เทศน์บนศาลา

ธรรมจะสาบสูญ

๑ มิ.ย. ๒๕๕๔

 

เรื่องธรรมจะสาบสูญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลาวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะกลางสายฝนเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ เวลาอยู่ป่าอยู่เขา เวลาฝนมันตก ฝนตกแดดออกขนาดไหนเห็นไหม ถ้าเราธุดงค์ไป เราเจอสภาพแบบนี้ แล้วเป็นกลางคืนแบบนี้เราจะหลบหลีกอย่างไร กลางคืนนะ ในป่าในเขา เราจะลุกเดินไปไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าที่ไหนมันเป็นเหวลึก เราจะต้องผจญกับมัน

แต่ถ้าเป็นกลางวันเราไป เราจะหาที่หลบของเรา เวลาจะออกธุดงค์เห็นไหม เขาจะดูว่าเดือนไหนฝนมันจะตกไง เราจะไปก่อนนั้น แล้วถ้าไปแล้วต้องมีน้ำที่ขังพอประมาณอยู่ในป่าด้วย เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตได้ เราต้องการอาศัยใช้น้ำ

แต่ถ้ามันเป็นฝนตก มันเป็นสิ่งที่น้ำมามากเกินไป มันก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร เป็นโทษทั้งนั้น สิ่งใดถ้ามันเป็นความพอดีนะ มันเป็นประโยชน์ สิ่งใดถ้าเกินความพอดีมันเป็นโทษหมดเลย ความเป็นโทษเห็นไหม โทษนั้นเกิดจากอะไรล่ะ โทษนั้นเกิดจากมันไม่เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยไว้เพื่อประโยชน์กับเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ เป็นประโยชน์มาก แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็อยากจะพ้นทุกข์เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้นะ ยมกปาฏิหาริย์เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงฤทธิ์แก่ลัทธิศาสนาต่างๆ ฤทธิ์ทางใจไง ฤทธิ์ทางใจนี้มี แล้วฤทธิ์ทางใจมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อยู่ที่จิต จิตที่มีอำนาจวาสนามันจะมีฤทธิ์มีเดชของมัน แล้วฤทธิ์เดชอันนั้นมันจะเป็นโทษนะ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะมีอาการต่างๆ มันจะมีความรับรู้ นั่นฤทธิ์ทางใจ

ฤทธิ์ทางใจไม่ใช่มรรค ถ้าเป็นมรรคนะ จิตมันจะสงบ เราทำความสงบของใจใช่ไหม ใจมันจะสงบเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เวลาเราออกวิปัสสนาเห็นไหม “สมถวิปัสสนา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้เป็นอริยสัจ “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” มรรคญาณ มรรคคือการกระทำของใจ

ฤทธิ์ทางใจมันเป็นเหมือนเวลาเราทำความสงบของใจเห็นไหม แล้วจิตมันสงบ มันรู้มันเห็นอะไรต่างๆ ของมัน ฤทธิ์ทางใจก็เหมือนกัน ฤทธิ์ทางใจของคนแต่ละคนถ้าจิตมันสงบแล้วมันเที่ยวออกรู้ต่างๆ นั่นคือฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ทางใจมันเป็นสิ่งที่สะสมมา มันมีได้ เจริญได้ และเสื่อมได้

แต่เวลาเรามีฤทธิ์ทางใจขึ้นมา เราว่าฤทธิ์ทางใจนั้นเป็นประโยชน์ไง เพราะมันแตกต่างกับโลกทั่วไป โลกทั่วไปเขาไม่มี พอเรามีเราก็ถือตัวถือตน ความถือตัวถือตนเห็นไหม นี่ความยึดมั่นถือมั่นของเรา สิ่งนี้มันทำให้เราหลงใหลได้ ความหลงใหลเห็นไหม นี่ไงที่พูดถึงว่า ความสาบสูญของธรรมมันจะสาบสูญไปต่อเมื่อเราเดินไม่ถูกทาง

ความสาบสูญนะ ความจริงความสาบสูญของคน ดูสิเวลาคนจะสาบสูญเห็นไหม คนหาย เขาต้องมีเวลา ๕ ปี แล้วร้องศาลว่าเป็นผู้สาบสูญ ถ้าศาลสั่งแล้วนะ เราถึงจะทำนิติกรรมของคนที่สาบสูญนั้นได้ นี่พูดถึงความสาบสูญของคนนะ

แต่ถ้าความสาบสูญของคุณงามความดีของเรามันจะสาบสูญไปไหนล่ะ มันสาบสูญไปจากการกระทำของเรา สาบสูญไปกับความเห็นผิดของเรา มันถึงว่าธรรมะมันจะสาบสูญไปเลยถ้าเราติด ถ้าเราไปติดฤทธิ์ทางใจ ติดสิ่งที่มันเป็นความมหัศจรรย์ของใจ สิ่งนี้มันมีของมันอยู่

ในสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านแสดงของท่าน ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้ว ใจถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม มันลดมันละ มันคลายด้วยทิฐิมานะออกไป เวลามันคลายมันคลายของมันด้วยอะไร ด้วยอริยสัจ ด้วยสัจจะความจริง พอสัจจะความจริงมันทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปแล้ว พอจิตมันไม่มีกิเลสไง แล้วถ้ามันจะมีฤทธิ์ทางใจอันนั้นมันเป็นประโยชน์นะ ประโยชน์เพราะว่าจิตใจนี้มันไม่ติดไม่ข้อง จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องมือเครื่องใช้สอยของจิต

ถ้าจิตมันเห็นว่าเป็นเครื่องมือเครื่องใช้สอยของจิต สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ขึ้นมาเลย มันจะเป็นประโยชน์เพราะอะไร เป็นประโยชน์เพราะมันมีคุณธรรมในหัวใจไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณธรรมในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเผยแผ่ธรรมขึ้นมา ถ้ามันเป็นประโยชน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกระทำทันที ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อปราบพยศของเจ้าลัทธิต่างๆ ทำเพื่อปราบพยศที่เข้ามาลบหลู่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันคืออะไรล่ะ สิ่งที่จะเกิดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเกิดขึ้นมาด้วยมรรคญาณ ด้วยสัจธรรม ด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ทางใจอย่างนั้น เพราะฤาษีชีไพรเขาก็ทำได้ คนเราถ้ามีฤทธิ์มีเดช มันทำของมัน อย่างนี้เป็นเรื่องความลึกลับมหัศจรรย์นะ แต่เพราะอย่างนี้มันทำให้คนนั้นห่างเหินจากธรรม ถ้าจิตของเขามีกิเลส ถ้าจิตของเขามีกิเลส ความยึดมั่นถือมั่นมันเป็นทิฐิมานะ

ถ้ามีทิฐิมานะมันจะฟังใคร มันไม่ฟังใครหรอก แต่ถ้ามันไม่มีทิฐิมานะ แล้วทำไมมันถึงไม่มีทิฐิมานะล่ะ มันต้องมีคุณธรรมในหัวใจใช่ไหม ต้องมีสติ ต้องมีปัญญา ต้องเห็นถูกเห็นผิด ควรและไม่ควร เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเรามีกิเลสอยู่ มันไม่รู้จักหรอกว่ามันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ มันคิดยึดมั่นถือมั่นไปหมดว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีเพราะ เพราะเป็นนามธรรม แล้วสิ่งที่มันรู้ มันรู้ในสิ่งที่โลกเขาไม่รู้ มันรู้สิ่งต่างๆ สิ่งลึกลับมหัศจรรย์ ในความรู้ความเห็นของใจของบุคคลอื่น แต่คนอื่นเขาไม่รู้ตัวของเขา แต่เราไปรู้ของเขาเห็นไหม

สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ไหม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว มันเป็นเครื่องมือใช้สอยเพื่อประโยชน์เห็นไหม ถ้าเป็นประโยชน์ ประโยชน์เพื่ออะไร ประโยชน์เพื่อเตือนสติ เพื่อบอกกล่าวเขา ให้เขาเข้าสู่เส้นทางแห่งมรรคผลนิพพาน ให้เข้าสู่สัจธรรม เห็นไหมมันเป็นเครื่องมือได้

แต่ถ้าเพราะเขาไม่มีคุณธรรมในหัวใจ ในเมื่อเขาไม่มีคุณธรรมในหัวใจ แต่เขาฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ทางใจนั้นเขาจะทำประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่มีคุณธรรมในหัวใจ ในเมื่อเขาไม่มีคุณธรรมในหัวใจนั้น มันก็เป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคานเห็นไหม มันเลยกลายเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม แต่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจเห็นไหม สิ่งนี้เป็นประโยชน์หมด มันเป็นเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องอาศัย สำหรับชี้แนวทางให้เข้ามาสู่สัจธรรมอันนี้ได้

นี่ไง ถ้าพูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้ว การกระทำนี้มันต้องทำ คนที่มีประโยชน์ คนที่ใจเป็นธรรม สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ แต่ใจที่มันยังไม่เป็นธรรม มันเป็นโทษนะ คำว่าเป็นโทษ เวลาสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ เราเป็นชาวพุทธนะ วันนี้วันพระ เราจะมาประพฤติปฏิบัติกันด้วยความรื่นเริงอาจหาญ ด้วยความรื่นเริงไง รื่นเริงในอะไร รื่นเริงเพราะหัวใจของเรามันมีเป้าหมาย

เรามีเป้าหมายนะ มีเส้นทางเดินของใจ เส้นทางเดินเห็นไหม เวลาเส้นทางเดิน มรรคญาณทางเอกมรรคโค เส้นทางที่เราจะก้าวเดินไป สัมมาชีวะของทางโลกเขา เขายังต้องหาเลี้ยงชีพเขาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเขาด้วยบุญกุศล เพื่อให้เขาอยู่ในโลกด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

เราอยู่ในโลก เราเกิดมากับโลก แต่เราเห็น เราเกิดมาในกึ่งพุทธกาลที่ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเรา ให้จิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ ให้มันได้สัมผัสด้วยความรื่นเริงอาจหาญในธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาสมัยพุทธกาล แล้วเผยแผ่ธรรมมาเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่เผยแผ่ไปกว้างไกลมาก มันเกิดในสิ่งมหัศจรรย์ เกิดในศิลปวัฒนธรรม ในการบูชาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความศรัทธาของพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกนี้มหาศาลเลย

