบบัวปิดไว้ อ้างแต่ใบบัวๆ นั่นล่ะ แต่ความจริงมันอยู่ไหนล่ะ

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันจะหวั่นไหวกับสิ่งใด ในเมื่อมันมีความจริงในหัวใจ เทคนิควิธีการมันก็รู้ของมันไปหมด แล้วมันจะไปหวั่นไหวกับสิ่งใด ดูสิ เวลาเรามีปัญญา เราเจอวิกฤติ เจอสิ่งใดๆ เราแก้ไขของเราได้หมดนะ เพราะเรามีปัญญา แต่ถ้าคนไม่มีปัญญาล่ะ เจอสิ่งใดมันก็เก้อๆ เขินๆ แล้วทำอะไรไม่ได้เลย นั่นมันคืออะไรล่ะ นั่นก็คือมันไม่มีชีวิต มันไม่มีความจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันมีความจริง มันมีชีวิต มันก็พัฒนาของมันต่อไปนะ

ดูสิ กระบวนการเริ่มที่มันจะพัฒนาของมันขึ้นมา แล้วพัฒนาขึ้นไป ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาวิมุตติสุข วิมุตติสุข มันมาอย่างไร? มันมานะมันต้องมีพื้นฐานมา มันมีพื้นฐานขึ้นมา มันจะมาจากฟ้าเหรอ นี่ความจริงมันเกิดขึ้นมา ถ้ามันสงบมันจะพัฒนาของมันต่อไป ถ้าพัฒนาต่อไปมันพัฒนาอย่างไร? ถ้ามันพัฒนาเห็นไหม ดูสิ กระบวนการของมัน มันต้องถึงที่สุด พอถึงที่สุดแล้วมันถึงเป็นความจริงเต็มส่วน

ถ้าความจริงยังไม่เต็มส่วน รู้ได้แค่นี้นะ ถ้ารู้ได้แค่นี้มันก็พูดได้แค่นี้ คนทำสมาธิไม่เป็นพูดเรื่องสมาธิไม่ถูก คนภาวนาไม่เป็นพูดถึงเรื่องการใช้ปัญญาผิดหมด

แต่เวลาคนที่ทำสมาธิเป็น แล้วใช้ปัญญาเป็น มันก็ก้าวเดินเข้ามาเป็นขั้นตอนของมัน พอเป็นขั้นตอนของมันแล้วขั้นตอนต่อไปล่ะ ขั้นตอนนี้มันจบแล้วเหรอ ขั้นตอนนี้มันยังไม่จบเพราะอะไร? เพราะกิเลสอย่างละเอียดในหัวใจยังมีอีกมหาศาล ถ้ากิเลสในหัวใจยังมีอีกมหาศาลเราจะทำอย่างไร? ถ้าเราทำอย่างไรเห็นไหม แล้วแนะนำอย่างไร? ก็พิจารณากายไง

“จิตสงบแล้วก็พิจารณากาย พอมันผ่านกาย ผ่านเวทนา ผ่านจิต ผ่านธรรม...”

แล้วมันผ่านอย่างไรล่ะ? มันผ่านอย่างไร?

ก็ผ่านแบบกลิ่นไง กลิ่นมันเหม็นมันก็ผ่านแบบได้กลิ่นมา มันกระทบจมูกมามันก็นึกว่ารู้ไง

แต่ถ้ามันผ่านจริงมันบอกได้ การบอกได้เห็นไหม ถ้าจิตสงบแล้วนะ ถ้ามันพิจารณาขึ้นมามันก็เป็นขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด แล้วขันธ์อย่างกลางมันพิจารณาอย่างไร? มันรู้มันเห็นของมันอย่างไร?

การรู้การเห็นของเรานะ สิ่งที่มีชีวิต มันมีความรู้สึกนึกคิด มันจับต้องได้ ใจของเราเห็นไหม เรายังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ เรายังพยายามก้าวเดิน พยายามแสวงหาอยู่ ในเมื่อเรายังก้าวเดินเรายังแสวงหาอยู่ มันยังมีสติควบคุมตัวเองอย่างไร ถ้ามีสติควบคุมตัวเองขึ้นมา จิตมันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน เพราะเหตุใด? มีหลักมีเกณฑ์เพราะสติไง ถ้ามีสตินะ มีคำบริกรรมขึ้นมามันมีหลักเกณฑ์ขึ้นมา

มีสติเห็นไหม..สติมิจฉา สัมมาสติ มิจฉาสติ

สมาธิ...มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ

ขนาดนี้เราผ่านมาแล้วมันยังเป็นมิจฉาอีกเหรอ?

เป็นมิจฉาในขั้นตอนที่เรากำลังต่อสู้กันอยู่นี้ ถ้ามันเป็นสัมมา มันเป็นความถูกต้องทั้งหมด เราก็จะทะลุทะลวงกิเลสให้มันตายต่อหน้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วนี้สิ่งที่เราทะลุทะลวงขึ้นมา เราพิจารณาขึ้นมา กาย เวทนา จิต ธรรม จนปล่อยมันขึ้นมาว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ นั่นมันเป็นประสบการณ์ชั้นหนึ่ง

ประสบการณ์ชั้นต่อไปล่ะ มันมีความละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น กิเลสที่มันละเอียดกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น ในกระบวนการกลลวงของมันก็ต้องลึกซึ้งกว่านั้น พอลึกซึ้งกว่านั้นเราจะพิจารณาอย่างไร ดูสิ เรามีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง แล้วสินค้าที่มันแพงกว่านั้น มีค่ามากกว่านั้น เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อเขาๆ จะให้เราได้ไหม นี่กิเลสอย่างหยาบ กระบวนการของมรรคญาณที่มันอย่างหยาบมันได้ชำระล้าง จำนวนเงินมันมีเท่านี้

แล้วจำนวนเงินมีเท่านี้ไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แล้วโสดาปัตติมรรคจะเป็นสกิทาคามิผลได้อย่างไร? โสดาปัตติมรรคเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะเกิดสกิทาคามิผล มันเป็นไปไม่ได้หรอก จำนวนมันไม่เท่ากัน จำนวนของเงินกับราคาสินค้ามันไม่เท่ากัน มันซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ได้ มันจะซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ต่อเมื่อจำนวนมันเท่ากัน สินค้าชนิดเดียวกัน แล้วมันซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ มันทำกระบวนการจบสิ้นแล้วมันก็ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อีกชั้นหนึ่ง

แต่อีกชั้นต่อไปมันก็ต้องทำความสงบให้มากขึ้น ในสัมมาสมาธิ ในชั้นปัญญาให้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น พอมากขึ้นมันก็จะทะลุทะลวงเข้าไปสู่กิเลสอย่างกลาง พออย่างกลางก็พิจารณาซ้ำเห็นไหม มันมาอย่างไรล่ะ ดูสิ กิเลสอย่างหยาบเราฆ่ามาแล้ว ฆ่ามันด้วยมรรคญาณ แต่กิเลสอย่างละเอียดมันก็ใช้อะไรล่ะ? มันก็ผ่านมาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

แต่ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ที่มันละเอียดลึกซึ้งกว่า ที่มันละเอียดลึกซึ้งกว่าเพราะกิเลสมันละเอียดกว่า กิเลสละเอียดกว่ามันก็ใช้สิ่งที่ละเอียดกว่านี้เข้ามาเพื่อดำรงชีวิตของกิเลสไว้ เพื่อไม่ให้เราฆ่ามัน พอไม่ให้เราฆ่ามันเห็นไหม ถ้าเราจะฆ่ามันเราจะทำลายกิเลสอย่างกลางนี้ เราก็ต้องทำให้สติให้สมาธิของเรานี้เข้มแข็งให้มากขึ้น พอเข้มแข็งมากขึ้นมันมีกำลังมากขึ้นมันมีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจะละเอียดลึกซึ้งขึ้น ถ้าละเอียดลึกซึ้งขึ้นมันก็แยกแยะเห็นไหม

ถ้าพิจารณากายนะ พิจารณากายขั้นแรกมันจะเป็นปฏิกูลโสโครก มันเกิดการเป็นไตรลักษณ์ มันปล่อยวางเข้ามา ถ้าพิจารณาซ้ำเข้าไปมันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง มันกลับไปสู่สถานะเป็นธาตุ เป็นน้ำ เป็นดิน เป็นลม เป็นไฟ ถ้าพิจารณาซ้ำเข้าไปเห็นไหม พิจารณาซ้ำ พอพิจารณามันจะรู้จะเห็นของมัน แล้ววิวัฒนาการของมัน มันจะเกิดขึ้นมา วิวัฒนาการเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร? เกิดขึ้นมาเพื่อจิตให้มั่นคง เพื่อให้จิตมันมีกำลังของมัน พอจิตมีกำลังของมันแล้วมันใช้ปัญญาเห็นไหม

ปัญญาเกิดจากอะไร? ปัญญาเกิดจากจิต จิตเกิดจากอะไร จิตเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ภาวนานี้เกิดจากจิต แล้วมันกลับมาชำระล้างจิต ชำระล้างจิต จิตมันไปติดข้องในสิ่งใด จิตมันมีสิ่งใดในหัวใจของมัน พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ปล่อยอีกล่ะ