แล้วถึงยุคถึงคราวมันเปลี่ยนแปลงเห็นไหม มันเปลี่ยนแปลงไป มันเสื่อมสภาพไปจนสาบสูญไป ดูสิอินเดียสมัยก่อนหน้านั้น พุทธศาสนาไม่มีเลย ในปากีสถาน ในอัฟกานิสถาน สิ่งที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก ดูสิศิลปวัฒนธรรมที่เราได้เห็นได้เสพความสวยงามเห็นไหม มันเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน แล้วมันสาบสูญไปได้อย่างไรล่ะ มันสาบสูญจนหมดสิ้นไปนะ

แต่ขณะที่ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชเผยแผ่ธรรมมาเห็นไหม สุวรรณภูมิ เผยแผ่ธรรมไป ๘ เส้นทาง มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่เขายังรักษาอยู่ มันยังคงอยู่ได้ เราเองเห็นไหมในสุวรรณภูมิ ในชมพูทวีป ในที่ต่างๆ ที่มันได้สะสมตกผลึกมา เห็นไหม สิ่งที่สาบสูญมันสาบสูญไปเป็นกาลเป็นเวลา สิ่งที่มันเจริญรุ่งเรือง มันเจริญรุ่งเองมาเห็นไหม

อยู่ที่โลกมันเปลี่ยนแปลง โลกนี้มันอจินไตย มันเป็นอนิจจังในตัวของมันเอง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเป็นอจินไตยมันอยู่ของมันอย่างนี้ ดูสิอนาคตกาล พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อยู่ข้างหน้า อนาคตก็ยังจะมีมาอีก ดูความมหัศจรรย์ของจิตสิ จิตนี้มันเป็นความมหัศจรรย์นะ มันเวียนตายเวียนเกิด “ผลของวัฏฏะ”

แล้วในปัจจุบันเราต้องถือปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเราเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม แล้วมาเกิดในพุทธศาสนา แล้วเกิดความเชื่อความศรัทธา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในพุทธศาสนา แต่ไม่เกิดความเชื่อ ไม่มีการศรัทธาเห็นไหม เขาก็ใช้ชีวิตมนุษย์ของเขา เขาใช้ชีวิตของเขานะ ลุ่มๆ ดอนๆ ปากกัดตีนถีบ มีสุขมีทุกข์ในหัวใจ มันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป แต่เราก็ยังกล้ำกลืนไปกับชีวิตของเราเห็นไหม

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เราจะสลัด สลัดว่าสิ่งนั้นมันเป็นเครื่องอาศัย เห็นไหมจริงตามสมมุติ ชีวิตนี้ก็จริงตามสมมุติ โลกนี้เป็นจริงตามสมมุติ สมมุตินี้มันมีค่า เวลารัฐบาลเขาบัญญัติกฎหมาย สิ่งใดเขาใช้เป็นประโยชน์มันเป็นประโยชน์ ถ้าเขายกเลิกมันก็จบ มันจริงตามสมมุติทั้งนั้น มันมีความจริงของมัน เราจะปฏิเสธไม่ได้หรอก เราอยู่กับโลกเราเกิดมาเป็นโลกนะ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สังคมต้องมีกติกา ต้องมีอะไรต่างๆ เพื่อให้สังคมนั้นร่มเย็นเป็นสุข ฉะนั้นเราปฏิเสธสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าเราปฏิเสธสิ่งนั้น แต่เราก็ไม่ทำสิ่งที่มันเหนือกว่านั้นเห็นไหม แต่เราจะทำใจของเรา เรามีความเชื่อ เรามีศรัทธาของเรา เราจะทำใจของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา ถ้าเราดูแลหัวใจของเราเห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะมาปฏิบัติกันด้วยความรื่นเริง ด้วยความอาจหาญ ด้วยความมีคุณธรรมในใจ

ถ้ามีคุณธรรมเห็นไหม เราตั้งใจของเรา เวลาเราหาบเหงื่อต่างน้ำทำหน้าที่การงาน เรายังทำของเราได้ นั่นนะทำมาเพื่อเลี้ยงปากเห็นไหม แต่เวลาเราทำคุณธรรมขึ้นมาเพื่อจะเลี้ยงหัวใจของเรา มันมีคุณค่ามากกว่า ดูสิคำว่าคุณค่ามากกว่านะ เวลามันเป็นสุขอันละเอียด เวลาสุขเวทนาทุกขเวทนาเรารับรู้ได้ แต่เวลาสุขเห็นไหม สุขในตัวของมันที่มันจะมีความสุขของมัน แล้วแสวงหาสิ่งนี้อยู่ เพราะสุขอย่างนี้มันไม่มีใครทำให้มันกระเพื่อมได้ ไม่มีใครทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้ เราถึงแสวงหาสิ่งนี้กัน

มันเป็นไปได้ไง ไม่อย่างนั้นเราไม่มีที่พึ่งนะ เราอยู่กับความเปลี่ยนแปลง อยู่กับโลกที่เป็นอนิจจังมันจะหมุนของมันไปอย่างนี้ เห็นไหมดูสิ คนเราเกิดมาแล้วต้องชราคร่ำคร่า “ชาติปิ ทุกขา” ชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เกิดมาแล้วได้ภพได้ชาติมา เราควรเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด แล้วเป็นประโยชน์มั่นคง ประโยชน์ที่ไหน? ดูสิเวลาเงินเห็นไหม เวลาเงินเฟ้อ เงินเขายกเลิกใช้ เงินนั้นมันไม่มีค่าใดๆ เลย

สมบัติทางโลกมันเป็นยุคเป็นสมัย เขาเห็นสิ่งใดที่มีคุณค่า สิ่งนั้นก็มีราคาขึ้นมา พอเขาเลิกใช้มันไม่มีค่าขึ้นมาเลย เห็นไหมสิ่งอย่างนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึกของเรา มันให้ค่ากับเราไม่ได้

ใครจะให้ค่า ใครจะตัดทอนความรู้สึกเราไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นความสุขความทุกข์ กฎหมายจะบังคับให้เรามีความสุขไม่ได้ สังคมจะบอกให้เราเป็นคนดีแล้วจะให้มีความสุข มันก็เป็นไปไม่ได้!

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เราจะทำสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์กับเราได้ ถ้าเป็นประโยชน์กับเราได้เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติของเราจะไม่สาบสูญไง ธรรมะมันจะสาบสูญต่อเมื่อเราไม่มีสติไม่มีปัญญา แล้วการประพฤติปฏิบัติเราเอาแต่สุกเอาเผากิน เราเอาแต่ได้ของเรา

แล้วบอกว่า “มันจะเป็นธรรม มันจะเป็นธรรม”

มันจะเป็นธรรมมาจากไหน? มันไม่มีเหตุมีผลมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร

สิ่งที่เป็นธรรมเห็นไหม ดูสิ เขาทำธุรกิจกัน เขาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เขาต้องมีสินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนกันนะ มันถึงจะเป็นธุรกิจขึ้นมาได้ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะทำอะไร ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ให้มันมีเหตุมีผลของมันขึ้นมา ถ้ามันมีเหตุมีผลขึ้นมา มันก็จะไม่สาบสูญไง

ดูนะ อย่างชมพูทวีปอย่างอะไรต่างๆ ธรรมะสาบสูญไปเพราะอะไรล่ะ ธรรมะสาบสูญไปเพราะมันถึงยุคถึงคราว สิ่งต่างๆ เห็นไหม มันมีการเปลี่ยนแปลงในการปกครองต่างๆ มันก็กลืนกินไปจนหมดเห็นไหม

การสาบสูญอย่างนั้นมันเป็นการสาบสูญแบบวัตถุ การสาบสูญแบบโลก แต่ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยมา สองพันกว่าปี สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปเห็นไหม ดูสิ พระติสสะที่เป็นอาจารย์ของพระเจ้าอโศกเห็นไหม นั่นก็พระอรหันต์ แล้วมีฤทธิ์มีเดช มีความรู้ จัดการได้ เพราะสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเผยแผ่ธรรมนะ พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย มีแต่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร นี่ไง มันไม่สาบสูญ มันเป็นความจริง มันมีเหตุมีผลขึ้นมา เพราะเขาทำกันจริงจัง

เขาทำเขาจริงเขาจัง แล้วมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าใช่และไม่ใช่ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ต่างก็ว่าสำเร็จมรรคผลนิพพาน นี่ไง พระอรหันต์นกหวีดก็มี แม้มีแต่พระอรหันต์เห็นไหม ดูความเข้าใจผิดในสมัยพุทธกาล ว่าเป็นพระอรหันต์จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระไปดักหน้าไว้ บอกไม่ต้องเข้ามา ให้เข้าไปเที่ยวป่าช้าเลย พอเขาเข้าป่าช้าไป ไปพิจารณาซากศพ อสุภะต่างๆ เห็นไหม จิตใจเขาหวั่นไหว เขารู้ตัวเขาเลยว่าเขาไม่ใช่พระอรหันต์เห็นไหม นี่ไง เวลาการปฏิบัติของเรา ถ้ามันสาบสูญ สาบสูญเพราะอะไร

ธรรมะจะสาบสูญจากหัวใจของเรา ถ้าสติปัญญาของเราไม่เป็นความจริง

ถ้าเราทำของเราด้วยการสุกเอาเผากินเห็นไหม ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่นะ แล้วเวลาจะมาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่าให้พระไปดักหน้า แล้วให้แวะเข้าไปในป่าช้า ไม่ต้องมาเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขารู้ตัวของเขาขึ้นมาตามความเป็นจริงเพราะอะไร เพราะมันสาบสูญจากธรรม มันไม่มีคุณธรรมในหัวใจ มันไม่เป็นความจริง

ฉะนั้นสิ่งที่มันจะเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ พระอรหันต์มหาศาล คำว่าเป็นพระอรหันต์ คุณธรรมมันเป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์อ่อนน้อมถ่อมตน เพราะสิ่งที่การกระทำไป ทิฐิมานะ มันกระเพื่อม จิตเสวยอารมณ์ จิตกระเพื่อม จิตอะไรต่างๆ มันเป็นภาระไปหมด

แต่ถ้าจิตมันเข้ามาสู่ธรรมธาตุ จบ! ถ้ามันจบ พระอรหันต์กับพระอรหันต์เขารู้กัน นี่ไงคุณธรรมที่มีเต็มหัวใจ ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติมันเป็นยุคคราวสมัยมาเห็นไหม อยู่ที่การเวียนตายเวียนเกิด การตายการเกิดของจิตวิญญาณของสัตว์โลก เวลาเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเรียกว่า “สหชาติ”

การเกิดร่วมสหชาตินะ แม้แต่นางพิมพาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ นางพิมพาปรารถนาเป็นคู่เลย ดูสิดูพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ปรารถนาเป็นพระอัครสาวก คำว่า “ปรารถนา” คือต้องมีการกระทำ พวกเรานี่เป็นสาวก สาวกะ ผู้ที่เป็นเอตทัคคะ แต่ละองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งมาเป็นเอตทัคคะ ผู้ที่เป็นเลิศ ดูสิ พระสิวะลีอย่างนี้ พระกัสสปะ เลิศคนละทางมา

คำว่าเลิศเห็นไหม คำว่าเลิศมันต้องมีคุณสมบัติ “คุณสมบัติของใจ” การที่จะเป็นเลิศ เรามีความถนัด นี่ไงจิตใจที่ว่า ฤทธิ์ทางใจ ของเขาเขาสร้างของเขามา เขามีเป้าหมายของเขา เขามีความปรารถนาของเขา เขาดูดดื่มของเขา เขาทำของเขาด้วยความเข้มแข็งของเขา แล้วเวลาเราก็อยากได้ อยากได้แต่ความคิด เห็นแต่ว่าเขาเป็น ก็อยากเป็นตามเขา แล้วเป็นตามเขา ทำตามให้ครบสูตรแล้วเป็นตามเขา มันจะเป็นตามเขาได้อย่างไร มันไม่เป็นความจริง

นี่ไงคำว่า “ธรรมจะสาบสูญ” จะสาบสูญจากเราทำให้มันสาบสูญ แต่ถ้าเราทำความจริงนะ จิตใจของคนที่สาบสูญ จิตใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันไม่เป็นความจริง คำว่าสาบสูญนะ พอมันสาบสูญไป สิ่งที่จะงอกงามมันก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูสิในกรรมฐานเรา ธรรมะในจิตใจ ถ้ามันสาบสูญจากใจ แล้วมันมีแต่กิเลส มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ขี่หลังเสือ ขี่หลังเสือเพราะอะไรล่ะ ขี่หลังเสือเพราะเราอยู่ในหมูคณะ เราอยู่ในสังคมด้วยกัน มันมีความเคารพ มีความศรัทธา มีความเชื่อถือกันในหมู่คณะกันมา

นี่ไงสิ่งที่แสดงออกมามันก็แสดงออกมาด้วยหน้าฉาก หลังฉากนะมันเป็นเสือ มันเป็นเสือ เป็นสิงห์ มันเป็นสิ่งอย่างนี้เพราะมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะอะไร เพราะธรรมะมันสาบสูญจากใจ

ถ้าธรรมะมันสาบสูญจากใจนะ มันเกิดจากทิฐิมานะ มันเกิดจากความเร่าร้อนในหัวใจนะ ถ้าเราจะไม่ให้มันเกิดความเร่าร้อนในหัวใจเห็นไหม เรียกศีลเรียกธรรมกลับมาในใจ ถ้ามันมีศีลมีธรรมกลับมาในใจเห็นไหม นี่มันเกิดมาจากที่นี่ ธรรมะจะไม่สาบสูญต่อเมื่อเราทำตามความเป็นจริง สติก็ต้องเป็นสติจริงๆ สมาธิก็ต้องเป็นสมาธิจริงๆ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะเข้ามาชำระล้างไง มันจะเข้ามาชำระล้างหัวใจ

ถ้ามันเข้ามาชำระล้างหัวใจ ดูสิ เวลาเราทำความสงบของใจ คนที่เริ่มภาวนาเห็นไหม เรามีครูมีอาจารย์นะ ในสมัยปัจจุบันมีหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้บุกเบิกมา หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ดูสิสมัยพุทธกาลผู้เป็นประธานในการประพฤติปฏิบัติพระอรหันต์เต็มไปหมด ดูสิดูอย่างโปธิละ มีการศึกษามีลูกศิษย์ตั้ง ๕๐๐ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โปธิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ” จนท่านมีสติได้ยั้งคิด ออกทิ้งเลย ทิ้งที่เขาเป็นอาจารย์ ทิ้งหมู่คณะที่เขาเยินยออยู่เห็นไหม ไปอีกสำนักปฏิบัติ เข้าไปนี่พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่สามเณรขึ้นไป

ไปหาเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสบอก “เราจะสอนได้อย่างไร เพราะเราเป็นพระปฏิบัติ” เรามีคุณธรรม ไม่ใช่ธรรมะที่สาบสูญ สาบสูญมีแต่ชื่อ มันมีแต่ชื่อมันมีแต่เกียรติศักดิ์ นี่ขี่หลังเสือ

มีลูกศิษย์ลูกหาตั้ง ๕๐๐ พูดธรรมะมีคนเชื่อฟัง แล้วรื่นหูมากเลยเพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าจะเป็นไปได้ ถึงได้เตือนสติไง “ใบลานเปล่า” ความรู้เปล่าๆ ความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ ความรู้คือธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เผยแผ่อยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นประธานอยู่ ก็สัญญา จำข้อมูลมาแล้วก็พูดตามเห็นไหม มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ!

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมและวินัย เป็นปริยัติ เป็นสัญญา เป็นการศึกษา ถ้าเราไปปฏิบัติต่อ เพราะว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปริยัติให้ศึกษา ศึกษาแล้วให้ปฏิบัติ แล้วธรรมมันจะไม่สาบสูญ สูญเปล่าจากหัวใจ ฉะนั้นเวลาศึกษามาจนมีลูกศิษย์ ๕๐๐ เห็นไหม จนพูดอย่างไรใครก็ฟัง นี่ไง มันจะขี่หลังเสือนะ เพราะในสมัยพุทธกาลมีเยอะมาก

ในพระไตรปิฎกเห็นไหม มีผู้ชำนาญการเผยแผ่ธรรม พอเผยแผ่ธรรมไปเริ่มบ่อยครั้งเข้าๆ ก็เอาความเห็นของตัวบวกเข้าไปๆ คนก็เชื่อถือ ฟังครั้งแรกก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอเห็นมีคนเชื่อถือมาก พอคนเชื่อถือมากก็เอาความเห็นของตัวใส่เข้าไป เพราะมันไม่เป็นความจริงไง เพราะไม่เป็นความจริงเวลาตายไปตกนรกอเวจีนะ สุดท้ายแล้วพ้นขึ้นจากนรกอเวจีขึ้นมา เพราะกล่าวดูถูกพุทธพจน์ ทำลายธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ได้เผยแผ่ธรรมนะ สุดท้ายมาเกิดเป็นปลาตะเพียนทองคำ แล้วชาวประมงเขาไปจับได้ พอจับได้มันเป็นทองคำหมดเห็นไหม

เพราะสมัยพุทธกาลสังคมมันแคบ ฉะนั้นเอาไว้ไม่ได้ ต้องไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร เอาไปถวายพระเจ้าพิมพิสารไปอยู่ในท้องพระโรงนะ พออยู่ในท้องพระโรง เวลามันอ้าปากขึ้นมาขึ้นมาเหม็นไปทั้งท้องพระโรงเลย แต่เกล็ดมันเป็นทองนะ ปลาตะเพียนน่ะ

พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน พระเจ้าพิมพิสารบอกว่า “สิ่งนี้ใครรู้ไม่ได้ ต้องไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ตั้งแต่อดีตชาติตั้งแต่คราวก่อนเขาเคยบวชในพุทธศาสนา” เวลาแสดงธรรมเห็นไหม แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ด้วยมีกิเลสมีทิฐิมานะ เวลาเห็นคนเขาเชื่อถือศรัทธา ก็พูดโดยความเห็นตัวบวกเข้าไป นี่ไปกล่าวตู่ เวลาตายไปตกนรกอเวจีนะ

แต่เพราะว่าเขาบวชเป็นพระนะ แล้วเขาแสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ดูสิ ดูผ้าไตรเห็นไหม ธงชัยพระอรหันต์ การบวชเป็นพระถ้าทำคุณงามความดีไง นี่ขนาดว่าทำขนาดนี้นะ มันทำทั้งดีและทำทั้งทิฐิมานะด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาเกิดมาเกล็ดที่เป็นทองคำ

นี่พูดถึงเวลาถ้ามันสูญเปล่า ถ้าธรรมมันสูญจากหัวใจ ธรรมจะสูญสิ้นไปจากใจ มันจะเกิดแต่ทิฐิมานะ จะเกิดแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะเกิดเจ้าเล่ห์แสนงอนในใจของมันเห็นไหม พระโปธิละก็เหมือนกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นประโยชน์ ถึงบอกว่า “ใบลานเปล่าๆ” ถ้าใบลานเปล่าแต่เขามีสติ ไม่บวกความรู้ความเห็นของเขา ทิฐิมานะของเขา เขาปล่อยวางของเขาได้เห็นไหม ทิ้งเลย ทิ้งหมู่คณะไปวัดที่ปฏิบัติ ทีนี้ไปวัดที่ปฏิบัติ ไปหาเจ้าอาวาส พระอรหันต์ตั้งแต่เจ้าอาวาสจนสามเณรน้อย

สมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน พระอรหันต์มหาศาล! แล้วจะสอนได้อย่างไร เพราะอยู่ป่าอยู่เขา กรรมฐานคือธรรมกถึก ไม่มีศักยภาพ โลกมองว่าไม่มีศักยภาพทั้งนั้น จะไปสอนได้อย่างไร นี่เขามีศักยภาพทางโลก มีแต่คนนับหน้าถือตาทั้งนั้น ลูกศิษย์มีเป็น ๕๐๐ ไปไหนนะ โอ่อ่า

เจ้าอาวาสไม่รับ ให้องค์ต่อไปไม่มีใครรับจนสามเณรน้อยนะ สามเณรน้อยก็เป็นพระอรหันต์ ถึงองค์สุดท้ายนะ พระอรหันต์หัวหน้าท่านก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ “เณร ก็ลองรับไว้หน่อย เผื่อมันจะทำได้” เณรก็ต้องจำรับไว้ แต่คำว่าจำรับไว้ เณรนะ เณรกับเจ้าอาวาสพระอรหันต์ด้วยกัน วุฒิภาวะ ถึงจะเป็นเณร แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์ สติปัญญามันไม่ธรรมดานะ