การพิจารณา กระบวนการของมันมันจะมีการปล่อย ปล่อยจนมีความชำนาญของมัน แต่ถ้ามันขิปปาภิญญา พิจารณาหนเดียวครั้งเดียวแล้วมันจะทะลุทะลวงไปได้ อันนั้นมันเกิดจากอำนาจวาสนา เกิดจากพันธุกรรม เกิดจากการสร้างสมบุญญาธิการมา

แต่เวลาพิจารณาของเราเห็นไหม นี่พิจารณาของเรานะ แล้วถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านพูดว่าอะไร “ให้ภาวนามาๆ ผู้เฒ่าจะแก้จิตว่ะๆ” แต่เวลาเราจะไปแกะไปแก้เราก็ล้มลุกคลุกคลาน ดูสิ เวลาเราภาวนาเห็นไหม แม้แต่ความสงบของใจเราก็ยังลงทุนกันขนาดนี้ เวลาใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา จะภาวนาใจขึ้นไป ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านดูแลรักษาพวกเรามา ท่านจะกันไว้เลย ถ้าคนเริ่มภาวนาขึ้นมา แล้วถ้าไปส่งการบ้าน ไปคุยกับครูบาอาจารย์นะ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ปั๊บท่านจะกันทันทีเลย ท่านจะแยกเลย แยกด้วยอะไร แยกด้วยคำสั่งของท่าน ว่าให้คนนี้ภาวนา ให้คนนี้มีหลักมีเกณฑ์ ใครอย่ามายุ่ง ใครอย่าเข้ามา

เพราะอะไร? เพราะเวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน สิ่งที่ท่านจะผ่านประสบการณ์ จิตใจที่มันจะฆ่ากิเลสเห็นไหม การฆ่ากิเลสนี้มันเป็นคุณสมบัติอย่างสูงมาก เพราะการฆ่ากิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมามันสร้างศาสนทายาท มันทำให้ศาสนาเข้มแข็ง มันทำให้หลักชัย หลักจตุสดมภ์ หลักในศาสนานี้มั่นคง

นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านเองท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นช้างที่มีชีวิต ท่านสร้างสมบุญญาธิการ ท่านพยายามสร้างศาสนทายาทขึ้นมาเพื่อความส่งต่อ เพื่อให้พวกเรามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ให้พวกเรามีหลักมีเกณฑ์ ให้ครูบาอาจารย์คอยชี้แนะเรา ให้เป็นช้างเป็นๆ ให้เป็นสิ่งที่ว่ามันพลิกแพลง

ช้างมีชีวิตนะ มันหลบมันหลีก หลบหลีกพราน หลบหลีกโรคภัยไข้เจ็บ หลบหลีกทุกอย่างเพื่อให้มันเข้มแข็ง ให้มันแข็งแรง เพื่อให้ชีวิตมันมั่นคง สิ่งที่มั่นคงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันปฏิบัติขึ้นมา เวลาปัญญามันเกิดเห็นไหม พอปัญญามันเกิดก็พิจารณาซ้ำๆๆๆๆ ซ้ำขนาดไหน คำว่า “ซ้ำ” พอเราฟังแล้วเราก็เบื่อ “อะไร? ซ้ำอะไร? ทำมาเกือบเป็นเกือบเป็นเกือบตาย ยังต้องมาซ้ำอะไร?”

การซ้ำแต่ละหนแต่ละคราวนะ เทคนิควิธีการไม่เหมือนกันซักที่หนึ่ง เพราะกิเลสพอมันรู้ทันนะ มันจะสร้างกระบวนการในการพาให้เราเสียรังวัด ให้เราล้มลุกคลุกคลาน ซ้ำแต่ละหนนะ คำว่า “ซ้ำ” แต่การปฏิบัติของเรามันไม่ซ้ำ การปฏิบัติของเรากิเลสมันสดๆ ร้อนๆ หมดนะ ถ้ากิเลสมันสดๆ ร้อนๆ เราพิจารณาไปแล้วถ้ามันปล่อย นั่นคือกระบวนการของเรา มรรคญาณของเราสมบูรณ์เต็มที่

กิเลสมันสู้มรรค ผล ของเราไม่ได้ มันสู้มรรคสามัคคีของเราไม่ไหว มันสู้พลังงานปัญญาของเราไม่ได้ มันก็ปล่อยๆ การปล่อยแล้วพิจารณาซ้ำเข้าไปอีก มันก็เกิดเล่ห์เหลี่ยมแง่มุมของกิเลสที่มันพลิกแพลงมา แต่ละชั้นแต่ละตอนลึกลับซับซ้อนมาก