นี่ความเห็นจากภายในไง ถ้ามันไม่ทำ นี่ไงถ้าธรรมมันไม่สูญจากใจนะ มันมีคุณธรรมในหัวใจนะ มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น แล้วทำแต่เรื่องเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามันสูญไปจากใจ สาบสูญแล้วใจนี้ไม่มีคุณธรรมสิ่งใดๆ เลย มันทำแต่เรื่องทิฐิมานะ ทำแต่เรื่องประโยชน์ส่วนตน ทำแต่สิ่งไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดกับหัวใจนั้นเลย ฉะนั้นเราเห็นโทษของมันไหม ถ้าเราเห็นโทษของมันเราต้องตั้งสติของเรา

เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราประพฤติปฏิบัติกันด้วยคุณธรรมของเรา เรามีคุณธรรมในหัวใจ เราถึงเสียสละกันมา เราเสียสละกันมาเห็นไหม เขาอยู่กันสุขสบาย ความสุขสบายมันจะสบายไปไหน อยู่กับโลก ของสุขสบายอย่างนั้นใครก็หาได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นมา โลกเกิดมามันก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนมีสิทธิได้เสมอภาคกัน

แต่เราเสียสละของเรามา ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ให้ศีลสมบูรณ์ขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีลสมบูรณ์ขึ้นมา เรารักษาศีลของเรา ถ้ามันผิดศีล หรือว่ามันเศร้าหมอง เราก็แก้ไขของเรา เพราะอะไร เพราะเราจะรักษาใจของเรา มันจะเป็นรั้วไง มันจะเป็นรั้วกั้นใจไว้ถ้าเรามีศีลเห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติจริงไหม แล้วจิตมันจะออกไป มันจะคิดถึงสิ่งต่างๆ มันออกไปทำไม

ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราพยายามตั้งสติของเรา บังคับใจของเราไว้กับเรานะ อยู่ที่นี่ จิตใจให้มันอยู่ในใจของเรา อย่าให้จิตใจมันออกไปข้างนอก อย่างนี้มันจะไม่สูญสิ้นไง มันจะไม่สาบสูญ ถ้ามันจะไม่สาบสูญมันก็จะต้องมีเหตุมีผลของมัน ถ้ามีเหตุผลของมันนะ มันจะเป็นองค์ของสติ องค์ของสมาธิ องค์ของปัญญา มันครบองค์ประกอบของมัน มันจะเกิดประโยชน์กับมันขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามันจะไม่สาบสูญมันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ

ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ มันสักแต่ว่าทำ! ไปแปะครูบาอาจารย์มาก็จะเอาแต่เกียรติศักดิ์เกียรติคุณของท่านมา เอาของท่านมาแล้วตัวเองมีความจริงขึ้นมาไหมล่ะ ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา มันอ่อนน้อมถ่อมตนนะ

คำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนมันเป็นคุณธรรม ครูบาอาจารย์ยิ่งมีคุณธรรมนะ ความนิ่งอยู่ของพระอริยะเจ้า คำว่านิ่ง นิ่งเขาไม่แสดงออก เพราะว่ามันละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าโลกที่เขาจะรับรู้ได้ โลกเขาจะรับรู้ได้อย่างไร โลกนะ ดูสิ เวลาเราพูดถึงการศึกษาทางวิชาการกัน เขาก็พูดถึงโลก โลกนี้คือวิชาชีพ อันนี้เขาเอาไว้เป็นวิชาชีพอาชีพของเขา ประสบการณ์มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่มันก็เป็นเรื่องของโลก เรื่องของทางวิทยาศาสตร์ทางการศึกษาที่จะทันกันได้

แต่เขาไม่ทันใจของเขา ถ้าเขาไม่ทันใจของเขา เขาจะสลด เขาจะคอตกนะ คนที่มีปัญญาแล้วเข้าใจถึงชีวิตของตัว คอตกเลย เพราะสิ่งนี้ไง เห็นไหม ดูสิเวลาในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ทางใจนะรู้เรื่องต่างๆ มหาศาลเลย นี่ก็เหมือนกัน “ปัญญา” เห็นไหมปัญญาที่เรามี ปัญญาที่เราเข้าใจทางวิชาชีพในทางลึกซึ้งขนาดไหน นี่ไงเพราะเราไปติดสิ่งที่มันเป็นเรื่องโลกไง

ถ้าเราติดของเราเห็นไหม เขามีฤทธิ์ทางใจ เขาก็ติดของเขา เขามีคุณวิเศษของเขา เราติดว่าเรามีปัญญา ปัญญาจนมองข้าม มองข้ามคุณธรรม มองข้ามสัจธรรม มองข้ามความเป็นจริง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะการมองข้าม เพราะทิฐิมานะ มันเลยสูญสิ้นเลย สูญเปล่าจากข้อคุณงามความดีไง

คุณงามความดี ดีคืออะไร “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” “ทาน-ศีล-ภาวนา” เราเสียสละทาน เราทำคุณงามความดี ทุกคนจะพูดมากว่าเป็นคนดีมาก เป็นคนดีของโลก เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ที่ทำประโยชน์กับสังคม ดูสิ เราสละทาน สละทานแล้วมันก็เป็นประโยชน์กับสังคม แล้วประโยชน์กับสังคม สังคมคือใคร เราคือใคร สัจธรรมมันคืออะไร

สังคมคือสังคมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะสังคมไหมล่ะ ดูสิใครๆ ก็เชื่อถือศรัทธามหาศาลเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงเทศนาว่าการ อนุปุพพิกถา เวลาคนเขามานี่เขาไม่รู้เรื่องอะไรของเขาหรอก มันก็ต้องเริ่มทานทั้งนั้น ทานแล้วก็เนกขัมมะ เนกขัมมะ ถ้าจิตใจพอสมควรแล้วถึงจะแสดงอริยสัจ

นี่ไง จิตใจของคน ถ้าคนที่มีคุณธรรมแล้วเขาจะรู้เลยว่า จิตโดยทั่วไปจะเข้าใจเรื่องธรรมะ เป็นไปไม่ได้! จิตโดยทั่วไปแม้แต่ทางวิชาชีพ เวลาศึกษาขึ้นมา ก็ยังทบทวนแล้วทบทวนอีก เพื่อมีการชำนาญการเพื่อจะให้เรารู้ช่องทางในวิชาชีพของเรา

วิชาชีพเห็นไหม แล้ววิชาชีพมันก็วิวัฒนาการของมันตลอดไป มันจะจบสิ้นกันที่ไหนล่ะ แล้วเราก็ว่าเรารู้ เราก็ว่าเราฉลาด คำว่าฉลาดเห็นไหม มันก็เลยไม่เข้าสู่คุณธรรมสัจธรรม มันไปติดความฉลาดของตัว แล้วความฉลาดของตัวมันฉลาดเรื่องอะไร ฉลาดเรื่องให้ทำงานจนตายไง! ฉลาดให้เราติดกับโลกนี้ไง เราจะติดกับมัน เราจะอยู่กับมัน แล้วชีวิตเราจะค้ำฟ้า ชีวิตเราจะอยู่อีกห้าล้านปีไง! แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ

เวลาความคิดนะมันจะหลอกเรา มันคิดได้ร้อยแปดเลย เห็นไหม ฤทธิ์ทางใจเขาก็ติดของเขา ไอ้นี่ของเราบอกเราก็มีปัญญาเราก็ติดของเรา พอติดของเราแล้วเราได้ประโยชน์อะไร

ธรรมมันจะสาบสูญ สาบสูญกับจิตใจแบบนี้ มันสาบสูญจนไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจของมัน แต่ถ้าเราวางได้เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาทางการศึกษา ปัญญาทางวิทยาศาสตร์มันเป็นสุตมยปัญญา แต่ถ้าเรามีคุณธรรมเห็นไหม ดูสิ สิ่งที่เป็นคุณธรรม แบบพระอรหันต์ที่ท่านนิ่งอยู่ๆ เพราะอะไร เพราะมันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก

นกกับปลาคุยกันมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอยู่กันประสาโลก เราก็คุยกันด้วยภาษา ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่พอเข้าไปสู่ความสงบ งงนะ สติ สมาธิ ถ้าเรามีของเราเห็นไหม ธรรมะมันจะไม่สาบสูญ ไม่สาบสูญเพราะสิ่งใด ไม่สาบสูญเพราะมันมีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐาน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันจะอยู่ในฐานอยู่ในใจของเรา ฐานของใจนะ มนุษย์คืออะไร มนุษย์ก็คือเราที่นั่งกันอยู่นี่ เราว่าเป็นมนุษย์ๆ จิตมันคืออะไร จิตมันอยู่ไหน มนุษย์นี่งงนะ

ทั้งๆที่ปฏิสนธิจิตมันเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิในไข่ ถ้าจิตมันไม่ไปปฏิสนธิในไข่ ไข่นั้นจะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้ นี่ไง ตั้งแต่ปฏิสนธิ จิตมันเกิดแล้ว แล้วพอจิตมันเกิดขึ้นมา มันมีวิวัฒนาการของมันขึ้นมา จนมาเป็นเราอยู่นี่ เราก็มาติดความเป็นเราเห็นไหม เรามาติดความเป็นเรา

สิ่งต่างๆ เป็นเรา แล้วมาบอกเรื่องของจิต จิตมันอยู่ที่ไหน? แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ชาติปิตุขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะมีการเกิดถึงมีชีวิต เพราะมีชีวิตเราถึงได้เพลิดเพลิน คำว่ามีชีวิตเพราะเรามีบุญกุศล เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดมาเห็นไหม เกิดมาจากครรภ์ของมารดา เดินได้ ๗ ก้าว “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” นี่ไง เพราะการเกิดมันถึงมีการกระทำ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ให้นางปชาบดีโคตมีเลี้ยงดูมาเห็นไหม จนถึงที่สุดเห็นไหม เวลาออกปฏิบัติ ออกบวช

ขณะที่เลี้ยงดูมา ที่ศึกษามาเป็นกษัตริย์ นี่ไง มันมีปัญญาขึ้นมาทั้งนั้นนะ นี่การเกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้ามีอำนาจวาสนาเห็นไหม มันจะหาคุณสมบัติไง

แต่ถ้าเราว่าเราเกิดเป็นมนุษย์เรามีปัญญา ที่เขาเป็นอยู่นี่เห็นไหมจะเอาธรรมชาติ บอกว่าจะจัดการโลกนี้ จะไปอวกาศ จะพิสูจน์ตรวจสอบ จะไปดาวอังคาร จะหาโลกใหม่ จะย้ายมนุษย์นี้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะมนุษย์โลกนี้มันเสื่อมโทรมแล้ว ก็คิดกันไป

แต่ถ้ามันเกิดตามยุคตามสมัยนะ ตามยุคตามสมัยเห็นไหม โลกนี้มันจะปรับสภาพของมัน แล้วมันถึงคราวที่มันอุดมสมบูรณ์แล้ว คราวที่ธรรมชาติเกิดขึ้นมาแล้ว พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้

แต่มันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นตามยุคตามสมัย เวลาปัจจุบันนี้คือเรานะ เวลาปัจจุบัน เราประพฤติปฏิบัติกัน แต่เราไปคิดถึงอดีตอนาคตไง เราวิตกกังวลไง ที่ว่ามนุษย์มีปัญญา มนุษย์จะจัดการ จะครองโลก มนุษย์จะเหนือธรรมชาติ

นี่ไง สิ่งนี้เราคิดเราแก้ไข ถ้าเราจะเอาชนะธรรมชาติ ธรรมชาติเราต้องกลับมา กลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ รักษาธรรมชาติต่างหากล่ะ อันนั้นมันถึงจะจรรโลงโลกให้กลับมา

นี่พูดถึงปัญญานะ แล้วพอธรรมะเข้ามาสู่จิตล่ะ จิตมันอยู่ไหน ถ้าจิตเข้ามา พอเข้ามาสู่จิต พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้

“รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ของมาร”

สิ่งที่เรากระทำกันอยู่นี่ สิ่งที่ว่าเป็นปัญญาเห็นไหม ปัญญาเกิดจากตา จากหู จากลิ้น จากกาย จากใจ จากใจๆๆ เนี่ย ความคิดความเห็นต่างๆ มันเกิดจากใจทั้งนั้น มันเป็นบ่วงของมาร เพราะเรามีกิเลสตัณหาทะยานอยาก มันเลยยึดมั่นถือมั่น พอยึดมั่นถือมั่นเห็นไหม มันสงบไม่ได้หรอก เพราะธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติ รถถ้ามันติดเครื่องอยู่ แล้วเราขับอยู่ เราจะซ่อมแซมอย่างไร เราจะแก้ไขรถเราอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน “จิต” ตั้งแต่วินาทีนาทีที่เกิดปฏิสนธิจิต มันส่งออกตลอด มันเป็นความรู้ส่งออกตลอด มันเป็นพลังงานที่ส่งออกมาตลอด ความรู้ความเห็นเกิดจากจิตทั้งนั้นนะ แล้วมันไม่เคยดับเห็นไหม

แต่เวลาในปัจจุบันนี้ ธรรมะจะสาบสูญ จะสาบสูญเพราะความเห็นผิด เห็นไหม “ว่างๆๆ ธรรมะคือธรรมชาติ” ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็เป็นของมันอยู่แล้ว สิ่งที่มันเป็นอยู่มีอยู่ เราประคองไปกับสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่ แล้วมันจะเป็นอะไรต่อไปล่ะ มันก็เป็นสวะไง เป็นผลของวัฏฏะไง

ดูเศษสวะที่มันลอยไปตามน้ำสิ มันเป็นอะไรล่ะ นี่ไง เพราะว่างๆ ว่างๆ เราไปบอกว่ามันเป็นอยู่แล้วไง ความเป็นอยู่แล้วเห็นไหม เรากำหนดไป ฤทธิ์ของใจ ใจถ้ามันมีสมาธิของมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันนะ

ดูสิ แม้แต่เทวทัตเวลาไปหาอชาตศัตรู นั่นก็ฤทธิ์ทางใจ แล้วนี่ฤทธิ์ทางใจของเขา มีของเขาอยู่ ถ้ามันมีวุฒิภาวะหรือจิตใจธรรม มันมีฤทธิ์ทางใจของมัน แต่อันนี้มันเป็นกิเลสของใจ กิเลสของใจเห็นไหม เพราะกิเลสมันมีของมัน กิเลสมันมีอวิชชา มีหัวใจอยู่แล้ว ทำให้ใจนี้สาบสูญจากธรรม ทำให้ไม่เป็นความจริง

แต่มาศึกษาธรรมนะ ธรรมะถึงจะเจริญนะ มีครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนอยู่นี่นะ เราก็กำหนดทำตาม ทำตามแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะกิเลสมันบังเงา มันบังเงาให้ว่างๆ บังเงาให้เราติดอยู่ พอเราติดอยู่เราไปไหนไม่ได้ ไปไหนไม่รอดใช่ไหม

นี่ไง มันสาบสูญๆ อย่างนี้ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ ทำสมาธิกัน ก็ทำสมาธิกันไม่เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา “ทำไมถึงต้องทำสมาธิล่ะ? ทำไมต้องทำสงบของใจล่ะ?” ถ้าไม่ทำความสงบของใจเห็นไหม สิ่งที่ทำมา สิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่เป็นการกระทำนี้มันเกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสมันจะปล่อยไว้หน้าใคร กิเลสในหัวใจของใคร ฤทธิ์ทางใจเขายึดมั่นถือมั่นของเขา ด้วยคุณสมบัติของเขา เขาทำความสงบของเขา เขาถึงมีฤทธิ์มีเดชของเขา กิเลส! กิเลสไม่ต้องไปทำอะไรมัน เพราะมันมีอยู่แล้ว

พอกิเลสมันมีอยู่แล้วเห็นไหม พอเราประพฤติปฏิบัติเราจะมาเอาคุณงามความดีกัน นี่ไงมันเข้ามาทำให้สาบสูญ สาบสูญไปจากความจริง! สาบสูญไปจากคุณธรรม! สาบสูญไปกับสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์กับมันนะ แล้วก็ว่างๆ ว่างๆ มันสูญหายไปนะ มันสูญหายจากคุณงามความดี สูญหายจากธรรมนะ

แต่ถ้าเรามีครูมีอาจารย์เห็นไหม นี่ไง เราถึงต้องทำความสงบของใจ เพราะเราจะทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ใช่ให้มันสาบสูญไป คนหายนะ คนหายคนสาบสูญไป เพราะว่าเขาหลงทาง เขามีปัญหาของเขา เขาถึงต้องทำให้ตัวเขาหายสาบสูญไป แต่กิเลสมันเป็นไปไม่ได้หรอก กิเลสจะให้มันหายสาบสูญไปนะ มันจะหลอกเรา มันจะบังเงา เอาใจเราเป็นขี้ข้า เอาใจเรานี้เป็นที่อยู่อาศัยของมัน แล้วก็พาเกิดนะ ถ้าธรรมะมันสาบสูญ มันมีแต่ทิฐิมานะ มันทำแต่ความชั่วความเลวทรามของมัน มันจะสาบสูญไปไหน มันจะลงนรกอเวจีนะ

เวลาเราบอกว่า มันจะสาบสูญ มันจะไม่มีสิ่งใดข่มขี่เรา แต่เวลาตายไปนะ มันจะเห็นค่าของมัน มันจะเห็นความจริงของมัน เพราะถึงเวลาแล้วจิตมันเสวยภพตามเวรตามกรรม มันจะรู้จะเห็นของมัน แล้วจะไปคอตกตอนนั้นนะ ฉะนั้นถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะต้องทำความจริงของเรา อย่าให้มันสาบสูญ อย่าให้มันสูญหาย เวลาทำมันทุกข์ไหม ทุกข์สิ เวลาเกิดก็ยังทุกข์ เวลาทำงานมันก็ทุกข์ เวลาทำความจริงขึ้นมามันจะสุขสบายมาจากไหนล่ะ แต่ผลของมันจะสบาย “ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์” ผลของมันจะสบายต่อเมื่อมันลงสมาธิของมันได้จริงๆ

เห็นไหมทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนมีหลักมีเกณฑ์ มีความตั้งมั่นของมัน ถ้ามีความตั้งมั่นของมันเห็นไหม ออกรู้ ออกรู้ในกาย ออกรู้ในเวทนา ออกรู้ในจิต ออกรู้ในธรรม ถ้ามันออกรู้ของมัน มันจริงขึ้นมาตั้งแต่ต้น จริงขึ้นมาเพราะจิตมันสงบ คำว่าจิตมันสงบเห็นไหม โดยธรรมชาติของจิต จิตเวลามันเกิดมาตั้งแต่ปฏิสนธิในไข่ พอปฏิสนธิในไข่มันส่งออกตลอด พลังงานมันส่งออก พลังงานส่งออกนี้มันเป็นพลังงานของอวิชชา อวิชชามันขับไส อวิชชามันคือโลก ความคิดต่างๆ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาว่ามันเป็นเรื่องธรรมะ มันก็เป็นธรรมะของโลก ของโลกคือของหมู่สัตว์ ของโลกคือของโลกียปัญญา

โลกียปัญญามันจะฆ่ากิเลสได้ไหม พอมันฆ่ากิเลสไม่ได้โดยข้อเท็จจริง แต่พอศึกษาขึ้นไป จิตเห็นไหม ดูสิ เวลาเรามีความเร่าร้อน เราอาบน้ำเราเข้าที่ร่มมันก็เย็นใช่ไหม “จิต” ถ้ามันคิดแต่ตัวมันเอง มันก็ทุกข์ของมัน แต่มันตรึกในธรรมะไง เวลามันตรึกมันศึกษาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ธรรม” ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของพระอรหันต์ เป็นของผู้ที่มีคุณธรรม พอศึกษาขึ้นไปมันก็ซาบซึ้ง มันก็เท่านั้นนะ

ปัญญาถ้ามันไม่มีความสงบมันก็เท่านี้แหละ ปัญญาในโลกียปัญญา ปัญญาที่สูงสุดได้เท่านี้ ซาบซึ้ง.. น้ำตาไหล.. ปล่อยวาง.. ว่าง.. นี่ไงมันจะสาบสูญจากธรรมนะ ถ้าเป็นคุณธรรมเป็นความจริงขึ้นมา ปริยัติ-ปฏิบัติ ปฏิบัติเขาไม่ทำกันอย่างนั้น ปฏิบัติครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านบอกแล้ว ต้องทำใจให้สงบ พยายามทำใจให้สงบให้ได้ ถ้าทำใจให้สงบขึ้นมา ไม่ใช่พลังงานที่ส่งออก

พลังงานที่ส่งออกเห็นไหม เวลามันส่งออก “รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นปวงดอกไม้แห่งมาร” พอเรามีสติปัญญาขึ้นมาเราพยายามเห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ส่วนรูป รส กลิ่น เสียง เสียงคือเสียง รูปคือรูป รสคือรส จิตเห็นไหม จิตมันไม่ไปรับรู้ จิตมันเห็นโทษของมัน จิตปล่อยวางของมันเข้ามา มันเป็นตัวของมัน พอปล่อยวางของมันเห็นไหม คำว่า จิต พลังงานที่ส่งออกแล้วพลังงานที่ไม่ส่งออก พลังงานที่ส่งออกโดยที่มีคำบริกรรม คำบริกรรมนั้นให้จิตมันเกาะไว้