ถ้ามันลึกลับซับซ้อนเพราะอะไร? มันลึกลับซ้ำซ้อนเพราะมันเป็นงานในหัวใจไง ลึกลับซับซ้อนเพราะเป็นงานการรื้อภพรื้อชาติ ไม่ใช่งานที่เราทำทางวิชาการที่เราว่าลึกลับซับซ้อน แต่มันก็มีความลับที่เขาเก็บกันไว้ ความลับทางการค้า ความลับทางความมั่นคง ความลับมีทั้งนั้นนะ ความลับทางโลกเห็นไหม ลึกลับซับซ้อนอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะความลับนี้พอมัน ๒๐ ปี ๓๐ ปีมา ชั้นความลับมันก็เปิดมาเองนะ

แต่กิเลสนี้ความลับของกิเลส ความลับในหัวใจของเราไม่มีชั้นความลับ ไม่มีใครเคยมาเปิด ไม่มีทางเป็นไปได้ มีแต่กระบวนการของเราที่เราต้องมีความจริงขึ้นไป บุกเบิกเข้าไป แล้วมีปัญญาของเราพิจาณาซ้ำพิจารณาซาก ถึงที่สุดเวลามันขาดนะ กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง โลกนี้ราบหมด มันปล่อยหมด!

พอมันปล่อยหมดนะ กระบวนการการปล่อยของจิตแต่ละกระบวนการ เวลามันปล่อยนะมันก็มีความสุข มันมีความสุขแล้ว ถ้าจิตที่มันก็คึกคะนอง จิตที่มันมีอำนาจวาสนา ปล่อยแล้วยังเห็นนิมิต เห็นอะไรต่างๆ ที่มันเป็นของแถมด้วย แต่ถ้ามันไม่มีใช่ไหม เวลามันปล่อยขึ้นมา กระบวนการมันสิ้นสุดแล้วมันปล่อย

มันปล่อยก็คืออริยสัจ มันปล่อยก็คือมันปล่อยกิเลส มันเป็นตทังคปหาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุดมันขาด! ขาดเลย! พอขาดก็เป็นอย่างนี้ไง ฆ่ากิเลสอีกตัวหนึ่งแล้ว กิเลสตายต่อหน้าแล้ว พลิกศพกิเลสให้พิจารณาเลย เพราะว่ามันเป็นสมุจเฉทปหาน

การสมุจเฉทปหาน ปหานอะไร? ก็ปหานกิเลสไง ก็ปหานตามความเป็นจริงไง แล้วปหานแล้วมันเหลืออะไร? คนที่เหลือมันเหลืออะไรไว้ล่ะ จิตใจที่มันรู้มันเห็นมันเหลืออะไรไว้ ก็เหลือคุณธรรมในใจนะ ถ้าคุณธรรมในใจขึ้นมา นี่มันคืออะไรล่ะ

ชีวะ ชีวิต จิต ภพ นี่ไงสิ่งที่มีชีวิตทั้งนั้น จิตไม่เคยตาย..จิตไม่เคยตาย.. แล้วมันพัฒนาการเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันพิจารณาซ้ำอีกเห็นไหม พอพิจารณาเข้าไป มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้ว จากสติปัญญาเห็นไหม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค แล้วอนาคามิมรรคล่ะ? อนาคามิมรรคมันเป็นอย่างไร? ถ้าอนาคามิมรรคมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แล้วจิตที่มันจะไปจับกายอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างละเอียดมันจะจับอย่างไร? ก็กิเลสมันใช้อะไรเป็นการแสดงตัว กิเลสมันใช้อะไรแสดงออก กิเลสเป็นนามธรรม แล้วมันออกหากินอย่างไร มันมีกิเลสแล้วมันไปทำความเดือดร้อนให้ใคร กิเลสของใครมันก็ทำความเดือดร้อนให้กับดวงจิตดวงนั้น กิเลสในหัวใจของเรามันก็ทำให้หัวใจนี้เดือดร้อน เดือดร้อนเพราะอะไร? เดือดร้อนเพราะถ้าปฏิฆะ กามราคะ มันเกิดกามฉันทะ เพราะมันมีตัวมีตน เพราะมันมีมันนะ เพราะมันเลยมีกามนะ

มีกามแล้วเผาลนใจทำไม? เผาลนใจอย่างไร?