พอจิตมันเกาะไว้มันมีกำลังของมันขึ้นมาเห็นไหม พอจิตมันมีกำลังของมันขึ้นมา มันว่างๆ ไหมล่ะ สมาธิมันว่างๆ ไหม มันปล่อยวาง มันเบาตัวของมัน มันมีสติรับรู้ตัวของมัน เวลามันปล่อยวางมา มันมีคุณสมบัติของมัน พอมีคุณสมบัติของมัน นี่ไง มันไม่มีใครพูดเรื่องสมาธิชัดๆ ซักทีหนึ่ง มีแต่ว่างๆ อ้างแต่ว่างๆ อ้างแต่อากาศ

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา แม้แต่สมาธิ เดี๋ยวนี้วงกรรมฐาน สมาธิทำกันไม่เป็นแล้ว! ปัญญาทั้งนั้น อะไรก็ใช้ปัญญา แล้วบอก “ทำสมาธิทำไม?” ทำสมาธิขึ้นมาเพื่อไม่ให้จิตนี้มันสูญเปล่าไง! จิตนี้มันเริ่มต้น จุดเริ่มต้นของจิตถ้ามันสงบขึ้นมา จิตมันจะออกรู้มันจะออกแก้ไขตัวของมัน นี่มันเกิดตรงนี้! ธรรมะมันเกิดที่นี่ เกิดจากจิต เกิดจากความรู้สึก เกิดจากภพ เกิดจากฐีติจิตเรานี่แหละ

ทีนี้ฐีติจิตมันโดนห่อหุ้มด้วยอวิชชา เราก็เอาอวิชชานี้ไปศึกษา เอาอวิชชานี้ไปให้กิเลสมันบังเงา เอาไปศึกษาธรรมกัน แล้วก็บอกว่ามันว่างๆ สาบสูญจากธรรมนะ จิตนี้มันจะสาบสูญ แล้วธรรมมันสาบสูญจากจิตนี้ไป แล้วจิตนี้มันปฏิบัติมา มันเอาตัวรอดได้ไหม แล้วปฏิบัติมาเห็นไหม ถ้าเราทำคุณงามความดีนะ โดยไม่ผิดศีลผิดธรรม เรารักษาด้วยศีลธรรม รักษาการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเราทำคุณงามความดี มันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนั่นล่ะ มันก็ไปเกิดในวัฏฏะ มันก็ไปเกิดของมัน

แล้วเวลาหมดบุญมาหมดอายุขัยลงมาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ จะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใดล่ะ เห็นไหมผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะทำดีก็ต้องได้ดี ดีในวัฏฏะแต่สาบสูญจากคุณธรรม สาบสูญจากคุณงามความดี เพราะว่าสิ่งที่เป็นคุณธรรมนะ เวลาจิตสงบแล้วเราพิจารณาของเราเห็นไหม พอพิจารณาซ้ำพิจารณาซากจนถึงที่สุดนะ ถ้ามันสมุจเฉทปหาน นี่ไงจิตนี้ ผลของวัฏฏะ ที่พูดถึงคุณงามความดี ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเป็นวิบาก มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นผลของวัฏฏะ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดโดยธรรมชาติเป็นแบบนี้

มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่คนมีสติปัญญาก็ทำคุณงามความดี สร้างคุณงามความดีก็ไปเกิดในสถานะที่ดี คนที่มันผิดพลาด คนที่ทำด้วยความพลั้งเผลอ มันก็ไปตกนรกอเวจี นี่ผลของวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้! แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราโดยที่ไม่สาบสูญจากคุณธรรม ถ้าพิจารณาของมันไปถึงที่สุดใช่ไหม ถึงที่สุดเวลาพิจารณาไป “กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์” สังโยชน์มันขาด สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดจิตเห็นไหม ระหว่างคำว่าจิต จิตที่เป็นผลของวัฏฏะมันมีเวรมีกรรมร้อยรัดของมันอยู่ สภาวะของจิตมันเป็นแบบนั้น

เวลามันพิจารณาไป พอมันขาดออกไป สังโยชน์ที่ร้อยรัดมันไม่มี จิตนี้ไม่ได้อยู่ในการบังคับของธรรมชาติ วัฏฏะ คือ ธรรมชาติ กามภพ รูปภพ อรูปภพ คือธรรมชาติอันหนึ่ง ผลของธรรมชาติที่จะต้องให้เหตุให้ผลตามข้อเท็จจริงในธรรมในสัจจะนั้น

แล้วเราพิจารณาของเราจนถึงที่สุดแล้ว เวลาสังโยชน์มันขาดไปแล้วเห็นไหม ธรรมชาติส่วนหนึ่งบังคับไม่ได้แล้วเพราะอะไร เพราะอย่างมากเกิดอีก ๗ ชาติ คำว่าอย่างมากเกิดอีก ๗ ชาติ กับจิตที่มันสาบสูญจากธรรมนะ แต่จิตมันสมบูรณ์ของมัน มันสาบสูญจากคุณธรรม มันเป็นผลของวัฏฏะ มันไม่มีต้นไม่มีปลายไง คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลายมันจะหมุนของมันไปอย่างนี้ ไม่มีวันจบสิ้น เกิดตายๆ เวียนตายเวียนเกิดไม่มีวันจบสิ้น

แต่พอเราพิจารณาของเรา พิจารณาจนมันขาด พอมันขาดขึ้นมาเห็นไหม คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลายจนไม่มีวันจบสิ้น เหลืออีก ๗ ชาติ นี่ไง มันถึงแตกต่างไง ถ้ามันไม่สาบสูญถ้าจิตมันมีคุณธรรมขึ้นมาเห็นไหม มันแตกต่างจากจิตที่สาบสูญจากธรรม แต่จิตมันมี กิเลสเต็มหัวใจ กิเลสมันขี่หัวอยู่นะ มันหมุนของมันไปตามธรรมชาติของมัน มันมีกิเลสครอบงำมันไว้ นี่มันสาบสูญจากคุณธรรมแต่จิตมันไม่สาบสูญ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันทำลายที่จิตนี้ จิตมันยังมีอยู่เพราะอะไร เพราะเราพิจารณาของเรา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าถึงที่สุด พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำว่าไม่สาบสูญ ไม่สาบสูญเพราะอะไร ไม่สาบสูญเพราะมีสติ พอสติแล้วเราพิจารณาของเราไป พิจารณากายมันเป็นแบบใด มันปล่อยวาง ปล่อยวางมาอย่างไร ดูสิทำสมาธิ เวลาทำสมาธิความสงบของใจ ก็ว่างๆ ว่างๆ เพราะมันขี้เกียจ ว่างๆ เพราะมันมักง่าย ว่างๆ เพราะมันไม่เอาจริงกับมัน

เวลาเอาจริงเราก็เอาจริงอยู่แล้ว เอาจริง! แต่กิเลสมันขี่คออีกชั้นหนึ่ง เอาจริงๆ จนกรนนะ คร่อก.. เอาจริง เอาจริงจนนั่งไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ จริงของเรา เราจริงของเรา แต่เราไม่มีความจริงจังกับกิเลสของเรา

ถ้าเราจะจริงจังกับกิเลสของเรานะ เราทำอย่างนี้แล้วมันผิดพลาดเพราะเหตุใด ถ้ามันผิดพลาดหรือทำแล้วมันไม่ได้ผล มันต้องหาทางออก มันจะต้องมีอุบาย มีวิธีการ ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำ แล้วให้กิเลสบอกว่า “ได้ทำแล้วๆ” มันจะต้องมีความเข้มแข็ง มันต้องมีอุบายวิธีการแยกแยะ ว่าเราทำแล้วมันเป็นเพราะเหตุใด มันต้องหาเหตุหาผลสิ ย้อนกลับขึ้นมา ตั้งแต่การกระทำ

ความเชื่อความศรัทธาทุกคนสมบูรณ์นะ มันขาดแต่ความจริงของเรา ถ้าเรามีความจริงของเรานะ เราจริงเราต้องเก็บได้ว่าทำไมทำแล้วมันเป็นแบบนี้ ถ้ามันเป็นแบบนี้เราต้องหาทางแก้ไข เวลาแก้ไขโดยกรรมฐานของเรา “ธุดงควัตร” กิเลสมันก็กลัวตายเหมือนกัน ไม่กินมันก็ต้องตาย เวลามันกินอิ่มนอนอุ่นนะ มันพาเรานะพาหัวใจสมบุกสมบันตามแต่กำลังของมัน

แต่ถ้าเราสู้กิเลสตัวนี้ไม่ไหว เราสู้ไม่ได้ เราสู้กับความเคยใจ เราสู้กับจริตนิสัยเราไม่ไหว คิดทีไรมันก็เข้าร่องเข้ารอยเดิมอยู่อย่างนี้ ค่อยๆ ผ่อนอาหาร ค่อยๆ ผ่อนอาหาร ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ นอนน้อยๆ ฝืนสู้ไปกับมัน มันลำบาก กิเลสมันลำบากเราก็ลำบาก เราลำบากกิเลสมันก็ลำบาก พอกิเลสมันเริ่มลำบากเห็นไหม มันจะเอาชนะคะคานขนาดไหน เราฝืนมัน เราไม่กิน กิเลสมันก็กลัวตาย กิเลสมันก็กลัวตายของมันเห็นไหม เราก็กลัวตาย

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำอยู่นี้ เราใช้อุบายของเรา มันมีเหตุมีผลของมัน หาเหตุหาผลหาช่องหาทางเราต้องทำได้ พอมันทำได้ สงบสักหนสองหนเห็นไหม เราก็ทำได้ ถ้าเราทำได้ ทำได้เพราะเหตุใด ทำได้เพราะอุบายแบบนี้ นี่คือตรงกับจริตนิสัยของเรา เราต้องทำให้มากขึ้น ทำให้เข้มข้นขึ้น ทำให้มีความชำนาญมากขึ้น

การทำให้เข้มข้นขึ้น ทำให้ชำนาญมากขึ้นเห็นไหม เพราะอะไร เพราะกิเลสเห็นไหม คุ้นชินกับมันแล้ว มันรู้ว่าทำแค่นี้แล้วมันจะสงบต่างๆ ครั้งต่อไปนะ มันหาช่องทางไว้ก่อนที่จะหลอกเราไว้ตั้งแต่ข้างหน้าเลย นี่ไงถ้าเราจริงนะ มันจะไม่สาบสูญนะ ธรรมะจะมีกับใจของเรา แต่ถ้าเราไม่จริง หนึ่งเราไม่จริงอยู่แล้ว พอเราปฏิบัติไป กิเลสมันสวมรอยด้วย “อย่างนี้เป็นธรรมๆ สภาวะอย่างนี้เป็นธรรม สภาวะอย่างนั้นเป็นธรรม” มันพูดของมันไป

เราจะสาบสูญจากธรรมนะ ธรรมจะสาบสูญจากใจของเรา แต่ใจของเรากิเลสทั้งตัว แล้วใจของเรามีแต่ความทุกข์

แต่ถ้าเราทำจริง สติปัญญามันมีของมันนะ แล้วทำให้มันสงบเข้ามา พอสงบเข้ามามันออกพิจารณานะ เวลามันพิจารณาไปแล้วมันสะเทือนขั้วหัวใจทั้งนั้น ถ้าจิตสงบแล้ว มันสะเทือนกิเลส มันเห็นแตกต่าง แต่ถ้ากิเลสมันบังเงานะ เราพิจารณากายใช่ไหม พอกายมันตั้งขึ้นมาใช่ไหม พอพิจารณาไปแล้วมันก็จะแปรสภาพ เพราะเรารู้ข้อสอบ เรารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอนิจจัง มันต้องเป็นไตรลักษณ์ กิเลสมันสร้างให้หมดเลย พอกิเลสมันทำให้หมดเลย แล้วผลของมันคือเฉยๆ ไง ว่างๆ สบายๆ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันสำรอก มันคลายออก พิจารณากาย พอพิจารณาแล้วมันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นตามสภาวะความจริง มันสำรอกนะ มันสลดมันสังเวช พอมันสลดมันสังเวชแล้ว มันจะมีสติปัญญาขึ้น จะรักษาตัวขึ้น

ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหมพระที่ปฏิบัติ พยายามจะปลีกวิเวก พยายามจะอยู่คนเดียว พยายามจะไม่พูด เพราะมันเห็นโทษไง มันเห็นแล้วมันสลด พอมันสลดคนที่ภาวนาเวลาสลดแล้วจะไปคุยกับใคร เพราะเขาไม่รู้ไม่เห็นกับเรา พูดไปนะ “อื้ม อย่างนี้เดี๋ยวจะเสียสตินะ อย่างนี้มันจะใกล้บ้าแล้วนะ เราออกไปทำงานกันดีกว่าเนาะ เราออกมานั่งคุยกัน เรามาตรึกธรรมะกัน” นี่ไงเพราะเขาไม่รู้ไม่เห็นกับเรา

แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์นะ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเห็นไหม ดูสิ เวลาสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน สมัยครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านคอยบอกคอยสอน เราไม่ต้องไปฟังใคร คนนอกไม่เกี่ยว คนภาวนาไม่เป็นไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้าคนไม่เป็นน่ะมันธรรมะหมากัดกัน! เพราะธรรมสาบสูญจากใจมันแล้ว มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันกลัวคนอื่นภาวนาแล้วจะเกินหน้าเกินตามัน ฉะนั้นเราไม่ต้องไปฟัง สิ่งที่เขาจะชักนำให้เราเสียหายไม่ต้องไปฟังเลย

ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ยืนยัน ยืนยันว่าสิ่งนี้เป็นความจริง แล้วเรามีสติปัญญา แล้วเราพยายามทำของเรา ความจริงคือความจริง พอมีความจริงขึ้นมา เราจะเห็นต่างจากความปลอม คนเราปฏิบัติมาทุกคนนะ มันต้องล้มลุกคลุกคลานมาทุกคน เราเคยปลอมในหัวใจเรามาก่อน ทุกคนต้องเคยมีความปลอมในหัวใจมาก่อน

ใจนะมันเป็นสมมุติ ใจมันเป็นความจอมปลอมทั้งหมด ใจเป็นตัณหา ใจเป็นอวิชชาทั้งหัวใจเลย แล้วพอปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา พอมันสงบเข้ามาเห็นไหม มันมีความสงบต่างๆ เพราะสิ่งที่ไม่ปลอมมันไม่จริง พอสงบคือความจริง ความจริงอันเดียว มันจะไปลบความจอมปลอมในใจที่เราทำมามหาศาลเลย พอมันมีความจริงขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นไปเห็นไหม นี่ไง มันจะไม่สูญเปล่าไง

ถ้ามีความจริงเห็นไหม มีความจริงมันมีอะไร มันมีอริยสัจ มันมีสัจจะ มันมีความจริง พอมีความจริงปฏิบัติไป คนมีความจริงมีสัจจะมันจะปลิ้นปล้อนไหม คนปลิ้นปล้อนคนหลอกลวงคนฉ้อฉลมันจะเข้ามาสู่ความจริงได้ไหม? มันเข้ามาสู่ความจริงไม่ได้! แต่คนที่จะเข้ามาสู่ความจริง มันต้องจริงจังของมัน

ถ้ามันจริงของมัน มันเกิดความจริงขึ้นมา นี่ไง พอเกิดความจริงขึ้นมา ข้อเท็จจริงอันนี้มันจะทำให้คุณธรรมเกิดขึ้น ถ้าคุณธรรมเกิดขึ้นนะ เกิดความสงบของใจ ใจมันสงบของมันตามความเป็นจริง พอใจสงบตามความเป็นจริงเห็นไหม ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์จะให้ออกรู้ การออกรู้ “จิตเห็นอาการของจิต” จิตที่มันจะออกรู้ วิปัสสนาเกิดตรงนี้ วิปัสสนาออกรู้ พอออกรู้ขึ้นมาวิปัสสนามากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ มันปล่อยวางมา นี่คือการฝึกปัญญา

การฝึกปัญญาบอก “โอ้โห ต้องเข้าอัปปนาสมาธิ” ไม่ใช่! จิตพอมันสงบแล้วออกใช้ปัญญา ถ้ามันจิตสงบนะ การใช้ปัญญามันเทียบเคียงได้เลย การใช้ปัญญาแล้วมันจะถอดถอน มันจะทำให้จิตใจนี้ฉลาด ทำให้จิตใจนี้รู้จักเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสในใจของเราเอง ไม่ใช่ฉลาดกับใคร ฉลาดกับอวิชชาในใจ ฉลาดกับความโง่ในหัวใจ อวิชชาคือความไม่รู้ กิเลสมันครอบงำหัวใจ มันจะทำให้ธรรมะสาบสูญไปจากเรา

แต่พอเรามีสติมีปัญญา เราฉลาดขึ้นมา มันจะทำให้มีคุณธรรมขึ้นมา จะทำให้หัวใจนี้เป็นธรรม ไม่สาบสูญไปกับใจของเรา ให้ใจของเราอยู่ แต่ธรรมะมันสาบสูญไป เพราะมันโง่ แต่พอมันฉลาดขึ้นมา เราฉลาดกับหัวใจของเรา ฉลาดกับอวิชชานั่นแหละ แต่อวิชชาที่มันอยู่กับเรา ความโง่อันนี้มันฝังลึกนัก มันถึงทำให้เราสมบุกสมบัน ทำให้เราทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราตั้งใจ เราเป็นชาวพุทธ เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราจะพ้นจากทุกข์เห็นไหม เรามาประพฤติปฏิบัติด้วยความรื่นเริง ด้วยความอาจหาญ แต่ทำไมมันมีแต่ความทุกข์!

มันมีแต่ความทุกข์ เพราะทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง เราจะเผชิญกับมันไง ถ้าเราเผชิญกับมันเห็นไหม เราจะไม่ล้มลุกคลุกคลาน เราจะไม่ให้กิเลสมันหลอก ถ้าเรามีความจริงของเราขึ้นมา เราพิจารณาของเราขึ้นมาเห็นไหม พอจิตมันสงบขึ้นมาเราพิจารณา เห็นไหมมันเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา มันพิจารณาไปแล้ว พอมันฉลาดขึ้นมา มันแยกมันแยะว่ายิ่งฉลาดขนาดไหน

ความเป็นอยู่ของพระนะ ยิ่งฉลาดขนาดไหน ก็ยิ่งรักษาหัวใจคนให้ดีขึ้น ยิ่งมีความสุขขนาดไหนนะ จะคอยดูคอยรักษา คอยรักษาหัวใจของเรา คอยรักษาเห็นไหมเพราะอะไร เพราะมรรคญาณ มรรคเห็นไหมเวลามันเกิดขึ้นมา “ศีล สมาธิ ปัญญา” มรรค ๘ สมาธิชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรม ความเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม มันเกิดคุณธรรม เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดคุณธรรมเกิดมรรค นี่ไงสภาวะที่เกิด

เกิดอะไรที่ว่า “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” มันเป็นอนัตตา “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” ธรรมทั้งหลาย เกิดๆ ดับๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีนะ กิเลสมันก็ถอยกรูดๆ เวลาดีพิจารณาไปกิเลสมันก็วิ่งหนี มันก็หลบนะ พอมันดีขึ้นมา เราใช้ไปแล้วมันเริ่มร้าย เริ่มผ่อนลง เริ่มอ่อนลง กิเลสมันก็ลุกขึ้นมาเห็นไหม เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเจริญ เดี๋ยวเสื่อม เราก็ต้องสมบุกสมบัน พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก

การพิจารณาคือการปล่อยวาง คือตทังคปหาน การปล่อยวางตทังคปหานถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ถ้าปล่อยวางตทังคปหานแล้วประมาทเลินเล่อ เดี๋ยวจะล้มลุกคลุกคลาน มันปล่อยวางนั้นมีความสุข การปล่อยวางเห็นไหม เราบอกว่า “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” ละด้วยมรรคญาณ เกิดนิโรธะ นิโรธความสุขสงบ ความร่มเย็นในใจ

เวลามันพิจารณามันตทังคปหาน มันปล่อยวางในใจ เกิดนิโรธชั่วคราว ไม่ใช่นิโรธะจนดับทุกข์ไง นิโรธชั่วคราวนี้เราประมาทเลินเล่อนะ พอเราประมาทขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่มันเกิด มันเกิดจากอะไร มันเกิดจากคุณธรรม เกิดจากการกระทำ สิ่งที่มันปล่อยวางขนาดไหน เรามีครูบาอาจารย์ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ การซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำเห็นไหม การกระทำที่เราฝึกปัญญาของเรามันจะชำนาญการของมัน แล้วมันจะเห็นการกระทำ เห็นจิตมันปล่อยวางขนาดไหน มันมีความสุขนะ

“ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” แล้วเวลาเรามีความสุขล่ะ เวลาเราทุกข์นะ เวลาเราล้มลุกคลุกคลานนะ ทุกข์เกือบตาย เวลามันสุขขึ้นมา สุขแว็บเดียว เวลามันสุขมันปล่อยวางขึ้นมา มันเบา มันสุขมันสงบมันระงับ มันมหัศจรรย์ ทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้

นี้แค่เริ่มต้นมหัศจรรย์นะ เวลาปฏิบัติขึ้นไปนะ ความมหัศจรรย์ลึกลับซับซ้อนมาก เวลาจิตนะ ฤทธิ์ทางใจ แค่รับรู้สิ่งต่างๆ นะ มันมีฤทธิ์คนก็ยังหลงใหลมันได้ แต่เวลามันเกิดมรรคญาณ เกิดสัจจะความจริงเข้ามาชำระล้างมันนะ โลกนี้ไม่มี..