มันเผาลนใจเพราะมันเป็นกิเลสไง มันเป็นกิเลส มันเป็นพลังงาน พลังงานสกปรก แล้วเวลามันเกิดมหาสติมหาปัญญาขึ้นมา มันเกิดพลังงานสะอาดอย่างไร? ก็มันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือกิเลสมันสงบตัวลง มันเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา เพราะพอมันมาพิจารณากายมันก็เป็นอสุภะ

อสุภะเป็นอย่างไร? อสุภะเวลามันเยิ้ม เยิ้มออกมาจากไหน? ก็มันเยิ้มออกมาจากใจ พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาซ้ำพิจารณาซากขึ้นมา ความละเอียดลึกซึ้งของมัน มันเป็นอย่างไร? แล้วมันหลอกตลอด ปล่อยแล้ว..ขาดแล้ว..ดีแล้ว.. มันหลอกมาตลอด ล้มลุกคลุกคลาน

ในการปฏิบัตินะมันล้มลุกคลุกคลาน ขนาดที่ล้มลุกคลุกคลานยังไงก็สู้ สู้เพราะจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์คอยแนะคอยชี้นะ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มันก็ต้องดั้นด้นของเราไป การดั้นด้น ดูสิ การทำงานนะ ขนาดมีคนบอกคนชักนำแล้ว เรายังล้มลุกคลุกคลาน แล้วเรายังต้องดั้นด้นอีก

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครเป็นคนสอน? ไม่มี ดั้นด้นของท่านไปเอง เวลาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าต้องดั้นด้นของท่านไปเอง สาวก สาวกะ แม้แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระไตรปิฎกก็มีอยู่ หลวงปู่มั่นท่านมาปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลี เวลาท่านปรึกษาก็กลับไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ นี่ดั้นด้นโดยคนที่ไม่รู้ มันก็ดั้นด้นกันไปด้วยตาบอดคลำช้างไปทั้งนั้น

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง สมัยที่ว่าครูบาอาจารย์ของเราอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเป็นความจริง อ้าปากมาเถอะ อยู่ตรงไหนรู้หมด อ้าปากมามันรู้เท่าที่มันรู้นั่นแหละ มันพูดออกมาก็พูดออกมาจากที่มันรู้ เราจะพูดอะไรก็พูดจากจินตนาการ เป็นความรู้ของเราทั้งนั้นนะ มันไม่เกินไปนั่นหรอก ฉะนั้นพูดออกมารู้หมด

ถ้ารู้หมดแล้วท่านก็คอยบอกคอยประคอง คอยบอก คอยชี้แนะ คอยให้เราเจริญงอกงามขึ้นมา นี้ในคุณของอาจารย์นะเห็นไหม พ่อแม่ครูจารย์เลี้ยงหัวใจ แล้วถ้าเขาไม่มีใจ เพราะเขาเป็นช้างตาย เขาไม่มีใจ ไม่มีความรู้สึก เขาจะเอาอะไรมาสอนเรา? เขาจะเอาอะไรมาบอกเรา?

แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราท่านมีหัวใจ ท่านมีประสบการณ์ ท่านมีความรู้ของท่าน ท่านจะกระตุ้นเราเต็มที่เลย กระตุ้นแล้วคอยบอกด้วย แล้วพอบอกเราแล้วนะ เราเดินไป ดูสิ ถนนมีหลุมมีบ่อ เราเดินไปตกหลุมตกบ่อเด็ดขาด แต่เราไม่เห็นนะ เราไม่รู้ว่าที่ไหนมีหลุมที่ไหนมีบ่อ แล้วเราเดินไปนะเราจะตกหลุมล้มลุกคลุกคลาน กลับมาตัวเปรอะเปื้อนหมดเลย อาจารย์จะหัวเราะชอบใจเลยล่ะ เพราะท่านต้องการให้เรารู้ ท่านต้องการให้เรามีประสบการณ์ ถ้าเรามีประสบการณ์ ประสบการณ์นั้นมันจะสอนจิต เอ็งก็หลง เอ็งก็พลาด เอ็งก็ทุกข์ เอ็งก็ยาก

พอมันทุกข์ยากนะ เราก็พลิกแพลงๆ มันต้องพลิกแพลงมัน ต้องมีความขยันหมั่นเพียรขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วจะเห็นเลยนะ เห็นของมัน ถ้าไม่รู้ไม่เห็นแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ว่าเวลากามราคะมันกลืนเข้ามาที่ตัวมันเองอย่างไร

นี่ไง ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง มันเป็นเรื่องสิ่งที่จิตมันออกมาหาเหยื่อ หาเหยื่อจากรูปรสที่เราจับต้องได้ แต่เวลามันเป็นกามฉันทะ ความพอใจในตัวของมันแล้วมันต้องกลืนเข้าไปทำลายที่ตัวของมัน พอมันกลืนเข้าไปทำลายที่ตัวของมันเห็นไหม มันทำลายครื้น! ว่างหมดเลย! พอว่างมันเหลือเศษส่วน มันพิจารณาซ้ำๆๆ นะ มันจะทำลายตัวมันเป็นชั้นๆ เข้ามา ชั้นๆ เข้ามา จนถึงที่สุดไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีจริงๆ

ในเมื่อมีเรา มีหู มีตา มีสมอง มีความรู้สึกนึกคิด เราถึงจะมีความรู้สึกมา แล้วเวลาตัวมันเข้าไปถึงตัวมันแล้วทำลายตัวมันหมดแล้วมันเหลืออะไร นี่ไง มันจะเหลืออะไรล่ะ มันไม่มีสิ่งใดเหลือเลย แต่มันมีตัวรู้ของมันอยู่ มันมีเห็นไหม

ดูสิ เวลาเราเข้าไปถึงตัวมัน สักแต่ว่ารู้..สักแต่ว่ารู้.. แล้วสักแต่ว่ามันคืออะไร? มันสักแต่ว่า ต่อเมื่อเห็นไหม ในเสียงเห็นไหม เสียงนี้มันกระทบหูมันถึงเกิดขึ้น ทุกอย่างมีการกระทบมันถึงเกิดขึ้น แล้วนี่มันไม่กระทบกับใครเพราะมันเป็นจิตเดิมแท้ มันเป็นความผ่องใส ความเศร้าหมองอยู่ในใจของมัน มันเฉา มันเศร้าหมอง มันไม่มีอะไรไปกระทบ แล้วไม่มีสิ่งใดไปจับต้องมันได้

แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านวิกฤตมาทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนปัญจวัคคีย์ สอนยสะ สอนต่างๆ นะ ท่านมีเทคนิค ท่านรู้ของท่าน เราจะผ่านกระบวนการอย่างไร ถ้าไม่ถึงที่สุดเห็นไหม “เธอยังไม่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์” ถ้าพ้นจากบ่วงโลก แล้วบ่วงที่เป็นทิพย์มันอยู่ที่ไหน? ถ้ามันมีภพ มันมีจิต บ่วงมันก็คล้องได้

แต่ถ้ามันจะพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ อะไรมันจะพ้นล่ะ? ถ้ามันจะพ้นเห็นไหม มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้ามา ละเอียดลึกซึ้งเข้ามา ไม่มีครูบาอาจารย์นะ

นี่เขาว่าศาสนาเสื่อมๆ นี่ไม่เสื่อม! จิตใจคนมันเสื่อม จิตใจคนมันเข้าถึงไม่ได้ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาแล้วเห็นไหม ช้างเป็นเป็นๆ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น นี่ช้างเป็นๆ เลยล่ะ ไม่ใช่ช้างตาย ไอ้นี่เรามีชีวิตอยู่นะ เหมือนคนตายไง เพราะอะไร? เพราะหัวใจมันปิดหูปิดตาอยู่ มันตาย ตายจากธรรม แล้วอยู่กับตัวหนอน

แต่ถ้าครูบาอาจารย์เราช้างเป็นๆ แล้วงัดนะ งัดขึ้นมา จุดประกายขึ้นมา คอยกระตุ้นขึ้นมา พอกระตุ้นขึ้นมามันล้มลุกคลุกคลาน ดูสิ เด็กนะ เวลาของหนักมันยกไม่ขึ้น น่าสงสารไหม จิตใจของคนมันไม่มีอำนาจวาสนา มันหาตัวมันไม่เจอนะ มันหามันไม่ได้ หามันไม่เจอ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านกระตุ้นขนาดไหน ถ้าความสามารถเขาทวนกระแสกลับไม่ได้ ถ้าทวนกระแสกลับไม่ได้ ไม่เกิดอรหัตตมรรค

อรหัตตมรรคคือจิตที่มันย้อนทวนกระแสเข้ามา จิตมันเป็นมัธยัสถ์แล้วย้อนกลับเข้ามา การย้อนกลับเข้ามา ดูสิ ขนาดสิ่งที่เป็นนามธรรม เราจะจับต้องกันเรายังล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแต่ละชั้นแต่ละตอน มันก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ล้มลุกคลุกคลานนะ มรรคหยาบ มรรคละเอียด ละเอียดสุด ละเอียดขึ้นไปละเอียดจนเป็นญาณ เป็นญาณหยั่งรู้ ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดนะ ความรู้สึกนึกคิดนะมันเป็นปัญญา มันเป็นขันธ์ เป็นขันธ์นะ ขันธ์ ๕ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันเป็นขันธ์