สิ่งที่เป็นสมบัติโลกนะ ดูสิพิมพ์เขียวต่างๆ วัตถุธาตุต่างๆ ที่เขาเอามาเป็นเครื่องก่อสร้างต่างๆ มันต้องมีของมัน แต่เวลาเราทำ สติมันมีแต่ชื่อ ความจริงคือสติในใจที่เป็นนามธรรมของทุกๆ คน “สมาธิ” สมาธิมันมีแต่ชื่อ แต่สมาธิในหัวใจที่มันเกิดขึ้นมา สมาธิไม่ใช่ว่างๆ มันมีความสุขสงบระงับเป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่างๆ แล้วเวลามันเกิดปัญญาเห็นไหม เกิดปัญญาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดโลกุตตรธรรม ปัญญาที่จะชำระกิเลส ชำระกิเลสเห็นจริงๆ เห็นเลยว่าเวลามันปล่อยวางตทังคปหาน มันปล่อยวาง เราเห็นช่องทางเลย เหมือนคนหลงทาง แล้วเห็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ เราเห็นแสงสว่างแว็บเลย เรารู้ของเราได้เลยว่านี้มาถูกทาง แต่เห็นแค่ปลายอุโมงค์ เราจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ทั้งอุโมงค์จนทะลุอุโมงค์ออกไป ถึงจะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกแห่งสัจธรรมที่ใจนี้มีคุณธรรม

ฉะนั้น การกระทำเราต้องมีสติ เราต้องมีความรอบคอบ การปฏิบัติธรรม เขาไม่สุรุ่ยสุร่าย ซุ่มๆ ซ่ามๆ ทำกันแต่ว่าซุ่มๆ ซ่ามๆ พอเป็นพิธี ทำกันแล้วก็มาอวดโม้กัน คุยโม้กันว่ามีคุณธรรมในหัวใจ มันไม่สมราคาตามความเป็นจริงไง แต่ถ้ามันสมราคาเห็นไหม

ธรรมะจะไม่สาบสูญนะ แล้วถ้าธรรมะมันไม่สาบสูญนะ มันอยู่กับใจของเรา ใจเราจะมีคุณธรรมขึ้นมา ดูสิ เวลาเราเป็นปุถุชนเห็นไหม เรารับรู้กันได้ เราเป็นปุถุชน แล้วคนที่เป็นโสดาบันล่ะ

คนที่เป็นโสดาบัน โสดาบันกับโสดาบันเขารับรู้กันได้ เราเป็นปุถุชนเรามีแต่คนหนา เรามีแต่ความทุกข์ในใจ แล้วเราปฏิบัติไปถึงที่สุดเห็นไหม ธรรมะไม่สูญนะ ธรรมะไม่สูญเปล่า ธรรมะไม่สูญจากใจ มันเป็นโสดาบันขึ้นมา

พอเป็นโสดาบันขึ้นมา เราลองคิดดูสิว่าจิตใจที่เป็นโสดาบัน กับจิตใจที่เป็นปุถุชนของเรามันแตกต่างกันอย่างไร มันแตกต่าง มันมหัศจรรย์ต่างกันอย่างไร แล้วจิตใจที่เป็นสกิทาคามี จิตใจที่เป็นอนาคา จิตใจที่สิ้นสุดจากทุกข์ ทำลายจิตใจทั้งหมดแล้วมันพ้นจากทุกข์ไป มันเป็นอย่างไร แล้วมันทำได้ไหม มันจะทำไม่ได้หรือ มันจะไม่มีโอกาสเลยใช่ไหม

ธรรมะจะเรียวแหลม ธรรมะจะไม่มีทางออก เป็นอย่างนั้นเลยหรอ มันจะเป็นอย่างนั้นเพราะคนที่กิเลสหนา มันจะเป็นอย่างนั้นเพราะโลกเป็นใหญ่ ถ้าเราเอาโลกเป็นใหญ่ ในการกระทำก็กระทำแบบโลกๆ

แบบโลกคือแบบสื่อสารมวลชน การสร้างภาพการกระทำแบบโลกๆ แต่ถ้าเป็นความจริง ดูสิ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน อยู่ในป่า ครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติอยู่ที่ไหน ถ้าไม่อยู่ในป่าก็อยู่ในที่สงบสงัด ในที่วิเวก มันต้องอยู่ในที่สงบสงัดวิเวก มันถึงจะค้นคว้าได้

นักวิทยาศาสตร์ เวลาเขาทำงานของเขา เขายังต้องมีห้องทดสอบของเขา ยิ่งนักประพันธ์เวลาเขาจะเขียนงานของเขา เขาต้องอยู่ของเขาด้วยความสงบสงัดของเขา เวลาเขาจะทำงานเขายังต้องใช้ความสงบสงัด ใช้สมาธิของเขา

แล้วคนที่เป็นนักปฏิบัติ เขาปฏิบัติพอเป็นพิธีเขาทำกันอย่างนั้นเหรอ แต่ถ้าคนที่ทำตามความเป็นจริงเขาไม่ทำแบบที่เขาทำกันหรอก ทีนี้พอจะทำเป็นความเป็นจริง จริงอยู่ที่ไหน จริงคือจริงในใจดวงนั้น

หลวงปู่มั่นท่านทำเพราะใจของท่าน ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำเพราะใจของท่าน คือบุคคลคนนั้นต้องทำของเขาคนคนนั้นคนเดียว! ธรรมะมันจะเอาที่ไหนมาเป็นตลาดล่ะ ธรรมะที่ไหนมันจะเฟ้อขนาดนั้น ว่าใครๆ ก็ทำมาแล้วจะประสบความสำเร็จไปหมด มันเอามาจากไหน

ฉะนั้น เวลาเขาทำขึ้นมา เขาถึงต้องการที่สงบสงัดเห็นไหม เวลาเขาต้องการความสงบระงับของเขา เพื่อสติของเขา นี่พูดถึงผู้ที่ทำนะ แล้วความจริงมันจะเกิดจากใจนะ มันจะไม่สาบสูญไป แต่ถ้าเราประมาทเลินเล่อ โลกนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

ในปัจจุบันนี้ ธรรมะจะสาบสูญ.. สาบสูญไป จะเรียวแหลมไปจากใจผู้ปฏิบัติ เราจะต้องจริงจังเข้มแข็งของเรา เพราะชีวิตของเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาในพุทธศาสนาด้วย แล้วศาสนาเรามีครูมีอาจารย์ ตั้งแต่ประพฤติปฏิบัติมาใช่ไหม เราเกิดมาก็ไม่เคยเจอหลวงปู่มั่นกัน เราก็อยากจะพบหลวงปู่มั่น แล้วครูบาอาจารย์ของเราก็ดับขันธ์ไปทีละองค์ๆ นะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี มันก็สะเทือนขั้วหัวใจในวงกรรมฐานเรา

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ สมัยที่ท่านสร้างวัดใหม่ๆ มีครูบาอาจารย์มาก ท่านจะไม่รับพระเข้ามาในวัดเลย ท่านบอกว่าที่ไหนก็ไปได้ ที่ไหนก็มีครูบาอาจารย์สอน จนครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปทีละองค์ๆ นะ ท่านถึงเปิดวัดท่าน รับพระมากขึ้นๆ เพราะด้วยความเห็นใจ เห็นใจว่า ถ้าพูดถึงผู้แอบแฝงมันชี้นำ มันจะทำให้ไฟนี้มอดลง ด้วยความเกิดของเรา เราเกิดมาด้วยความอยากพ้นทุกข์ เรอยากจะมีคนชี้นำเรา แล้วถ้ามีคนชี้นำเราไม่จริง เราปฏิบัติไปเราก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะเรามีกิเลสในหัวใจอยู่แล้ว

ยิ่งครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นจริงชี้นำเห็นไหม ไฟมันจะมอดลงๆ พอมอดลงแล้วนะ มันก็เหลือแต่หน้าด้าน พอเหลือแต่หน้าด้านขึ้นมา มันจะเป็นสิ่งใดล่ะ ท่านถึงเห็นใจมาก ท่านถึงเปิดวัดของท่านขึ้นมา แล้วพยายามขัดเกลา แต่... แต่มันก็เป็นเรื่องของคนหนากับคนบาง

คนหนา หนาจนแก้ไขไม่ได้ อยู่กับครูบาอาจารย์ไหนมาก็แล้วแต่ มันก็เอาครูบาอาจารย์มาขายกิน ทำไมมันไม่เอาธรรมในหัวใจมาขายกิน แล้วทำไมต้องขายกินด้วย แล้วถ้าเป็นคุณธรรมความจริง เขาไม่แสดงตัวหรอก

การแสดงธรรม แสดงธรรมเพื่อประโยชน์ การแสดงตัวกับแสดงธรรมมันแตกต่างกัน การแสดงธรรมเห็นไหม ฝนตกแดดออก ดูสิในปัจจุบันนี้เวลาเขาต้องการไฟฟ้าเขาต้องการแสงแดด เวลาฝนตกพวกเกษตรกรรมเขาก็ต้องการของเขา นี่การแสดงธรรมเพื่อประโยชน์ไง เหมือนฝนตก มันร่มเย็นเป็นสุขไปหมด นั้นมันเป็นเรื่องของการแสดงธรรม แต่เขาไม่แสดงตัว เขาไม่แสดงกิเลสเห็นไหม

ฉะนั้นอยู่กับครูบาอาจารย์มันเพื่อประโยชน์นะไม่ใช่อยู่กับครูบาอาจารย์มาเพื่อเอาท่านมาขายกิน เอวัง