แต่ความเป็นขันธ์มันเป็นเรื่องที่หยาบว่าขันธ์กับจิต ขันธ์ไม่ใช่จิต พอขันธ์ไม่ใช่จิต ขันธ์มันก็แก้ปัญหาในเรื่องของขันธ์ ในเรื่องของจิตส่งออกมานะ เสวยอารมณ์มาเป็นขันธ์มันส่งออกมา พอส่งออกมาสิ่งใดเราก็ใช้ปัญญาเข้าไปทำลายมันด้วยมรรคญาณมาตลอด

แต่พอมันทำลายขันธ์ออกมาหมดแล้วมันไม่มีขันธ์ ไม่มีขันธ์เห็นไหม จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตล้วนๆ เห็นไหม ปัจจยาการเห็นไหม เพราะฉะนั้นปัจจยาการ มันปัจจยาการอย่างไร แล้วพอปัจจยาการ อรหัตตมรรคจะย้อนเข้าไปปัจจยาการเข้าไปทำลายตัวมัน ทำลายอย่างไร? นี่ไง สิ่งที่เข้าไปทำลาย สิ่งที่ครูบาอาจารย์สำคัญๆ อย่างนี้

ฉะนั้นเวลาผู้ที่ปฏิบัติ ความกตัญญูกตเวทีกับอาจารย์นะ สุดยอด สุดยอด แล้วถ้าเป็นอาจารย์ล่ะ ถ้าเป็นอาจารย์ของเราจริง สิ่งที่เราปฏิบัติมา ถ้าอาจารย์เราไม่รู้ถึงจุดนี้หรือจุดที่เราผ่านมา จะเป็นอาจารย์เราได้ไหม? ถ้าเป็นอาจารย์เรา เราก็รู้สิว่าอาจารย์ของเรามีวุฒิภาวะแค่ไหน แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นไป เรายังล้มลุกคลุกคลานอยู่ แต่ครูบาอาจารย์ท่านยืนอยู่สูงกว่าเรานะ ท่านพยายามจะดึงเรา พยายามจะโน้มนำเราให้เราพ้นออกไป นั่นเป็นอาจารย์เราจริงหรือเปล่า

อาจารย์ของเราจริงท่านอยู่สูงกว่าเรา จิตใจท่านอยู่เหนือกว่าเรา จิตใจของท่าน ท่านส่งบ่วงลงมา ท่านส่งทุกอย่างลงมา จะดึงเราขึ้นไป..จะดึงเราขึ้นไป.. ไอ้เราจับต้องไม่ได้นี่สิ ไอ้เรานะจับผิดจับถูกจับต้องอะไรไม่ได้เลย แล้วว่า “ทำไมอาจารย์ไม่ช่วย ทำไมอาจารย์ไม่ช่วย” อาจารย์ท่านก็พยายามเต็มที่

ความพยายามเต็มที่นะ ศากยบุตรพุทธชิโนรส ครูบาอาจารย์ท่านต้องการศาสนทายาทเพื่อประโยชน์กับพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์ให้ใจดวงนั้นรู้ให้ได้ ถ้าใจดวงนั้นรู้ใจดวงนั้นเห็นให้ได้ พอใจดวงนั้นเห็นมันพึ่งตัวเองได้ แล้วจะเป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับโลก เป็นศาสนทายาทเพื่อประโยชน์กับสังคม

ครูบาอาจารย์จะช่วยเต็มที่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของเรา อยู่ที่ความจริงจังของเรา อยู่ที่ความมุมานะ อยู่ที่ความบากบั่นของเรา ถ้ามีความมุมานะความบากบั่นของเราเห็นไหม? ความบากบั่นที่ไหน? ความบากบั่นนั่งสมาธิ ความบากบั่นจากภายใน ไม่ใช่ความบากบั่นจากภายนอกนะ

งานภายนอก งานอาบเหงื่อต่างน้ำใครก็ช่วยเหลือได้ เจ็บไข้ได้ป่วยยังไปหาหมอได้ แต่ธรรมโอสถสิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่มีคุณธรรม มันต้องใจดวงนั้น

ถ้าใจดวงนั้นมีสติมีปัญญามีสติปัญญา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีสติปัญญาจนละเอียดลึกซึ้งเป็นญาณหยั่งรู้เข้าไปสู่ตัวจิต พอจับตัวจิตได้เห็นไหม เวลาปัญญามันเกิดเป็นความซับเป็นความซึม ซับซึมของมันเห็นไหม เป็นความซับเป็นมัธยัสถ์ของมัน เพราะจิตมันเข้ากระบวนการของมัน ตัวเองทำลายตัวเอง

ตัวเองทำลายตัวเองเห็นไหม ตัวเองต้องทำลายภพ ทำลายความผ่องใส ความเศร้าหมอง ความอาลัยอาวรณ์ เวลาทุกข์ ทุกข์หยาบๆ เห็นไหม ทุกข์อย่างที่ว่าเรามีโทสะ โมหะ มีความทุกข์

แต่นี่ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์อย่างนี้มันแค่ความเฉา อาลัยอาวรณ์เห็นไหม นี่ผัสสะ พรหมขันธ์เดียว ถ้าถึงที่สุดไม่ได้นี่สุธาวาท ๕ ชั้น ถ้าทำลายตรงนี้ได้ ทำลายตรงนี้ได้เห็นไหม ทำลายได้ ทำลายได้ด้วยคุณธรรม ด้วยที่เราเกิดมาพบพุทธศาสนากึ่งพุทธกาล ทำลายได้เพราะเรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นผู้บุกเบิกไปก่อน แล้วพอบุกเบิกไปแล้วท่านได้สั่งได้สอน ได้พยายามสร้างคุณงามความดี มีศาสนทายาทมาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงของเราขึ้นมา เป็นความจริงของเราขึ้นมานะ ความจริงที่มันเกิดจากสิ่งที่มันเป็นภวาสวะ มันเป็นภพที่ย้อนเข้ามาเป็นทรัพย์ความจริง จนเป็นมัธยัสถ์ทำลายตัวมันหมดนะ สัมปยุตเข้าไป จะทำลายเข้าไป วิปปยุตคลายออก

อรหัตตมรรค อรหัตตผล นิพพาน ๑ มันเป็นอย่างไร? การกระทำสิ่งที่เป็นภพ ภวาสวะ ทำลายจุดและต่อม ทำลายกระบวนการของมัน พอทำลายแล้วมันเหลืออะไร? สิ่งที่เหลือคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข สิ่งที่เหลือเห็นไหม? สิ่งที่เหลือคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุข แล้ววางธรรมไว้ให้กับพวกเรา

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะจุติลงมา พระมารดาฝันว่าได้ช้างเผือกมา แล้วท่านก็สร้างตัวของท่าน จนเป็นสิ่งที่ว่าช้างเป็นพาหนะใหญ่ เป็นผู้บุกเบิก วางธรรมและวินัยไว้มั่นคงแข็งแรง

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นผู้บุกเบิก ท่านเป็นช้างที่มีชีวิต เป็นผู้แบกรับภาระข้อวัตรปฏิบัติของเรากันมาจนถึงในปัจจุบันนี้ ในโอกาสปัจจุบัน ในโอกาสของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราเจอช้างที่มีชีวิต ช้างที่เป็นคุณธรรมขึ้นมา ก็จะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา

แต่ถ้าเราไปเจอช้างตายทั้งตัวแล้วเอาใบบัวมาปิดนะ มันจะเป็นรูปแบบ มันจะเป็นกลิ่นเหม็น มันจะเป็นความขจรขจายของมันไป มันอยู่ที่เราจะเลือก และเราจะห่วงใยผลของวัฏฏะที่เราเกิดเป็นมนุษย์นี้ ผลของวัฏฏะนะเกิดจากเวรจากกรรม แล้วมันก็เกิดจากวุฒิภาวะ ถ้าวุฒิภาวะนี้มีสติ มันก็จะแยกแยะ สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร

ผลของวัฏฏะ มันเป็นเวรเป็นกรรม มันต้องเกิดมาเจอกันทั้งนั้นนะ แต่ใครถึงที่สุดไม่ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้วนะ ไม่มีร่องรอย..ไม่มีร่องรอย.. มารไม่เห็นร่องรอย แต่ถ้ามันไม่ถึงที่สุด หรือเป็นช้างตายทั้งตัว ไม่ต้องให้มารมันเห็น กลิ่นมันฟ้อง กลิ่นมันบอก แต่ถ้าถึงที่สุด แม้แต่มารยังไม่เห็นร่องรอย

ฉะนั้นเราจะประพฤติปฏิบัติเราต้องตั้งสติ เพราะเป็นผลประโยชน์ของเราเอง ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ของคนอื่น เป็นผลประโยชน์ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เอวัง